สองวิญญาณ
http://www.creditonhand.com/images/Ghost/168.jpg
"เหยี่ยวชรา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของนักข่าว
ในอดีตผมเคยเป็นนักข่าวสายอาชญากรรม สำนวนตอนนั้นคือ "เหยี่ยวข่าว" กับ "กระจอกข่าว" มีคนปากเสียชอบแซวว่า ไม่มีใครเป็น "อีแร้งข่าว" มั่ง เหรอ?
แน่ใจนะว่าเอาปากพูด? ฮั่นแน่! ยังใช้ภาษาวัยสะรุ่นได้การนะครับ
พูดถึงเรื่องขนหัวลุกมีนับไม่ถ้วน เรื่องเกี่ยวกับผีๆ สางๆ ก็มีเป็นกระบุงเหมือนกัน ทั้งฟังจากเพื่อนๆ นักข่าวเล่า กับทั้งเคยเจอะเจอด้วยตัวเอง
น้าหวิงเป็นนักข่าวรุ่นพี่ ประสบการณ์ระดับเหยี่ยวถลาลม วันหนึ่งไปทำข่าวที่โรงพยาบาลกลาง เหยื่อที่ถูกยิงปางตายรักษาตัวอยู่ที่นั่น มีญาติมิตรเฝ้าเพียบ ไม่ยอมให้นักข่าวกับช่างภาพเข้าไป "เจาะภาพเด็ด" ในห้องกว้างขวางของคนไข้สามัญได้เด็ดขาด
พวกเราได้แต่ยืนออกันอยู่หน้าห้อง อยากสัมภาษณ์นิดหน่อยว่าสงสัยใคร? เห็นหน้ามือปืนชัดหรือเปล่า? ถ้าได้ภาพประกอบด้วยก็ยิ่งดี เพราะหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวเจ๋งๆ แต่ถ้าขาดภาพประกอบข่าวด้วย ก็เหมือนต้มยำลืมใส่น้ำปลานั่นแหละครับ
ในที่สุด พวกญาติก็ยอมให้นักข่าวเข้าไปได้ แต่ห้ามถ่ายรูป ไม่รู้ว่าอายกล้องหรือกลัวรูปตอนนอนเจ็บหนักน่ะจะออกมาไม่หล่อเหมือนตัวจริงกันแน่?
น้าหวิงถือว่ารุ่นใหม่ไฟแรง ทั้งทำข่าวกับเป็นช่างภาพเบ็ดเสร็จ ควักกล้องขึ้นมาก็โดนห้ามทันใด น้าหวิงก็ไม่ว่าอะไร แต่เร่ออกไปตั้งระยะภาพมุมอื่นที่คิดว่าเหมาะเจาะได้การ...หันขวับไปอีกทีก็กดชัตเตอร์เรียบร้อย
เผ่นอ้าวกลับโรงพิมพ์พร้อมกับภาพเด็ดทันที
คนเจ็บตายคืนนั้นเอง...ตกดึกวิญญาณก็มาหาน้า หวิงถึงหน้าต่างห้องนอน!
"ถ่ายรูปกูทำไม? กูไม่ชอบให้ใครถ่ายรูปกู..." เสียงหมาเห่าหอนกับเสียงแหบโหยนั่นปลุกน้าหวิงให้สะดุ้งตื่น มองเห็นภาพที่หน้าต่างหัวนอนแล้วแทบหัวใจวาย เพราะจำได้ว่าเป็นใบหน้าคนเจ็บที่ตัวเองถ่ายรูปได้เพียงคนเดียว...ปรากฏแต่ใบหน้าดำเมื่อมบิดเบี้ยวเหยเกน่าขนหัวลุก
น้าหวิงต้องคว้าพระเครื่องที่สร้อยคอหัวเตียงมาจบเหนือหัว อาราธนาคุณพระรัตนตรัยให้ช่วยคุ้มครอง ภาพนั้นจึงค่อยๆ เลือนรางจางหายไป
รุ่งขึ้น ภาพถ่ายของน้าหวิงลงหน้าหนึ่ง มีแต่ญาติๆ ยืนอยู่ข้างเตียงว่างเปล่า ไม่ปรากฏร่างของคนเจ็บหนักเลย นอกจากเงาจางๆ เหมือนภาพที่ถ่ายติดวิญญาณเท่านั้น!
ประสบการณ์ของผมก็ไม่น้อยหน้ากว่าน้าหวิงเท่าไรนัก
ตอนนั้นผมเพิ่งเป็นกระจอกข่าวติดตามรุ่นพี่ไปทำข่าวฆาตกรรม หมกศพไว้ในสวนแถวบางชัน เป็นศพผู้หญิงนิรนามถูกฆ่าหมกในร่องสวนฝรั่งไว้เกือบเดือนแล้ว ผมยาวสยายอยู่ในน้ำปนกับจอกแหน เนื้อหนังหลุดล่อนแทบจะเหลือแต่ซาก...ขนาดพวกป่อเต็กตึ๊งที่ว่าเคยเจอศพมาสารพัดรูปแบบ ยังต้องเบือนหน้าหนีก็แล้วกัน
นักข่าวเข้ารุมล้อมตำรวจ บ้างก็สอบถามชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงที่มามุงดู เจ้าของสวนพูดปลงๆ ว่าคงกินฝรั่งสวนนี้ไม่ได้แล้วเพราะมันดูดกลิ่นศพไว้ ผมถอยออกมาเหยียบอะไรลื่นๆ จนเสียหลักหวิดหงายหลัง ดีแต่มีเพื่อนนักข่าวช่วยคว้าแขนไว้ทัน
นาฬิกาเรือนเหล็กของผู้ตายครับ!
และนั่นคือหลักฐานสำคัญที่ทำให้รู้ว่าผู้ตายเป็นใคร?
คืนนั้นเอง ผมกำลังเคลิ้มๆ ก็พอดีได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญมาจากหน้าบ้านที่มีต้นมะม่วงร่มครึ้ม ต่อมาก็กลายเป็นเสียงร้องไห้กระซิกๆ จนผมอดรนทนไม่ไหว ต้องลุกออกไปเปิดหน้าต่างดู
คุณพระช่วย! ท่ามกลางแสงจันทร์ขาวนวล มีร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมองผม ตาต่อตาสบกัน... แน่ใจว่ามีน้ำตาไหลรินลงมาตามร่องแก้มเป็นทางยาวขณะแว่วเสียงพึมพำ...ขอบคุณที่ช่วยฉัน...ขอบคุณจริงๆ ค่ะ...
และแล้ว ร่างนั้นก็ค่อยๆ เลือนรางจางหายไปในแสงจันทร์!
เพราะนาฬิกาเรือนนั้นเองที่ทำให้ตำรวจรู้ตัวผู้ตาย และสืบสวนจนได้ความว่า ฆาตกรคือคนรักที่ลวงเธอมาฆ่าเพราะความหึงหวง คิดว่าผู้หญิงจะปันใจให้ชายอื่น...โธ่! ไม่ต้องมาขอบอกขอบใจก็ได้ เดี๋ยวผมก็พลอยหัวใจวายไปอีกคน! บรื๋อออ...
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ http://www.creditonhand.com/images/ks.gif
ขอบคุณมากครับ
หน้า:
[1]