moo2010 โพสต์ 2012-6-30 13:40:13

ประวัติโดยย่อของพระคุณแม่จันดี โลหิตดี

คุณพ่อชื่อ นายทองดี คุณแม่แพงศรี โลหิตดีhttp://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1871599&stc=1&thumb=1&d=1327651747
เกิดที่หมู่บ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
ท่านเป็นน้องสาวพระหลวงตามหาบัว
ญาณสัมปันโน เป็นน้องสาวคนที่ ๙ ที่ยังมีชีวิตอยู่
และได้เข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาด
โดยมีพระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ซึ่งเป็นพระพี่ชายและครูบาอาจารย์ของท่าน
เป็นผู้อบรมสั่งสอน

พระคุณแม่จันดี เป็นผู้ที่ออกมาปฏิบัติธรรม
โดยไม่ได้บวช และเป็นผู้ที่เคารพธรรมวินัย ถือแบบ
ปฏิบัติเช่นเดียวกับพระอย่างเคร่งครัด ท่านให้ความ
เมตตาและความอบอุ่น ต่อลูกศิษย์และญาติโยมทั้ง
หลายที่มากราบท่าน ท่านจะให้คำอบรมสั่งสอน
ทั้งที่เป็นการปฏิบัติแก่คนที่มาขอรับฟังคำสอนของ
ท่าน เพื่อนำไปปฏิบัติ หรือคำแนะนำในการใช้ชีวิต
ประจำวัน แม้ธาตุขันธ์ท่านจะไม่แข็งแรง แต่ท่านก็
รับแขก เพื่อจะให้ทุกคนได้รับแต่สิ่งที่ดี และเป็น
ประโยชน์กลับไป

ภายใต้ท่าทางที่ดูสงบ เรียบง่ายและความ
อบอุ่นที่ได้รับ ท่านก็จะมีความเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด
จริงจัง จนดูน่ากลัวสำหรับเราผู้อ่อนแอ ดวงตาของ
ท่านเวลาสอนลูกศิษย์ต่อสู้กับศัตรู คือกิเลส ท่านจะ
ดูอาจหาญ ขึงขัง เด็ดเดี่ยว จริงจังมาก ถ้าลูกศิษย์
คนใดจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ท่านก็จะค่อย ๆ ทะนุ
ถนอม แต่ท่านจะเปรยลับหลังลูกศิษย์ผู้นั้นว่า
"กิเลสในใจของตัวเองก็ฆ่ามาแล้ว
นี่ต้องได้มาเอาใจกิเลสของผู้อื่น
โอ๊ย น่าอเนจอนาถ"



การเรียนรู้ศึกษาธรรมกับท่าน ยิ่งเรียนยิ่งซาบ
ซึ้งในคุณของท่าน สำหรับผู้ที่ต้องการความพ้นทุกข์
หรือผู้ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ เมื่อได้เข้ามา
สนทนากับท่าน ก็จะได้รับข้อธรรม และสิ่งที่ดีมี
ประโยชน์ที่ท่านหยิบยื่นให้
จึงอยากส่งธรรมคำสอนที่ท่านเมตตา มาเล่าสู่
เพื่อนธรรมทุกท่าน
ผิด ตก บกพร่อง ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เมื่อมาเรียนรู้ศึกษาธรรมกับท่าน จึงได้เห็นแง่
มุมต่าง ๆ ของสติปัญญาพระผู้เหนือโลก ทั้งแปลก ทั้ง
อัศจรรย์ และไม่สามารถคาดเดาได้ ท่านเป็นครูบา-
อาจารย์ ที่น่าศึกษาเรียนรู้ ทางที่ท่านให้เดินและให้
กระทำเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะเป็นการทวนกระแส
โลก และฝืนกิเลสในใจเราทั้งสิ้น จึงเป็นความทุกข์ที่สุด
แต่เมื่อยอมฝืนใจและทำตาม สิ่งที่ได้รับจะเกินความ
คาดหมาย และได้รับประโยชน์สูงสุด

ความเมตตาและให้อภัยเป็นจิตที่ยิ่งใหญ่

ศีล คือ เจตนางดเว้นการทำชั่วทางกาย
ทางวาจา ทางใจ

รู้ที่เกิดจากจิต คือ รู้จริง
รู้ที่เกิดจากสมอง คือ รู้หลอก
พุทโธ คือ ยาชลอความหลง
ธรรม คือ ธรรมชาติ ธรรมไม่มีที่หมาย
กาย คือ ลายแทง จิต เป็นขุมทรัพย์

คำว่าใช่ หรือ ไม่ใช่
คือ การตั้งค่าของสมมุติ
อยาก และไม่อยาก
คือ ตัวขับเคลื่อน
ของความหลง

อยาก และ ไม่อยาก เรียกว่าตัณหา
สมมุติบัญญัติ คือ การตั้งค่า
สมมุติบัญญัติ เรียนไม่จบสิ้น
เพราะมีการตั้งค่า เช่น ตัณหา

น้อมใจไปที่กาย
ดูกาย ดูจิต คือ ที่เดียวกัน
เพราะผู้ดู คือ ผู้รู้ ผู้เดียวกัน
ผู้ฉลาดเรียนรู้จากกาย-จิต
ผู้อยากรู้ผิด เรียนภายนอก
ธรรม คือ ประโยชน์
อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ธรรม

สมมุติบัญญัติตั้งค่า
๑ ๒ เรียก หนึ่ง-สอง หรือ สิบสอง
ค่าถูกเปลี่ยนไปทันที ตามการตั้งค่า
หรือ ๒ ๑ เรียก สอง-หนึ่ง หรือ ยี่สิบเอ็ด
ค่าถูกเปลี่ยนไปตามสมมุติบัญญัติ การตั้งค่า
หรือ ๐ ศูนย์ ถูกตั้งค่าว่า ไม่มีค่า
แต่เมื่อ ๐ ศูนย์ มาอยู่ หรือ ถูกวางตามตำแหน่งอื่น
ค่าของ ๐ ศูนย์ ก็เปลี่ยนไปทันที
ตามการตั้งค่า หรือสมมุติบัญญัตินั้น ๆ ทันที
ของทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนตกอยู่ภายใต้
กฎของสมมุติที่มนุษย์เป็นผู้กำหนดและตั้งค่าทั้งสิ้น
นอกจากกฎธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถ
กำหนดและเปลี่ยนแปลงได้ตามต้องการ
เช่น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ
ความตาย ความเป็นจริง
ที่อยู่เหนืออำนาจการกำหนดและบังคับของมนุษย์

อยาก ไม่อยาก หมาย ไม่หมาย คือ การตั้งค่า
จิตที่ไม่หมาย และ ไม่อยาก
จึงเป็นจิตที่เป็นปกติสุข
เกาะกระแสจิตไปกับพุทโธ

ความอดกลั้น
เป็นธรรมเครื่องแผดเผากิเลสอย่างยิ่ง
ความอืดอาด เชื่องช้า เหนื่อยหน่าย
ไม่เคยมีใครได้ดี

นักปฏิบัติ
หลงติดอยู่ที่ความพอใจ และไม่พอใจ เป็นเครื่องอยู่
เอาความพอใจ และไม่พอใจเป็นเครื่องอยู่
เมื่อพอใจ ได้สมใจก็เป็นสุข
เมื่อไม่พอใจก็เกิดทุกข์
แต่ทั้งสุขและทุกข์ ก็ยังเป็นเงื่อนของสมมุติ
ไม่มีใครคิดที่จะอยู่ตรงกลาง ระหว่างสุขกับทุกข์
เพราะตรงนั้นไม่มีทั้งความพอใจ และไม่พอใจ
แต่เป็นความพอ พอดี
ผู้ที่หลงเพลิน เล่นอยู่กับความพอใจ และไม่พอใจ
จึงได้หนังสือเดินทางแห่งการท่องเที่ยวของภพชาติ
ติดตัวไปตลอด
ความพอใจ และไม่พอใจ
เป็นอาหารชั้นยอดเยี่ยมของกิเลส

อยาก เมื่อไม่ได้อย่างที่อยาก ก็เป็นทุกข์
ไม่อยากได้ แต่ได้ ก็เป็นทุกข์
ใครจะว่าอะไร ไม่ต้องไปสนใจ
ใครเขาอยากได้อะไร เขาทำอะไร เขาก็ได้สิ่งนั้น
ใครอยากได้อะไร ก็ทำเอา ใครทำอะไร ก็ได้สิ่งนั้น
ไม่ต้องไปสนใจ ฝ่าโลกธรรม ๘ ออกไปให้ได้
เรื่องของโลกธรรม ๘ เรื่องมงคลตื่นข่าว
แตกซ่านกันไปไม่รู้จักจบ ฝ่าให้ได้ ทิ้งให้เร็วที่สุด

ผู้ที่ทิ้ง ท่านจึงเบา
ผู้ไม่เอา ท่านจึงสบาย

กลิ่นผู้ที่มีศีล มีธรรม
จะหอมฟุ้งกระจาย ไปทั่ว ๓ โลกธาตุ

ตายก่อนห่อนรู้ธรรม
ธรรมอยู่ฟากตาย
สละตายจึงได้ธรรม

ใจเฮ้ย ใจใคร กายเฮ้ย กายใคร
ผู้ใด กล่าวตู่ ผู้นั้น ยังหลง
หลงแผ่นดิน แผ่นฟ้า ยังไม่น่าห่วง เท่าหลงกายา
ตะวัน บ่ายคล้อย คอยกาย สลาย
จิตไม่มี ที่หมาย ตายจม กองทุกข์

เฮ้ย เฮ้ย เหวย เหวย คนอยากลาโลก
ความทุกข์ ความโศก เอาออกไม่ได้
จวบจนวันตาย ที่ไม่หมายต้องเจอ

ผู้ที่ภาวนาได้ยาก
เพราะมองออกแต่ข้างนอก
ไม่ดูใจตัวเอง จิตจึงไม่สงบ

ในยุคปัจจุบัน พระสุปฏิปันโน ที่เป็นผู้หญิง
หาได้ยากยิ่ง กว่าสิ่งใด ๆ ในโลก เนื้อธรรมของท่าน
ในนี้ จึงเป็นธรรมล้ำค่า ในแต่ละตัวอักษร ธรรมคำสอน
ทั้งหมดของท่าน จึงขอจารึกไว้ หากวันใด มีผู้ได้พบเห็น
ได้อ่านเพียงคำเดียวอาจเกิด ประโยชน์สูงสุดสำหรับเขาผู้นั้น...

เพิ่มเติมประวัติคุณแม่จันดี
ประวัติคุณแม่จันดี โลหิตดี วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี



คุณแม่จันดี โลหิตดี เกิดเมื่อวันพุธที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๓

ในครอบครัว พ่อแม่ และพี่น้อง เดียวกันกับ พระหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด

มีพี่น้องซึ่งมีชีวิตอยู่ จนโตคือ พี่ชาย ๔ คน พี่สาว ๔ คน และ น้องสาว ๑ คน ท่านเป็นคนที่ ๙

ท่านเป็นน้องสาวคนเดียวที่สละบ้านเรือนออกปฏิบัติ ถือศีลภาวนา ที่วัดป่าบ้านตาด



เมื่อเป็นสาวรุ่น มีความมุ่งมั่นตั้งใจจะปฏิบัติ ถือศีลภาวนา

จึงขอมารดาออกบวชเป็นแม่ชี

แต่มารดาไม่อนุญาต และได้ให้แต่งงานมีครอบครัว



ช่วงเวลาที่ครองเรือน มีบุตร ๔ คน ชาย ๑ คน หญิง ๓ คน

โดยที่ยังตั้งใจภาวนาและถือศีลอย่างเคร่งครัด

ยิ่งพระหลวงตามาตั้งวัดป่าบ้านตาดยิ่งได้กำลังใจปฏิบัติภาวนา ติดขัดอะไรก็กราบเรียนถามตอนท่านเข้ามารับบิณฑบาตรในหมู่บ้าน



ด้วยมีอาชีพชาวนาซึ่งต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นา...

ท่านจึงสร้างทางจงกรมเอาไว้ อาศัยทำนาไปด้วยภาวนาไปด้วยตลอด

เมื่อขึ้นจากการทำนา ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน

ท่านจะเดินจงกรมจนดึก...

มีครั้งหนึ่งคุณแม่ชีแก้วไปเยี่ยมท่านที่นา

เห็นทางจงกรมมีรอยเดินจนทางเป็นร่องเป็นมัน

ท่านได้พูดไว้ว่า

“จันดี เจ้าอยู่ไหน ก็มีเครื่องหมายของพระพุทธเจ้าอยู่ทุกที่

มิน่า..ข้าวของเจ้าถึงได้มากกว่าผู้อื่น”







เช้าวันหนึ่ง พระหลวงตาไปรับบิณฑบาตรในหมู่บ้าน

ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”

คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า

“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน

แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”

พระหลวงตาให้อุบาย

“เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”

คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า

“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา

เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร”

นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น



ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูก ๆ ทุกคน

เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อพ.ศ. ๒๕๒๔

โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น



ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า

“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด

เมื่อใจมี เจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง

ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง

ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง

ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเอง

แล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ

ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”



คุณแม่จันดีเล่าว่า

“การปฏิบัติภาวนา ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะสอนจะช้าได้

เพราะ ช่วงปฏิบัติภาวนา เรารู้เห็นอะไร มันก็ชวนให้หลงให้ติด

เพราะเป็นความอัศจรรย์ ที่เราเกิดมาไม่เคยพบ-เห็นในชีวิต

และไม่มีแสดงอยู่ที่ไหนในโลก

นอกจากผู้ภาวนาแต่ละรายจะรู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตัวเอง

รู้ขึ้นในใจของตัวเอง เป็นสันทิฏฐิโกประกาศป้างขึ้นที่หัวใจ

ไม่ต้องถามใคร... ไม่ต้องให้ใครมาโกหก เราได้

พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ลี้ลับ ไม่ปิดบัง เปิดเผยเสมอ มีอยู่ตลอดกาล...

ธรรมความจริง ธรรมไม่ตาย เปิดเผยสง่างาม

อยู่ทุกกาล ทุกสมัยตลอดมา และตลอด ไป...

เป็นแต่ผู้คนจะมีจิตยินดีและต้องการหรือไม่”



ท่านให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติภาวนา ได้ถูกต้องแม่นยำ

ไม่ผิดเพี้ยนจากหลักความจริง

ตามธรรมคำสอนของพระหลวงตามหาบัวทุกอย่าง

ท่านเมตตาเล่าถึงการปฏิบัติของท่านที่ยากลำบาก

แม้จะไม่ได้ขึ้นภูเขา เข้าป่า แต่ธรรมที่ท่านได้มาก็แลกด้วยชีวิต

ความตอนหนึ่ง ได้ประกาศขึ้นในจิตท่านว่า

“ให้เอาชีวิตแลกธรรม”

ตอนนั้นเอง พระหลวงตาก็บอกให้ท่านเร่ง “มึงอย่าเสียดายชีวิตนะ เร่งเลย ๆ ...”

ท่านจะพูดเสมอว่า “พระหลวงตาสอนให้แม่ปฏิบัติมาอย่างนี้

ถ้าเป็นคำพูดของพระหลวงตาแล้ว ยิ่งการปฏิบัติภาวนา

จะคลาดเคลื่อนไปไม่ได้เลย...”





ในคืนวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๕ ทุ่มครึ่ง

เป็นคืนที่ ฟ้าครึ้ม และลมพัดแรงมาก

ท่านกราบพระแล้วนั่งภาวนา

ข้อธรรมได้ผุดขึ้นในจิตว่า



“อายะตะนะนั้นมีอยู่ แต่ไม่มีดิน-น้ำ-ไฟ-ลม

ไม่มีจุติเคลื่อน ไม่มีที่ไป ไม่มีที่มา ไม่มีอารมณ์

ไม่มีอารมณ์ นั้นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์”



จิตตอนนั้นจ่อเฉย ๆ เหมือนไม่พิจารณาอะไร

เสียงต้นขนุนใหญ่ที่แห้งตาย อยู่ข้างกุฏิ สั่นไหวเสียงดังลั่นเพราะลมแรง

ท่านคิดว่าคงหักทับกุฏิ และท่านก็คงตายพร้อม ๆ กัน

อวิชชาขาดกระเด็นออกจากจิต ขณะนั้นรู้ว่า อวิชชาเหนียวแน่นมาก

พร้อมกับก้นกระแทกพื้นสูง ๑ ศอก โลกธาตุหวั่นไหว

แผ่นดินสะเทือน เสียงดังสนั่น ถึด.. ถึด .. ถึด .. ถึด..

แผ่นฟ้าม้วนกลับลงมา พันกันกับแผ่นดิน

ม้วนรวมกัน แล้วจึงแยกออกจากกัน โลกธาตุหวั่นไหว พร้อมกับเสียงอนุโมทนาสาธุการ จากสวรรค์ทุก ๆ ชั้น ชั้นพรหมทุก ๆ ชั้น ลงถึงพื้นบาดาล

ขวาซ้ายสถานกลาง ร่วมอนุโมทนา สาธุการ

เสียงปี่พาทย์ บรรเลงขับกล่อม กระหึ่มก้อง

เสียงประกาศก้องขึ้นที่จิต



“ว่าง-วางเป็นจิตพุทธะ > จิตบริสุทธิ > จิตเป็นธรรมชาติ”

ขณะที่อวิชชาขาดออกจากจิต





พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทุก ๆ พระองค์

โดยเฉพาะพระหลวงตาได้ช่วยหนุนจิตท่าน ทุก ๆ พระองค์

ทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ไม่มีอะไรก่อน ไม่มีอะไรหลัง

มีอะไรอีกมากที่ไม่สามารถพูดให้ฟังได้หมด

เพราะของเหนือโลก เจอแล้วจะรู้เอง



ท่านบอกว่า

ไม่เหลือวิสัย มีอยู่ในใจของทุกคน

อย่ากลัวตาย กิเลสมันกลัวตาย

รอดตายจึงได้ธรรม มันไม่ตายหรอก

คนกล้าตาย ไม่กลัวตาย มีแต่กิเลสนั่นหละจะตายจากหัวใจ



... คืนนั้น ท่านกราบน้อมถึงคุณพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์

ถึงคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

โดยเฉพาะพระหลวงตา ทั้งเป็นครูอาจารย์ เป็นพ่อ เป็นพี่ชายในสายโลหิตเดียวกันในชาติปัจจุบัน



คืนนั้น ท่านไม่นอนทั้งคืน...



เมื่อพบพระหลวงตาอีกครั้ง จึงได้กราบเรียนท่านถึงสภาวะธรรมทั้งหมด ที่เกิดขึ้น…

พอกล่าวจบ พระหลวงตาพูดขึ้นว่า

“ อ้าย(พี่) หมดห่วงแล้ว...”
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: ประวัติโดยย่อของพระคุณแม่จันดี โลหิตดี