เป็นเกย์กันตั้งแต่เมื่อไหร่
ถ้าหากว่าซ้ำต้องขออภัยนะครับและขอโทษเจ้าของเรื่องด้วยนะครับเพราะว่าคัดลอกมาอีกทีบทความเป็นเกย์กันตั้งแต่เมื่อไหร่ เขียนโดย ด๋ง
Tweetทวีต
ทุกวันนี้ มีข้อเขียนการศึกษา และงานวิจัยเกี่ยวกับเกย์ออกมามากมายเพื่ออธิบายถึงสาเหตุและปัจจัยที่นำพาไปสู่การเป็นเกย์บ้างก็ว่าเป็นเพราะความผิดปกติทางร่างกายตั้งแต่ยังไม่เกิดเป็นเพราะโครโมโซมและยีนที่ถ่ายทอดกันมาเป็นเพราะการอบรมเลี้ยงดูสั่งสอนของพ่อแม่ผู้ปกครอง เป็นเพราะสภาพแวดล้อมทางสังคมหรือกระทั่งเป็นเพราะเวรกรรมที่กระทำมาตั้งแต่ชาติปางก่อนอันเป็นผลสะท้อนติดตามตัวมาให้ชดใช้กันในชาตินี้ซึ่งก่อนที่จะอธิบายแจกแจงในแต่ละปัจจัยก็ขออ้างถึงทฤษฎีของฟรอยด์ ที่ได้แบ่งการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กออกเป็น 5 ระยะ ด้วยกันคือ
1. ระยะทางปาก (Oral Stage) ระยะนี้เด็กจะมีความสุขทางปาก เช่น ดูดหัวนมยาง ดูดนิ้วใช้ปากคาบงับหรือกัดสิ่งต่างๆอยู่เกือบตลอดเวลา
2. ระยะทวารหนัก (Anal Stage) ระยะนี้เด็กจะมีความสุขทางทวารหนัก เช่น ชอบนั่งกระโถน ชอบจับก้นหรือใช้นิ้วแหย่รูทวารหนักเล่น
3. ระยะหลงอวัยวะเพศ (Oedipal Stage) ระยะนี้เด็กผู้ชายจะรักแม่ ส่วนเด็กผู้หญิงจะรักพ่อและจะมีความสุขในการจับต้องอวัยวะเพศของตัวเองและเพื่อน
4. ระยะก่อนวัยรุ่น (Latency Stage) ระยะนี้เด็กจะสามารถแบ่งแยกเพศของตัวเองได้แล้ว และมักจะมีเพื่อนเป็นเพศเดียวกัน
5. ระยะวัยรุ่น (Genital Stage) ระยะนี้เด็กจะมีความรู้สึก และมีความต้องการทางเพศ ให้ความสนใจเรื่องเพศและเพศตรงข้าม
จากทั้งหมดที่กล่าวมา ถ้ามีการพัฒนาไปตามปกติก็ไม่มีปัญหาอันใดแต่ถ้าหากมีสิ่งใดมากระทบให้พัฒนาการดังกล่าวนั้นมีอันต้องสะดุดหยุดชะงักลงหรือสร้างความผิดหวัง เศร้าเสียใจ หรือประทับใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเป็นพิเศษก็อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพของเด็กได้ ซึ่งก็จะมีผลต่อเนื่องกันไปอีกจนกระทั่งเด็กคนนั้นโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ในภายภาคหน้าเช่นเดียวกับพฤติกรรมของความเป็นเกย์ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการที่บังเอิญเกิดขึ้นหรือผ่านเข้ามาในวงจรชีวิตของเด็กในขณะนั้น ทำให้เด็กเกิดความสับสนและซึมซับกับสภาพการณ์ต่างๆเข้าไปทีละน้อย จนฝังรากลึกในจิตใจ ยากจะแก้ไขกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ เขาก็รู้สึกเคยชินกับสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่นั้นไปเสียแล้ว
สาเหตุที่ทำให้เป็นเกย์ มีอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน คือ
1. ความผิดปกติทางร่างกาย
โดยปกติแล้วในคนหรือสัตว์จะมีโครโมโซมเพศ (Sexchromosome) ของทั้งสองเพศซึ่งการจะแสดงลักษณะทางเพศของเพศใดเพศหนึ่งนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับโครโมโซมเพศแต่อย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับศฮอร์โมน (Hormone)อีกด้วย ซึ่งฮอร์โมนนี้มีผลทำให้แต่ละเพศแสดงลักษณะทางเพศของตนเองออกมา เช่น ผู้หญิงมีผิวพรรณเนียนนุ่ม มีประจำเดือนส่วนผู้ชายก็มีขนตามที่ต่างๆ มีการสร้างอสุจิ ในกรณีที่ผู้หญิงมีกล้ามเนื้อ มีหนวดมีเครา หรือผู้ชายมีท่าทางอ้อนแอ้นอรชรคล้ายกับผู้หญิงนั้นก็เกิดจากความผิดปกติของปริมาณฮอร์โมนเพศภายในร่างกายของคนๆนั้นแทบทั้งสิ้นซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นมาตั้งแต่เกิดแล้วแต่อาจจะมาแสดงอาการให้เห็นในวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อจิตใจและการดำเนินชีวิตของคนๆนั้นได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
2. พ่อแม่อยากได้ลูกผู้หญิง
เป็นธรรมดาของคู่รักที่อยากได้ลูกเพศใดเพศหนึ่งแต่พอเลือไม่ได้ และลูกที่เกิดมานั้นไม่ใช่เพศที่ตนเองต้องการบางคนก็อาจเกิดความผิดหวังและพยายามเลี้ยงดูลูกให้เป็นเพศที่ตนเองต้องการหือบางครั้งอาจกระทำไปโดยความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่นมีลูกชายทั้งๆที่ใจจริงอยากได้ลูกผู้หญิง ก็เลยจับลูกชายมาแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นผู้หญิงซื้อข้าวของเครื่องใช้หรือของเล่นของเด็กผู้หญิงให้แถมยังชมว่าลูกตัวเองนั้นสวยน่ารักจะด้วยความจงใจหรือเพื่อความสนุกสนานรื่นเริงบางเวลาก็ตาม ถ้าเด็กยังอยู่ในวัยทารกหรือยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็ไม่น่ากังวลแต่ถ้าหากเด็กเริ่มโตขึ้นจนกระทั่งถึงวัยที่สามารถแยกแยะเพศชายและหญิงได้แล้วการที่พ่อแม่ยังเลี้ยงลูกแบบผิดเพศอยู่นั้นก็จะทำให้เด็กเกิดความสับสนในเพศที่ตนเป็นอยู่ว่าเป็นเช่นที่พ่อแม่สร้างให้นั้นจริงซึ่งก็อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจและทำให้เด็กเกิดปมด้อย หรือกลายเป็นเกย์ไปได้ในที่สุดถ้าเขาไปเจอกับปัจจัยด้านอื่นๆที่เกื้อหนุนต่อการเป็นเกย์นั้น
3. ในครอบครัวมีแต่ผู้หญิง
ตามปกติในช่วงชีวิตหนึ่งของเด็กที่เริ่มแยกแยะหรือเรียนรู้พฤติกรรมของคนรอบข้าง จำเป็นที่เขาจะต้องมีบุคคลใกล้ชิดที่เป็นเพศเดียวกันกับตนเอาไว้เป็นแบบอย่างให้เรียนรู้ว่าคุณลักษณะของเพศที่เขาเป็นอยู่นั้นเป็นเช่นไรแต่บางครอบครัวนั้นอาจขาดตรงจุดนี้ เช่น ครอบครัวที่มีลูกผู้ชายแต่คนในครอบครัวล้วนมีแต่ผู้หญิง ทั้งพี่น้องแม่ป้าน้าอาย่ายาย หรือกระทั่งคนรับใช้ภายในบ้านก็เป็นผู้หญิงกันหมดทำให้เด็กชายคนนั้นไม่มีคุณลักษณะของความเป็นเพศชายให้เขาได้เอาอย่างเพราะเมื่อแลไปทางไหนก็เห็นแต่ความนุ่มนวล อ่อนช้อย พับเพียบเรียบร้อยเป็นกุลสตรีหรือมีวิถีชีวิตแบบผู้หญิงกันไปหมด ซึ่งเขาก็อาจซึมซับกับพฤติกรรมของคนรอบข้างนั้นเข้าไว้ในจิตใจทีละน้อยจนเต็มเปี่ยมและเกิดความสับสนหรือเข้าใจผิดคิดว่านั่นคือลักษณะทางเพศที่แท้จริงของตนได้
4. รักลูกไม่เท่ากัน
พ่อแม่หลายคนอาจคิดว่าตนรักลูกเท่ากันทุกคนแต่ในบางครั้ง แนวคิดในการเลี้ยงดูลูก หรือความหวังดีบางอย่างอาจทำให้เผลอไผลแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกไปทำให้ลูกบางคนคิดว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากับลูกคนอื่นๆได้ เช่นครอบครัวที่มีทั้งลูกชายและลูกสาว พ่อแม่อาจคิดว่าลูกชายคงไม่ต้องห่วงอะไรมากเนื่องจากเป็นผู้ชาย สามารถเอาตัวรอด หรือดูแลตัวเองได้ตามสัญชาตญาณของความเป็นผู้ชายจึงพากันไปให้ความห่วงใยลูกสาวมากกว่า เพราะหากเกิดอะไรที่ไม่ดีขึ้นมาผู้หญิงมักจะเสียหายมากกว่าผู้ชายเสมอด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้เด็กผู้ชายบางคนที่ไม่เข้าอาจหลงผิดคิดไปว่าเพศหญิงเป็นเพศที่ทุกคนให้ความสนใจและดีกว่าเพศชายจนเกิดปมด้อยขึ้นมาในจิตใจถึงขั้นรังเกียจเพศชายที่ตนเองเป็นอยู่และอยากเป็นเพศหญิงมากกว่า จะได้มีคนรัก ห่วงใย และให้ความสนใจ
5. ตามใจ ช่วยลูกทุกอย่าง กลัวลูกลำบาก
คงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า"รักลูกในทางที่ผิด" กันมาบ้างแล้ว นั่นคือการตามใจลูกมากเกินไปไม่ว่าลูกจะเอาอะไรก็ประเคนให้ทุกอย่างโดยไม่คิดเลยว่านั่นคือหนทางนำไปสู่การทำให้เขากลายเป็นเด็กที่นิสัยเสียจะเอาอะไรก็ต้องเอาให้ได้ บางครั้ง ด้วยความที่กลัวว่าลูกจะลำบากก็มักจะช่วยลูกทำโน่นทำนี่เสียเองจนเขากลายเป็นคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็นโดยเฉพาะลูกชาย ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมให้ทำงานหนักๆ เช่น ทำสวน ปลูกต้นไม้ ซ่อมแซมบ้านล้างรถ ซ่อมรถ ฯลฯ เพราะกลัวว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อย เลอะเทอะ หรือเสียศักดิ์ศรีก็จะทำให้เขากลายเป็นคนหยิบโหย่ง ทำอะไรไม่เป็น และกลายเป็นผู้ชายที่อ่อนแอไม่เข้มแข็ง ไม่สมบุกสมบันตามวิถีทางของลูกผู้ชาย และอาจกลายเป็นเกย์ไปได้ในที่สุดถ้าเขาเกิดหันเหไปสนใจแต่ในเรื่องของผู้หญิงอย่างจริงๆจังๆขึ้นมา
6. เคร่งครัด หรือตั้งความหวังไว้สูง
บางครอบครัวมีกฎระเบียบหรือประเพณีที่ยึดถือกันมาค่อนข้างเคร่งครัด เช่นถือว่าผู้ชายคือผู้สืบสกุลหรือมีความสำคัญที่สุดในครอบครัวต้องรับผิดชอบชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนในครอบครัว หรือต้องเป็นที่พึ่งได้บางครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นตำรวจ ทหาร หรือครูอาจารย์ก็มักจะปกครองลูกๆด้วยความเคร่งครัดราวกับอยู่ในหน่วยงานที่ตนสังกัดทำให้เด็กๆเกิดความเครียดและกดดัน โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่ถูกตีกรอบให้อยู่ในโอวาทห้ามออกนอกลู่นอกทางบางครั้งก็ถูกตั้งความหวังเอาไว้สูงจนเกินไปจนเด็กอาจเกิดความไม่มั่นใจในความสามารถของตนว่าจะไปถึงขั้นนั้นได้หรือเปล่าทำให้กลายเป็นเด็กมีปมด้อยมีอคติ มองโลกในแง่ร้าย หรืออาจกลายเป็นคนแข็งนอกแต่อ่อนใน คือ ภายนอกดูเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด แต่ภายในกลับอ่อนแอ ว้าเหว่ และขาดที่พึงทางใจจนอาจแสวงหาคนที่เข้มแข็งและมีพลังมากกว่ามาคอยเยียวยา ปกป้องคุ้มครองหรือให้ความอบอุ่นเสมือนหนึ่งเป็นพ่อหรือพี่ชายซึ่งก็อาจนำพาไปสู่การเป็นเกย์ได้ในที่สุด
7. พ่อห่างเหินเกินไป ทำให้ใกล้ชิดแม่มากกว่า
ในบางครอบครัวที่ผู้เป็นพ่อต้องไปทำงานนอกบ้านอยู่ต่างพื้นที่หรือต่างประเทศเป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้เด็กเกิดความห่างเหินจากพ่อโดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่จำเป็นจะต้องมีแบบอย่างของบุคลิกลักษณะที่เป็นผู้ชายที่ถ่ายทอดมาจากบิดาผู้ให้กำเนิดจึงทำให้เด็กอาจเกิดความใกล้ชิดแม่มากกว่าเพราะรู้สึกเหมือนกับว่าพ่อนั้นไม่รักเขา ไม่เอาใจใส่ดูแลเขา ทอดทิ้งครอบครัวทิ้งเขา และทิ้งแม่ไปซึ่งจุดนี้อาจทำให้เด็กผู้ชายเกิดความรักและเทิดทูนผู้เป็นแม่อย่างมากจนถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตในทุกเรื่องและอาจปฏิเสธวิถีทางที่ผู้ชายทั่วๆไปเขากระทำกันนั้นได้
8. พ่ออ่อนแอ หรือด้อยกว่าแม่
เด็กผู้ชายบางคนที่เกิดมาในครอบครัวซึ่งผู้เป็นพ่อนั้นไม่เข้มแข็งอ่อนแอ พิการ หรือเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หรือโรคร้ายแรงต่างๆจะทำให้เขามองเห็นว่าแม่นั้นเด่นกว่าดีกว่า น่ายึดถือเป็นเยี่ยวอย่างมากกว่าส่วนผู้เป็นพ่อนั้นไม่ดี ไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้จนอาจพาลคิดไปว่าไม่อยากจะเป็นผู้ชายเสมือนพ่อ ซึ่งก็ถือได้ว่าน่าเป็นห่วงมากถ้าหากเด็กเกิดคิดเช่นนี้ เพราะจะทำให้เด็กเกิดประทับใจในบุคลิกของความเป็นผู้หญิงมากกว่าได้
9. พ่อเสเพล หรือทุบตีทำร้ายแม่และลูก
นับเป็นพฤติกรรมที่พบมากในปัจจุบันโดยเฉพาะในสังคมระดับกลางและระดับล่าง ที่ผู้ชายมักชอบเที่ยวเตร่
ขี้เหล้าเมายา หรือติดการพนัน บางครั้งก็ทุบตีทำร้ายภรรยาและลูก ซึ่งถ้าในครอบครัวนั้นมีลูกชายก็อาจทำให้เด็กเกลียดพ่อหรือเกลียดพฤติกรรมของผู้ชาย แล้วหันไปฝักใฝ่ในพฤติกรรมของผู้หญิงเลยก็ได้ถ้าเขามองเห็นว่าผู้หญิงมีสิ่งที่น่ายกย่องและน่าเอาเป็นแบบอย่างมากกว่าซึ่งเด็กผู้ชายที่จะคิดเช่นนี้ได้ แสดงว่าเขามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นเกย์อย่างแน่ชัดแล้ว
10. พ่อโดดเด่น หรือประสบความสำเร็จสูง
โดยมากมักเกิดในครอบครัวที่มีฐานะดีที่ผู้เป็นพ่อเป็นผู้บริหาร หรือนักการเมืองระดับสูงจนลูกชายเกิดความกดดันที่ไม่สามารถเจริญรอยตามหรือประสบความสำเร็จเหมือนผู้เป็นพ่อได้ จึงหันไปเข้าทางแม่แทนโดยอาจเจริญรอยตามผู้เป็นแม่ ยึดถือแม่เป็นแบบอย่างของความสำเร็จในขณะเดียวกันก็ชื่นชมและชื่นชอบผู้เป็นพ่อ หรือประทับใจในบทบาทของผู้ชายจนอาจเกิดความหลงใหล คลั่งไคล้ผู้ชายคนอื่นๆและแปรเปลี่ยนไปเป็นความรักเพศเดียวกันในที่สุด
11. ครอบครัวทะเลาะเบาะแว้ง หรือพ่อแม่แยกทาง
ถือเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีที่เกิดความระหองระแหงในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เป็นพ่อและแม่ถ้าเกิดความไม่เข้าใจหรือทัศนคติต่างๆไม่ตรงกันอีกทั้งยังทะเลาะขัดแย้งโต้เถียงกันอยู่ตลอดเวลา ก็จะทำให้ลูกคิดว่าตนเองไม่มีใครต้องการหรือเป็นสาเหตุแห่งการทะเลาะนั้น อันจะทำให้เด็กเกิดปมด้อย น้อยใจหรือเบื่อหน่ายกับชีวิตครอบครัวจนอาจไม่นึกอยากจะใช้ชีวิตคู่เช่นสามีภรรยาทั่วไปเพราะกลัวว่าจะประสบปัญหาเช่นเดียวกับพ่อแม่ที่ต้องมาทะเลาะเบาะแว้งหรือหย่าร้างกันซึ่งเด็กผู้ชายบางคนอาจหันไปหาที่พึ่งความรักแนวใหม่ๆ ที่แตกต่างออกไปจากเดิมได้เช่นความรักระหว่างเพื่อนชายแบบชั่วครั้งชั่วคราวที่ไม่ต้องมาใช้ชีวิตคู่หรือต้องวางแผนเกี่ยวกับอนาคตครอบครัวและการมีลูก
12. ถูกล่วงละเมิดทางเพศตั้งแต่เล็ก
ในที่นี้หมายถึงเด็กชายที่ถูกพ่อปู่ ลุง อา ผู้ใหญ่ หรือคนใกล้ชิดในครอบครัว ล่วงละเมิดทางเพศแบบต่างๆตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะเป็นการจับต้องอวัยวะเพศหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ตนเองมีความสุขทางเพศจากเรือนร่างของเด็กก็ตามสิ่งเหล่านี้ถือเป็นการทำร้ายจิตใจ และบ่มเพาะความรู้สึกรักและชอบเพศเดียวกันเข้าไว้ในตัวเด็กทีละน้อยโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ซึ่งเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เด็กเริ่มโตขึ้นแล้วมีความรู้สึกทางเพศอาจทำให้เด็กไขว้เขว สับสน และฝักใฝ่ในสิ่งที่เป็นอยู่นั้นได้
13. ถูกล้อเลียน
โดยมากมักเกิดกับเด็กผู้ชายที่มีบุคลิกเรียบร้อยสงบเสงี่ยม ไม่ค่อยพูดจา หรือไม่เล่นซุกซนเหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นๆซึ่งเด็กพวกนี้จะถูกเพื่อนๆที่ซุกซนกว่าล้อเลียนว่าเป็นตุ๊ด หรือ กะเทยและถ้ายิ่งโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ก็จะยิ่งถูกล้อเลียนมากยิ่งขึ้นไปอีกจนบางครั้งเด็กบางคนอาจเกิดความน้อยใจ หรือไม่อยากคบกับเพื่อนผู้ชายเพราะจะถูกล้อและเย้ยหยัน เลยหันไปคบหาสมาคม หรือเล่นกับเพื่อนผู้หญิงเพราะเห็นว่าผู้หญิงนั้นเรียบร้อย ไม่เล่นอะไรที่รุนแรง ไม่พูดคำหยาบคายตรงกับอุปนิสัยที่เขาเป็นอยู่ ซึ่งนานวันเข้าเด็กคนนั้นก็อาจเกิดความเคยชินกับบุคลิกของผู้หญิงดังกล่าวและอาจกลายเป็นเกย์ไปในที่สุด
14. อยู่ในสังคมที่มีแต่ผู้ชาย
หลายคนคงคิดว่าไม่น่าจะเป็นไบได้ที่เด็กซึ่งอยู่ในสังคมที่มีแต่ผู้ชายแล้วจะทำให้เขากลายเป็นเกย์เพราะเขาน่าจะซึมซับกับบุคลิกของความเป็นผู้ชายเข้ามาไว้ในตัวอย่างแนบแน่นซึ่งก็ถือว่าเหมาะสม ถ้าเด็กคนนั้นอยู่ในระยะก่อนวัยรุ่นที่สามารถแบ่งแยกเพศของตนเองได้แล้ว และมักจะคบหาแต่เพื่อนเพศเดียวกันแต่อาจไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ถ้าเด็กชายคนนั้นเข้าสู่วัยรุ่นเริ่มให้ความสนใจเรื่องเพศและมีอารมณ์ทางเพศ เพราะความอยากรู้อยากเห็นและอยากลองของเขาอาจทำให้เขาศึกษาและเรียนรู้เรื่องทางเพศจากเพื่อนผู้ชายด้วยกันซึ่งถ้าหากเขาเกิดเคลิบเคลิ้ม หวั่นไหว ติดใจ และฝักใฝ่กับเรื่องทางเพศโดยเฉพาะกับผู้ชายด้วยกันต่อมาจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ก็แน่ใจได้เลยว่าเขาคงจะกลายเป็นเกย์ไปแล้วอย่างแน่นอน
จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาคงพอทำให้หลายคนได้ทราบถึงสาเหตุของการเป็นเกย์แล้วว่าเป็นเพราะเหตุใดได้บ้างซึ่งการที่ผู้ชายสักคนหนึ่งจะกลายเป็นเกย์หรือไบได้นั้นจะต้องมีมูลเหตุปัจจัยกระตุ้นมาก่อนตั้งแต่เล็กๆไม่ใช่เพิ่งมาเป็นในตอนที่เพิ่งเป็นผู้ใหญ่ หรือแก่ชราภาพแล้วเพราะการเป็นเกย์ถือว่าเป็นการเปลี่ยนรูปแบบของรสนิยมทางเพศจากการชื่นชอบหรือรักในคนต่างเพศ มาเป็นคนที่รักในเพศเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถปรับเปลี่ยนไปในทันทีทันใดเพียงแค่ชั่วข้ามคืน ข้ามวัน หรือข้ามปีจำเป็นจะต้องมีการปลูกฝัง บ่มเพาะ หรือแทรกซึมเข้าสู่จิตใจทีละน้อย ทีละขั้นจนกระทั่งจิตใจ อารมณ์ และความรู้สึกนั้นคล้อยตาม ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีหรือกว่าครึ่งชีวิต กว่าที่จะเปลี่ยนให้ผู้ชายแท้ๆสักคนหันมารักผู้ชายด้วยกันได้อย่างถาวร
ด้วยเหตุนี้ การที่เราพบเห็นผู้ชายสักคนหนึ่ง อยู่ๆ ก็เปลี่ยนจากผู้ชายแท้ๆไปเป็นเกย์ หรือไบนั้น ที่ถูกต้องแล้ว ไม่ควรใช้คำว่า "เขากลายเป็นเกย์"แต่ควรใช้คำว่า "เขาเพิ่งแสดงอาการของการเป็นเกย์" หรือ"แสดงพฤติกรรมเกย์ออกมา" จึงจะเหมาะสมและตรงตามความเป็นหจริงมากกว่าเพราะบางคนอาจไม่รู้สึกตัวว่าเป็นเกย์มาตั้งแต่เด็กหรือตั้งแต่เกิด
จนกระทั่งเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และได้พบกับปัจจัย หรือสิ่งเร้าต่างๆที่มากระตุ้นความเป็นเกย์ที่ซุกซ่อนอยู่เงียบๆ มาแรมปี ให้ตื่นจากการหลับใหลแล้วแสดงอาการรักเพศเดียวกันนั้นออกมา จนดูเหมือนกับว่าเขาเพิ่งกลายมาเป็นเกย์ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะเขาเป็นมาก่อนแล้ว แต่เพิ่งมาแสดงอาการต่างหากและกรณีเช่นนี้ก็น่ากลัวมาก ถ้าผู้ชายคนนั้นมีเมียมีลูกแล้วแต่อยู่มาวันหนึ่งกลับค้นพบว่า แท้จริงตัวเองนั้นรักผู้ชายด้วยกันคราวนี้ความทุกข์ระทมจะตกอยู่กับใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เมียและลูกที่เกิดขึ้นมา ถือเป็นปัญหาครอบครัวอย่างหนึ่งที่ต้องหาทางแก้ไขกันต่อไป
- - - - - - - - - -
ที่มา : หนังสือ ถอดรหัสใจ ผู้ชายรักกัน เขียนโดย ด๋ง
ขอบคุณมากครับ
หน้า:
[1]