moo2010 โพสต์ 2012-7-12 20:34:52

"ตำนาน" เทพและสัตว์ในตำนาน " จีน "

http://board.postjung.com/image/hline.png
"ตำนาน" เทพและสัตว์ในตำนาน " จีน "
http://sv7.postjung.com/pic-tem/icon-viewfav.pnghttp://sv7.postjung.com/pic-tem/icon-add2fav.pngShare58

ปิศาจญี่ปุ่นเราก็ดูมาแล้วมาดูปิศาจหรือสัตว์ในตำนานของจีน กันบ้างดีกว่า
คราวหน้าจะรวบรวมปิศาจไทยมาด้วย แต่หารูปได้น้อยมาก ปีศาจไทย แปลกๆก็มีเยอะนะ ขอบอก
ปะ ไปเมืองจีนกันครัฟ


ตำนานปีศาจ “เหนียน” / “年” 兽的传说
http://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-0.jpg

เล่ากันมาว่า ประเทศจีนในสมัยโบราณมีปีศาจตนหนึ่ง นามว่า “เหนียน” หัวมีขนรุงรัง ดุร้ายเป็นอย่างมาก “เหนียน”
อาศัยในทะเลลึกเป็นเวลายาวนาน ทุกปีพอถึงวันสิ้นปีก็จะปีนขึ้นฝั่ง มาทำร้ายผู้คนและสัตว์เลี้ยง ดังนั้นทุกปีพอถึงวันสิ้นปี
ผู้คนในหมู่บ้านบนภูเขาต่างก็อุ้มลูกจูงหลานเข้าไปในหุบเขาลึก เพื่อซ่อนตัวไม่ให้ปีศาจ “เหนียน”มาทำร้าย

วันสิ้นปีในปีนี้ คนในหมู่บ้าเถาชุนกำลังพากันหอบลูกจูงหลานไปหลบภัยบนภูเขา มีชายแก่ขอทานคนหนึ่งมาจากนอกหมู่บ้าน
แขนสะพายกระเป๋า เคราขาวปลิวตามลม ตาเป็นประกาย บรรดาพี่น้องในหมู่บ้านเดียวกันล้วนปิดบ้านแน่นหนา บ้างเก็บข้าวของ
บ้างต้อนวัวไล่แพะ ทั่วทุกแห่งสับสนอลหม่าน ทุกคนต่างตกอยู่ในภาวะรีบร้อนหวาดกลัว ในเวลานี้
ใครจะมีกะจิตกะใจมาสนใจชายแก่ขอทานล่ะ

มีเพียงยายแก่ที่อยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้านให้อาหารแก่ชายแก่ อีกทั้งแนะนำให้เขารีบขึ้นเขาไปซ่อนตัวจากปีศาจ “เหนียน”
ชายแก่ลูบเคราแล้วยิ้ม กล่าวว่า “ หากแม้นว่าท่านให้ข้าพักที่นี่หนึ่งคืน ข้าจะขับไล่ปีศาจเหนียนให้ท่าน ”
ยายแก่มองเขาอย่างตกตะลึง เห็นเขาผมขาวหน้าแดงมีเลือดฝาด จิตใจกระปรี้กระเปร่า มีน้ำใจสูงส่ง
แต่ยายแก่ก็ยังคงแนะให้เขาหลบหนีต่อไป ชายแก่ขอทานยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร ยายแก่ไม่มีทางเลือก จำต้องทิ้งบ้านขึ้นเขาไปหลบภัย
พอถึงเที่ยงคืน ปีศาจเหนียนก็ตรงดิ่งมายังหมู่บ้าน มันพบว่าบรรยากาศในหมู่บ้านไม่เหมือนกับทุกปี
บ้านของยายทางด้านตะวันออก บนประตูแปะกระดาษสีแดง ในบ้านจุดเทียนสว่างไสว ปีศาจเหนียนตัวสั่นเทาไปหมดทั้งร่าง
ส่งเสียงร้องออกมาทีหนึ่ง ปีศาจเหนียนหันไปจ้องเขม็งยังบ้านของยายแก่ชั่วครู่ ทันใดนั้นมันก็วิ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
พอเข้าไปใกล้ประตู ภายในบ้านก็มีเสียงประทัดดัง “ปัง ปัง” ขึ้นมา ปีศาจเหนียนตัวสั่นเทิ้ม ไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก
แท้จริงแล้ว ปีศาจเหนียนกลัวสีแดง แสงไฟ และเสียงประทัดที่สุด เวลานั้นเองประตูบ้านของยายแก่ก็เปิดออก
มีเพียงชายชราที่ใส่ชุดยาวสีแดงยืนหัวเราะเสียงดังอยู่ เจ้าเหนียนหน้าถอดสี แล้ววิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไป
http://2.bp.blogspot.com/_db6znip3RMM/S3J4A8E-5QI/AAAAAAAALsE/h8-rXbqq6xM/s1600/S0D20090115215645MT2
เช้าวันที่สองในวันปีใหม่ ผู้คนที่ไปหลบภัยกลับมาเห็นหมู่บ้านตนสงบสุขก็ตกตะลึง เวลานั้นยายแก่ก็รีบอธิบายกับพวกผู้คนในหมู่บ้าน
ว่านี่เป็นคำสัญญาของชายแก่ขอทาน พวกชาวบ้านพร้อมใจกันมุ่งหน้าไปบ้านยายแก่ พบเพียงกระดาษสีแดงที่แปะอยู่หน้าประตูบ้านของยายแก่
ภายในสวนมีไม้ไผ่กองหนึ่งที่ยังเผาไหม้ไม่หมดยังคงส่งเสียงระเบิดเป๊าะแป๊ะ ภายในบ้านยังมีเทียนสีแดงที่ยังคงมีแสงสว่างเหลืออยู่......

พวกชาวบ้านดีใจเป็นล้นพ้น เฉลิมฉลองความเป็นศิริมงคลที่มาถึง ค่อยๆเปลี่ยนชุดใหม่เปลี่ยนหมวกใหม่
ไปบ้านเพื่อนเยียมทเยียนญาติสนิทมิตรสหาย เรื่องนี้แพร่ออกไปรอบหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนแต่ทราบวิธีการขับไล่ปีศาจเหนียน
ตั้งแต่นั้นมาในคืนวันสิ้นปี ทุกบ้านก็จะแปะคำโคลงคู่สีแดง จุดประทัดเสียงดัง แต่ละบ้านจุดไฟสว่างไสว
เฝ้ารอเวลาให้ถึงวันปีใหม่ พอเช้าวันปีใหม่ ก็ไปพากันแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนเพื่อสนิทมิตรสหาย
ประเพณีนี้นี้แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง กลายเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของประชาชนชาวจีน
http://2.bp.blogspot.com/_db6znip3RMM/S3J6us1TSNI/AAAAAAAALsc/JbEGkF6Pp00/s1600/chinese-nian-monster


สิงโตมงคลคู่บารมี
http://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-1.jpg
สิงโตเป็นสัตว์มงคลที่มีลักษณะแห่งความเป็นเจ้า โดยสามารถใช้สิงโตเพื่อสลายพลังปราณชี่พิฆาตต่างๆ และช่วยเรียกโชคลาภได้ แต่เนื่องจากสิงโตมีพลังมากจึงไม่เหมาะที่จะใช้กับบ้านอยู่อาศัยทั่วไป แต่เหมาะที่จะใช้สำหรับห้างร้าน บริษัท หรือสถานที่ราชการ
ตามตำนานโบราณเล่าว่า สิงโตตัวที่อยู่ตำแหน่งเสือขาว (หันหน้าออกด้านขวามือ) มีบรรดาศักดิ์เป็น "เส้าเป่า"
ฃเป็นสิงโตเพศเมีย มีหน้าที่เป็นราชองครักษ์ให้กับเจ้าชายของราชวงศ์

    สิงโตตัวที่อยู่ตำแหน่งมังกรเขียว (หันหน้าออกทางซ้ายมือ) มีบรรดาศักดิ์เป็น "ไท่ซือ" เป็นสิงโตเพศผู้
ฃมีหน้าที่เป็นราชองครักษ์ของกษัตริย์ หรือ ฮ่องเต้ ดังนั้นแม้แต่เชื้อพระวงศ์ หรือ บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยังต้องให้ความเกรงใจและเกรงกลัว

    การวางรูปปั้นสิงโตจะต้องวางเป็นคู่ โดยวางสิงโตเพศผู้ไว้ทางซ้าย และเพศเมียไว้ทางขวาที่บริเวณหน้าประตูของสถานที่นั้นๆ
ให้หันหน้าออกไปทางด้านหน้า วิธีสังเกตุเพศของสิงโตคือ สิงโตเพศผู้ เท้าหน้าจะเหยียบลูกบอล และสิงโตเพศเมีย เท้าหน้าจะเหยียบลูก
   คนจีนเรียกสิงโตว่า ซือจือ คำแรกในชื่อของสิงโตนี้ปรากฏว่าไปพ้องเสียงกับคำว่า ซือ ที่ประกอบอยู่ในคำว่า ไทซือ อันแปลว่า มหาเสนาบดี
ในสมัยราชวงศ์โจ้วนั้น ตำแหน่งไทซือ เป็นตำแหน่งที่ขุนนางชั้นสูงสุด เมื่อคนจีนจะอวยพรกันให้เป็นใหญ่เป็นโต หรือได้ดีในทางราชการ จึงนำ
สิงโตมาใช้เป็นสัญลักษณ์ คำอวยพรหนึ่งที่ชอบกันมาก คือไท่ซือเส้าซือ แปลว่าขอให้เป็นใหญ่ทั้งบิดา และบุตร
นอกจากนี้สิงโตจะเป็นเครื่องหมายของความรุ่งเรืองและความมียศถาบรรดาศักดิ์ยังมีอำนาจขจัดปีศาจและสิ่งชั่วร้าย ทั้งยังช่วยให้มีฐานะ
ฃ และชื่อเสียงสิงห์คู่ช่วยป้องกันสิ่งเลวร้ายที่เข้ามาสู่ภายในบ้าน จะช่วยคุ้มครองให้ร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากการรบกวนของภูตผีปีศาจ
คุณไสยมนต์ดำและคนพาล และจะช่วยหนุนส่งวาสนาให้รุ่งเรืองขึ้นด้วย เพิ่มพลังอำนาจให้แก่บ้าน


กิเลน
http://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-2.gif
ตามตำนานของจีน

ถ้าเป็นตัวผู้เรียกว่า "กี" ถ้าเป็นตัวเมียเรียกว่า "เลน" หรือ "กิเลน" กิเลน ตามตำนานจีนว่ามีรูปร่างเหมือนกวาง
แต่มีเขาเดียว หางเหมือนวัว หัวเป็นมังกร ตีนมีกีบเหมือนม้า
(บางตำราว่ามีตัวเป็นสุนัข ลำตัวเป็นเนื้อสมัน) เกิดจากธาตุทั้งห้า คือ ดิน น้ำ ไฟ ไม้ และโลหะ ผสมกัน

เชื่อว่ามีอายุอยู่ได้ถึงพันปี และถือว่าเป็นยอดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดี
ปรากฏให้เห็นเมื่อใด ก็จะเกิดผู้มีบุญมาปกครองบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุ ขเมื่อนั้น
กิเลนเป็นหนึ่งในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งประกอบด้วย หงส์ เต่า มังกร และกิเลน (บ้างว่าเป็น เสือ)

ตามความเชื่อเรื่องการสร้างโลกของจีน ในยุคของฟูซี (伏羲)
ซึ่งเป็นผู้ปกครองชนเผ่าคนแรกของมนุษย์ได้สังเกตปราก ฏการณ์ต่าง ๆ ของธรรมชาติ
จนสามารถพึ่งตัวเองได้ วันหนึ่งมีกิเลนตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากแม่น้ำหวงโฮ
บนหลังกิเลนมีสัญลักษณ์ปรากฏที่ถูกเรียกในภายหลังว่า แผนที่เหอ ซึ่งต่อมาได้พัฒนากลายเป็นตัวอักษร
หลังจากนั้นองค์ความรู้ต่าง ๆ ของมนุษย์ก็บังเกิดและเจริญสืบต่อเรื่อยมา

ตามตำนานของไทย

คนไทยคงรู้จักกิเลนของจีนมานานแล้ว ในสมุดภาพสัตว์ป่าหิมพานต์
ที่ช่างโบราณได้ร่างแบบสำหรับผูกหุ่นเข้า กระบวนแห่พระบรมศพครั้งรัชกาลที่ 3
ก็มีรูปกิเลนจีนทำหนวดยาว ๆ ส่วนภาพกิเลนแบบไทย มีกระหนกและ เครื่องประดับเป็นแบบไทยๆ
การจัดลายประกอบผิดไปจากในสมุดภาพสัตว์ป่าหิมพานต์ขอ งโบราณนั้นบ้าง ที่แปลกอีกอย่างหนึ่ง คือ
กิเลนไทยมีสองเขา ของจีนแท้ ๆ มีเขาเดียว ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ของกวีเอกสุนทรภู่
ก็มีสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายกิเลนนี้ในเรื่องด้วย คือ ม้ามังกร หรือ ม้านิลมังกร นั่นเอง




ประวัติ ปี่เซียะ


http://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-3.jpg
ปี่เซี๊ยะ(เทพร่ำรวย)

      ปี่เซี๊ยะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ คำว่า ปี่เซี๊ยะเป็นสำเนียงจีนกลาง ถ้าจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ผี่ชิว” กวางตุ้งเรียก เพเย้า หรืออาจเรียกในชื่ออื่น ๆ เช่น เถาปก หรือ ฝูปอ นี้เป็นคำเรียกรวม ๆ ของ สิ่งซิ้วสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลหนึ่งในจดหมายเหตุฮั่นชุในภาคที่ว่าด้วยดินแดนทางประจิมทิศมีข้อความระบุไว้ว่าในแคว้นหลีแถบเขาอูเกอซาน นั้นมีสัตว์ตระกูลนี้ปรากฏอยู่ลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อย นั้นคือ เทียจนลก เทียนหลู่ ตัวคล้ายกวาง หางยาว มีเขาเดียว คำว่าเทียนลู่นั้นแปลตรงตัวว่า กวางสวรรค์ ครั้นต่อมาคำว่า ปี่เซี๊ยะ หรือ ผี่ชิว กลายเป็นคำที่คนทั่วไปคุ้นเคยกว่า เทียนลู่แล้วจึงให้เรียกรวมกันไปในทางมายาศาสตร์จีน แต่เดิม ปี่เซี๊ยะเป็นสัตว์มงคลที่มีอนุภาพในทางกำจัดปีศาจ และสิ่งชั่วร้ายรวมทั้งปกป้องจากคุณไสย และมนต์ดำต่าง ๆ กล่าวคือคำว่าปี่ หรือ ผี่ นั้น แปลว่า ปิด เร้นลับหลบซ่อน คำว่า ปี่เซี๊ยะ หรือ ชิว คือ อาถรรพณ์ สิ่งไม่ดี คุณไสย ภูติปีศาจ คำว่าปี่เซี๊ยะ หรือ ผี่ชิว จึงแปลได้ว่า ขจัดอาถรรพณ์ คนจีนสมัยก่อนจึงมักเขียนภาพ หรือตั้งปติมากรรม รูปปี่เซี๊ยะไว้ตามประตูบ้าน และสุสานทั่วไป บางทีก็ประดับไว้บนหลังคาพระราชวังต่าง ๆ เพื่อให้มันช่วยขจัดสิ่งอัปมงคลทั้งหลายนั้นเอง ว่ากันว่ามีพลังในการกำราบสิ่งชั่วร้ายปี่เซียะปี่คือตัวผู้ส่วนเซียะคือตัวเมียสองเขาจะเรียกว่าปี่เซียะส่วนเขาเดียวจะเรียกว่าเทียนลกทางเหนือของจีนจะเรียกว่าปี่เซียะส่วนทางใต้จะเรียกว่าเทียนลกถ้าเป็นตัวเดียวจะเป็นตัวเสี่ยงโชคแต่ถ้าเป็นคู่สำหรับวัตุถุมงคลสำหรับขจัดสิ่งชั่วร้าย       (กวางตุ้งเรียก) เพเย้า (จีนกลางเรียก) ปี่เซี๊ยะป (แต้จิ๋วเรียก) ผี่ฮิวปี่เซี๊ยะ คือ เทพลก กวางสวรรค์มี 1 เขา มีปากไม่มีทวาร เชื่อกันว่าทรัพย์มีแต่เข้าไม่มีออก ร้านค้าหรือธนาคารนิยมมีไว้ บูชาเพื่อเก็บกักเงินทองไม่ให้รั่วไหลขจัดสิ่งอัปมงคลว่าเทพเซียนปี่เซี๊ยะจะลงมาคุ้มครองและให้โชคลาภนับแต่นี้ไปอีก 20 ปี พีซิว เป็นที่รู้จักในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมซึ่งมีคนรู้จักน้อยมาก หากใครมีโอกาสไปเยือนประเทศจีนจะพบว่าสัตว์ตัวนี้ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในหมู่ผู้ทำมาค้าขาย ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และหน้าผ่อนการพนัน เพราะเชื่อว่าตั้งไว้เพื่อดูดทรัพย์พวกนักเล่น นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า พีซิว สามารถปกป้องคุ้มภัย ขจัดสิ่งอัปมงคล เมื่อได้ทรัพย์สินเงินทองมาแล้ว การใช้จ่ายจะรั่วไหลออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

มีตำนานเล่าขานในทางมงคลถึง พีซิว มากมายโดยเฉพาะเรื่องราวในยุคต้นราชวงศ์ “ชิง” (ราชวงศ์แมนจู) เล่ากันว่า เมื่อยุคเฉียนหลงฮ่องเต้ ครั้งยังเป็นองค์รัชทายาท เรียกกันว่า “องค์ชายสี่” มีนักพรตท่านหนึ่งนำ พีซิว มามอบให้ โดยกำชับให้หมั่นดูแลทะนุถนอม พีซิวจักคุ้มครอง ปกป้องภัย และส่งพลังให้ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ ซึ่งองค์ชายสี่ก็ได้ทำตามนั้น จวบจนต่อมาได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงพระราชทานยศตำแหน่งแก่ พีซิว นาม “เทียนลู่” (บารมียศแห่งสวรรค์) และอยู่คู่เฉียนหลงฮ่องเต้ตลอดรัชสมัย 60 ปีที่ครองราชย์ ซึ่งนับเป็นระยะเวลาแห่งการครองราชย์อันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน

ปัจจุบัน พีซิว ตัวดังกล่าว ตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันhttp://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-4.jpghttp://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRxUl5QxW48uXPN5j2H7i8aVLrVNpDrhl2xG6EjWbgVp0mM5lkezvx7nGrcwhttp://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-5.gif


   สิงห์ เป็นสัตว์มงคลที่มีอำนาจในภาคพื้นดิน
http://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-6.jpg
สิงห์ สัตว์มงคลที่มีอำนาจในภาคพื้นดิน ให้คุณทางด้านแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง บางตำนานเล่าว่า
สิงห์ไม่ใช่สัตว์พื้นบ้านของจีน
แต่มีในถิ่นแอฟริกา มีนักเดินทางชาวจีนไปเห็น ก็ชอบมาก
แต่ไม่สามารถนำกลับประเทศได้ จึงจดจำกลับมาสร้างภาพตามจินตนาการ มีความสง่างามกำยำล่ำสัน เสียงร้องก้องกังวาน
ถือเป็นเจ้าแห่งสัตว์ป่าทั้งปวง สิงห์จึงเป็นที่ชื่นชม เคารพบูชาตั้งแต่กษัตริย์ จนถึงขุนนาง

         และนิยมจัดตั้งสิงห์คู่ไว้หน้าสถานที่สำคัญ เช่นหน้าพระราชวัง โบสถ์ วัด ยังมีบางตำนานกล่าวอีกว่า สิงห์ตัวผู้
และตัวเมียหยอกล้อเล่นกัน ขนของมันที่หลุดออกจากตัวเกาะกันเป็นลูกกลมๆ และต่อมาก็มีสิงห์ตัวเล็กออกจากก้อนกลมนั้น

          เราจึงเห็นรูปปั้นสิงห์ตัวผู้ (หวงไซจื้อ) จะเหยียบลูกโลก หรือลูกบอล ตัวเมีย (ฉือไซจื้อ) เหยียบลูกไว้ชาวจีนเชื่อว่า
การจัดตั้งสิงห์ไว้หน้าประตู หรือปลายหัวเสา แสดงถึงอำนาจ น่าเกรงขาม เพราะสิงห์เป็นสัตว์เทพมงคล

       โดยเฉพาะสิงห์สีเขียวเป็นสัตว์เทพพาหนะของ มัญชุศรีมหา-โพธิสัตว์ (บุ่งชู้ผ่อสัก) ในพุทธมหายาน
ดังนั้นสิงห์จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้องคุ้มภัย และมีอำนาจขจัดภูตผีปีศาจ ให้กับสถานที่นั้นๆอย่างยอดเยี่ยม
http://www.amulet1.com/showimg.php?img=topic&id=862
http://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-7.jpg


เต่ามังกร
http://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-8.jpg
ญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง อายุยืน สุขภาพดี ตั้งใจ มุมานะ นำไปสู่ความก้าวหน้า
ความสำเร็จ อย่างมั่นคง ยืนยาว และรวมถึงความเพิ่มพูนด้านทรัพย์สินเงินทอง และป้องกันคุ้มภัยจากสิ่งชั่วร้าย
เต่ามังกร เป็นสัตว์เทพที่มีพลังอำนาจ เป็นที่ศรัทธาสูงสุดของราชวงศ์ถัง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ถังได้สร้างรูปปั้นเต่ามังกรไว้หน้าพระราชวัง และเป็นความเชื่อสืบต่อกันมาของชาวจีน เพราะมีความเชื่อว่า เต่ามังกร เป็นลูกตัวที่ ๙ ของพญามังกร ซึ่งออกมาเป็นเต่าหัวเป็นมังกร ตามความหมายแล้ว เต่า เป็นตัวแทนของความยั่งยืน แข็งแรง อดทน มีเกราะป้องกันอันตราย ส่วนมังกร คือ ความยิ่งใหญ่ ความดีงาม ความกล้าหาญ วาสนาบารมีสูงส่ง จึงถือเป็นมงคลสูงสุด เมื่อสัตว์มงคลทั้งสองชนิดมารวมกันไว้ ซึ่งเป็นสุดยอดปรารถนาของชาวจีนในอดีต และเป็นที่เชื่อถือมาจนถึงปัจจุบัน

เจ้าคงคา

      เจ้าคงคาคนจีนเรียกว่าเจ้าคงคาว่า ฮ้อแปะ ฮ้อ แปลว่า แม่น้ำ แปะ คือ อาเปะหรือคุณลุง แสดงว่า เจ้าแม่น้ำหรือเจ้าคงคาเป็นบุรุษไม่ใฃ่พระแม่คงคาอย่างชาวไทย ตำนานของเจ้าคงคาหรือ ฮ้อแปะถูกผูกไว้กับแม่น้ำฮวงโห โยงเรื่องถึงเทพเจ้าผู้เปิดภูเขา ซึ่งสมัยเป็นมนุษย์ท่านคือ กษัตริย์อู๊ จีนกลาง เรียกท่านว่า ต้าหวี่ แต้จิ๋วเรียกว่า หยู,อู๊,อู้หรือ ไตัอู้ หรือ แฮอู้มีเรื่องราวเล่าว่า ขณะไต้อู้ได้กำลังวิเคราะห์สถานการนำท่วมใหญ่ ที่แม่น้ำฮวงโห้ว พลันนั้นมีชายร่างปลากล่าวแก่ไต้อู้ว่า ท่านคือ ฮ้อแปะ อยากจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม ได้ใช้แผนที่แม่น้ำที่เรียกว่า ฮ้อโต้ว มาช่วยในการหาสาเหตุที่น้ำท่วม แล้วก็ดำน้ำลงไป ฮ้อแปะเป็นเจ้าคงคาที่บางแห่งมีชื่อเรียกว่า ปิ่งอี๊เปียอี๊ ได้เกิดอุบัติเหตุจมน้ำตายขณะที่ข้ามแม่น้ำฮวงโห้ว แต่ด้วยความที่เป็นสามัญชน เปี๊ยอี๊เป็นคนใจดีก็ได้เป็นเทวดา เง็กเซียนฮ่องเต้ได้บัญชาให้เป็นเจ้าคงคาที่ดูแลแม่น้ำ เพื่อเป็นที่ลำลือถึงความศักดิ์ของเจ้าคงคาได้มีเรื่องเล่าในราชวงศ์ถังว่า ขุนพลโป่วจื้องี้ได้ถูกส่งให้ไปดูแลพื้นที่ในลุ่มฮวงโห้ว วันหนึ่งแม่เกิดน้ำท่วมขุนพลโป่วจื้องี้ได้ขอพรให้เจ้าคงคาคอยช่วยให้น้ำหายท่วมจะยกลูกสาวของตนให้เจ้าคงคาแต่งงานด้วย ในไม่ช้าน้ำในแม่น้ำก็หายท่วม และลูกสาวของท่าน ขุนพลโป่วจื้องี้ ก็ได้หลับโดยไม่ตื่น ท่านได้จัดงานศพกับลูกและตั้งหุ่นบูชา              ในตำนานของจีนได้มีการผนวกพญานาคและพญามังกรของจีน ยกย่องให้เป็นเจ้าแห่งคงคา และเปลี่ยนเล่งอ๋วงมีอำนาจควบคุมแหล่งน้ำทั้งหมด http://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-9.jpg






ตำนานเทพเจ้าจงขุยเทพผู้ปราบสัมภเวสีเกเรที่ชอบเบียดเบียนมนุษย์



http://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-10.jpg


“จงขุย” (钟馗) คือเทพผู้เป็นสัญลักษณ์ของการปราบภูตผีปีศาจ มีอำนาจวิเศษและอิทธิฤทธิ์ในการกำราบปีศาจและมารร้ายทั้งปวง บ้างยกย่องให้จงขุยเป็น “เทพแห่งปีศาจ” หรือ “เทพนักรบผู้กำจัดความชั่วร้าย” ภาพลักษณ์ของจงขุย จะเป็นเทพเจ้าหน้าดำ ตาโปนโต หนวดเคราลุกชี้ชัน และจะสวมชุดขุนนางสีแดง ในมือมักจะจับกระบี่อยู่เนืองนิตย์
ใน “วันเทศกาลตวนอู่” (端午节) ซึ่งตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติจีน จะเป็นวันปล่อยผีให้มาพบญาติบนโลกมนุษย์ ชาวจีนจึงมักแขวนรูปเทพจงขุยไว้หน้าบ้าน เพื่อให้ท่านช่วยกำจัดปัดเป่าเคราะห์ร้ายและช่วยปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย

          ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติที่มาของเทพเจ้าจงขุยนั้น กล่าวกันว่าในสมัยราชวงศ์ถัง จักรพรรดิถังเสวียนจงฮ่องเต้ (บ้างว่าเป็นจักรพรรดิถังหมินหวัง) ทรงประชวรอย่างหนัก ในคืนหนึ่งได้ทรงพระสุบิน (ฝัน) ว่า มีผีน้อยตนหนึ่งมาขโมยขลุ่ยหยกของพระองค์ ทันใดนั้นก็ปรากฏผีใหญ่อีกตนหนึ่ง หน้าตาดุดัน หนวดเคราชี้ชัน สวมชุดขุนนางฝ่ายบุ๋น ออกมาจับตัวผีน้อยไว้ แล้วหักแขนหักขา ควักลูกตามันมากิน ถังเสวียนจงฮ่องเต้ทรงตกพระทัยจึงตรัสถามถึงได้รู้ว่า ที่แท้ผีใหญ่ตนนี้ มีชื่อว่า “จงขุย” เคยสอบจองหงวนบู๊ได้ในสมัยถังเกาจงฮ่องเต้ แต่ไม่ผ่านการทดสอบ เพราะจงขุยมีหน้าตาอัปลักษณ์ จึงได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ฮ่องเต้ทรงเมตตาสงสารจึงพระราชทานชุดขุนนางฝ่ายบุ๋นให้เป็นกรณีพิเศษและจัดพิธีศพให้ ทำให้จงขุยซาบซึ้งในน้ำพระทัย และตั้งใจว่าจะคอยพิทักษ์อารักขาฮ่องเต้และแผ่นดินต้าถังตลอดไป เมื่อพระองค์ทรงตื่นขึ้นมาจึงตรัสมอบหมายให้จิตรกรเอกนาม “อู๋เต้าจื่อ” วาดภาพของจงขุยตามที่เห็นในพระสุบิน และทรงแจกจ่ายรูปของจงขุยให้แก่ประชาราษฏร์ติดที่หน้าประตูบ้าน เพื่อป้องกันสิ่งอัปมงคลและสิ่งชั่วร้ายนานาประการ

          ในตำนานยังกล่าวด้วยว่า จงขุยได้รับมอบหมายจากสวรรค์ให้มีทหารในสังกัดถึง 3 พันนาย เพื่อช่วยในการปราบปีศาจ ดังนั้น สำหรับชาวจีนแล้ว จงขุยคือเทพผู้สำคัญที่สุดในยามที่ชาวบ้านเกรงกลัวภูตผี และกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าผู้พิทักษ์มนุษย์ให้พ้นจากภัยรังควานของภูตผีปีศาจสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

เชื่อกันว่า ใครที่กลัวจะถูกทำของใส่ หรือถูกคุณไสยเล่นเอา ต้องมีจงขุยคุ้มครองอยู่ในบ้าน หรือกรณีที่ต้องเข้าโรงพยาบาล หรือคนป่วยไปพักฟื้นที่ไหน สถานที่เหล่านั้นถือว่า มันสกปรก คือมีคนตายมาก ต้องมีผีอยู่ ให้เอาเทพปราบมารองค์นี้ไปด้วย
แล้วจะปลอดภัยหายเป็นปกติกลับบ้านได้
    อ้างอิงจาก: หนังสือ 108 ลัญลักษณ์จีน – ปิยะแสง จันทรวงศไพศาล


ตำนานเทพบิดรผานกู่สร้างโลก
http://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-11.gif
คนจีนเชื่อว่าจักรวาลในบุพกาลเป็นเพียงวัตถุก้อนเดียวหน้าตาคล้ายๆไข่ไก่ หมุนวนไปมาจนดูครึ้มเหมือนเมฆหมอก กาลเวลาผ่านไปก็มีสิ่งมีชีวิตประหลาดเกิดขึ้นจากกลุ่มเมฆหมอก มีชื่อเรียกกันว่า ผานกู่

ผานกู่อาศัยอยู่ในไข่ใบนี้เป็นเวลา 18000 ปี จึงตื่นขึ้น เมื่อเขาลืมตาขึ้น เห็นแต่ความมืดมัว และรู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว หายใจไม่ค่อยออก เขาอยากจะยืนขึ้น แต่เปลือกไข่แข็งล้อมรอบตัวเขาจนไม่สามารถยืดเท้ายืดมือได้แม้นิดเดียว ผานกู่โกรธมาก จึงเอาขวานที่ติดตัวมาจามเปลือกไข่ ได้ยินเสียงกึกก้อง เปลือกไข่แตกออกทันที

ผานกู่นี้ ตัวโตเร็วมาก สูงขึ้นได้ถึงวันละ 1 จ้าง หรือ 3.33 เมตร พอโตขึ้นจักรวาลรูปไข่ก็แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนที่ใสสะอาดก็ลอยขึ้นกลายมาเป็นท้องฟ้า ส่วนที่ขุ่นข้นกว่าตกลงมากลายเป็นตะกอน จากนั้นก็กลายเป็นแผ่นดิน โดยมีผานกู่อยู่ตรงกลางเป็นตัวแยก ด้วยความที่ผานกู่กลัวจักรวาลจะกลับเป็นรูปไข่เหมือนเดิม จึงเอาศีรษะทูนท้องฟ้าไว้และเอาเท้าเหยียบดิน ฟ้ากับดินก็แยกกันมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป จนผานกู่กลายเป็นยักษ์ที่ยืนค้ำฟ้าเอาไว้ กว่าที่ผานกู่จะตายประมาณว่าระยะทางระหว่างฟ้าดินห่างกันราว 90,000 ลี้ หรือประมาณ 45,000 กิโลเมตรฟ้ากับดินที่เทพบิดรผานกู่ไปคั่นไว้นั้น ฟ้าเปรียบได้กับเพศชาย เรียกว่า หยาง ซึ่งแสดงถึงความอบอุ่น แสงสว่างตรงข้ามกับหยิน ซึ่งเปรียบได้เหมือนเพศหญิง ซึ่งแสดงถึงความมืดและความหนาวเย็น

ส่วนดินที่ผานกู่ใช้เท้ายันไว้ เล่ากันว่ามีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีมหาสมุทรอยู่ล้อมทั้งสี่ด้าน เรียกได้ว่าเป็นด้านล่างของเปลือกไข่ ส่วนท้องฟ้าที่เป็นด้านบนของไข่นั้น มีรูปเหมือนชามคว่ำ มีพระอาทิตย์ 10 ดวง มีพระจันทร์ 12 ดวง ลอยไปลอยมาใต้รูปชามคว่ำฝา เนื่องจากพระอาทิตย์มีถึง 10 ดวง เลยต้องมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปปรากฏตัวบนท้องฟ้าโดยพระอาทิตย์จะนั่งรถทรง มีหมู่มังกรลาก รุ่งอรุณที่พระอาทิตย์ต้องทำหน้าที่ก็จะค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากหุบเขาแสงสว่าง แล้วไปสรงน้ำที่ทะเลสาบสุดขอบของจักรวาลด้านตะวันออก พอสรงสนานเสร็จ ก็จะปีนต้นไม้ที่อยู่ข้างทะเลสาบ อีก 9 ดวงที่ไม่มีหน้าที่ก็ปีนอยู่แถวกิ่งล่างๆ ดวงที่เข้าเวรก็ปีนอยู่แถวบนๆ เพื่อรอขึ้นไปทำหน้าที่ต่อ พอรถมารับพระอาทิตย์ก็นั่งรถไปเรื่อยๆจนถึงขอบตะวันตก ส่วนพระจันทร์ก็ใช่ย่อยไม่น้อยหน้ามีรถทรงเหมือนกัน แต่วิ่งสลับทางกัน พระจันทร์นั่งรถจากทางทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก

เมื่อเวลาผ่านไปนานอีกไม่รู้กี่หมื่นปี ฟ้ากับดินต่างอยู่ในสภาพถาวรแล้ว และไม่อาจจะเชื่อมต่อกันอีกแล้ว ผานกู่จึงรู้สึกวางใจ แต่ก็รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่อาจยืนค้ำต่อไปได้ ร่างกายใหญ่โตของเขาจึงล้มลง พอผานกู่ตายไปก็สลายธาตุไปเป็นสิ่งต่างๆบนโลกมนุษย์ ลมหายใจกลายเป็นลมและกลุ่มเมฆ เสียงกลายเป็นฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ตาซ้ายกลายเป็นเทือกเขาและภูเขา คอยค้ำยันฟ้าดินให้อยู่ห่างกันต่อไป ส่วนเลือดกลายมาเป็นแม่น้ำ เส้นเลือดกลายเป็นถนนหนทาง เนื้อกลายเป็นต้นไม้และดิน เส้นขนบนหัวกลายเป็นดวงดาว ผิวหน้ากับขนตามลำตัวกลายเป็นต้นหญ้า ดอกไม้ ส่วนฟันและกระดูกกลายเป็นหินและแร่ธาตุ ส่วนเหงื่อกลายมาเป็นน้ำค้างนั่นเอง
จิ้งจอกเก้าหางของจีน


http://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-12.jpg
เรื่องจิ้งจอกเก้าหางของจีน มีปรากฏอยู่ในตำนานเรื่อง ห้องสิน ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และภูตผีปิศาจ

       เรื่องราวมีอยู่ว่า พระเจ้าโจ้วหวาง (ติวอ๋อง) แห่งราชวงศ์ซางได้ไปสักการะเจ้าแม่หนวี่วา หนึงวาสี ในวิหารของเจ้าแม่ ตามปกติ รูปเคารพเจ้าแม่จะมีผ้าแพรบางๆ กั้นใบหน้าอยู่ บังเอิญขณะนั้นมีลมพัดผ่านมา ทำให้ผ้าแพรเปิดออก โจ้วหวางได้เห็นใบหน้ารูปเคารพของเจ้าแม่หนวี่วางดงามยิ่งนัก จึงออกปากมาว่า เจ้า***ดงามขนาดนี้ หากได้มาเป็นมเหสีน่าจะดีเมื่อเจ้าแม่หนวี่วาได้ยินดังนั้น จึงกริ้วมาก รับสั่งให้ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง ปิศาจพิณ และปิศาจไก่ มาทำให้โจ้วหวางเกิดความลุ่มหลงจนบ้านเมืองล่มสลายเพื่อเป็นการลงโทษ แต่อย่าให้ราษฎรต้องเป็นอันตราย

       ในขณะนั้น มีนางงามนางหนึ่ง นามว่า ต๋าจี ลูกสาวของเจ้าเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งถูกส่งตัวเข้าวังเพื่อเป็นพระสนมของโจ้วหวาง ต๋าจี เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมโนมพรรณงดงามมาก แต่หญิงงามมักอาภัพนัก จิ้งจอกเก้าหางได้แอบลอบฆ่าต๋าจี และสวมรอยเป็นต๋าจีเสียเองเพื่อลักลอบเข้าวังเมื่อโจ้วหวางได้พบต๋าจีก็รู้สึกพึงพอใจในตัวต๋าจีเป็นอย่างมาก เนื่องจากต๋าจีมีรูปโฉมงดงามราวกับเจ้าแม่หนวี่วา กิริยาวาจาไพเราะอ่อนหวานราวกับเทพธิดามาแต่สรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ยากที่จะหาหญิงใดในแผ่นดินเสมอเหมือน จิ้งจอกเก้าหางจึงได้เริ่มการทำให้โจ้วหวางลุ่มหลงในตัวนาง ซึ่งไม่ได้เป็นการยากเย็นกระไรเลย เพราะนอกจากมีความงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังสามารถร้องเพลง และเล่นดนตรีได้ไพเราะ อีกทั้งร่ายรำได้งดงาม ทำให้โจ้วหวางนานวันก็ยิ่งลุ่มหลงนางจนถอนตัวไม่ขึ้น และนางก็ได้ส่งเสริมให้โจ้วหวางทำแต่เรื่องชั่วร้าย ฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลาอยู่เสมอมา

       ในที่สุดจิ้งจอกเก้าหางในร่างตาจี๋ ก็ได้ยุให้โจ้วหวางสร้างหอสอยดาวขึ้น ยังความทุกข์ยาก และนำมาซึ่งความตายแก่ราษฎรจำนวนมากมายมหาศาลที่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานมาสร้างหอสอยดาวนี้แต่ในที่สุด ปิศาจทั้งสามก็ถูก เจียงจื่อหยา ซึ่งได้ฝึกวิชาบนภูเขาจนกลายเป็นผู้วิเศษ ได้รับบัญชา เทียนมิ่ง นักรบจากสวรรค์ให้มาปราบทุกข์เข็ญของเหล่าราษฎร พร้อมทั้ง นาจาศิษย์เอก

       ปิศาจทั้งสามถูกจับตัวไปให้เจ้าแม่หนวี่วา ตัดสินโทษ จิ้งจอกเก้าหางเห็นว่าตนสามารถทำงานที่เจ้าแม่มอบหมายให้ ทำไมจึงยังมีโทษอีก เจ้าแม่หนวี่วากล่าวว่าได้ใช้ให้ไปทำลายแต่เพียงโจ้วหวางเท่านั้น หาได้สั่งให้ไปเข่นฆ่าผู้คนมากมายเช่นนี้ไม่ การทำเกินกว่าคำสั่งแบบนี้จำต้องถูกลงโทษ ทั้งปิศาจพิณ และปิศาจไก่จึงถูกลงโทษให้ตายตกไปตามกัน ส่วนจิ้งจอกเก้าหางนั้นหลบหนีการลงโทษไปได้



...หงส์...

สัตว์เทพประจำทิศใต้ในคติจีน

http://board.postjung.com/data/530/530614-topic-ix-13.jpg



หงส์ เป็นเจ้าแห่งปักษา และเป็นสัตว์มงคลชนิดหนึ่งของจีนมาแต่โบราณ มีรูปลักษณ์เดิมมาจากนกหลากหลายชนิด อาทิ ไก่ฟ้า ห่านฟ้า นกกระจอก เหยี่ยวนกกระจอก นกนางแอ่นฯลฯ ในตำนานกล่าวว่า หงส์มีรูปคล้ายไก่ฟ้า มีสีขนสลับลายเป็นประกาย มีนิสัยรักสะอาด ช่างเลือก (มีความละเอียดอ่อนประณีต) เนื่องจากรูปลักษณ์เป็นนก ประจำทิศใต้ ธาตุไฟ สีแดง จึงได้ชื่อว่า หงส์แดง
      
       ภายหลังได้รับอิทธิพลจากความเชื่อลัทธิเต๋า จากสัตว์เทพค่อยวิวัฒนาการเป็นรูปลักษณ์ของครึ่งคนครึ่งสัตว์ จากนั้นกลายเป็นเทพที่มีรูปเป็นหญิง
หงส์ ชาวจีนเรียกว่าหง มีความหมายว่า ความสวย ความสง่างามเพศหญิง

โดยนำเอาสัตว์คือนก 5 ชนิดมาผสมกัน
1. หัว มาจาก ไก่ฟ้า

2. ปาก มาจาก นกแก้ว
3. ตัว มาจาก เป็ดแมนดาริน
4. ขา มาจาก นกกระสา
5. หาง มาจาก นกยูง


บางตำราก็กล่าวกันว่า หงส์   เป็นนกที่เกิดจากการปรุงแต่งขึ้นมาจากนกที่มีความสำคัญหลายชนิดด้วยกัน คือ

หัว ได้รับอิทธิพลแบบอย่างมาจากไก่ฟ้า

หงอน ได้มากจากนกเป็ดหงส์

จงอยปาก ได้มาจากนกนางแอ่น

หลัง ได้มาจากเต่า

หาง ได้มาจากสัตว์จำพวกปลา

ถ้าหงส์มีหัวสีแดงจะเป็นหงส์ตัวเมีย
ส่วนหงส์หัวสีเขียวหรือสีน้ำเงินจะเป็นหงส์ตัวผู้

ความหมายที่ดี 5 ประการ คือมีคุณธรรม, ความยุติธรรม, ศีลธรรม, มนุษยธรรม, สัจธรรม

ซึ่งนับว่าแปลกมากที่ได้แบบอย่างมาจากสัตว์น้ำด้วย มิใช่เอามาจากสัตว์ปีกเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม โดยมากเราก็จะเห็นหงส์มีส่วนประกอบของนกยูง และไก่ฟ้าหางยาวอยู่เป็นอันมาก ดังจะพบว่ามีจำนวนหลายสี และเป็นมันเลื่อมสวยงามตลอดทั้งตัว ขนส่วนหางมี 12 เส้น และขนหางแต่ละขนมี 5 สี คือ แดง ม่วง เขียว เหลือง และขาว บางตำราจึงได้แบ่งนกหงส์ออกเป็น 5 ชนิด คือ ชนิดขนแดง ขนสีม่วง ขนสีเขียว ขนสีเหลือ และขนสีขาว และชนิดสีขาวเรียกกันโดยทั่วไปว่า ห่านฟ้า


thefriday โพสต์ 2012-7-12 23:47:21

ขอบคุณมากคร้าบ บางอันใกล้ตัว เหนบ่อยๆ แต่ก็เพิ่งรู้เกี่ยวกะตำนาน ><

Meeboon592 โพสต์ 2015-2-1 18:28:34

ขอบคุณมากครับ

ืีnut64 โพสต์ 2019-12-24 03:54:31

ขอบคุณมากครับ

ปวันรัต โพสต์ 2020-1-6 16:22:09

ขอบคุณคร้าบบ

ฐปกร โพสต์ 2020-2-4 19:17:28

ขอบคุณครับ

TESP โพสต์ 2020-6-16 01:12:46

ขอบคุณครับ

sa99 โพสต์ 2021-7-22 19:27:25

เป็นความรู้ที่มีคุณค่าครับ   ขอบคุณครับ   

wiput โพสต์ 2022-11-11 01:30:39

ขอบคุณครับ

F482545 โพสต์ 2023-2-22 06:50:45

ขอบคุณ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: "ตำนาน" เทพและสัตว์ในตำนาน " จีน "