วิชาสมาธิยุคโลกาภิวัตน์
วันนี้ ขอคัดลอกบทความนี้จากนสพ.เดลินิวส์ มาที ฉบับวันจันทร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ หน้ ๓ หรือทางเว็บไซ้ต์ ที่ http://www.dailynews.co.th/article/7/134839 http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201207/09/4374887f7.jpg
วิชาสมาธิยุคโลกาภิวัตน์วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2555 เวลา 00:00 น. หลวงพ่อวิริยังค์หรือพระธรรมมงคลญาณ เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล ซอยสุขุมวิท 101 (ปุณณวิถี) นั้น อายุท่าน 93 ปีแล้ว แต่ท่านเป็นพระทันสมัย ใจดี พูดจาไพเราะ มากด้วยเมตตา และยังกระฉับกระเฉงสุขภาพดี สอนวิชาสมาธิได้ทุกวัน เดินทางไปนอกได้โดยลำพัง ยืนบรรยายได้เป็นชั่วโมง เสียงไม่ขาดหายเลย
หลายคนอาจนึกว่าพระรูปนี้ชื่อเหมือนวัด ก็ใช่อยู่หรอกเพราะท่านเป็นคนสร้างวัดธรรมมงคลขึ้นเมื่อราว 50 ปีก่อน บริเวณแถวนั้นเดิมเป็นป่ารกชัฏด้วยต้นสะแก งูเงี้ยวเขี้ยวขอเต็มไปหมด เมื่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ครั้งหลังสุดได้เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมมงคลญาณ คำว่า “ญาณ” บอกให้รู้ว่าเป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ ชื่อเดิมของท่านคือ “วิริยังค์” แปลว่าองค์คุณแห่งความวิริยะพากเพียร โยมพ่อท่านเป็นคนตั้ง องค์คุณนี้เป็นอย่างเดียวกับที่พระมหาชนกมีจึงได้แหวกว่ายอยู่ในมหาสาครไม่รู้จักยอมแพ้นั่นแหละ ไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้วจะตั้งชื่อลูกได้เก๋ไก๋ขนาดนี้ เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้ฉายาว่า “สิรินธโร” แปลว่าผู้ทรงไว้ซึ่งความดีหรือสิริ ฉายานี้ตรงกับพระนามของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรฯ
ท่านมีอายุได้ 93 และมีพรรษา 70 เศษแล้ว ถ้าว่าโดยธรรมเนียมก็ควรจะเป็นหลวงปู่ อย่างน้อยก็ระดับหลวงตา แต่ไม่มีใครเรียกท่านอย่างอื่นนอกจากหลวงพ่อ ฝรั่งก็เรียก “ลวงพอ” ท่านเองก็เรียกตัวเองว่าหลวงพ่อ ไม่ใช่เพราะไม่อยากแก่แต่เพราะท่านเป็น “หลวงพ่อ” ของชาวบ้านมาตั้งแต่อายุ 30-40 ปี จึงติดปากอยู่อย่างนั้นไม่มีเหตุจะเลื่อนฐานะเป็นหลวงอา หลวงน้า หลวงตา หลวงปู่
หลวงพ่อเรียนหนังสือจบชั้นประถม โยมพ่อโยมแม่จะให้เรียนต่อให้สูงขึ้นเพราะท่านเป็นคนหัวดี ครอบครัวก็พอจะส่งเสียได้ แต่คนจะมีวาสนาทางธรรมเสียอย่าง ท่านหลบหนีไปเข้าวัดเข้าวาจนได้บวชเป็นเณรและได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้พบพระอาจารย์กงมา และหลวงปู่ฝั้น แต่โอกาสทองในชีวิตคือการได้เป็นศิษย์อุปัฏฐากของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บุพพาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานแห่งภาคอีสานอยู่หลายปี ช่วงเวลานั้นเองที่หลวงปู่มั่นพยากรณ์ว่าในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของท่าน วิริยังค์น่าจะเข้าไปเผยแผ่ธรรมะในกรุงได้ดีที่สุดรูปหนึ่ง ท่านใช้คำว่า “ไก่ป่าตัวนี้ควรไปเป็นไก่บ้านได้เน้อ”
หลวงปู่มั่นจะดูจากอนาคตังสญาณของท่านหรือจะดูจากอุปนิสัยของศิษย์ก็ตาม แต่คำพยากรณ์ถูกเผง เพราะหลวงพ่อวิริยังค์เป็นผู้ตั้งมั่นในทานโดยเฉพาะธรรมทานและวิทยาทาน มีปิยวาจาคือการพูดจาไพเราะ ชักชวนให้ผู้ฟังเลื่อมใสศรัทธา รู้สึกขำ สนุก ปีติ ไม่เครียด มีอัตถจริยาคือการประพฤติปฏิบัติตัวดีด้วยเมตตาธรรม ทำอย่างที่สอน สอนอย่างที่ทำ และมีสมานัตตตาคือการวางตนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าท่านจะเป็นพระครูหรือเจ้าคุณชั้นสามัญ ชั้นราช ชั้นเทพ หรือชั้นธรรม ไม่ว่าศิษย์จะเป็นยาจกเข็ญใจหรือคนดังหรืออินเดียนแดงหรือเศรษฐีน้ำมันชาวต่างประเทศ ท่านก็ยังเป็นหลวงพ่ออยู่อย่างนั้นเอง รวมแล้วคือมีมนุษยสัมพันธ์และศีลาจารวัตรงดงามจึงเข้าได้ทั้งกับชาวบ้านและชาวกรุง
เพราะเหตุฉะนี้ท่านจึงเดินทางเข้ากรุงด้วยมือเปล่าจนมาปักกลดสร้างวัดได้เป็นสิบๆ วัด ที่วัดธรรมมงคลท่านได้สร้างพระมหาเจดีย์สูงใหญ่ สร้างพระหยกเขียวองค์ใหญ่ สร้างสถาบันพลังจิตตานุภาพ ท่านไปแคนาดาก็สร้างวัดไทยไว้เกือบสิบแห่ง เมื่ออายุ 80 ปีท่านเริ่มเรียนภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกจนสามารถสอนสมาธิให้ฝรั่ง และเทศน์เป็นภาษาอังกฤษนานเป็นชั่วโมงได้ อายุ 85 ปีท่านเริ่มเรียนคอมพิวเตอร์เอาไว้ตอบปัญหาธรรมะที่ฝรั่งส่งอีเมลเข้ามาถามได้ นี่แหละตัวอย่างของความวิริยะพยายาม จนถึงเวลานี้ก็ยังยืนหยัดสอน (ยืนจริงๆ) วิชาสมาธิแก่ศิษย์ที่วัดธรรมมงคลระดับรัฐมนตรี นักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ผู้พิพากษา อัยการ ปลัดกระทรวง ดร. อธิการบดี เศรษฐี นักธุรกิจจนถึงเด็กหนุ่มเด็กสาวราว 2,000 คนได้ทุกวัน จบแล้วตอบปัญหาธรรมะ ตามด้วยนำเดินจงกรม 30 นาทีและนั่งสมาธิ 30 นาทีทุกวันอย่างไม่รู้เบื่อรู้หน่าย!
หลวงพ่อไม่ใช่พระประเภทรดน้ำมนต์พ่นน้ำหมาก ท่านไม่มีชื่อเสียงด้านใบ้หวยหรือเป็นเกจิ ของดีของท่านคือธรรมะและวิชาสมาธิ ไม่ใช่สมาธิแบบถอดจิตไปเฝ้าพระอินทร์ ไปดูยมโลก หรือระลึกชาติ แต่เป็นสมาธิแบบสร้างพลังจิตให้แข็งแกร่งเพื่อให้จิตสงบ มีสติ และเกิดปัญญา ต่อจากนั้นใครจะนำพลังจิตไปช่วยการเรียน ช่วยให้ไม่เป็นอัลไซเมอร์ ช่วยรักษาโรคบางอย่างหรือระงับทุกขเวทนาจากอาการเจ็บป่วย ช่วยแก้ความเครียด ช่วยแก้ปัญหาธุรกิจ ปัญหาครอบครัวหรือการเมือง ช่วยสร้างสันติภาพในโลก หรือจะช่วยสร้างความปรองดองก็แล้วแต่!
เป็นที่น่ายินดีว่าหนุ่มสาวทุกวันนี้หันมาสนใจวิชาสมาธิกันมาก มีการเปิดสอนตามสถานที่ราชการ บริษัทห้างร้านจนถึงในโรงพยาบาลแพร่หลาย สมาธิไม่ใช่ไสยศาสตร์แต่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ถ้ากายต้องการการพักผ่อน จิตก็ต้องการการพักเหมือนกัน คงเหมือนชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือนั่นแหละ เคยไหมล่ะพูดๆ อยู่ดีๆ แบตหมด! อับสัญญาณ! ระวังชีวิตจะเจอเข้าแบบนั้นบ้าง แต่พระที่สอนวิชาสมาธิแบบเป็นกันเองจนทำให้คนฟังอมยิ้มไป หัวเราะไปอย่างสนุกสนานโดยที่คนสอนไม่ได้ตลกโปกฮา ทั้งยังมีเกร็ดสนุกๆ คติแปลกๆ สมัยที่ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น หรือได้เฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์หรือไปผจญภัยในแคนาดามาเล่าให้ฟัง แนะทั้งทฤษฎีและปฏิบัติในการเดินจงกรม การทำสมาธิ ตลอดจนเล่าประสบการณ์สมาธิที่ทำมาเองร่วม 70 ปี คงมีอยู่ไม่กี่รูป ที่น่าสนใจคือท่านทำให้คนฟังรู้สึกได้ว่าวิชาสมาธิทำได้โดยไม่ยุ่งยากไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด จะใช้ถ้อยคำใดมาบริกรรม จะนั่งในท่าทางใด แต่งกายอย่างไร หรือจะกำหนดจิตเอาไว้ที่ไหน
ท่านไม่ทำให้ญาติโยมรู้สึกว่าฝรั่งกับไทยอยู่คนละโลก พระบ้านกับพระป่าอยู่กันคนละฝ่าย ธรรมยุตกับมหานิกายอยู่กันคนละพวก เหลืองกับแดงอยู่กันคนละสี พุทธคริสต์อิสลามอยู่กันคนละขั้ว ทุกคนสร้างพลังจิตได้แล้วเอาไปใช้ในโลก ในพวก ในฝ่ายตามสีและตามขั้วของตนเอาเองก็แล้วกัน ทรัพย์นี้อยู่ใกล้ ใครปัญญาไวหาได้บ่นาน
อย่างนี้กระมังที่เป็นการปรองดองโดยแท้แบบอกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัจตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ!.
หน้า:
[1]