moo2010 โพสต์ 2012-7-4 19:32:26

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก

http://www.dhammajak.net/board/files/_4_773.jpg

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก

วัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม (วัดป่าเหล่างา)
ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น


“หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก” หรือ “พระโสภณวิสุทธิคุณ” มีนามเดิมว่า บุญเพ็ง เหล่าหงษา เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๗๑ ตรงกับวันมาฆบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง จุลศักราช ๑๒๙๐ ณ บ้านบัวบาน ตำบลกู่ทอง อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม โยมบิดาชื่อ นายเอี่ยม เหล่าหงษา โยมมารดาชื่อ นางคง เหล่าหงษา ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๗ คน เป็นชาย ๕ คน เป็นหญิง ๒ คน ท่านเป็นลูกหล้าคือบุตรคนสุดท้อง ดังมีรายชื่อตามลำดับต่อไปนี้

๑. นางแถว เหล่าหงษา
๒. พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม)
๓. นางสาย เหล่าหงษา
๔. นายเลียบ เหล่าหงษา
๕. นายเลี่ยม เหล่าหงษา
๖. นายสำเริง เหล่าหงษา
๗. พระโสภณวิสุทธิคุณ (หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก)

ปัจจุบันพี่ของท่านมรณภาพและเสียชีวิตลงหมดแล้ว

ครอบครัวของหลวงปู่บุญเพ็งมีอาชีพทำไร่ทำนาตามสภาพของคนในชนบท มีฐานะพอมีอันจะกินตระกูลหนึ่งในหมู่บ้านบัวบาน หลวงปู่ได้มีโอกาสศึกษาถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยควบคุมดูแลการหลบลูกระเบิดสมัยสงครามอินโดจีน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ตั้งแต่ท่านเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้ที่มีความฉลาดเฉลียว และมั่นใจในตนเองมาตั้งแต่เด็ก

ในการประกอบสัมมาชีพของท่านนั้น ในแต่ละวันท่านก็ยังคิดเมตตาสงสารวัวควายที่ท่านใช้แรงงาน และคิดสลดสังเวชการวนเวียนดำเนินชีวิตของผู้คนรอบข้างที่ทุกข์ยาก สู้ภัยธรรมชาติปีแล้วปีเล่า แม้ว่าหลวงปู่ท่านอยากจะบวช แต่ก็ต้องรับผิดชอบในการทำงานแทนบรรดาพี่ชายซึ่งบวชกันไปหมด จนกระทั่งท่านมีอายุได้ ๒๑ ปี จึงได้มีโอกาสบวช ก่อนออกบวชท่านก็ได้ทดแทนคุณโยมบิดา-มารดา ด้วยการสร้างบ้านให้โยมบิดา-มารดาและพี่น้องด้วยตัวท่านเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่หาไม้จนกระทั่งสำเร็จเป็นบ้านอยู่อาศัยได้

มูลเหตุที่หลวงปู่ท่านมีความตั้งใจอยากจะบวชเป็นพระ แทนการสร้างครอบครัวเฉกเช่นชาวบ้านคนอื่น ก็คงเป็นเพราะท่านเกิดมาในตระกูลที่ฝักใฝ่ในทางศีลธรรม ประกอบกับพระพี่ชายของหลวงปู่ท่าน คือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) ก็ได้บรรพชาอุปสมบทตั้งแต่หลวงปู่ท่านยังเป็นเด็ก จนได้เป็นพระกรรมฐานผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธบริษัทอย่างกว้างขวาง

หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรมกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พร้อมด้วยคณะศิษยานุศิษย์หลายรูป ได้เดินทางมาจากจังหวัดอุบลราชธานี มาธุดงค์กรรมฐานที่โคกเหล่างา (วัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นป่ารก เป็นป่าช้าผีดุ แล้วก็มี หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงปู่ภูมี ฐิตธมฺโม, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ, หลวงปู่คำดี ปภาโส ฯลฯ มาอยู่รับการอบรมธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่สิงห์

http://www.dhammajak.net/board/files/_1_984.jpg
หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม

http://www.dhammajak.net/board/files/paragraph_100_861.jpg
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

http://www.dhammajak.net/board/files/_11_173.jpg
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ

http://www.dhammajak.net/board/files/_1_830.jpg
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

http://www.dhammajak.net/board/files/268_1238460902.jpg_124.jpg
หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ

http://www.dhammajak.net/board/files/_10_163.jpg
หลวงปู่คำดี ปภาโส


พอออกพรรษาเข้าหน้าแล้ง บรรดาพระกรรมฐานท่านเหล่านี้ก็พากันไปแสวงหาที่วิเวกภาวนา โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ก็ได้ไปแสวงหาที่วิเวกกรรมฐานทางทิศตะวันออกของเมืองขอนแก่น คือไปทางจังหวัดมหาสารคาม ได้ไปพักอยู่ที่ป่าช้าหัวหนองตอกแป้น บ้านบัวบาน อำเภอเชียงยืน และได้อบรมหลักการปฏิบัติธรรมแก่ญาติโยมบ้านบัวบาน รวมทั้งโยมบิดา-มารดาของหลวงปู่ท่านด้วย

โยมบิดา-มารดาของหลวงปู่มีความเลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่เทสก์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้มอบบุตรชายคนโตคือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) เป็นลูกศิษย์ติดตามหลวงปู่เทสก์ไปธุดงค์กรรมฐานตามสถานที่ต่างๆ กระทั่งได้อุปสมบทและปฏิบัติธรรมกับ หลวงปู่ภูมี ฐิตธมฺโม วัดคีรีวัลล์ อำเภอท่าช้าง จังหวัดนครราชสีมา จนเกิดความมั่นใจในความรู้ความเข้าใจในธรรมะคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็นึกถึงญาติพี่น้องทางบ้าน จึงกลับมานำญาติพี่น้องบวช และได้มาจำพรรษา ณ วัดเทพนิมิต บ้านบัวบาน ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เพื่อโปรดโยมบิดา-มารดาและญาติพี่น้อง ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่ท่านมีอายุประมาณ ๑๔-๑๕ ปี และต้องรับภาระการประกอบอาชีพดูแลครอบครัว นี้จึงเป็นเหตุให้ท่านไม่เคยมีโอกาสบรรพชาเป็นสามเณร

ในการประกอบอาชีพ หลวงปู่ท่านก็สามารถทำได้ดีกว่าชาวบ้านทั่วไป ท่านรู้จักประกอบอาชีพหารายได้นอกฤดูทำนา จนมีเงินทองมาจุนเจือครอบครัวอีกส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ หลวงปู่ท่านยังมีพรสวรรค์ในการรักษาโรค โดยใช้วิธีการพื้นบ้านตามที่โยมบิดาของท่านสอนให้ เช่น รักษาตาต้อ คางทูม ฯลฯ เป็นเหตุให้ท่านได้สอนให้พวกลูกศิษย์ลูกหาใช้คาถาและพลังจิตรักษาโรคมาจนกระทั่งปัจจุบัน ท่านบอกว่า เอาไว้ช่วยตนเองและสงเคราะห์คนอื่น ยามที่ไม่อาจรับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันได้

http://www.dhammajak.net/board/files/_10_154.jpg
พระโสภณวิสุทธิคุณ (หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก)


หลวงปู่ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ณ พัทธสีมาวัดศรีจันทร์ (ธรรมยุต) ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยมี พระเทพบัณฑิต (มหาอินทร์ ถิรเสวี สินโพธิ์) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพิศาลสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูคัมภีรนิเทศ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระมหาสุพจน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “กปฺปโก” ซึ่งแปลว่า “ผู้สำเร็จ”

เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้จำพรรษา ณ วัดเทพนิมิต บ้านบัวบาน เป็นเวลา ๒ ปี ในระหว่างนั้น โยมบิดาได้ป่วยและเสียชีวิตลงในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ หลังจากจัดการฌาปนกิจศพโยมบิดาเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่จึงได้เดินทางมาศึกษาปริยัติธรรมและพำนักจำพรรษายังวัดสุทธจินดา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ โยมมารดาได้เสียชีวิต ท่านจึงเดินทางกลับมายังวัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม เพื่อจัดการงานศพของโยมมารดา และท่านก็ไม่กลับไปศึกษาปริยัติธรรมอีก ขณะนั้นท่านได้วิทยฐานะเป็นนักธรรมชั้นโท

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ พระพี่ชายคือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม หรือวัดป่าเหล่างา หลวงปู่ท่านจึงจำพรรษาที่วัดเทพนิมิต บ้านบัวบาน เพียงองค์เดียวเป็นเวลา ๕ ปี ต่อมาจึงได้ติดตามพระพี่ชายมาจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙

ระหว่างนั้นหลวงปู่ได้เดินทางไปธุดงค์ตามสถานที่ต่างๆ โดยไปทางโคราช และอรัญญประเทศ จนกระทั่งข้ามไปยังประเทศกัมพูชา ระหว่างทางท่านก็ได้ผจญกับสัตว์ร้ายและโรคภัยสารพัด และยังได้มีโอกาสช่วยเหลือรักษาโรคภัยให้แก่ชาวบ้าน หลวงปู่เล่าว่าการเดินธุดงค์ส่วนมากใช้เท้าเปล่า และเอารองเท้าพาดบ่าเพราะรองเท้าตัดจากหนังควายแห้งใส่แล้วกัดเท้าเจ็บ แต่ถ้าเข้าป่ามีหนามจึงนำออกมาสวม

จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๒ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสันติธรรม ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้เดินทางมายังจังหวัดขอนแก่น และแวะเยี่ยมพระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) หลวงปู่ท่านจึงได้มีโอกาสฟังธรรมจากหลวงปู่สิม เป็นเหตุให้ท่านมีโอกาสเข้าใจในเรื่องการภาวนาที่ลึกซึ้งมากขึ้น และหลวงปู่สิมได้ชวนหลวงปู่ให้ไปอยู่เชียงใหม่ด้วยกัน หลังจากหลวงปู่สิมเดินทางกลับไปแล้ว หลวงปู่จึงตัดสินใจเดินทางติดตามไปโดยลำพัง หลวงปู่เล่าว่าท่านขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพฯ ไปแวะพักค้างคืนที่วัดบรมนิวาส เชิงสะพานกษัตริย์ศึก แล้วนั่งรถไฟต่อไปถึงเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

หลวงปู่ได้รับการฝึกหัดอบรมกรรมฐานจากหลวงปู่สิม และได้ติดตามหลวงปู่สิม ไปธุดงค์กรรมฐานที่ภูกระดึง จังหวัดเลย ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นป่าที่มีสัตว์ร้ายอยู่มาก แต่หลวงปู่สิมก็นำท่านบุกป่าฝ่าดงไปเพื่อแสวงหาโมกขธรรม โดยอาศัยความสงบของจิตและ “พุทโธ” เป็นเครื่องต่อสู้กับความทุรกันดาร และสัตว์ร้ายนานาชนิด

http://www.dhammajak.net/board/files/268_1238209228.jpg_719.jpg
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

http://www.dhammajak.net/board/files/268_1258429828.jpg_442.jpg
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม


ต่อมาหลวงปู่ท่านยังได้มีโอกาสไปศึกษาธรรมะกับ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยท่านได้สั่งสมความรู้และไหวพริบปฏิภาณในการแก้ไขปัญหาธรรมะจากหลวงปู่ตื้อ รวมทั้งด้านอิทธิวิธีซึ่งหลวงปู่ตื้อท่านมีความเป็นเลิศ ยามว่างหลวงปู่ท่านจะเล่าให้บรรดาสานุศิษย์ฟังถึงความสงบเย็น ความมุ่งมั่น อดทน ความกล้าหาญ เมตตา และเสียสละของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร อีกทั้งปฏิภาณไหวพริบ อิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ซึ่งหลวงปู่บุญเพ็งท่านรับมาปฏิบัติตราบจนเท่าทุกวันนี้

ในระหว่างนี้เป็นเวลาประมาณ ๔ ปี หลวงปู่ท่านได้ใช้ช่วงเวลาออกพรรษาในฤดูแล้ง ธุดงค์กรรมฐานไปตามป่าเขาในภาคเหนือตอนบน ได้ประสบกับสิ่งลึกลับมหัศจรรย์มากมาย และต้องต่อสู้กับภัยอันตรายนานัปการ ตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ของท่านได้ดำเนินไปก่อนแล้ว และระหว่างธุดงค์กรรมฐานท่านก็ยังได้สั่งสอนอบรมภาวนาให้พระภิกษุที่เดินทางไปด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ

จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๗ หลวงปู่ท่านได้ไปจำพรรษา ณ วัดคำหวายยาง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นเวลา ๒ ปี เพื่อไปวิเวกภาวนา เนื่องจากวัดคำหวายยางเป็นวัดที่มีความทุรกันดาร และขึ้นชื่อเรื่องผีดุ ที่วัดนี้หลวงปู่ท่านก็ได้อบรมภาวนาให้ลูกศิษย์หลายคนให้ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และบางคนยังใช้พลังจิตช่วยเหลือผู้คนที่ประสบปัญหาต่างๆ มาจนปัจจุบัน

ในด้านการแสดงพระธรรมเทศนาอบรมพุทธบริษัท หลวงปู่ท่านพัฒนาเทคนิคเฉพาะตัวของท่านเอง ตั้งแต่ครั้งบวชใหม่ๆ ซึ่งยังมีความประหม่าอยู่มาก แต่ก็ต้องเทศน์ตามโอกาสและประเพณี อย่างไรก็ตามจากไหวพริบปฏิภาณของท่าน รวมทั้งจากการได้ติดตามรับฟังการเทศน์ การแสดงธรรม และการแก้ปัญหาธรรมะของครูบาอาจารย์ ในสมัยนั้น ซึ่งแสดงตามงานต่างๆ เกือบทุกคืน เช่น หลวงปู่สิม และหลวงปู่ตื้อ เป็นอาทิ ทำให้หลวงปู่ท่านมีความเป็นเลิศในการเป็นนักเทศน์อีกประการหนึ่งด้วย

นอกจากนี้พระพี่ชายของท่านคือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) ก็เป็นนักเทศน์ที่มีสำนวนโวหารไพเราะจับใจคณะศรัทธาญาติโยมเป็นอันมากเช่นกัน

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ หลวงปู่ได้มีโอกาสไปร่วมงานศพพระเถระรูปหนึ่งที่จังหวัดสงขลา และได้รับนิมนต์ขึ้นเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ทั้งๆ ที่อาพาธด้วยไข้หวัด แต่กระนั้นท่านก็เทศน์ได้ดีจนกระทั่งหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ซึ่งเป็นพระอาจารย์กรรมฐานของท่านเอง ออกปากชมว่าเทศน์ดี คณะศรัทธาญาติโยมจากวัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งไปร่วมงานในครั้งนั้นเกิดความประทับใจในปฏิภาณของท่านเป็นยิ่งนัก จึงกราบอาราธนาท่านไปจำพรรษาที่วัดอโศการาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙

ในระหว่างพรรษา ท่านได้แสดงพระธรรมเทศนาอบรมพุทธบริษัทอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งท่านแสดงธรรมวันละ ๓ รอบ รอบละเกือบ ๒ ชั่วโมง เนื้อหาเผ็ดร้อน ตรงประเด็นเกี่ยวกับจิตตภาวนาล้วนๆ ไม่มีจืด ไม่มีซ้ำ ลูกศิษย์รุ่นเก่าที่ได้รับการฝึกอบรมจิตตภาวนาในยุคนั้นยังมีปรากฏให้เห็นมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันหลายท่าน

http://www.dhammajak.net/board/files/__2_103.jpg
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร)


ในขณะนั้นหลวงปู่บุญเพ็งท่านยังมีอายุไม่ถึง ๔๐ ปีด้วยซ้ำไป ชื่อเสียงในการเป็นนักเทศน์ของหลวงปู่ขจรขจายมาจนถึงวัดพระศรีมหาธาตุ วรมหาวิหาร แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดยมีอุบาสก อุบาสิกา นำมาเล่าให้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) เจ้าอาวาส (ในขณะนั้น) ฟัง เมื่อสมเด็จฯ ท่านซักถามถึงชื่อเสียงก็ทราบว่ารู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว จึงให้พระเถระในวัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ไปรับมา แต่หลวงปู่ท่านก็ได้ขอผัดผ่อนไปก่อนเพื่อที่จะออกเดินธุดงค์ไปวิเวกที่จังหวัดจันทบุรี

เมื่อเข้าพรรษาในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ หลวงปู่ท่านจึงได้มาจำพรรษา ณ วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน และได้อบรมจิตตภาวนาให้แก่ญาติโยมพุทธบริษัททางด้านนี้สลับกับที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเวลาเกือบ ๑๐ พรรษา โดยส่วนใหญ่จะจำพรรษาที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน

ดังนั้น เมื่อหลวงปู่พูดถึงสองวัดนี้ ท่านจึงพูดว่าเป็นวัดของท่าน ด้วยความคุ้นเคยอย่างยิ่งกับพระเณรและญาติโยมทั้งหลาย แต่ช่วงหลังๆ นี้ท่านเดินทางไปวัดอโศการามน้อยลง เนื่องจากมีปัญหาการจราจรติดขัด เดินทางไปไม่สะดวก ท่านจึงพำนักที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ทุกครั้งที่เดินทางมากรุงเทพฯ โดยในปัจจุบันท่านเจ้าอาวาสได้จัดกุฎิเฉพาะให้ท่านคือ กุฎิกี ประยูรหงส์ ด้านหน้าศาลากลางน้ำ

การแสดงพระธรรมเทศนาของหลวงปู่ที่วัดอโศการาม ท่านจะแสดงธรรมอบรมภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา บนวิหารพร้อมกัน ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติของวัดอโศการาม จะมีการแสดงธรรมบนวิหารทุกคืน และในวันพระยังมีรอบเช้า และรอบบ่ายสาม แต่ที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ตามปกติสมเด็จฯ จะแสดงธรรมเอง อย่างไรก็ตามบางคราวสมเด็จฯ ได้นิมนต์ให้หลวงปู่แสดงธรรมแทน โดยสมเด็จฯ นั่งฟังอยู่ด้วย

http://www.dhammajak.net/board/files/_1_424.jpg
พระอาจารย์ไท ฐานุตฺตโม


สหธรรมิกของหลวงปู่ที่ติดตามกันไปอยู่ที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน คือ พระอาจารย์ไท ฐานุตฺตโม ซึ่งติดตามกันตั้งแต่ครั้งธุดงค์ที่ภาคเหนือและวัดอโศการาม ในแต่ละวันจะมีบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะอาจารย์จากวิทยาลัยครู (มหาวิทยาลัยราชภัฏ ในปัจจุบัน) ด้านหลังวัดมากราบ และบางครั้งก็มีการสนทนาธรรมกัน ซึ่งท่านเหล่านี้มีปัญหายากๆ มาถามอยู่เสมอ แต่หลวงปู่ท่านก็เอาอยู่ด้วยปฏิภาณอันเลิศของท่าน

จะขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง คือในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ซึ่งสหรัฐอเมริกาส่งยานอพอลโลไปบนดวงจันทร์ อาจารย์ที่สถาบันราชภัฏก็แสดงความกังขาว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่าที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามีสวรรค์อยู่ข้างบนก็ไม่จริง เพราะยานอวกาศขึ้นไปบนดวงจันทร์แล้วก็ไม่เห็นมีสรรค์อยู่ข้างบน ด้วยปฏิภาณหลวงปู่ก็ตอบไปว่า ถ้าอยากรู้ว่าจริงหรือไม่ก็ให้ลองตายดู อาจารย์ท่านนั้นงง หลวงปู่จึงอธิบายต่อไปว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยบอกว่าสวรรค์เป็นที่ไปของผู้มีชีวิตอยู่ เมื่อตายไปแล้วต่างหาก ท่านจึงว่าไปสู่สุคติสวรรค์ อาจารย์ท่านนั้นจึงยอมจำนน

http://www.dhammajak.net/board/files/_111_176.jpg
พระโสภณวิสุทธิคุณ (หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก)


ณ วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน นี้เอง ที่หลวงปู่ท่านเริ่มอบรมภาวนาให้กับอุบาสก อุบาสิกา กลุ่มเล็กๆ ซึ่งติดตามท่านมา หลังจากการนั่งฟังธรรมบนโบสถ์ หลวงปู่ท่านก็ได้ใช้ใต้ถุนกุฏิเป็นที่อบรม ทั้งที่ยุงชุมมาก แต่ผู้อบรมและผู้รับการอบรมก็ไม่ย่อท้อ การอบรมกลุ่มเล็กนี้จะได้ผลดีมากกว่ากลุ่มใหญ่ และท่านเรียกลูกศิษย์รุ่นนั้นของท่านว่า “เหรียญรุ่นแรก” บางท่านก็ได้ติดตามอุปัฏฐากและเป็นลูกศิษย์มาจนปัจจุบัน บางท่านเสียชีวิตไปแล้ว แต่ลูกหลานเหลนก็ยังตามมาเป็นลูกศิษย์อยู่ก็มี

เคยมีลูกศิษย์ “เหรียญรุ่นแรก” มากราบหลังจากหายหน้าไปนาน เมื่อหลวงปู่ถามถึงการปฏิบัติจิตว่าเสื่อมหายไปหรือไม่ เพราะติดภาระครอบครัวไม่อาจนั่งภาวนาได้บ่อยครั้งเหมือนแต่ก่อน ลูกศิษย์ท่านนั้นตอบสมกับเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ว่า นามธรรมเสื่อมหายไม่ได้หรอก

แนวทางการอบรมภาวนากลุ่มเล็กเช่นนี้ หลวงปู่ท่านดำเนินตามรอยพระพุทธเจ้า ท่านว่า ครั้งพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนลูกศิษย์คราวละไม่กี่คน และให้นั่งภาวนาไปด้วย และก็ฟังเทศน์ไปด้วย ท่านบอกว่า มัวนั่งฟังเทศน์สวดมนต์จนปวดขา แล้วจึงมานั่งภาวนาก็พาลจะนั่งไม่ได้ บางคนเข้ามาถามคำถามเกี่ยวกับการภาวนา ท่านไม่ตอบ แต่ให้นั่งไปเลย และก็ได้เลย เลยไม่ต้องถามอีก ท่านเรียกลูกศิษย์เหล่านี้ว่า “ลูกศิษย์ลอยมา” ซึ่งส่วนใหญ่จะนั่งได้ มีลูกศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่เข้ามาฝึกอบรมกับหลวงปู่ท่าน สำหรับผู้ที่ตั้งใจจริงจังและไม่เคยไปฝึกภาวนาที่อื่นมาก่อนก็มักจะได้กันทุกคน พวกเราพึ่งตนเองได้ในการปฏิบัติ ส่วนจะก้าวไปไกลเพียงใดหรือทางใดก็แล้วแต่อุปนิสัยของเขาแต่ละคน

หลวงปู่ไม่ส่งเสริมให้ลูกศิษย์ “บวชก่อนได้” แม้กระทั่งลูกศิษย์ที่เป็นชาย ถ้าอยากบวชท่านก็จะฝึกหัดภาวนาให้มีพื้นฐานดีก่อนจึงให้บวช ส่วนลูกศิษย์ฝ่ายหญิงซึ่งมีมากกว่าฝ่ายชาย ท่านก็ให้ปฏิบัติภาวนาไปและใช้ชีวิตแบบปุถุชน อีกทั้งยังสอนให้นำหลักธรรมและความสงบซึ่งเป็นผลจากการภาวนาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันด้วย

ในช่วงจำพรรษาที่วัดอโศการาม และวัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน เมื่อเข้าสู่ช่วงออกพรรษา หลวงปู่ท่านมักจะไปเที่ยวธุดงค์กรรมฐานบริเวณป่าเขาภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคอีสาน จนมีความชำนาญภูมิประเทศของป่าเขาในประเทศไทยแทบทั้งหมด ยกเว้นภาคใต้เท่านั้นที่หลวงปู่ท่านไม่ค่อยได้ไป ดังนั้น เมื่อเดินทางไปตามจังหวัดต่างๆ ที่มีฎีกานิมนต์ไปแสดงธรรม แม้จะเป็นวัดที่ท่านไม่คุ้นเคย แต่ท่านมีแผนที่อยู่ในสมองของท่าน จึงไม่ค่อยพลาดเรื่องเส้นทางเดินทาง

หลังจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) มรณภาพลงในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ และเสร็จงานศพในราวเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้วหลวงปู่ท่านจึงได้เดินทางกลับไปจำพรรษา ณ วัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม จังหวัดขอนแก่น อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากพระพี่ชายของท่าน คือ พระครูศีลสารวิมล (ล้วน สีลราโม) อาพาธและได้ลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาส หลวงปู่ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม สืบต่อมา เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ขณะที่ท่านมีอายุได้ ๔๘ ปี

ลำดับสมณศักดิ์ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่ “พระครูวิเวกวัฒนาทร” เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ อายุ ๕๔ ปี ต่อมาเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา หลวงปู่ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ “พระโสภณวิสุทธิคุณ” ฝ่ายวิปัสสนาธุระ

ดังได้กล่าวถึงในตอนต้นแล้ว วัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม เดิมเป็นป่าช้าโคกเหล่างา ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม เดินทางจากจังหวัดอุบลราชธานีมาธุดงค์กรรมฐานที่โคกเหล่างา ด้วยเห็นว่าเป็นป่ารกชัฎมีต้นไม้ใหญ่นานาชนิดหนาแน่น มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากทั้งห่างไกลจากบ้านผู้คน ท่านจึงปักกลดบำเพ็ญภาวนา โดยต่อมาเมื่อมีลูกศิษย์ติดตามมาอีกหลายองค์ ท่านจึงได้สร้างเสนาสนะเป็นวัดป่าเหล่างา หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ในครั้งแรกชาวบ้านบางคนไม่พอใจเพราะหวงสถานที่ถึงขนาดลอบยิงหลวงปู่สิงห์ แต่ยิงไม่ออก

http://www.dhammajak.net/board/files/_10_565.jpg

ตรงข้ามกับวัดป่าวิเวกธรรมวิทยารามหรือวัดป่าเหล่างา เป็น โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ซึ่งจะมีคนไข้จากจังหวัดใกล้เคียงกับจังหวัดขอนแก่นเข้ารับการรักษา เมื่อเสียชีวิตลง หากญาติพี่น้องไม่สามารถนำศพกลับไปยังบ้านเกิดได้ ก็จะนำมาฝังในวัดแห่งนี้ บางครั้งศพมีจำนวนมาก การฝังก็ไม่เรียบร้อย สุนัขก็จะคุ้ยศพลากเศษอวัยวะออกมา หลวงปู่เล่าว่าบางครั้งพระลงศาลาฉัน สุนัขก็จะลากอวัยวะศพผ่านไปเป็นที่อุดจาดตา

ท่านจึงพยายามรวบรวมปัจจัยจากลูกศิษย์ลูกหาในกรุงเทพฯ ก่อสร้างเมรุเผาศพขึ้นมา ทำให้ปัญหาดังกล่าวลุล่วงไปได้ และบริเวณป่าช้าก็มีการใช้ประโยชน์น้อยลง พอดีกับวิทยาลัยเทคนิคขอนแก่นซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัด ขาดสถานที่ที่จะก่อสร้างสนามฟุตบอล จึงมาขอความเมตตาจากหลวงปู่ท่าน ซึ่งท่านก็เมตตาด้วยเห็นแก่เยาวชนซึ่งต้องการสถานที่ออกกำลังกาย ท่านบอกดีกว่าให้เขาไปติดยาเสพติด ดังนั้นในปัจจุบันมุมด้านตะวันออกของวัดมีสนามฟุตบอลอยู่ เด็กที่มาเล่นฟุตบอลส่วนใหญ่คงไม่ทราบว่าข้างใต้นั้นมีซากศพกองอยู่จำนวนมาก !!

หลวงปู่บุญเพ็งท่านเล่าว่า ท่านสร้างกุฏิหลังแรกด้วยองค์ท่านเอง และต่อมาท่านได้ดำเนินการสร้าง ศาลาขันตยาคมานุสรณ์ เพื่อเป็นสถานที่บำเพ็ญกุศลและปฏิบัติธรรม ซึ่งได้ใช้มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน รวมทั้ง ท่านยังได้รวบรวมปัจจัยเพื่อก่อสร้างอุโบสถขนาดเล็กเพียงพอต่อการใช้เป็นที่ประกอบพิธีสงฆ์ตามแบบสิมอีสานโบราณ นอกจากนั้นท่านสร้างรั้ววัดและอื่นๆ อีกมาก จนอาจกล่าวได้ว่าสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ปรากฏที่วัดป่าวิเวกธรรมวิทยารามในปัจจุบัน สำเร็จได้ด้วยบารมีของหลวงปู่ท่าน

อย่างไรก็ตาม หลวงปู่ไม่ได้มุ่งก่อสร้างถาวรวัตถุที่หรูหราเกินความจำเป็น หากแต่ยึดหลักความเรียบง่ายเหมาะแก่ประโยชน์ใช้สอย ดังนั้นแม้ว่าเมืองขอนแก่นจะเจริญเติบโตขึ้นจนเป็นเมืองล้อมวัด แต่เมื่อเข้าไปในวัดป่าวิเวกธรรมวิทยารามก็ยังคงมีบรรยากาศของวัดป่า ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างที่เรียบง่าย และมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมอยู่ทั่วไป

ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๒ ถาวรวัตถุในวัดเริ่มทรุดโทรมตามกาลเวลา และไม่เพียงพอต่อการใช้ประโยชน์ของสามเณรและลูกศิษย์ที่เพิ่มจำนวนขึ้นมาก หลวงปู่จึงได้เริ่มงานก่อสร้างซ่อมแซมถาวรวัตถุในวัดอีกครั้งหนึ่ง โดยเริ่มจากการก่อสร้างศาลาที่พักสำหรับลูกศิษย์จากกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งเดินทางมาปฏิบัติธรรม ต่อมาท่านได้สร้างหอไตร (ศาลากลางน้ำ) ซ่อมแซมอุโบสถ และซ่อมแซมศาลาขันตยาคมานุสรณ์ ซึ่งก็ค่อยทยอยสำเร็จลุล่วงไปด้วยบารมีและความเหนื่อยยากของหลวงปู่ท่าน

เหตุที่กล่าวว่า ด้วยความเหนื่อยยากของหลวงปู่ ก็เพราะท่านไม่ใช่พระที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และไม่ได้มีลูกศิษย์ลูกหาประเภทศรัทธาทำบุญมากนัก เพราะลูกศิษย์ของท่านเป็นบุคคลที่มีทุกข์จึงแสวงหาทางพ้นทุกข์โดยการฝึกภาวนา ดังนั้น จึงไม่มีกำลังที่จะถวายปัจจัยให้หลวงปู่ทีละล้านบาทหรือสิบล้านบาท ดังเช่นครูบาอาจารย์บางองค์ หลวงปู่จะสั่งวัสดุก่อสร้าง และจ้างแรงงานจากลูกศิษย์หรือใช้แรงพระเณรในวัด เมื่อมีผู้ศรัทธาทำบุญท่านก็ไม่เคยนำไปใช้จ่ายอะไร นอกจากเก็บเล็กผสมน้อยทยอยจ่ายค่าวัสดุ ค่าแรง ไปจนหมด แต่หลวงปู่ก็ไม่เคยเป็นหนี้ใคร ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกมาก

แม้จะเหนื่อยยากแต่หลวงปู่ท่านก็ไม่เคยหยุดการดำเนินการสร้างถาวรวัตถุเพื่อสืบทอดพุทธศาสนา จริงอยู่การภาวนาชำระจิตใจให้พ้นจากอาสวกิเลสเป็นหัวใจหรือแก่นของพระพุทธศาสนา แต่การสร้างทานบารมีและการรักษาศีลก็เป็นเปลือกของพระพุทธศาสนา ถ้าต้นไม้ปราศจากเปลือกมีแต่แก่น ก็ไม่อาจยั่งยืนเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขามาได้เกือบสามพันปีเช่นนี้

การที่หลวงปู่ท่านริเริ่มงานก่อสร้างถาวรวัตถุในทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ พระพุทธรูป กุฎิ เสนาสนะ หรือจัดให้มีงานพิธีต่างๆ ก็เพื่อเป็นโอกาสให้บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย และพุทธบริษัทโดยทั่วไปได้มีโอกาสสร้างทานบารมี และศีลบารมี เพื่อประโยชน์ในกาลข้างหน้า

ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่มักมีความรู้สึกจับใจยิ่งนักในการแสดงธรรมของท่าน หลายๆ ครั้งที่ท่านยกเวสสันดรชาดกมาอ้างอิงคำสอนของท่าน ในตอนที่มหาเวสสันดรเกลี้ยกล่อมพระกัณหา-ชาลี ให้เดินทางไปกับชูชก เพื่อเป็นการสร้างทานบารมี ในชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าพระศาสดาองค์เอกของเรา ว่า

“พระลูกเอ๋ย จงมาเป็นมหาสำเภาทองธรรมชาติ อันนายช่างชาญฉลาด จำลองทำด้วยกงแก้วประกำตรึงด้วยเพชรแน่นหนา ฝาระเบิดเปิดช่องน้ำ แก้วไพฑูรย์ กระทำเป็นลาโท โมราสลับ สลักกรอบลาย ลายดอกรัก นวรัตน์ฉลุฉลับเป็นรูปสัตว์ ภาพเพชรนิลแนมแกมหงส์ วิหคตระหนก ตะหนาบคาบลดารัตน์ มังกรกัดกอดแก้วเกี้ยวเป็นก้าน ขดดูสดใส ครั้นสำเร็จแล้วเมื่อใดพระบิดาก็จะทรงเครื่องต้น มงคลพิชัยสำหรับกษัตริย์ ดังจะเอาพระสมาบัติมากระหวัดทรงเป็นสร้อยสังวาลย์อยู่สรรพเสร็จ เอาพระขันตีต่างพระขรรค์เพชรอันคมกล้า สุนทรก็จะย่างเยื้องลงสู่ที่นั่งท้ายเภตราสูงระหง ปักธวนธงเศวตรฉัตร วายุวิเวกพัดอยู่เฉื่อยฉิว สำเภาทองก็จะล่องลิ่วไปตามลม สรรพสัตว์ก็จะชื่นชมโสมนัส ถึงจะเกิดลมกาลพาลระบือพัดคือโลโภ ถึงจะโตสักแสนโตตั้งตีเป็นลูกคลื่นประครืนโครมโถมกระแทก สำเภานี้ก็มิได้วอกแวกวาบหวั่นไหว ก็จะแล่นรี่ระเรื่อยเฉื่อยไปจนถึงเมืองแก้วอันกล่าวแล้วคือ เมืองอมตมหานครนฤพาน พระลูกเอ๋ยจงขึ้นมาช่วยพระบิดาให้เป็นบุตรทานในกาลครั้งเดียวนี้เถิด”

เราจึงอาจได้คิดว่า พระเวสสันดรท่านให้พระราชบุตร พระราชธิดา เป็นสำเภาทองนำท่านไปสู่แดนพระนิพพาน และก็สำเภาทองคือพระกัณหา-ชาลี ก็ได้ไปถึงแดนพระนิพพานในชาติต่อมาเช่นเดียวกัน

http://www.dhammajak.net/board/files/_11_483.jpg
พระโสภณวิสุทธิคุณ (หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก)

http://www.dhammajak.net/board/files/_3_949.jpg
พระโสภณวิสุทธิคุณ (หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก)


ในระยะเวลา ๒-๓ ปีที่ผ่านมา หลวงปู่ท่านได้ทำการก่อสร้างวิหารวัดป่ากู่ทอง ตำบลกู่ทอง อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งอยู่ห่างจากวัดป่าวิเวกธรรมวิทยารามไปประมาณ ๑๒ กิโลเมตร เป็นวิหารขนาดใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประกอบศาสนพิธีและอบรมภาวนา เช่นเดียวกับวิหารวัดอโศการาม เนื่องจากในปัจจุบันสถานที่ของวัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม แออัดและถูกเมืองล้อมไปหมด ในขณะที่สาธุชนก็หลั่งไหลมาอบรมภาวนากันมากขึ้นโดยตลอด หลวงปู่ท่านจึงสร้างสถานที่สำรองไว้ วัดป่ากู่ทองเป็นวัดเก่าโดยมีซากเจดีย์หรือกู่ทอง ซึ่งกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และอยู่ไม่ไกลจากบ้านบัวบาน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของหลวงปู่ท่าน การก่อสร้างวิหารนี้ใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ ๓๐ ล้านบาท ขณะนี้ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามวัด ได้กราบขอความเมตตาจากหลวงปู่ให้บริจาคเครื่องฟอกไต (ไตเทียม) พร้อมอุปกรณ์มูลค่าล้านบาทเศษ หลวงปู่ก็มีเมตตาให้บอกบุญไปยังเหล่าลูกศิษย์ลูกหาจัดผ้าป่าเครื่องล้างไต จนรวบรวมปัจจัยได้เพียงพอ และยังได้ตั้งกองทุนจัดซื้อน้ำยาสำหรับคนไข้อนาถาอีกด้วย เท่ากับการรวบรวมปัจจัยสร้างวิหารวัดกู่ทองต้องชะงักไป ๑ ปี

ลูกศิษย์บางคนเริ่มท้อแท้และสับสนโดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา เขาเห็นว่าน่าจะสร้างวิหารวัดกู่ทองให้เสร็จก่อนจึงดำเนินการการอื่น บางท่านรู้สึกคล้อยตามการวิจารณ์เหล่านั้นและรู้สึกเสียกำลังใจ แต่มานึกถึงคำกล่าวที่พระเวสสันดรทรงสอนพระกัณหา-ชาลี ซึ่งหลวงปู่ท่านยกมาพูดแล้วจึงเกิดความเข้าใจว่า นี่ท่านกำลังให้พวกเราสร้างสำเภาทองเพื่อเดินทางต่างคนต่างเป็นสำเภาทอง และเป็นผู้นั่งของกันและกัน ช่วยกันสร้างช่วยกันพายไปสู่จุดหมายคือ แดนอมตมหานครนฤพาน พอสร้างสำเภาทองในกรณีสร้างวิหารวัดกู่ทองนานเข้าพวกเราเริ่มยึดติดว่าเป็นสำเภาของเรา ก็เลยพาลจะยกสำเภาทองขึ้นแบกใส่ศรีษะเดินไป ท่านเลยให้เราหยุดลำนี้ไปก่อน แล้วไปเริ่มลำอื่นเพื่อให้คลายการยึดติดพาหนะในการเดินทาง เพื่อไม่ให้พวกเราลืมไปว่านี้เรากำลังสร้างทานบารมีอยู่เป็นการเสียสละ มิใช่พยายามสะสมเงินทองข้าวของแข่งกัน แม้ว่าสิ่งที่สร้างขึ้นมาจะเป็นประโยชน์ในทางโลกก็ดี ในทางการสืบทอดศาสนาก็ดี แต่นั่นก็ยังเป็นเพียงเรื่องภายนอกซึ่งไม่อาจช่วยให้พ้นไปจากการเวียนเกิดเวียนตายได้ นอกจากต้องบำเพ็ญภาวนาบารมีต่อไปเท่านั้น

เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว การร่วมแรง ร่วมใจ และร่วมปัจจัย ถวายหลวงปู่เพื่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ จึงไม่ได้มุ่งที่ความสำเร็จในการก่อสร้างถาวรวัตถุอีกต่อไป หากแต่มุ่งสะสมทานบารมีเพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้า หลวงปู่ท่านบอกว่าเหมือนปล่อยจรวดต้องมีเชื้อเพลิงไว้ให้พอ และในขณะเดียวกันก็ยังได้สะสางการยึดมั่นถือมั่นไปในตัวด้วย

ที่วัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม หลวงปู่ก็ยังคงอบรมภาวนาให้แก่พระเณรและบุคคลทั่วไปทุกค่ำคืน ตั้งแต่ ๒ ทุ่มถึง ๓ ทุ่ม และสนทนาตอบปัญหาจนถึงสี่ทุ่มเศษ กุฎิของหลวงปู่สร้างให้มีห้องโถงสำหรับการนี้โดยเฉพาะ ปัจจุบันแต่ละคืนจะมีคนมานั่งเต็มจนล้น ผิดกับเมื่อก่อน จะมีสาธุชนไปฝึกภาวนาอย่างมากก็ไม่เกิน ๑๐ คน ลูกศิษย์ของท่านมีความหลากหลาย ตั้งแต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักธุรกิจ นักการธนาคาร อาจารย์มหาวิทยาลัย คนทำงานหาเช้ากินค่ำ และคนไม่มีงานทำ มีอายุตั้งแต่ ๑๐ ขวบ ถึง ๗๐ ปี แต่หลวงปู่ให้ความสนใจลูกศิษย์เสมอกัน ใครภาวนาได้ดี และท่านสามารถช่วยให้ดียิ่งขึ้นได้ ท่านก็จะให้ความสนใจเป็นพิเศษ และในห้องภาวนาพวกเราไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ มีแต่ผู้ที่ภาวนาเก่งจะได้รับการยกย่องชมเชย ได้รับความสนใจจากผู้อื่นมากกว่า

คนที่ปวดขา เจ็บไข้ได้ป่วย หรือมีปัญหาบางประการ หลวงปู่ก็จะให้คนที่ภาวนาได้และใช้พลังจิตได้ดีช่วยเหลือกัน แต่พวกเราก็หลีกเลี่ยงที่จะไปแสดงภายนอกสถานที่ที่เรารวมตัวกัน หลวงปู่สอนให้พวกเรารู้จักใช้พลังจิตในการช่วยเหลือผู้อื่นได้ตามกาลโอกาสอันเหมาะสม บางคนอาจบอกว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง พวกเราแต่ละคนโดยเฉพาะพวกที่มีตำแหน่งหน้าที่การงาน และสถานภาพทางสังคมในระดับสูงก็จะอายไม่อยากให้ใครรับทราบ และเกรงว่าจะถูกรบกวนมาก ก็เลยไม่ค่อยยอมใช้ประโยชน์จากพลังจิต แต่หากมาไตร่ตรองดูจากการปฏิบัติของตนเอง ซึ่งการภาวนาเริ่มอยู่ตัวและจิตสามารถใช้งานได้แล้ว เมื่อนำมาใช้ในการดูพลังของพระเครื่องก็ดี รักษาโรคก็ดี การกำหนดรู้ในสิ่งต่างๆ ในปัจจุบัน อดีต และอนาคตก็ดี ก็เหมือนกับเป็นการฝึกฝนให้จิตมีความชำนาญในการเข้าการออก เพราะสภาวะที่ใช้งานจิตนั้นเป็นการกำหนดลงไปเลย ซึ่งยิ่งทำก็ยิ่งชำนาญ พอมาเดินจิตทางวิปัสสนาจึงเห็นคุณประโยชน์ของการที่หลวงปู่ท่านฝึกให้เรามีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ เพราะทำให้สามารถพิจารณาสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน และรวดเร็ว บางครั้งเมื่อรู้เห็นสิ่งต่างๆ แม้ด้วยอาการปกติไม่ต้องหลับตาก็สามารถกำหนดจิตรู้ความเป็นมาเป็นไปของสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และช่วยแก้ไขได้ทันท่วงที

ที่กุฏิกี ประยูรหงส์ วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ก็จะมีห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งหลวงปู่ใช้อบรมภาวนาในตอนเย็น แต่เวลาการอบรมที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ไม่แน่นอนเพราะอุปสรรคด้านการจราจร บางวันคนก็จะมากจนล้นห้อง แต่บางวันก็มีไม่มีคนมากนัก ในขณะนั่งภาวนา บางครั้งท่านก็เทศน์กำกับแต่บางครั้งก็ให้นั่งไปเลย แต่ท่านไม่เคยทิ้งพวกเรา แม้กระทั่งอาพาธท่านก็จะเอนกายเฝ้าพวกเราอยู่บนเก้าอี้ยาว พวกเราก็จะนั่งภาวนากันไป

โดยปกติทั่วไปหลังจากออกจากที่ภาวนาแล้ว หลวงปู่จะเปิดโอกาสให้พวกเราถามปัญหาในการปฏิบัติ หรือรายงานผลการนั่ง บางคนขี้อายไม่กล้าถามไม่กล้ารายงาน หลวงปู่ท่านก็จะชี้ถามตรงตัวไปเลย คนที่ไม่มีอะไรจะรายงานหลวงปู่ก็ไม่เคยถาม ถ้าท่านถามคนไหนแสดงว่าคนนั้นเริ่มจะนั่งภาวนาได้ผล และคนนั้นก็จะมีคำตอบให้ท่านได้ขยายความให้ความรู้ผู้อื่นต่อไปอีก

ในการสอนภาวนาของหลวงปู่นอกจากจะให้นั่งไปด้วยฟังการเทศน์กำกับไปด้วย ซึ่งต่างจากครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ที่จะให้นั่งเองหลังฟังเทศน์แล้ว แนวทางการตอบปัญหาแก้ไขการปฏิบัติภาวนาก็แตกต่างกันหลายประการ ตัวอย่างเช่น เรื่องนิมิต ใครนั่งภาวนาได้นิมิตอะไร หลวงปู่ก็จะไม่ชี้ผิด ท่านบอกว่า เหมือนคนนอนหลับแล้วฝัน ก็เขาฝันเห็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วเราจะไปว่าเขาฝันไม่จริงได้อย่างไร นิมิตจากการภาวนาของคนแต่ละคนก็จริงสำหรับบุคลนั้นเหมือนกัน เวลาพวกเรานิมิตเห็นสิ่งต่างๆ ได้ยินเสียงต่างๆ ได้กลิ่นต่างๆ หลวงปู่ท่านก็จะบอกว่า นั่น ! ดีแล้ว ! ท่านบอกว่าไม่ต้องกลัวติดนิมิต กลัวแต่ว่ามันจะไม่มีมาให้ติด ซึ่งก็เป็นอย่างที่ท่านว่า เพราะนานเข้าที่นิมิตมันก็ค่อยๆ หมดของมันไปเอง พร้อมกับจิตใจที่พัฒนาให้สงบมั่นคงเป็นสมาธิลึกไปตามลำดับ

ในเรื่องของการพิจารณาหรือการวิปัสสนาก็เช่นกัน หลวงปู่ท่านไม่ใช้หลักการวิปัสสนาก่อนที่จะให้จิตมีความสงบเต็มที่ ท่านจะฝึกให้พวกเราทำความสงบให้เกิดความคล่องตัว เกิดความชำนิชำนาญในการเข้าการออกเพื่อเป็นฐานของวิปัสสนา เมื่อลูกศิษย์คนใดเดินจิตให้เกิดความสงบจนชำนาญในการรู้ การเห็นแล้ว หากยังชื่นชมสุขสมอยู่กับความสงบนานจนเกินไป ท่านก็จะเตือนให้พาจิตทำงาน แต่แนววิปัสสนาที่หลวงปู่ท่านสอน ท่านไม่ให้พิจารณาไปตามกระแสธรรมที่เกิดจากการอ่านหรือการฟัง แต่ท่านให้ค้นไปในจิต หากิเลส หาอาสวะที่หมักดองอยู่ และชำระสะสางตามแต่ละคนไป โดยใช้ปัญญาในขั้นสูง ซึ่งถ้าจิตยังไม่มั่นคงแล้วก็ไม่อาจทำได้ง่ายๆ ถ้าฝืนทำไปก็อาจเป็นผลเสียได้

ในการอบรมภาวนาสำหรับฆราวาส หลวงปู่จะเน้นให้ดำเนินความสงบเพื่อความสุขสบายในความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน บางคนปวดศีรษะเนื่องจากความเครียด หรือไมเกรน บางคนวุ่นวายกับปัญหาเศรษฐกิจ บางคนวุ่นวายกับปัญหาส่วนตัว บางคนประสบปัญหาในการทำงาน บางคนถึงขนาดสติไม่ค่อยจะดี เมื่อมารับการอบรมภาวนาจากหลวงปู่ท่าน ปัญหาความวุ่นวายต่างๆ แม้ยังคงอยู่ แต่ด้วยจิตที่ได้รับความสุขสงบเข้าไปแทนที่ ท่านเหล่านั้นก็มีความพร้อมในการต่อสู้ และรับกับสภาพปัญหาได้ ศีรษะที่เคยปวด หนักทึบ ก็โล่งไปหมด และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น

ท่านไม่เคยบังคับให้ถือศีล นุ่งขาวห่มขาว หรือควบคุมกริยาความประพฤติต่างๆ แต่เมื่อจิตสู่ความสงบแล้ว ท่านเหล่านั้นก็เห็นผลเสียของการดำรงตนนอกกรอบศีลธรรมประเพณี และค่อยๆ ปรับปรุงตนเองไปทีละน้อย การตำหนิลงโทษผู้อื่นก็ค่อยลดน้อยลงไปเพราะท่านสอนให้ “โอปนยิโก” คือ น้อมเข้าหาตัว เมื่อเห็นกิเลส เห็นผิดของตนเอง เขาก็ค่อยปรับปรุงตนเองให้ถูกต้อง และเมื่อผู้อื่นทำผิดก็คิดได้ว่าเราก็เคยผิดเช่นนี้ ก็เลยให้อภัยกันไปได้ ศีลธรรม-เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็เกิดขึ้นไปโดยอัตโนมัติ เป็นศีลแท้และธรรมแท้ที่เกิดขึ้นในใจ

ท่านสอนให้พวกเราดำรงความสงบไปก่อน เพราะยังมีภาระในชีวิตประจำวัน มีภาระครอบครัว ท่านมักกล่าวทีเล่นทีจริงอยู่เสมอว่า อย่าให้สำเร็จเร็วนัก เดี๋ยวลูกเต้าก็จะร้องไห้ตามหากัน และท่านยังมุ่งให้พวกเราปฏิบัติอยู่ที่สำนักในใจ อย่าไปเที่ยวค้นหาสำนักตามป่า ตามเขา ตามถ้ำ เพราะถ้าใจสงบไม่ได้แล้ว จะไปยังสถานที่วิเวกเพียงใดก็ไม่เกิดประโยชน์ มิหนำซ้ำยังจะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เพราะพ่อบ้านแม่บ้านเอาแต่ไปตะลอนตามสำนักต่างๆ และทิ้งลูกหรือสามีภรรยาให้มีปัญหาอยู่ที่บ้าน และพอกลับถึงบ้านก็เกิดความรู้สึกว่าดีกว่าผู้อื่นเพราะไปปฏิบัติธรรมมา เลยเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน

ดังนั้น การอบรมภาวนาฆราวาสโดยทั่วไป ท่านจึงให้มาฝึกกับท่านวันละประมาณ ๑ ชั่วโมง เพียงไม่กี่ครั้ง เมื่อเข้าใจแล้วก็นำเทปกลับไปปฏิบัติเองต่อที่บ้าน และนานๆ ครั้งก็โทรศัพท์สอบถาม หรือเดินทางมาสอบถามรายงานความก้าวหน้าด้วยตัวเอง ซึ่งหลวงปู่ท่านก็จะเมตตาแก้ไขให้ทุกรายไป นี่คือเหตุที่หลวงปู่ท่านมีโทรศัพท์มือถือติดตัวและเปิดไว้เสมอ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติภาวนาหากแก้ไขไม่ได้ทันท่วงทีก็จะเกิดผลเสียหายได้ บางรายถึงกับเป็นบ้าไปก็มี แต่ลูกศิษย์ที่หลวงปู่สอนทุกคนไม่เคยปรากฏว่ามีใครเป็นบ้าเพราะการภาวนา เพราะท่านจะสอนดักไว้หมดแล้ว ความกลัวจึงไม่มี ความสับสนก็ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว และเกิดความมั่นใจในการก้าวเดินต่อไปตามแต่ความพร้อมของแต่ละคน

ในการอบรมหลวงปู่ท่านไม่เคยชี้นำพวกเราในด้านความรู้ความเห็นต่างๆ ลูกศิษย์หลายคนตั้งข้อสังเกตุว่า เวลาไปรายงานผลการภาวนากับหลวงปู่ท่าน และก็เตรียมจะไปถามท่าน แต่ระหว่างที่ถูกท่านซักถาม ลูกศิษย์เหล่านั้นก็สรุปคำตอบได้เองโดยไม่ต้องถามท่านอีก ท่านบอกว่า ธรรมะเป็น สันทิฎฐิโก คือ ผู้ปฏิบัติดีแล้วย่อมรู้เองเห็นเอง และเป็น ปัจจัตตัง คือ รู้เฉพาะตน พอนานเข้า พวกเราก็พึ่งตนเองได้ แก้ไขปัญหาให้ตนเองได้ สมดังพุทธภาษิตที่ว่า อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

ฉะนั้น พวกเราจึงยึดถือพระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกเป็นสรณะ ยึดถือพระธรรมคำสั่งสอนเป็นสรณะ และยึดถือพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ผู้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าและพระธรรมก็คือ เรานั่นเอง นี่เป็นแนวทางที่หลวงปู่ท่านอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ ดังนั้น ลูกศิษย์ประเภท “ลูกในไส้” ของท่านจึงมีลักษณะสงบ และมั่นใจในตนเองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนลูกศิษย์ประเภท “หลายสำนัก” นั้น จะไม่ขอสรุปรวมในที่นี้

ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แม้กระทั่งต่างประเทศ หลวงปู่ท่านก็เคยไปอบรมภาวนาหลายครั้ง เช่น ที่ประเทศออสเตรเลีย ท่านได้เดินทางไปอบรมภาวนาให้แก่ชาวออสเตรเลีย จนพบความสงบหลายคน ทั้งๆ ที่หลวงปู่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หลวงปู่บอกว่า ท่านใช้ภาษา “เยอรมัน” คือ ภาษาใครภาษามัน หรือก็คือภาษาจิต ซึ่งเป็นภาษาเดียวกันทั่วทั้งโลก

หลวงปู่เคยเดินทางไปอินเดียหลายครั้ง ท่านบอกว่า ท่านได้ธรรมะที่นั่น ท่านมักจะเล่าให้บรรดาลูกศิษย์ฟังเกี่ยวกับประโยชน์ของการเดินทางไปประเทศอินเดีย ท่านไม่ได้ไปดูตึกรามบ้านช่องเหมือนคนอื่นเขา หากแต่ไปดูความทุกข์แบบที่องค์พระบรมศาสดาเคยพบเห็นในครั้งพุทธกาล รวมทั้งปูชนียสถานที่เป็นเครื่องยืนยันความมีอยู่จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนี้ ท่านยังชี้ให้พวกเราเห็นด้านดีของความเป็นอยู่ของชาวอินเดียที่พวกเราไม่ค่อยมองเห็นกัน เช่น ท่านบอกว่า เวลาชาวบ้านที่นั่นมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันก็จะได้แต่ทะเลาะวิวาท แต่ไม่ชกต่อยทำร้ายร่างกายกันบ่อยนัก ทำให้สังคมที่มีคนจำนวนมากอยู่กันไปได้ อีกทั้งการกินอยู่ของชาวอินเดียวก็ไม่ฟุ่มเฟือยมากมาย โดยดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียงตามอัตภาพ

กลางปี พ.ศ. ๒๕๔๒ หลวงปู่ได้เดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๙-๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๒ โดยมีกิจนิมนต์ที่วัดเคลเลอร์หรือวัดพุทธรัตนาราม รัฐเทกซัส เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจหลัก คือ การฝังลูกนิมิต โบสถ์ที่สร้างเสร็จใหม่ของวัดนั้นแล้ว หลวงปู่ใช้เวลาว่างที่เหลืออบรมภาวนาให้ชาวไทยและชาวลาวที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น และก็มีญาติโยมได้ความสงบหลายคน ต่อจากรัฐเทกซัส หลวงปู่ได้เดินทางมายังรัฐลอสแองเจลิส และพำนักที่วัดภูริทัตตวนาราม ๓-๔ วัน และก็ได้พาให้ญาติโยมคนไทยฝึกภาวนาได้รับความสงบในเบื้องต้นหลายคน หลังจากกลับถึงประเทศไทยหลวงปู่ท่านได้เมตตาให้ส่งเทปและหนังสือไปให้ลูกศิษย์ที่สหรัฐอเมริกาอยู่เสมอ และหลายท่านภาวนาได้ดีขึ้นตามลำดับ และได้โทรศัพท์มารายงานความก้าวหน้าและสอบถามปัญหาในการปฏิบัติโดยตลอด และต่อมาคณะศิษย์ที่สหรัฐอเมริกาก็เตรียมนิมนต์ท่านไปอบรมภาวนาตามรัฐต่างๆ ๔-๕ แห่ง ซึ่งท่านคงจะเดินทางไปพำนักที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหลายเดือนเพื่ออบรมสั่งสอนพุทธบริษัทที่นั้น

ในด้านธาตุขันธุ์ของท่านโดยทั่วไป หลวงปู่ท่านมีสุขภาพแข็งแรง หลวงปู่เคยอาพาธหนักเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ๒-๓ ครั้ง ตั้งแต่สมัยที่ท่านอยู่ที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ท่านเคยเป็นวัณโรคปอด และรับการรักษาจนหายดีแล้ว ท่านจึงเลิกสูบบุหรี่ และลองฉันหมากแทน เมื่อช่วงก่อนเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา ท่านก็หยุดฉันหมากไปหลายเดือน ทำให้ลูกศิษย์ที่เคยเจียนหมากจีบพลูถวายเหงาไปตามกัน ช่วงปลายปีพุทธศักราช ๒๕๔๑ หลวงปู่มีอาการเวียนศีรษะและปวดศีรษะอยู่บ่อยๆ พวกเรานิมนต์ท่านเข้ารับการตรวจร่างกาย และพบว่าความดันโลหิตสูง ต่อมาก็พบอีกว่า คลอเรสเตอรอลค่อนข้างสูง และบางครั้งก็มีน้ำตาลในเลือดสูง แพทย์ขอให้ท่านงดอาหารรสเค็ม อาหารจากเนื้อสัตว์ งดน้ำหวาน แต่ในทางปฏิบัติก็ยากที่จะทำเช่นนั้นได้เพราะท่านฉันอาหารที่รับบิณฑบาต และมีผู้ถวายมาซึ่งไม่อาจเลือกได้ ลูกศิษย์ ญาติโยมบางคนนำมาถวายแล้วยังนั่งจ้องดูอีกว่าท่านฉันหรือเปล่า ท่านก็ฉันให้ด้วยความเมตตา ตอนเย็นแต่ละวันจะมีน้ำหวาน น้ำอัดลมกระป๋องวางเต็มโต๊ะหน้าที่นั่งของท่าน ท่านก็ต้องจิบให้คนละเล็กละน้อย จึงเป็นการยากที่จะให้ท่านควบคุมอาหาร

ด้วยวัยที่มีอายุมากแล้ว การที่หลวงปู่นอนคืนละ ๒-๓ ชั่วโมง ทำให้ช่วงเวลากลางวันท่านต้องการการพักผ่อนเอนกายบ้าง บางวันท่านเดินทางจากกุฎิด้วยกิจนิมนต์ตั้งแต่ ๖ โมงเช้า และไปนั่งอยู่กับที่เพื่อเจริญพุทธมนต์และภัตตกิจรวมประมาณ ๕ ชั่วโมง พอกลับมาถึงกุฎิตอนบ่ายก็มีญาติโยม ลูกศิษย์ มารอท่าน ซึ่งท่านจะไม่เคยไล่ ท่านจะพูดคุยตอบคำถามไปจนเป็นที่พอใจ บางคนพูดคุยซักถามท่านอยู่ ๒-๓ ชั่วโมง พอถึงตอนเย็นลูกศิษย์ภาวนาก็ทะยอยกันมา ท่านก็ไม่มีเวลาพักผ่อนเอนกายเลยตลอดทั้งวัน กว่าจะได้หลับและหลับได้ก็ตี ๑ ตี ๒ เป็นเช่นนี้แทบทุกวันโดยท่านยังไม่ยอมให้จำกัดเวลาในการเข้าพบ พวกเราก็ได้แต่เฝ้าดูด้วยความเป็นห่วงธาตุขันธ์ของท่าน และอำนวยความสะดวกในการดำรงขันธ์และการปฏิบัติศาสนกิจของท่านตามที่จะสามารถทำได้ เพื่อจะให้ท่านได้อบรมสั่งสอนสาธุชนในการภาวนาไปได้มากที่สุด แม้พวกเราจะทราบดีก็ตาม สักวันหนึ่งหลวงปู่ก็จะต้องจากพวกเราไป และท่านก็ได้ปรารภเตือนในเรื่องนี้อยู่เสมอ เพื่อไม่ให้พวกเราตั้งในความประมาท

หลวงปู่จะให้ความสนใจข่าวสารบ้านเมืองมาก ท่านรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนักการเมืองและบุคคลสำคัญต่างๆ และท่านก็นำหัวข้อข่าวที่เป็นที่สนใจของสังคมในขณะนั้น มาเป็นข้อต้นในการแสดงธรรมได้อย่างเหมาะเจาะ ที่วัดที่ขอนแก่นหลวงปู่จะดูข่าวทางโทรทัศน์ และที่กุฎิวัดพระศรีมหาธาตุฯ ท่านจะอ่านหนังสือพิมพ์ นี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ท่านมีความเข้าใจกิเลสของคนได้อย่างลึกซึ้ง และแก้ปัญหาให้ญาติโยมที่เข้ามาปรึกษาท่านได้เสมอ

หลวงปู่สอนว่า อย่าตำหนิกิเลส เพราะมีกิเลสเราจึงได้เกิดเป็นคน อยากทำบุญ อยากได้บุญ อยากรักษาศีล อยากภาวนา อยากพ้นทุกข์ อย่าคิดว่าจะทำลายกิเลสได้ เพราะกิเลสเป็นของประจำโลก ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่ทำลายกิเลส แต่ท่านใช้วิธีหนีโลก หนีกิเลส ดังนั้น คนที่มีกิเลสหนา คนที่ฟุ้งซ่านวุ่นวาย คนที่ไม่มีความรู้ในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงมีสิทธิ์เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้อย่างเต็มที่ ท่านว่าถ้าไม่มีกิเลสก็ไม่ต้องมาหาท่าน ถ้าไม่วุ่นวาย ไม่ฟุ้งซ่านก็ไม่ต้องมาหาท่าน ถ้ารู้ดีแล้วก็ไม่ต้องมาปฏิบัติให้เสียเวลาอีก นี่คือหลวงปู่ ผู้ซึ่งไม่เคยปิดกั้นโอกาสในการปฏิบัติธรรมของผู้ใดเลย ท่านยกตัวอย่างพระสาวกในครั้งพุทธกาลว่ามีใครบ้างที่ดีมาก่อนที่จะมาพบพระพุทธเจ้า ส่วนใหญ่ก็มากับกิเลส มากับความวุ่นวาย มากับความรำคาญ มากับโมหะจริต ทั้งสิ้น พวกเราที่เป็นลูกศิษย์ก็ได้แต่ซึมซับน้อมนำเอาแนวทางของหลวงปู่ท่านไปใช้ในชีวิตประจำวัน คือ ให้โอกาสผู้อื่น และเชื่อว่าคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงจากไม่ดีเป็นดีได้

หลวงปู่ยังสอนให้พวกเรามีเมตตาสงสารสงเคราะห์ผู้ที่ยากไร้ เวลาท่านรับบิณฑบาตอาหารแห้งและเครื่องอุปโภคบริโภค นอกจากท่านจะให้นำไปทานตามสถานสงเคราะห์ต่างๆ แล้ว ท่านยังให้นำไปสงเคราะห์นักโทษที่เรือนจำอีกด้วย เวลาแม่ค้าขายของไม่ได้ ท่านก็จะเมตตาช่วยซื้อจำนวนมาก เวลานั่งรถไปตามท้องถนนท่านก็จะชี้ให้เห็นความทุกข์ยากของตำรวจซึ่งต้องยืนตากแดดตากฝน และคอยเตือนไม่ให้พวกเราทำผิดกฎจราจร หรือทำผิดแล้วก็ให้ยอมรับผิดและรับการลงโทษ เพื่อไม่ให้สร้างปัญหาหนักใจแก่ตำรวจ บางครั้งท่านก็จะแจกวัตถุมงคลให้ตำรวจเป็นกรณีพิเศษ แต่ละวันจะมีคนที่ไม่มีค่าโดยสารรถกลับบ้าน พ่อค้า แม่ขาย เข้ามาขอรับความเมตตาจากท่านจำนวนมาก ซึ่งท่านก็จะให้ความเมตตาอยู่เสมอ การได้อยู่รับใช้หลวงปู่และได้เห็นความเมตตาของท่านทำให้พวกเราเริ่มมองเห็นและเข้าใจความทุกข์ยากลำบากของผู้อื่น และ “ติดดิน” โดยไม่รู้ตัว

การเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ สำหรับหลายๆ คนจึงเป็นการเปลี่ยนชีวิตใหม่อย่างสิ้นเชิง ด้วยความยินยอมพร้อมใจ และโดยอัตโนมัติ ดังนั้น การได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ นอกจากจะทำให้พวกเราเข้าใจธรรมะคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาที่ตรงแท้แน่นอนแล้ว ยังทำให้เราสิ้นสงสัยในคำสรรเสริญองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพ๎รัห๎มะกัง,
สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง อะภิญญา สัจฉิกัต๎วา ปะเวเทสิ

ทรงสอนโลกนี้พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม และหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม”

ก็จะสงสัยได้อย่างไรเล่า ในเมื่อแม้สงฆ์สาวกที่เกิดขึ้นตามหลังถึงเกือบสามพันปี เช่น พระอาจารย์หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก ก็ยังเจริญรอยตามองค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้โดยไม่ผิดเพี้ยนเช่นนี้

sa99 โพสต์ 2014-12-24 14:42:44

สาธุขอบคุณครับ

Meeboon592 โพสต์ 2015-2-1 20:14:41

ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูล ขอบคุณสำหรับรูปพระอริยสงฆ์ทุกรูป
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก