ว.บรรเทา เล่าเรื่องขนหัวลุกจากเจดีย์หักในวัดร้าง
สมัยเด็กผมอยู่บ้านเจดีย์หัก ปราจีนบุรี ถ้าลงเรือหางยาวจากตัวเมืองมาก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง เพราะยังไม่มีถนนตัดผ่านเหมือนทุกวันนี้
บ้านริมน้ำมีท่าสำหรับจอดเรือและอาบน้ำอยู่หน้าบ้าน ริมตลิ่งมีต้นสนุ่นเรียงเป็นแถว ผมชอบมองตอนมันพลิกใบกระทบแสงแดดเป็นมันวับเชียว พ่อแม่บอกว่ารากสนุ่นช่วยยึดดินไม่ให้พังน้ำง่ายๆ คล้ายกับหญ้าแฝกน่ะแหละครับ
หลังบ้านผมมีบันไดลงไปทางรั้วหนามไผ่ ประตูสังกะสีติดขอบไม้ ตกค่ำต้องผูกโซ่คล้องกุญแจไว้ สาเหตุเพราะก่อนนั้นมีโจรผู้ร้ายชุกชุมจนต้องป้องกันเอาไว้ก่อน
ที่ดังๆ ก็เสือสนธ์ พลมา ฉายา "ขุนโจรร้อยศพ" แต่ห่างบ้านผมไปคนละอำเภอ
แถวริมรั้วค่อนข้างร่มครึ้ม เพราะนอกจากต้นมะม่วงใหญ่ๆ ทั้งอกร่อง สามฤดู และมะม่วงแก้วหลายต้น ก็ยังมีทั้งกล้วย มะละกอ ข่า ตะไคร้ มะกรูด มะพร้าวอีกสามต้นสูงลิบเชียว มะพร้าวแกงครับ ไม่ใช่มะพร้าวอ่อน
ออกจากรั้วไปก็คือทุ่งนาเวิ้งว้าง สุดลูกหูลูกตา
ที่น่ากลัวสุดๆ คือ...เจดีย์หัก!!
ความจริงน่ะไม่มีวัดเหลืออยู่แล้ว แม้แต่ซากยังไม่มี นอกจากเจดีย์ยอดด้วนเอียงกระเท่เร่องค์เดียว ชาวบ้านเรียกว่าเจดีย์หักครับ
ได้ยินเขาร่ำลือกันมานานแล้ว ว่าใต้เจดีย์นั่นมีสมบัติโบราณฝังไว้สมัยกรุงแตก บางคนก็ว่ามีมาก่อนนั้นด้วยซ้ำ เจ้าของเขาฝังไว้กับศพทาส กำชับให้เฝ้าสมบัติไว้จนกว่าเจ้าของจะกลับมาเอา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มาหรอกครับ สงสัยว่าคงจะตายไปเสียตั้งนมนานแล้ว
ต่อมาเกิดโรคระบาดหนัก ผู้คนล้มตายกันมาก แม้พระเณรก็เช่นกัน ต้องอพยพหลบภัยไปอยู่ที่อื่นกันหมด วัดนั้นก็เลยกลายเป็นวัดร้างมาเกือบร้อยปี
ตาสอนขี้เมาชอบแวะมาคุยที่บ้านบ่อยๆ อ้างว่าติดใจฝีมือน้ำปลาหวานของแม่ จะจิ้มด้วยมะม่วงหรือกระท้อนก็อร่อยทั้งนั้น แต่ผมว่าแกติดใจเหล้าที่พ่อยกมาให้กินมากกว่า
ตาสอนนี่แหละที่เล่าเรื่องผีดุที่วัดเจดีย์หักให้ฟัง!
บอกตามตรงว่าผมไม่เคยย่างกรายไปที่นั่นมาก่อนเลย เพราะความกลัวผีตามประสาเด็ก ขนาดนั่งเรือผ่านตอนเย็นๆ มองเห็นเจดีย์หักสีทึมๆ นั่นยังรู้สึกเสียวสันหลังพิลึก
แกเล่าว่าเมื่อก่อนเคยมีคนดอดไปขุดกรุใต้เจดีย์เพื่อหาสมบัติ ขนาดไปกันสามคนยังเจอผีหลอกจนวิ่งหนีไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน
พวกนั้นเล่าว่า ขณะที่กำลังขุดหาสมบัติกันเหย็งๆ ก็เกิดลมพัดอู้ๆ หนักหน่วงทั้งที่ท้องฟ้ายังขาวกระจ่าง เห็นดาวระยิบระยับ พอขุดต่อก็ได้ยินเสียงหัวเราะแหบโหยดังขึ้นใกล้ๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นเสียงลมพัดแรงก็เลยไม่สนใจ
ที่ไหนได้ล่ะ เสียงหัวเราะดังขึ้นทุกทีเหมือนมีใครโผล่เข้ามาอยู่ใกล้ๆ
คราวนี้หันขวับไปมองพร้อมกัน เสียงหัวเราะดังมาจากเหนือหัว เงยหน้าขึ้นไปก็มองเห็นภาพน่าขนหัวลุกปรากฏขึ้นบนเจดีย์หักนั่นเอง!
นั่นคือร่างดำทะมึนยืนจังก้า ก้มลงมองด้วยนัยน์ตาแดงจ้าอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญในมือถือดาบเล่มใหญ่ขาววับ พลางเงื้อขึ้นช้าๆ แต่นักขุดกรุทั้งสามร้องจ้า จอบเสียมหลุดจากมือ ผงะหน้า นัยน์ตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
หันหลังกลับ แผดร้องโหวกโหวย เผ่นกระเจิงไปคนละทิศละทาง...รุ่งขึ้นจับไข้เพ้อคลั่งอยู่หลายวันกว่า จะทุเลา
"โอ๊ย! กลัวแล้ว...ไม่เอาแล้ว! ปู่โสมอย่าฆ่าฉันเลย..."
เสียงเพ้อโอดโอยครวญคราง บางทีก็ลืมตาโพลง จ้องมองอย่างหวาดกลัว เล่นเอาญาติมิตรที่เฝ้าไข้พลอยทำหน้าเลิ่กลั่ก มองซ้ายมองขวา ขนลุกขนพองด้วยความกลัวทุกคน
ตาสอนเล่าอีกว่า ต่อมามีผัวเมียชราชื่อตาแร่มกับยายจาด เที่ยวบอกใครๆ ว่ามีปู่โสมมาเข้าฝันให้ไปขุดสมบัติ! คนอื่นๆ ส่ายหน้ายอมกลัว แต่สองผัวเมียบุกบั่นไปเจดีย์หักตอนกลางคืน คิดว่าจะได้พบกับขุมทรัพย์ปู่โสมเข้าจริงๆ
ลงเอยด้วยการซมซานกลับบ้าน ตาแร่มนอนเจ็บอยู่ 2-3 วันก็สิ้นใจ ส่วนยายจาดกลายเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ ชี้ไม้ชี้มือไปที่นั่นที่นี่ ร้องว่านั่นไงทอง! ทองคำทั้งนั้นเลย...แล้วก็ร้องไห้โฮ เสียงเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน
เมื่อตาสอนกลับไปแล้ว พ่อก็บอกว่าอย่าไปเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังนักเลย พ่อเองก็เคยฟังมาตั้งแต่เด็กๆ ป่านนี้ไม่มีผีสางเหลืออยู่แล้ว
ผมก็เชื่อพ่อครับ แต่ตอนกลางคืนมองผ่านหน้าต่างไปที่เจดีย์หัก ทำไมผมเห็นมียอดแหลมๆ ก็ไม่รู้ เหมือนมีใครนั่งยองๆ แล้วชูดาบขึ้นเหนือหัวเล่นเอาต้องเผ่นเข้ามุ้งทันที!
เดี๋ยวนี้ความเจริญรุกล้ำเข้ามา ไม่เหลือซากเจดีย์หักให้เห็นอีกต่อไปแล้วครับ
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์