รักลึกๆ ไม่กล้าทึกทัก
ไม่รู้จะทำยังไงดีครับที่โพสต์ไม่ค่อยได้เลยหลังจากที่ลงนิยายไป 2 รอบแล้ว แต่ปรากฏว่า โพสต์ไม่ได้ซะงั้นข้อมูลก็เลยหายตามไปด้วย จึงลองเปลี่ยนมาเป็นพิมพ์ในเวิร์ด ลองอีกสักตั้งนะครับ คนหลังเขา เต่าล้านปีก็เงี๊ยะรักลึกๆไม่กล้าทึกทัก By Worayut
ตอนที่ 1
ผม เหลือบดูนาฬิกานี่ก็ใกล้เวลา 4 ทุ่มแล้วเกือบได้เวลาปิดร้านจะได้กลับที่พักเสียทีวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้ก็เป็นวันเสาร์ไชโย ดีใจจังเลย ไปเคลียร์บัญชีหน่อยดีกว่าเรา กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ๆ ก็มีเสียงแทรกเข้ามา
“ พี่คับ ขอกาแฟอะไรก็ได้ ขมๆหน่อย ที่หนึ่ง”หนุ่มคนหนึ่ง ก้าวพรวดพราดเข้ามาพลางนั่งที่โต๊ะแรกของร้าน ท่าทางเมาๆเพลีย ๆยังไงพิกล
“ เอ่อ น้องครับพอดีร้านพี่ใกล้ปิดแล้วพี่เกรงว่าจะไม่สะ.............”คำว่า สะดวกยังไม่ทันหลุดจากปากผมเขาก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ โธ่พี่อย่าปฎิเสธผมเลยวันนี้ผมก็โดนมาแล้วรอบนึงผมนั่งไม่นานหรอกกะว่าจะจิบกาแฟซักหน่อยตาจะได้สว่างซะที เดี๋ยวผมจะได้ขี่รถกลับหอได้”ได้ทีพูดเสียยาวเลย แล้วก็ฟุบโต๊ะไปเรียบร้อย เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆ วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันเสาร์ กลับดึกหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้วกันนึกว่าช่วยเหลือคนเกิดขี่รถแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะบาปเราเสียเปล่าๆ
“ อืมม ก็ได้ครับงั้นรอซักครู่ โชคดีนะเนี่ยถ้ามาช้ากว่านี้พี่ปิดร้านไปแล้ว” เขาไม่ตอบอะไรแต่ก็เงยหน้าทำตาปรือๆ แดงๆผมรีบทำกาแฟตามที่เขาขอแต่ไม่ขมจนเกินไปตามที่เขาขอร้องเช่นกัน ผมนำกาแฟไปเสิร์ฟ พร้อมถามถึงของขบเคี้ยวว่าต้องการหรือไม่ เขาตอบปฏิเสธ ผมกลับมานั่งนับเงินและเคลียร์บัญชีอีกนิดหน่อย ดูเวลาอีกทีก็สี่ทุ่มครึ่งแล้ว หันกลับไปดูลูกค้าอ้าวหลับซะแล้ว คนอะไรดื่มกาแฟแล้วก็หลับ ผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรหรอกที่คนดื่มกาแฟแล้วก็สามารถหลับได้เพราะผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันแต่มันต้องไม่ใช่ตอนนี้สิต้องไปปลุกซะหน่อย จะได้รีบกลับหอเสียที
“น้องครับ น้อง น้อง ตื่นได้แล้วครับ พี่จะปิดร้านแล้วน้อง น้อง ..........”ผมพูดพลาง เขย่าพลางแต่ไอ้น้องคนนี้ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นผมลองเขย่าตัวดูอีกทีก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร มิหนำซ้ำเสียงลมหายใจยังยาวสม่ำเสมอแสดงว่หลับสนิทจริงๆผมเริ่มอารมณ์เสียอะไรกันวะคนจะได้พักอยู่แล้วเชียว ต้องมามีเรื่องวุ่นวายอีกอยากจะตุ๊ยท้องไอ้หมอนี่สักหมัดสองหมัดให้ตื่นสักหน่อยก็กระไรอยู่คนกำลังนอนผมลองปลุกอีกทีแต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ผมจึงทำใจคืนนี้นอนเฝ้าร้านอีกแล้วตูมันน่าโมโหจริงๆผมชะโงกหน้าออกไปดูหน้าร้านว่าไอ้หนุ่มคนนี้เอารถอะไรมาเจอก็แต่มอเตอร์ไซค์ค่อนข้างใหม่หนึ่งคันและที่สำคัญกุญแจก็ยังคาอยู่ในเครื่องซะด้วยเฮ้อเด็กสมัยนี้ไม่ไหวจริงๆถ้ารถราหายไปก็คงไม่พ้นพ่อแม่อีกนั่นแหละที่เป็นภาระซื้อให้ผมบ่นกับตัวเองเหมือนกับว่ารถคันนั้นเป็นของผมซะงั้น ผมล็อครถก่อนแล้วค่อยไปจัดการกับไอ้หมอนั่นข้างใน คนที่ผมกล่าวถึงกำลังฟุบกับโต๊ะท่าเดิมผมจึงประคองเขามานอนที่โซฟาที่ใช้รับรองแขกที่มาเรื่องธุระต่างๆ กลิ่นเหล้าผสมกับกลิ่นน้ำหอมจางๆ บอกไม่ถูกว่าให้ความรู้สึกยังไงเขาค่อนข้างสูงทีเดียวจึงทำให้ทุลักทุเลพอสมควร เมื่อพาเขานอนลงได้ ก็ถอดรองเท้าเขาออกเพราะกลัวว่าโซฟาจะเปื้อน เช็ดออกยากจึงได้มีเวลาพิจารณาว่า เขาคงยังเป็นนักศึกษาอยู่เพราะเสื้อเชิ้ตสีขาวมีรอยเปื้อนเล็กน้อยกางเกงสีดำทรงนิยม แต่พอดีตัวไม่รัดรูปเกินไป ทรงผมไม่สั้นไม่ยาว กำลังดีหน้าตาไม่เลว ว่าแล้วก็รีบไปเอารถเขาขึ้นมาดีกว่าต้องใช้พลังภายในถึง สี่ส่วน เพราะร้านผมยกสูงขึ้นจากพื้นประมาณเมตรครึ่ง กว่าจะดันขึ้นข้างบนได้ ปิดร้านสร็จจึงกลับมานอนบนเตียงผ้าใบที่มีอยู่ในร้านในมุมที่สามารถมองเห็นเจ้าหนุ่มน้อยคนนั้นได้เผื่อเกิดอะไรที่มันไม่คาดคิด ขึ้นมา
ผมกลับนอนไม่หลับแฮะ ทั้งๆที่วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ทั้งเรียนเสร็จแล้วก็ทำงานต่ออาจเป็นเพราะกังวลก็ได้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกที่ปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามานอนในร้านได้ นึกๆ ก็น่ากลัวอยู่เหมือนกันนาเออน่า...... เราหวังดีปล่อยให้นอนในนี้แล้วเขาคงสำนึกบุญคุณบ้างคงไม่กล้าทำอะไรหรอก ผมพยายามปลอบใจตัวเอง เพราะเราก็มีวรยุทธ์ใช่ย่อยเหมือนกันจากการดูหนังบู๊แอคชั่นมากนั่นเองเอ้า หลับ ๆซะ ............ ตอนที่ 2
ผม สะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ อาจจะเป็นแปลกที่ก็ได้อีกอย่างก็หลับๆตื่นๆ กลัวว่าไอ้น้องคนนั้นจะเป็นพวกมิจฉาชีพหรือเปล่าที่ตื่นมาขโมยข้าวของหรือ เงินตอนดึกเออใช่ หันไปดูก็เห็นเขาคนนั้นกำลังมองผมอยู่
“ หวัดดีคับหลับสบายมั้ย”ถามพลางยิ้มๆ
“อืมม... แล้วนี่กี่โมงแล้ว” ไม่รอเขาตอบผมดูเวลาที่มือถือทันทีเกือบแปดโมงแล้วหรือนี่
“แล้วตื่นนานหรือยัง นึกว่าออกไปแล้ว” ผมถามเขาต่อ
“ก็ ราวๆ เจ็ดโมงแล้วคับ จะให้ผมออกไปยังไงคับพี่ รองเท้าผมก็ไปไหนก็ไม่รู้แถมรถยังถูกล่ามโซ่อีก กุญแจต้องอยู่กับพี่แน่ๆเลยผมเลยนอนเล่นๆรอให้พี่ตื่นก่อนไม่กล้าปลุก”เขาคงจะตื่นนอนนานแล้วหล่ะ ดูหน้าขาวใสสดชื่นขึ้นตั้งเยอะคงไปล้างหน้าที่อ่างล้างมือใกล้เรียบร้อย
“ เออ งั้นรอแป๊บนึงนะ ขอล้างหน้าหน่อย เดี๋ยวเอากุญแจ และจะเปิดหน้าร้านให้”
“ผม ต้องขอโทษพี่อย่างมากเลยนะครับที่เผลอหลับไปพอดีเกิดเรื่องนิดหน่อยก็เลยดื่มมากไปแล้วก็ขี่รถกินลมเล่นๆ ไม่อยากนอน มาเจอร้านกาแฟพี่ก็เลยว่ากะจะดื่มให้ประสาทมันแข็งซักหน่อย ก็เลย ....... อย่างที่เห็นนี่แหละครับ ” ไม่นึกถึงคนอื่นเลยนะน้องทำให้คนอื่นเขาลำบากต้องมานอนเฝ้านายอย่างนี้เนี่ย แทนที่จะได้กลับไปนอนสบายๆบนที่นอนนุ่มๆ
“ไม่เป็นไรให้อภัย แต่หวังว่าคงไม่มีรอบสองนะ” ผมพูดพลางยิ้มๆเขาก็ยิ้มอายๆเช่นกัน
ผมเปิดร้านแล้วช่วยเขาค่อยๆ นำมอเตอร์ไซค์ลงหน้าร้านเพราะมันชันพอควร
“ รู้มั้ยเมื่อคืนกุญแจคาที่รถอยู่นะ”
“จริง หรือคับ เกือบแย่ไปแล้วนะเนี่ยเราผมยืมรถเพื่อนมาด้วยสิ ที่สำคัญไม่ได้พกมือถือด้วยแต่ไม่เป็นไรปลอดภัยทั้งรถทั้งคนแล้วนี่ยังไงๆผมต้องขอขอบคุณพี่มากเลยนะครับ ” ว่าแล้วก็ยกมือไหว้ทันทีผมรีบไหว้ตอบเขายิ้ม เวลาเขายิ้มนี่ก็น่ารักดีเหมือนกันะแล้วเราก็แยกกันที่หน้าร้านผมรีบกลับไปเก็บของในร้านแล้วเตรียมตัวเดินกลับหอทันที เดี๋ยวจะสายไปกว่านี้เรากล้ามากเลยนะที่ให้คนแปลกหน้ามานอนในร้านก็มันไม่มีทางเลือกนี่นาผมจึงได้ถอดรองเท้าเขาไว้ให้ไกลตัวหน่อยเผื่อเขาจะได้หารองเท้าลำบากหน่อยรถก็ล่ามโซ่ล็อคคอไว้อย่างดี กุญแจก็ซ่อนไว้ให้ไกลตัวหน่อยเผื่อนาทีฉุกเฉินขึ้นมาจะได้ป้องกันตัวได้ ชื่อแซ่ก็ไม่ได้ถามไถ่แต่ก็ช่างมันเถอะเหตุการณ์ปกติ เหตุการณ์ปกติ(กรุณาทำเสียงเหมือนหุ่นยนต์หน่อย)แล้วนี่เย้ถึงหอพักซะที ขอ ขอบพระคุณมากๆสำหรับทุกกำลังใจและการติดตามนะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขกับเรื่องที่อ่านด้วยครับผม (ยังไม่มีใครแนะนำอะไรเลยครับผมก็มั่วโพสต์เอาเอง pm ผมยังไม่รู้จักเลยครับมีอะไรก็แนะนำกันได้ นึกเสียว่าสงสาร อย่าลงทัณฑ์ด้วยการลาจาก)
ตอนที่ 3
ผมลงจากตึกเรียนมาอย่าง เหนื่อยอ่อนพร้อมกับเพื่อนอีก 2 – 3คนก่อนที่จะแยกกันไปคนละทิศคนละทางตามภารกิจและเป้าหมายของตนเอง อาจารย์โหด
เอาการหลังจากที่แต่ละคนPresent งานก็โดนจวกกันซะพรุนเลยเอ้า ถือซะว่ายังเป็นปีแรกอยู่เดี๋ยวคงปรับตัวได้เอาละน่านี่โชคดีนะที่พรุ่งนี้ไม่มีเรียนแต่ก็ต้องเตรียมข้อมูลเพื่อรายงานในวันพุธอยู่ดี
“พี่พี่ครับมาทำอะไรแถวนี้เนี่ยหน้ามันแผล็บเลยดูซิหิ้วของพะรุงพะรังขายประกันอ๊ะป่าวเนี่ย”ใครวะอ๋อไอ้น้องคนนั้นนั่นเองก็คนที่หลับคาร้านเราคืนวันศุกร์ที่แล้วนะสิ ผมมปรับสติสตังอยู่ครู่หนึ่งและนึกสนุกขึ้นมาตามที่เขาทัก
“อ๋อน้องนี่เองแหมเดาเก่งจังถูกต้องละครับมาขายประกันยังขายไม่ได้เลยช่วยซื้อหน่อยสิ”
“พูดเป็นเล่นไปพี่ผมยังเป็นนิสิตอยู่ยังไม่มีรายด้ายย...” เขายานคางตอบ
“แล้าเรามาทำอะไรล่ะอย่าบอกนะว่ามาขายประกันเหมียนกัลล์”
“แหมพี่ขายปีปฟารีนต่างหากม่ายช่าย มาเอาใบสมัครทุนครับผม”
“ดี ๆ แสดงว่าเรียนเก่งนะเรา”ผมชมเขา
“เออเรื่องวันนั้นขอขอบคุณพี่อีกครั้งนะครับแต่พี่รู้มั้ยผมลืมอะไร”ผมเลิกคิ้วขึ้นตาโตทำหน้าสงสัยเต็มที่เขาจึงอธิบายต่อ
“ก็ลืมค่ากาแฟนะสิฮ่า ฮ่า ฮ่า”เขาหัวเราะแก้เขิน
“อ๋อไม่เป็นไรแค่ 30 บาทเองเรื่องจิ๊บจ๊อย ถือว่าเลี้ยงละกัน” ผมคิดอย่างนั้นจริงๆเอ๊ะ แต่ถ้าได้ก็ดีอ้าวยังไงเนี่ย
“ไม่เอาจริงหรือพี่”ผมพยักหน้า
“งั้นก็ขอบคุณพี่อีกครั้งนะครับ แล้วพี่กำลังจะไปไหนเนี่ย”
“พี่ ว่าจะไปกินข้าวก่อนหิวเต็มทีแล้ว เดี๋ยวค่อยกลับหอ”ผมตั้งใจไว้แล้วจะกินข้าวที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยก่อนเพราะถูกดี อิ๊ อิ๊
“งั้น ดีเลยพี่ผมว่าเสร็จแล้วก็จะไปกินข้าวเหมือนกันเดี๋ยวรอเพื่อนผมแป๊บนึงนะงั้นมื้อนี้ผมเลี้ยงพี่เองตอบแทนค่ากาแฟไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร”เขาพูดเองเออเอง
“เฮ้ยไม่เป็นไรอย่าคิดมากไม่ต้องเลี้ยงหรอกเพราะกับข้าวในโรงอาหารมันถูกไปอยากให้เลี้ยงที่มันแพงกว่านี้หน่อยไง”ผมพูดยิ้มๆ
“แป่วววว... เออเพื่อนผมมาพอดีเจ๋งเจ๋งทางนี้”เพื่อนเขากึ่งเดินกึ่งวิ่งพร้อมกับเอกสารในมือปึกหนึ่ง
“พร้อมแล้วๆ”เสียงอีกคนหนึ่งตอบกลับมา
“ป๊ะเดี๋ยวเราไปกินข้าวกันแต่เออแนะนำให้รู้จักกันก่อนนี่เจ๋งเพื่อนผมครับ”คนที่ถูกแนะนำตัวยกมือสวัสดีผม
“แล้วนี่พี่ที่เราไปนอนร้านเค้าเมื่อวันก่อนที่เล่าให้ฟังน่ะพี่.......พี่ชื่ออะไรคับ”
“เฮ้ยอะไรวะคุยกันตั้งนานยังไม่รู้ว่าพี่เขาชื่ออะไรอีก”เจ๋งเป็นฝ่ายพูดขึ้น
“ชื่อปั่นครับ” ผมตอบ
“ส่วนผมตั้นคับ” เขาตอบแล้วเอามือเกาหัวตัวเอง
“ไปกินข้าวในนี้ใช่มั้ยเดี๋ยวไปรถผมกันเลยยินดีบริการครับผม”เจ๋งเสนอตัวเองเสร็จสรรพ
ผม เดินตามหลังสองหนุ่มไปอย่างรวดเร็วความสูงของทั้งสองไล่เลี่ยกันคือค่อนข้างสูงด้วยกันทั้งคู่คงจะเกิน175ขึ้นไปไอ้เด็กสมัยนี้มันช่างสูงกันจริงๆพ่อแม่คงบำรุงนมกันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนเด็กรุ่นผมรุ่นนี้ยังไม่ทันได้ดื่มนมโรงเรียนเลย
เจ๋ง นั้นใส่แว่นกรอบแว่นดูทันสมัย หน้าตาคมคายผิวออกแทนๆ ไม่ดำ ไม่คล้ำส่วนตั้นนั้นออกแนวขาวใสจะติดผ่องๆ ด้วยซ้ำ ตามแนวพิมพ์นิยมหน้าตาตี๋ๆ แต่ไม่จ๋าจนเกินไปเพราะมีคิ้วที่เข้มและตาโตพอควร ที่เหมือนกันคือทั้งคู่สดใสสมวัย
รถของเจ๋งเป็นรถเก๋งสีดำเรียบและหรูทีเดียว เมื่อถึงโรงอาหารคนไม่มากอย่างที่คิดผมปล่อยให้เขาทั้งสองเดินเป็นผู้นำสายตาก็มองหาโต๊ะที่ว่าง
“เฮ้ยปั่นไหนว่าจะกลับหอไง”เพื่อนผมนั่นเองเจ้าดุ๋งที่เรียนสาขาเดียวกันกับเพื่อนอีกสองสามคนเอ่ยทักขึ้น
“ก็ว่าจะกลับหอไปกินมาม่าพอดีมีคนเลี้ยงก็เลยตามเขามานี่ไง”ผมพูดพยักหน้าว่ากำลังเดินตามคนเลี้ยงอยู่
“เออๆ ตามบายๆ”
“เจอกันวันพุธseeyou seeyou” ผมตอบแล้วรีบเดินต่อ
เรา สามคนเลือกอาหารคนละอย่างแต่ตั้นยังไม่หนำใจไปเลือกของหวานและเครื่องดื่มมาอีกอย่างละสามเป็นที่น่าสังเกตว่าตั้นคงจะฮอตในหมู่สาวๆไม่น้อยเหมือนกันเพราะโต๊ะที่ตั้นเดินผ่านจะต้องมีสาวทักทายบ้างไม่มากก็น้อยขณะที่อยู่กันสองคนเจ๋งเป็นฝ่ายชวนคุยขึ้นก่อน
“เพื่อนผมมันมีเสน่ห์สาวๆชอบเยอะแต่ผมสิมีแต่เสนียด”เจ๋งพูดไปยิ้มไปด้วย
“งั้นก็แสดงว่าพันธุ์เดียวกันนะสิ นอกจากพี่จะมีเสนียดแล้วพี่ยังกาลีบ้านกาลีเมืองอีกต่างหาก”ผมพลอยผสมโรงด้วยเช่นกัน
“โหยพี่หนักกว่าผมอีก”แล้วก็หัวเราะกันครื้นเครง
เมื่อ ตั้นมาสมทบเราจึงคุยกันอย่างออกรสออกชาติมิน่าล่ะเขาถึงว่าอยู่กับเด็กเรามักจะสดชื่นไปด้วย คุยกันไปมาจึงรู้ว่าตั้นและเจ๋งเรียนวิศวะปี 4กันแล้ว
เมื่อได้เวลาพอสมควรเราก็แยกย้ายกันผมตรงดิ่งกลับหอพักทันที
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
“เออตั้นคุยกันตั้งนานพี่ปั่นเขาเรียนอะไรวะ” เจ๋งเป็นฝ่ายถามตั้น
“ไม่เรียนแล้วมั้งเจอพี่แกเมื่อกี้ก็บอกว่ามาขายประกันนี่นา”
“ขาย ประกันอะไรวะนายไม่เห็นเหรอที่เขาทักเพื่อนก่อนกินข้าวดูแต่ละคนเหมือนผู้ใหญ่เนิร์ดกันทั้งนั้นนะโว้ย เมื่อกี้เราสังเกตกระเป๋าพี่แกหนังสือมันโผล่ออกมามีแต่ชื่อภาษาอังกฤษทั้งนั้นเลยเราว่านะมันไม่ใช่หนังสือระดับปริญญาตรีแน่ๆเลย”เจ๋งไซร้และตั้งข้อสังเกต
“เหรอพ่อนักสืบ”ตั้นอึ้งๆขึ้นมาบ้าง “ไม่เป็นไรถ้าเจออีกก็รู้....”ตั้นรู้สึกว่าตัวเองรั่วๆไปหรือเปล่าว้า ไปทักพี่แกขายประกงประกันแต่แกก็ยิ้มๆดีนี่นาอดตำหนิตัวเองไม่ได้ไมช่างสังเกตเลยนิเรา ตอนที่ 4
ขณะที่ผมกำลังเก็บแก้วกาแฟที่ลูกค้าดื่มเสร็จแล้วก็มีเสียงคนกลุ่มหนึ่งผ่านเข้ามาทางประตูหน้าร้านลูกค้ามาแล้ว
“เชิญนั่งก่อนครับรับอะไรดีครับน้องอ้าววว....”ผมชะงักเล็กน้อย
“เสียง หล่อเชียวนะต้อนรับลูกค้าเนี่ยพาเพื่อนๆมาถล่มหน่อยครับพี่”เจ๋งนั่นเองมีน้องผู้หญิงอีก 2คนและตั้นที่ไม่ได้พูดอะไรที่เอาแต่ยิ้มตามมาติดๆ
“ได้เล้ยเชิญนั่งก่อนเลือกมุมตามสบายนะพี่ขอเก็บแก้วแป๊บหนึ่งน้องจะสั่งอะไรกระดาษและเมนูอยู่บนโต๊ะนะครับ”ผมพูดอย่างเป็นกันเอง
“พี่มีเครื่องดื่มอย่างอื่นที่ไม่ใช่กาแฟไหมคะ”น้องผู้หญิงหน้าสวยๆเป็นคนถามขึ้น
“มี ครับเช่นน้ำส้มคั้นน้ำทับทิมชาเขียวหรือลองดูตามเมนูได้ครับ”ผมยิ้มให้น้องเขาทีหนึ่งน้องคนนี้น่ารักมาก ดูมีเสน่ห์สวยทีเดียว และแต่งหน้าบางๆผิดกับน้องอีกคนที่ไม่แต่งหน้า แต่ก็ดูหน้าใสไปอีกแบบ
เจ๋ง กับน้องหน้าใสนั่งด้วยกันที่โต๊ะส่วนตั้นกับน้องหน้าสวยนั่งที่โซฟาไม่ไกลจากคู่แรกจากนั้นก็เป็นหน้าที่ผมที่ต้องจัดเครื่องดื่มตามใบสั่งลูกค้ารายอื่นๆก็เข้ามาบ้างเป็นระยะ ส่วนใหญ่ซื้อไปดื่มข้างนอกมากกว่า
คู่ ของเจ๋งมีเสียงหัวเราะแทรกตลอดแต่แปลกแฮะคู่ของตั้นกลับเคร่งเครียดดูแล้วตั้นจะเป็นฝ่ายคุยมากกว่าคู่สนทนาหน้าตาเฉยมากผิดกับตอนที่เข้าร้านมาใหม่ๆ
“พี่ปั่นพี่ปั่น ”ตั้นเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ตอนผมกำลังก้มๆเงยๆคิดตังค์ที่หน้าเคาเตอร์
“ไงเรา”
“พอดีผมมีผลไม้อยู่ที่รถ ขอยืมจานกับมีดพี่ได้ป่ะ”
“สำหรับลูกค้าได้อยู่แล้ว”
“ขอบคุณครับเดี๋ยวผมจัดการเอง”ตั้นวิ่งหายไปสักครู่กลับมาพร้อมแอปเปิ้ลและองุ่น
“อุปกรณ์อยู่ไหนพี่”
“หลังร้านเลยน้อง”
ตั้นเข้าไปล้างผลไม้สักครู่และแช่ไว้ก็เดินออกมาตะโกน
“รอ ซักครู่นะเพื่อนๆผลไม้กำลังจะตามมา”ด้วยความรีบหรืออะไรก็ไม่ทราบเจ้าตั้นก็สะดุดรองเท้าที่ใช้สำหรับในครัวหงายหลังทันที ยังดีที่ผมอยู่ใกล้รีบเข้าไปรองหลัง(ใช้ศัพท์กีฬาเชียว)รับทันก็จริงแต่ด้วยความตกใจและรวดเร็วหน้าของตั้นเหวี่ยงถูกขอบประตูดังโป๊กไม่แรงนักแค่ปูดขึ้นมาทันตาเห็นจนเพื่อนๆต้องลุกมาดู
“ไม่เป็นไรพี่ไม่เป็นไร”เอามือคลำหน้าผากป้อยๆ
“ไหนดูซิอืมดีนะที่ไม่แตกแค่โนเท่านั้น”ผมประคองตั้นยืนขึ้น
“โหเกือบอดกินผลไม้ซะละ” เจ๋งเห็นตั้นไม่เป็นอะไรเลยแซวขำๆแต่ตั้นถลึงตาใหญ่เลย
“ยังแซวๆ เป็นไรมั้ยตั้นเจ็บมากมั้ยดูหน่อย”น้องน่าใสถาม
“ไม่เป็นไรจริงๆบวมนิดหน่อย” มือยังกุมหน้าผากไม่เลิก
“ถ้า ตั้นไม่เป็นไรก็ดีละอิ๊กไม่มีอะไรจะพูดกับตั้นแล้วนะ งั้นขอตัวกลับก่อนละกันเมื่อกี้โทรให้เพื่อนมารับแล้ว”อ้าวน้องคนสวยนั่นเองว่าแล้วก็เดินออกไปเฉยเลย
ตั้นไม่พูดอะไรสักคำไม่มองตามด้วยผมก็เอ๋อรับประทานเจ๋งตบบ่าเพื่อนเบาๆ
“เออ น่าพวกนายไปนั่งก่อนนั่ง นั่ง นั่ง ”ตั้นดันหลังทั้งสองไปนั่งที่โต๊ะเหมือนเดิมส่วนตัวเองกลับไปล้างผลไม้ที่แช่ต่อแล้วยกใส่จานไปกินกับเพื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สักพักเจ๋งก็ปลีกตัวมาทำเป็นล้างมือแอบกระซิบกับผม
“คน นี้แหละพี่แฟนไอ้ตั้นมัน ง้องๆแง้งๆกันอยู่ก็วันที่เจ้าตั้นมานอนร้านพี่นั่นแหละที่ทะเลาะบอกเลิกกันวุ่นวายวันนี้ตั้นก็เลยแบบมาปรับความเข้าใจกันก็พาผมกับบี๋มาเป็นเพื่อนด้วยเรื่องก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละพี่”ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
“เฮ้ยไอ้เจ๋งคุย ’ไรกับพี่ปั่นวะมานั่งมานั่งกินให้หมดเลยนะโว้ยคนเขาอุตส่าห์ล้างมากับมือ” ตั้นหันหน้าตะโกนมาหน้าผากเป็นสีคล้ำแล้วดูตลกดี
“ไปล่ะพี่เดี๋ยวองค์ลง”เจ๋งยักคิ้วกับผม
“ตั้นทายาหน่อยมั้ยพี่มียานะ”
ตั้นอิดออดไม่ทาแต่บี๋ก็คะยั้นคะยอจนยอมมาในร้านมีตู้ยาสามัญอยู่แล้วเจ้าของเขาเตรียมไว้พร้อม
“นึกเสียว่าสาวสวยกำลังทายาให้ก็แล้วกันนะน้องตั้น”ผมพูดกลั้วหัวเราะ
“ดูซิหัวเราะผมอีกช่างเถอะพี่ขนาดผมเจ็บตัวเขายังไปจากผมได้เลยแสดงว่ามันจบแล้วจริงๆเฮ้อ”
“เอา น่าพระท่านว่าอะไรที่เป็นของของเราก็ย่อมเป็นของของเราแม้ว่าจะพลัดพรากจากกันไปถ้าเป็นของเราจริงก็จะกลับมาหาเราอยู่วันยังค่ำแต่ถ้าไม่ใช่ของเราก็ต้องปล่อยเค้าไป” (ผมก็พล่ามไปได้แฮะ)ตั้นก็ไม่พูดอะไรต่อสักคำ ตอนที่ 5
การ สัมมนาในห้องเรียนเป็นไปอย่างเข้มข้นอาจารย์แต่ละท่านเอาจริงเอาจังมากผมเริ่มจะชินและพอรู้แนวของแต่ละท่านผมและเพื่อนออกมาคุยถึงงานชิ้นต่อไปหลังจากที่เสร็จภาระกิจการเรียน เพื่อนร่วมรุ่นที่มีกันแค่ 9 คนของปีนี้ที่วัยค่อนข้างจะแตกต่างกันไปจึงไม่ค่อยมีใครจับกลุ่มคุยกันนานนักเพราแต่ละคนต้องรีบตาลีตาเหลือกไปหาข้อมูลกันต่อ Present งานกันเป็นว่าเล่น
ส่วนผมต้องไปหาหนังสือที่คณะที่เกี่ยวข้องกับภาษา โดยตรงตามที่อาจารย์ท่านแนะนำก็ไม่เจอก็ต้องถ่อสังขารไปค้นหาที่ศูนย์หนังสือของมหาวิทยาลัยต่อ (ตามที่สอบถามเจ้าดุ๋งเพื่อนร่วมรุ่น)อ้อที่แท้คณะวิศวะฯ ก็อยู่ใกล้กับศูนย์หนังสือนี่เองและก็เจอหนังสือที่ต้องการสมใจนึกย้อนกลับทางเดิมมีเวลาเดินทอดน่องไม่รีบเหมือนตอนมาค่อยๆสังเกตดูความเป็นไปของนักศึกษาในเมืองกรุง
ที่โต๊ะข้างหน้าเจ๋ง กับบี๋นี่นาเพื่อนๆอีก 4 – 5 คน ผมกะว่าจะไม่ทักหรอกเพราะไม่รู้ว่าอารมณ์ตอนนั้นของพวกเขาอยากจะทักเราหรือเปล่ายังไม่ได้สนิทอะไรกันนักพอเจ้าเจ๋งเห็นเข้า ผมก็พยักหน้ายิ้มให้แล้วเดินต่อ
“เดี๋ยวพี่ปั่นพี่ปั่นนน....ไม่ยอมทักน้องนุ่งกันเลยไปไหนมาคับพี่”เจ้าเจ๋งตะโกนโหวกเหวกจนนิสิตแถวนั้นต้องหันมองตามผมก็เลยต้องเดินเข้าไปคุยหน่อย ไม่ให้เสียมารยาทผมยังไม่ทันพูดอะไร
“มาขายประกันใช่มั้ยพี่”เจ๋งพูดยิ้มๆอย่างรู้ทัน
“ใช่ๆมาขายประกันช่วยซื้อหน่อยสิ”ผมพูดไปหัวเราะไปเช่นกัน
หลังจากที่ทักทายและแนะนำเพื่อนในกลุ่มแล้วผมก็เพิ่งสังเกตว่าขาดตั้นอยูในกลุ่ม
“คุยกันตั้งนานแล้วตั้นหายไปไหนล่ะ เจ๋งบี๋”ผมถามหันหน้าไปมองทั้งสอง
“ท้องเสียค่ะพี่เมื่อวานนี้พากันไปกินส้มตำซาดิสต์ตั้นมันกินเผ็ดไม่ค่อยได้ก็ยังอยากกินกับเค้าอีก”บี๋เล่าให้ฟัง
“แถมซุปหน่อไม้หอยดอง ยำแหนม แสลงทั้งนั้น แต่พวกผมธาตุหนักพี่ เพราะวันๆ ก็หนักแผ่นดินอยู่แล้ว”เจ๋งขยายความต่อและหยอดมุกประกอบ
“มี แต่ไอ้ตั้นเท่านั้นงานเข้า โทรมาเมื่อเช้า ลาให้หน่อยสงสัยจะเดี้ยงหนักผมยังไม่ได้ไปดูมันเลยเย็นนี้ต้องรีบกลับมีธุระกับป๊ะแหะ แหะ ถ้าท่านพี่ไม่มีธุระที่ไหนไปเยี่ยมมันหน่อยก็ได้นะพี่”
“เหรอเดี๋ยวดูก่อนนะแล้วหออยู่ไหนล่ะ”เจ๋งบอกที่ตั้งและทางไปที่แท้ก็ทางเดียวกันโซนเดียวกันอีกต่างหากแต่คนละซีกเท่านั้นเองห่างกันราวๆ500เมตรเห็นจะได้ซึ่งเป็นหอพักของมหาวิทยาลัยแต่อยู่อีกฝั่งถนนกับมหาวิทยาลัยนั่นเอง
ผม เดินคิดมาตลอดทางจะไปเยี่ยมดีหรือเปล่าน้าจะไปในฐานะอะไรเนี่ยไม่ได้รู้จักกันมากมายไปแล้วเขาจะคิดยังไงหว่าแวะซื้อของซะหน่อยแล้วค่อยไปละกันไม่มีอะไรเสียหายนี่นาเพราะเสียมาเยอะแล้ว(หมายถึงเสียเวลาอ๊ะครับ)
“เจ๋งเหรอเข้ามาเลยประตูไม่ล็อค”เสียงตอบออกมาหลังจากที่ผมเคาะประตูไปแล้ว
“พี่ปั่นมาได้ไงเนี่ย........สวัสดีครับ”น้ำเสียงยังงงๆ แต่ก็ยกมือไหว้ทันควัน
“ไม่ต้องไหว้หรอกวุ่นวายๆ บังเอิญเจอเจ๋งก็เลยรู้”ตั้นนอนอยู่ที่เตียงผมจึงมองหาเก้าอี้แล้วมานั่งข้างๆ
“เป็นไงบ้างหน้าตาดูเซียวๆ”ปากที่เคยแดงๆดูซีดอย่างเห็นได้ชัดท่าทางอ่อนเพลียจริงๆ
“ก็ดีขึ้นแล้วพี่แต่ยังไม่หายปวดท้องมีไข้นิดๆ”
ผมถือวิสาสะเอามือแตะหน้าผากอืมตัวร้อนแฮะ
“ทานยาแล้วใช่มั้ย”ผมถามเพราะเห็นซองยาและน้ำเกลือแร่ที่โต๊ะข้างเตียงนอน
“อ๋อเรียบร้อยคับแล้วทำไมมาถึงนี่ได้”
“หอพี่ก็อยู่แถวนี้แหละแต่คนละซีกตึกมันคั่นหลายตึกเราก็เลยไม่เคยเจอกันก่อนมาถึงนี่ก็ขายประกันมาเรื่อย”
“อำผมอีกละอย่าให้ผมรั่วไปกว่านี้เลยพี่เนี่ยเนียนมากเลยนะ”
“อะไร ๆ พี่หนุ่มขายประกันตัวจริงมาเร็วเคลมเร็วชิ่งเร็ว”ผมสนุกเรื่อยๆ
“ไม่ต้องเลยว่าจะถามพี่หลายครั้งแล้ว พี่เรียนอะไรอ่ะ”จะเอาคำตอบให้ได้แน่ะ
“เอ่อKSN ”
“อะไรอ่ะ KSN”
“กศน.” ผมอดหัวเราะไม่ได้ตั้นพลอยหัวเราะไปด้วย
“เอาจริงๆดิเรียนอะไรง่ะ”
“ก็ได้ เรียนอังกฤษครับ”
“โทใช่มั้ย”
“ก็ไม่เชิงหรอก”
“อย่าบอกว่าเอกนะ” ผมพยักหน้า
“ฮ้าจริงหรือเนี่ยเซอร์มากมอเรามีคณะนี้ด้วยเหรอ”
“มีครับแต่เป็นของบัณฑิตวิท’ลัยเปลี่ยนเรื่องเหอะ เดี๋ยวคนป่วยเครียดวันนี้มีอะไรตกถึงท้องรึยังนอกจากยา”
“ยังเลยพี่แต่ไม่หิวนะ”เป็นคำตอบที่เป็นไปตามคาด
“พี่มีนมนะ นมกล่องน่ะเดี๋ยวจะบอกว่าผมก็มีนมครับเออต้องมีอะไรหนักท้องหน่อยโจ๊กซองก็มีนะแวะซื้อเมื่อกี้”
“ไม่เป็นไรพี่แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว”
“ไม่ ต้องวอรี่เดี๋ยวจัดให้ไม่ค่อยมีแรงไม่ใช่เหรอเรา”ผมไม่รอคำตอบ เพราะมองเห็นอุปกรณ์และเครื่องทำน้ำร้อนแล้วก็เลยจัดการทำโจ๊กซะ
“ไม่หิวก็ฝืนเอาหน่อยจะได้มีแรงหายเร็วๆ ชิมแล้วไม่โอก็เททิ้งได้เลยนะเพราะพี่ก็ไม่มั่นใจฝีมือเท่าไร” ผมพล่าม
“ใครจะกล้าคนอุตส่าห์ทำให้แล้วนอกจากเอาไปให้เพื่อนข้างห้องกินก็เท่านั้นเอ๊ง”คนป่วยยักคิ้ว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นและเปิดเข้ามาทันที
“ตั้นตั้น มีสาวๆมาเยี่ยมน่ะรออยู่ด้านล่าง” คงเป็นเพื่อนในหอด้วยกันมาบอก
“เออๆขอบใจเพื่อนเดี๋ยวเราไป”
“ตั้น ไปหากิ๊กเถอะโจ๊กใกล้เสร็จละเดี๋ยวพี่ลงไปจะปิดประตูให้ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะจิ๊กอะไรไป เล็งไว้แล้ว2- 3อย่างแล้ว”
“แหมพี่ปั่นก้อ...... งั้นผมลงไปก่อนนะครับ”
โจ๊ก ได้ที่ ผมก็เตรียมกลับเห็นตั้นกำลังคุยกับสองสาว หน้าตาน่ารักเอาการหัวเราะกันใหญ่ไม่มีวี่แววว่าป่วยเลยนะเจ้าตั้นแต่ทั้งสามไม่เห็นผมหรอก เพราะเดินเลี่ยงออกมาด้านข้างอย่างเงียบๆ ขอบคุณนะครับสำหรับทุกกำลังใจผมติดตามอ่านคอมเมนต์ทุกคำตอบอยู่แล้ว
ตอนที่ 6
วัน นี้ดุ๋งเข้ามาหาผมที่ร้านกาแฟค่อนข้างเช้าแฮะปกติจะแวะมาช่วงเย็นโน่นแต่ก็นานๆทีดูสีหน้าไม่สู้ดีนักมาถึงก็ขอคุยเป็นการเป็นงาน
“ไม่เป็นไรดุ๋งไม่ต้องคิดมากเข้าใจโว้ยเข้าใจ”ผมเข้าไปกอดคอมัน
“เรา ซะอีกต้องขอบคุณนายที่อุตส่าห์ให้โอกาสและช่วยให้มีรายได้ขึ้นมาทั้งๆที่ก็เพิ่งรู้จักกันก็ตอนเรียนนี่เองนายยังกล้าไว้ใจเราเลยนับประสาอะไรเรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อยเพื่อน” ผมพูดจากใจจริงเข้ามากรุงเทพฯไม่กี่เดือนก็ได้เจ้าดุ๋งนั่นแหละที่คบค้าสมาคมด้วย
“แน่นะเว้ย”ดุ๋งย้ำ ผมพยักหน้าหงึกหงัก
“ถ้านายเข้าใจก็สบายใจว่ะงั้นเดี๋ยวเป็นลูกมือช่วยขายละกัน”
เฮ้ ทำไมแต่ละคนมาแต่ช่วงเช้ากันนะวันนี้ นี่ก็อีกกลุ่มหนึ่งตั้นเจ๋ง บี๋ และเพื่อนอีกสามคนหลังจากที่ไม่ได้เจอกันราวๆสัปดาห์หนึ่งเห็นจะได้สั่งเครื่องดื่มตามใจตนเองเสร็จก็พากันไปเลือกโต๊ะตัวในสุดเหมือนต้องการความเป็นส่วนตัวยังไงยังงั้น
“วันนี้ไม่มีเรียนกันเหรอพ่อหนุ่มสาวทั้งหลาย”ผมทักขณะเอากาแฟไปเสิร์ฟ
“มีเลคเชอร์บ่ายพี่ตอนนี้เร่งเตรียมโปรเจคท์กลุ่มกันก่อน”เจ๋งตอบโดยไม่เงยหน้า
“ส่วนพ้มขอปรึกษาเรื่อง Eng นะฮะ” ตั้นทำหน้าเจ้าเล่ห์
“น่านนน...บลั๊ฟกันอีกละ”ผมเบิกตาโต
“เรื่องจริงนะพี่เตรียมตัวไว้ก่อนสอบชิงทุนอ่ะ”
“งั้น ต้องพี่ดุ๋งนี่เลยจบนอกโดยตรงอย่างแรงๆ”ผมเชียร์ แล้วก็แนะนำให้รู้จักกันซะเลยดุ๋งเข้ากับเด็กกลุ่มนี้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเพราะช่างคุย และเฟรนด์ลี่อยู่แล้ว
“แหมพี่ปั่นหวงวิชาเชียวนะไม่ยอมติวกันเล้ย” เสียงเจ้าตั้น
“ไม่หรอกพี่น่ะยินดีซาเหมอ ให้พี่ดุ๋งโชว์พาวไปก่อน”
จาก ความเป็นกันเองของดุ๋งกระมังจึงทำให้เด็กๆกล้าชวนไปงานวันเกิดได้ยินแว่วๆว่าเป็นวันเกิดของบี๋น่ะ(ขนาดได้ยินแว่วๆนะเนี่ย) เสียงดุ๋งบ่นเสียดมเสียดายว่ามีนัดอยู่แล้วและโบ้ยมาทางผม
“พี่ปั่นถ้า ไม่รังเกียจไปนะพี่ไม่มีใครหรอก ไม่ถึงสิบได้คืนพรุ่งนี้ค่ะ”เสียงบี๋กล่าวชวนเอ ถ้าดุ๋งไม่แนะมาจะชวนเรามั้ยน้อถึงไม่ชวนก็ไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย
“โห ใครจะกล้ารังเกียจสาวหน้าใสอย่างน้องบี๋ล่ะครับพี่ไปเดี๋ยวน้องๆจะไม่สนุกกันซะเปล่า”
“ไปเท้อพี่ปั่น ไอ้บี๋มันไม่ใช่ชวนใครๆง่าย ถ้าไม่จำเป็น แต่นี่มันจำเป็นถึงชวนไง”หนอยเจ้าเจ๋ง
“ฮือ ฮือพี่ซาบซึ้งมากครับ แล้วจะรู้ว่าพี่น่ะตัวกินกับของแท้เลยนะ”ผมทำเสียงล้อเลียนกลับ
“ถือว่ารับปากแล้วนะงั้นพรุ่งนี้ซักห้าโมงเย็นผมมารับที่หอก็แล้วกันแล้วจะโทรหาอีกทีว่าแล้วก็เอาเบอร์มาซะดีๆ”
ทุก คนกลับกันไปแล้วผมจึงได้มีเวลาคิดทบทวนก็ดีเหมือนกันช่วงนี้จะได้ผ่อนคลายหน่อย หลังจากที่หัวมีแต่เรื่องเรียน เรื่องงานและเรื่องเงิน
ผมเตรียมตัวเสร็จก่อนห้าโมงซะอีกเสียงมือถือดังขึ้น
“เจ๋งเหรอขับมาทางเดียวกับหอ..........” ผมพูดทันที
“ไม่ใช่พี่ไม่ใช่ผมตั้นสุดฮอตคับเจ๋งขับรถอยู่กำลังจะไปรับแล้ว บอกทางอีกรอบนึงพี่”อ๋อตั้นนั่นเอง
ไม่ ถึงสิบนาทีรถก็มาถึงหอทันที ในรถมีสี่คนแต่ละคนแต่งตัวกันได้ทันสมัยมั่กมากเด็กกรุงเทพฯก็งี้แหละ ต่างคนต่างทักทายกันเสร็จก็ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงบ้านของน้องบี๋
แขก มีสิบคนพอดิบพอดีถ้าไม่นับเจ้าของงานวันเกิดเป็นเพื่อนผู้หญิงของน้องบี๋ซะสี่คนแน่นอนแต่ละคนก็น่ารักทั้งนั้น(ทำไมคน หน้าตาดีจึงกระจุกตัวกันที่กรุงเทพฯกันหมดน้า)ฝ่ายหนุ่มๆมีหกซึ่งรวมเพื่อนชายข้างบ้านน้องบี๋อีกคนหนึ่ง พ่อแม่น้องบี๋ขอตัวขึ้นข้างบนก่อนปล่อยให้เด็กๆรวมทั้งผมสนุกกันเฉพาะกลุ่มผมไม่ลืมที่จะให้ของขวัญเพราะเตรียมเอาไว้แล้วนั่นก็คือหนังสือกลอนที่อ่าน ได้ทุกเพศทุกวัยผมยังไม่ทราบรสนิยมของน้องบี๋จึงให้ของที่เป็นกลางๆไว้ก่อน
บรรยากาศ สนุกสนานตามวัยของน้องๆเขา หลังจากที่คุยกันอย่างเมามันแล้วจะขาดเครื่องดื่มและเสียงเพลงไปได้เยี่ยงไรหนุ่มๆก็เหล้าส่วนน้องผู้หญิงก็สปาย
แต่ละคนก็กระดกเก่งกันเหลือเกิน(หมายถึงแก้ว เหล้าแก้วสปาย )เฮ้ยเริ่มจะคุยกันเป็นคู่เป็นคู่แล้วมีน้องน้องอะไรหว่าน้อง .....น้องนุกนิก(ไม่ใช่นุกนิกเอเอฟหก)นั่นเอง
ที่ไป ร้องเพลงคาราโอเค มีน้องย้งไปด้วย ย้งป็นน้องชายของเจ๋งน่ะครับขอมาด้วยเพราะคุ้นกับน้องบี๋อยู่แล้วแต่น้องย้งดื่มไม่มากเหมือนจะรู้ตัวดีเพราะพึ่งเข้าปีหนึ่งเองแต่คนละมหาวิยาลัยกับเจ๋งน้องนุกนิกร้องเพลงเพราะดี แต่ย้งไม่ร้องได้แต่เต้นตามเท่านั้น
ผม อยากเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวเขาคุยกันคล่องหน่อย (ความจริงผมเป็นส่วนเกินอยู่)จึงทำทีเอาแก้วที่วางเรี่ยราดอยู่จะไปเก็บใน ครัวกำลังเดินผ่านน้องนุกนิกกับน้องหยกอยู่นั้น
“มา มา พี่ปั่น ร้องเพลงกันพี่ร้องตาแดงๆ ได้ป๊ะ ถ้าได้ เพลงคู่กันเล๊ย”
โอ้โห ไม่รู้จัก ปั่นโชว์โอเกะซะแล้ว
“ได้ครับแต่ย้ง ’ไมไม่ร้องล่ะ”
“ผมร้องเพลงไม่เป็นครับพี่แต่ขอเป็นแดนเซอร์เอง”
ผมไม่ฟังเสียงละและไม่สนใจแล้วว่านุกนิกกับย้งกิ๊กกันอยู่หรือเปล่าคว้าหมับไมค์อีกตัวทันที ดนตรีขึ้นผมก็โซโล่ทันที
“โอ้โหเสียงดีมาก (นุกนิกชมจริงๆครับ) แต่ท่อนแรก มันของหนูนะพี่ ”แป่ววว... นุกนิกกับผมหัวเราะก๊าก
ผม กับนุกนิกร้องเพลงเข้าขากันมาก(อันนี้คิดเอาเอง)จากนั้น ก็ต่อด้วยหนุ่มบาว สาวปานทันที ย้งก็ออกสเต็ปตามได้สามช่าจริงๆเพลงเริ่มมันขึ้นนุกนิกชวนผมลุกเต้นด้วยผมก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เรื่องเพลงถึงไหนถึงกันมีตอนหนึ่งที่นุกนิกเต้นเอาหลังมาสีกันกับผม แบบขำๆ ผมยังกล่าวเลยว่าระวังจะติดขี้กลากจากพี่นะพอนุกนิกขอพักเหนื่อย ผมเลยร้องสามเพลงรวดแนวๆทั้งนั้น รักสลายดอกฝ้ายบานงี้ เชพบ๊ะงี้ตบท้ายด้วย จิ๊จ๊ะซะเลย ตอนเพลงเชพบ๊ะน้องย้งทำท่างได้ตลกมากเออ ช่างกล้าจริงๆ นุกนิก ตบมือใหญ่ด้วยความชอบใจใหญ่
งานเลิกเกือบตี หนึ่งสาวๆก็นอนบ้านน้องบี๋ต่อส่วนพวกผมก็ไปนอนบ้านน้องผู้ชายที่อยู่ข้างๆน้องเขาเป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน แต่พ่อแม่มีเงินก็เลยซื้อบ้านให้อยู่ตอนมาเรียน พวกเราทำตัวหลุดกันหน่อยก็ไม่มีใครว่า พวกหนุ่มๆเมาๆกันทั้งนั้น มีน้องย้งเท่านั้นที่มีอาการน้อยกว่าเพื่อนส่วนผมแค่มึนๆเพราะมันหายไปตอนได้ร้องเพลงแล้ว ผมพาน้องแต่ละคนนอนที่ห้องโถงใหญ่ทีละคนมีน้องย้งเป็นผู้ช่วย
จัดแจง หาผ้าห่มตามคำบอกเล่าด้วยเสียงอ้อแอ้ของเจ้าของบ้าน เพราะดึกๆอากาศเย็นเอาการเฮ้อผ้าห่มไม่ครบซะงั้น ผมซึ่งนอนริมสุดเลยต้องขอห่มกับน้องย้งแต่เด็กหนอเด็กนอนดิ้นเหลือเกินผ้าห่มหลุดจากตัวผมบ่อยมากจนปล่อยเลยตามเลยหลับๆตื่นๆ หนาวจังแฮะ
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
อืม มม.. เริ่มอุ่นแล้ว...... สบายจังงง….... อ้าว เช้าแล้วนี่ เฮ้ย ตั้นมานอนข้างเราได้ไงวะเมื่อคืนเจ้าตั้นนอนในสุดนี่นาดูเวลาหกโมงเช้าแล้ว ยังไม่อยากลุกเลยผมรีบนอนตะแคงหันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง
“ตื่นแล้วหรือพี่ปั่น” เสียงตั้นดังใกล้ๆมาจากด้านหลัง
“อืม”
“ผมตื่นมาราวตีสามเห็นพี่นอนหนาวอยู่ ก็เลยมานอนแทรกด้วยพอดีผ้าห่มผมผืนใหญ่หน่อยเลยห่มให้ด้วย”
“ตั้น ไม่รู้อะไรความหนาวทำอะไรพี่ไม่ได้หรอกพี่น่ะสามารถสังเคราะห์แสงได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วจึงกลายเป็นผู้ชายอบอุ่นไงล่ะ”ปล่อยมุกอะไรแต่เช้าวะตู ตอนที่ 7
ผมว่าผมเห็นหลังเจ้าตั้นไวๆนะขณะคุยกับสันต์ผู้ซึ่งทำงานร้านกาแฟอีกคนหนึ่งที่ทำงานสลับวันกับผมไปดูที่ประตูใช่จริงๆด้วยกำลังขี่รถ(มอเตอร์ไซค์)ไปได้หน่อยหนึ่ง
“ฮัลโหลพี่ปั่นมีอะไรคับ”รีบจอดรถข้างทางทันที
“ก็ตั้นนั่นแหละมีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรนี่พี่”
“นี่นี่ หันหลังมาดูซะก่อน”ตั้นหันหลังมาเห็นผมโบกมือหยอยๆให้
“ก็เมื่อกี้พี่เห็นตั้นชะโงกดูกระจกที่ร้านนี่นา”
“อ๋อผมจะแวะมาถามEng หน่อยเท่านั้นเองเห็นพี่มีแขกอยู่ก็เลยไม่อยากกวน”ตั้นอธิบาย
“ตั้นไม่มีธุระไหนใช่ป่ะถ้าไม่มีก็เลี้ยวมาด่วน”
“ ’ ไม อ่ะพี่”
“เถอะน่ามามาช่วยฉลองให้พี่กับเพื่อนหน่อยละกัน”
“ฉลองอะไรเนี่ยเออเออก็ได้ก็ได้เดี๋ยวผมไป”
ผมวางสาย ดุ๋งก็ออกจากห้องน้ำมาสมทบทันที
“ใครโทรมาเหรอ”
“เจ้าตั้นเมื่อกี๊โผล่มาแต่ไม่กล้าเข้าเห็นว่ามีแขก(ผมปิดร้านแขวนป้ายไว้แต่ไม่ได้เอาม่านลง)ก็เลยโทรให้มาฉลองด้วยกัน”
“ดีดี ฉลองกันหน่อย ไหนๆก็ไหนๆแล้ววันนี้”
สมาชิก เป็นสี่คนทันทีที่ตั้นมาถึงดุ๋งขอโทษขอโพยผมกับสันต์อีกรอบทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของมันเลยลืมบอกไปครับว่าดุ๋งมันรวยมากที่บ้านก็มีธุรกิจใหญ่โตแล้วแต่ยังไม่อยากทำงานบริษัทตัวเองเท่าไรจบโทจากนอกต่างหากเลยเลือกเรียนภาษาอังกฤษฆ่าเวลาไปที่จริงฐานะอย่างเจ้าดุ๋งไม่ต้องมาเรียนด็อกเตอร์ก็ได้มันบอกเรียนอังกฤษเพราะถนัดที่สุดฐานดีเป็นทุนเดิมจะจบเมื่อไรมันไม่ซีเรียสเพราะยิ่งยืดเวลาไปนั่งทำงานในบริษัทของตนมากเท่านั้นคนมันรวยซะอย่างเห็นอย่างนี้ เก่งโคตรโคตร
แต่เพื่อไม่ให้ที่บ้านอิดหนาระอาใจกับตัว เองมากทั้งๆที่อายุก็ปูนนี้แล้วก็เลยเลือกเปิดร้านกาแฟโดยให้ผมกับสันต์เป็นผู้จัดการร้าน(เรียกให้หรูหน่อยสิ)ทำงานคนละวันกันโดยเอาตารางเรียนผมเป็นที่ตั้งส่วนสันต์นั้นเรียนจบแล้วและก็มีกิจการขายก๋วยเตี๋ยวเป็นของตัวเองรายได้ก็ดีแต่ต้องการหารายได้เพิ่ม เพราะภรรยาสาวกำลังตั้งท้องลูกคนที่สองสันต์จึงไม่มีปัญหาที่ต้องทำวันเว้นวันกลับดีเสียอีกที่ได้ดูแลที่บ้านสลับกับที่ร้านกาแฟโดยได้รับเงินเดือนแบบ เต็มๆ
แต่เรื่องของเรื่องก็คือแฟนสาวของดุ๋งที่ใกล้จะหมั้นกันเต็มที(ตามที่มันเคยบอก)มาขอบริหารงานที่ร้านกาแฟเองเพราะเรียนจบแล้วพ่อแม่ดุ๋งก็ยินดีปรีดาใหญ่พวกท่านชอบคนที่ขยันทำมาหากินเป็นทุนเดิมอยู่แล้วดุ๋งก็ไม่กล้าขัดอะไร(เพราะขัดใจมามากแล้ว)จึงเป็นที่มาของการเลี้ยงส่งการทำงานวันสุดท้ายในร้านกาแฟนั่นเอง
“เฮ้ยบอกแล้วไงเราต่างหากที่ต้องขอบคุณนายนะเจ้าดุ๋ง”
“ใช่ พี่อย่าคิดมากน่าไม่ต้องห่วงผมหรอกผมก็ไปช่วยครอบครัวขายก๋วยเตี๋ยวต่ออย่าลืมแวะมาอุดหนุนกันบ้างละกัน”สันต์เอ่ยขึ้นบ้าง
ดุ๋งกับสันต์ดื่มกันไม่มากเพราะดุ๋งต้องขับรถกลับส่วนสันต์แทบจะไม่ดื่มเลยจิบๆเท่านั้นคนเป็นพ่อคนก็ยังงี้สันต์บอกว่าลูกขอเอาไว้อยากเห็นพ่ออยู่กับผมไปนานๆฟังแล้วชื่นใจจริงๆน้ำตาจะไหลเสียให้ได้
ดุ๋งกับสันต์กลับไปแล้ว(ทั้งคู่มาด้วยกัน)เหลือผมกับตั้นที่ค่อยๆละเลียดเบียร์กันอยู่
“พี่จะทำไงต่อไปอ่ะ”
“พี่พอมีงานแปลอยู่บ้างตอนนี้คงมีเวลาเพิ่มงานเขียนขึ้น”
“ฮ้าาา..... ผมกำลังคุยกับนักเขียนอยู่หรือนี่ทำให้แปลกใจอยู่เรื่อยเลย”
“ไม่เห็นแปลกตรงไหนผมต้องทำมาหากินนะครับเพ่”
“เหอะน่า ผมแปลกใจก็แล้วกัน พี่ปั่นเริ่มเมายังตาหวานมากเลยนะเนี่ย”
“อย่างอื่นก็หวานด้วย”
“อารายยย....”
“น้ำตาล”
“เฮ้อขอไว้อาลัยให้กับมุกนี้หนึ่งจอก”
“ว่าแต่พี่ตัวเองก็แก้มแดงเป็นตูดลิงเชียว”
“อะไรเคยได้ยินแต่แดงเป็นลูกตำลึงนะ เออผมไม่นึกว่าพี่จะร้องเพลงมันขนาดนี้เพราะอีกตะหากนุกนิกยังเพ้อหาพี่เลย”
“เพ้อ ว่า อย่ามาให้เจออีกนะสิก็เห็นแต่ละคนกะลังป้อสาวกันอยู่ไปก็เป็นเอบีซีดี พี่เลยชิ่งมาร้องเพลงดีกว่าเผื่อใครแถวนั้นเป็นโมเดลลิ่งเห็นแววให้ออกกูเกิ้ลบ้าง”
“ซิงเกิ้ลซิงเกิ้ลตลกอีกละ” ตั้นท่าทางเมาๆ
“จริงๆนะพี่วันก่อนเจอกับนุกนิกยังฝากความคิดถึงมาให้พี่เล้ย”ตั้นเล่าต่อ
“โหยอย่าหลอกคนแก่สิมันบาปใครมาชอบพี่แสดงว่าคนๆนั้นไม่เลือกคนเต็มทีแล้วอีกอย่างพี่ก็มีลูกแล้วด้วย”
“ฮ้าาา.....จะทำให้ผมเซอร์ไพรส์ถึงไหนเนี่ย”เสียงดูตกใจจริงๆ
“เรื่องนี้ช่างมันเถอะไม่สำคัญนักหรอกว่าแต่ตั้นเถอะฮอตจริงๆ ก็เห็นสาวๆเค้า เหล่ๆตั้นอยู่น้า”
“ไม่ ล่ะพี่ผมก็คุยเป็นเพื่อนๆกันงั้นแหละอย่าลืมว่าผมเพิ่งโดนบอกเลิกมานะยังเจ็บไม่หายเลย”อ้าวเฮ้ยบรรยากาศเริ่มตึงๆซะแล้วสิ
“.........กับความรักและซื่อสัตย์ตั้งสองปีผมยังโดนขนาดนี้มันเจ็บมากรู้มั้ยครับ
เจ็บที่ใจนี่”เอานิ้วจิ้มอกตัวเองประกอบ
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อตั้นก็ค่อยๆซบลงตรงไหล่ผม
“ผม หวังว่าไม่นานมันคงหายทรมาน ......ซะที”เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้งและเงียบไปในที่สุดผมก็ได้แต่เอื้อมมือไปตบบ่าเบาๆเหมือนกำลังปลอบเด็กน้อยให้หายกลัว ตอนที่ 8
เรื่อง เรียนหนักขึ้นเรื่อยๆ เงินเก็บที่ติดตัวมาเริ่มลดลง ต้องปั่นงานแปลและงานเขียนเป็นเม็ดงินเพิ่มขึ้นหลังจากต้องล้างมือจากอ่างทองคำที่ร้านกาแฟของเจ้าดุ๋ง(เหมือนวางมือจากยุทธ จักรยังไงยังงั้น)ทั้งๆที่รู้และเตรียมตัวเตรียมล่วงหน้ามาแล้วว่าจะต้องเจออะไรบ้างส่วนเพื่อนคนอื่นๆแทบจะไม่มีปัญหาเรื่องดังกล่าวเลยแต่ละคนไฮโซทั้งนั้น
อาจารย์ ให้แนวคิดถึงการไปค้นหาหลักฐานทางภาษาในหอสมุดแห่งชาติผมสอบถามดุ๋งถึงที่ตั้งมันกลับบอกให้หาในเน็ตดีกว่าแต่ผมอยากไปถึงที่จริงๆและต้องการสอบถามข้อมูลอื่นด้วยเพื่อประโยชน์ในงาน ต่อๆไป จะถามดุ๋งอีกทีกลับขับรถออกไปซะงั้นดุ๋งนะดุ๋งจะโทรถามก็เกรงใจว่ากำลังขับรถอยู่เดี๋ยวโทรถามตั้นก็ได้พรุ่งนี้ก็วันเสาร์พอดี
“ฮัลโหลตั้นว่างมั้ยตอนนี้”
“ว่างครับคิดถึงผมละซี้ถึงได้โทรมาไม่ค่อยโทรหากันเลยนะ”ตั้นส่งเสียงหยอกเย้ามาตามสาย
“เออความคิดถึงกำลังเดินทางว่างโย้หม่าย(อยู่มั้ย)ช่วยรับสายที” ผมครวญเพลงของโกไข่กับนายสนซะเลย
“น้านพี่ปั่นเล่นด้วยทำเคลิ้มทำเคลิ้มอ๊ะล้อเล่งล้อเล่ง”ดูมันพูด
“อะแฮ่มอะแฮ่ม คือพี่ถามหน่อยเรื่องหอสมุดแห่งชาติน่ะอยู่แถวไหนตั้น”
“สบายมากพี่ถามถูกคนแล้ว.......”
ตั้น อธิบายเส้นทางจากที่นี่ไปต้องขึ้นรถเมล์2ต่อผมก็พอเข้าใจบ้างไม่น่ามีปัญหาอะไร เป็นหนุ่มโฉดกรุงเทพฯ แค่ 4 เดือนเองแทบไม่ได้ไปไหนเลย ระหว่างมหาวิทยาลัย กับร้านกาแฟ(สัมมนานอกพื้นที่นานๆครั้ง)
ความจริงจะไปแท็กซี่ก็ได้แต่ อยากได้บรรยากาศมากกว่าเหตุผลฟังดูดีนะครับเอ้าเอาจริงๆนะ ต้องการประหยัดมากกว่าแหมอะไรประหยัดได้ก็ต้องทำไม่ใช่เหรอก็มาอยู่เมืองกรุงหัวเดียวกระเทียมลีบนี่นาเงินทองขาดมือจะทำยังไงเรื่องมันเศร้ามากมาย
ผมแค่ถามทางตั้นเท่านั้นเองไม่กล้าชวนไปหรอกครับเพราะกลัวว่าเขาต้องการพักผ่อนหรือทำกิจกรรมตามวัยของเขากับเพื่อนๆมากกว่าแต่ตั้นอาสาจะพาไปเหตุจากกำลังเครียดอยู่ที่อ่านหนังสือเตรียมสอบเป็นอันว่านัดเจอกันที่หอตั้นพรุ่งนี้เวลาสามโมงเช้า
ผมออกจากหอราว8.40 น. เห็นจะได้เผื่อเวลาเดินอีกนิดหนึ่งสบายๆไม่รีบร้อนอะไรแป๊บเดียวก็ถึงแล้วหนุ่มสาวคุยกันกะหนุงกะหนิงหน้าหอพักเป็นคู่ๆ เอนั่นเจ้าตั้นคุยกับใครนะหน้าตาคุ้นๆ ......น้องอิ๊กนั่นเอง คงมาปรับความเข้าใจกันละมั้งดีแล้วล่ะตั้นจะได้เลิกหงอยซะทีผมตรองดูแล้วไม่เข้าไปดีกว่าให้เขาได้คุยกันเป็นกันเป็นส่วนตัวหน่อยงั้นไปดีกว่าเกรงใจตั้นมันผมเลยส่งข้อความไปบอก
“เห็นคุยกับเพื่อนอยู่พี่เกรงจายยย...จัง ไม่ต้องห่วงพี่ไปก่อนนะ รุ่นนี้แล้วไม่หลงหรอก”
ผม จึงเดินเลยมาป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัยคนเยอะแฮะวันนี้วันหยุดคนคงอยากไปเที่ยวไหนต่อไหนกันบ้างล่ะเสียงมือถือสั่นที่กางเกง
“เดี๋ยวพี่ ตอนนี้อยู่ไหน”เสียงตั้น เหนื่อยๆหอบๆ
“ป้ายรถเมล์หน้ามอ”
“งั้นรอผมเดียวกำลังไปหาห้ามไปก่อนไม่งั้นมีเหวี่ยงจริงด้วย”
วาง สายไปมองซ้ายขวาเห็นเจ้าตั้นกระหืดกระหอบมาแต่ไกลดูวิ่งเข้าสิตลกจังวิ่งเร็วซะด้วยมาถึงก็หอบแฮ่กๆเหงื่อเต็มใบหน้าสีชมพู
“เออผู้ใหญ่นะผู้ใหญ่ให้มันได้ยังงี้สินัดไม่เป็นนัด” เป็นชุด
“มามานั่งก่อนเห็นคุยกันอยู่ไม่อยากกวนเกรงใจด้วย”ผมอธิบาย
“ไม่ เกี่ยวเลยเราคุยกันเรื่องละครของมหาลัยเทอมหน้าโน่นไม่ใช่อย่างที่คิดคนเขาอุตส่าห์จะพาเที่ยวบางกอกซะหน่อย” ชุดที่สองตามมา
“คร้าบขอโทษละกันข้าน้อยผิดไปแล้วข้าน้อยสมควรตาย”
“เอาตัวไปประหารเครื่องประหารหัวจิ้งจก”
“ข้าน้อยพูดเล่นนน......”เจ้าตั้นถึงยิ้มออกมาได้
เมื่อ ถึงหอสมุดแห่งชาติกันแล้วก็แยกกันสำรวจตามความมุ่งหมายและความสนใจของตัวเองเสร็จภารกิจก็เที่ยงพอดีได้เวลากินแล้วครับท้องอิ่มจึงชวนตั้นไปดูหนังต่อเพื่อเป็นการตอบแทนให้ตั้นเลือกจะดูอะไรปรากฏว่าเป็นหนังผีตลกๆก็คลายเครียดดี หนังจบตั้นชวนไปร้องคาราโอเกะต่อทันทีมีหรือผมจะปฏิเสธถึงขั้นนี้แล้วเรื่องเพลงขอให้บอกเดี๋ยวจัดให้ร้องกัน เต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง เหลือ2เพลงสุดท้ายตั้นเลือก“ชายคนหนึ่ง”ของปีเตอร์คอร์ป เพลงนี้ไม่ได้ฟังนานแล้วเป็นเพลงที่เคยชอบด้วยส่วนผมเลือกเพลง “ลมหนาว”ของทีฟอร์ทรี ที่เพิ่งได้ยินเสียงต้นฉบับเมื่อคืนวันก่อนถึงรู้ว่าต้นฉบับร้องได้เพราะมากร้องเพลงนี้ผมจึงอินเป็นพิเศษ
เรา กลับถึงหอพักกันก็สองทุ่มกว่าแล้วตั้นพยายามช่วยแชร์ค่าใช้จ่ายตลอดแต่ผมไม่ยอมท่าเดียว (เพราะมีหลายท่ามาก) ขอเป็นฝ่ายเลี้ยงเอง
“สนุกมากเลยพี่ปั่น คืนนี้คงนอนฝันหวานแน่ๆขอบคุณมากที่เลี้ยงตลอด”ตั้นบอกก่อนเข้าหอ
“พี่ก็ม่วนซื่นหลายในรอบสี่เดือนเล้ย”
ผมเดินกลับหอตัวลอยๆสงสัยตัวเองว่าทำไมถึงเกิดความรู้สึกแบบนี้ได้นะ ตอนที่9
ช่วง นี้เข้าสู่ปลายเทอมแรกแล้วใกล้สอบกันเต็มทีไวๆจริงๆนะเวลาผมเจอกับตั้นและเจ๋งบ้างเป็นระยะๆโทรคุยกันตามสมควรพวกน้องก็โทรถามเรื่องด้านภาษาส่วนผมถามพวกเขาในเรื่องของเทคโนโลยีต่างๆซึ่งเด็กวิศวะจะมีทักษะสูงทางด้านนี้อยู่แล้ว
ผมแทบไม่มีเวลาคิด เรื่องอื่นเลยนอกจาก เรียนเรียนเรียน (หนักมากกก) กับ (วิธีหา)เงินเงินเงินช่วงกลางๆเดือนกันยายนตั้นกับเจ๋งก็สอบกันเสร็จแล้วผมสงสัยว่าทำไมสอบกันเร็วจังน้องๆบอกว่าแล้วแต่คณะและชั้นปีอย่างพวกเขาอาจารย์เร่งสอบก่อนเพราะต้องการให้นิสิตได้มีเวลาทำโปรเจคท์ที่เหลือและบางสาขาก็ต้องฝึกงานซึ่งก็แล้วแต่จะตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกเจ๋งบอกว่าปิดเทอมนี้ต้องไปทำทัวร์กับป๊าและม้าเป็นทัวร์ในประเทศทัวร์ต่างประเทศก็มีเหมือนกันแต่เป็นโปรแกรมหน้า(ไม่ใช่โปรแกรมหน้าวิญญาณ อาฆาตนะ มุกเก๊า.....เก่า)รวยเหลือเกินพ่อคุณตั้นบอกจะกลับไปบ้านสัก 4-5วัน เพราะที่บ้านน้ำท่วมช่วงที่ฝนตกหนักในกรุงเทพฯช่วงก่อนและน้ำหนุนจากทางเหนือ
“อย่างนี้เขาเรียกว่าหัวบันไดบ้านไม่แห้ง”เจ๋งแซว
“หัวกระไดบ้านพี่ก็ไม่แห้งใครผ่านไปมาก็บ้วนน้ำลายเข้าใส่ขากตุ๊ยขากตุ๊ย”ผมร่วมแจม
“พอกันเลยทั้งคู่ เข้าขากันดีนักนะ”ตั้นเบรก
“แล้วปิดเทอมกลับบ้านมั้ยพี่ปั่น”เจ๋งถามผม
“ของ พี่ปิดเทอมก็เหมือนไม่ปิด ยังไม่ได้สอบเล้ย ถ้าสอบเสร็จก็ต้องลุยวิจัยต่อและมันก็เป็นช่วงโอกาสทองด้วยที่จะเมกมันนี่ถ้ากลับบ้านเฉพาะค่ารถไปกลับก็ปาเข้าเกือบพันบาทแล้วไหนจะค่าอื่นๆอีกพี่วางแผนกลับตอนสิ้นปีเอา”ผมร่ายยาว
“สรุปว่าม่ายกลับ” เจ้าตั้นสรุปความให้และเสนอต่อ
“งั้นไปเที่ยวบ้านผมมั้ยน่าอยู่น้า”
“คิดดูก่อนได้ป่ะ”ผมยังลังเลหลายๆเรื่อง
“ไปนะพี่ไปช่วยผมขนของหนีน้ำไงไม่มีใครช่วยขนสงสารผมเถอะ”ตั้นโอดครวญทำตาปริบๆ
“เออจริงพี่ปั่นช่วยไอ้ตั้นมันขนข้าวขนของหน่อยแถมประหยัดค่ากับข้าวอีกหลายวันเชียวนะ”เจ๋งสนับสนุนใหญ่
“ใช่สิพี่จะประหยัดอีกเยอะเลย........... อ๊ะก็ได้”
“ไม่ค่อยเท่าไรเลยพี่เราแต่ไงก็รับปากแล้วนะห้ามเบี้ยวละกันงั้นพรุ่งนี้กิ๊กเผลอแล้วเจอกัน”
ตั้น เล่าให้ฟังขณะนั่งรถเมล์ไปด้วยกันตอนเย็นๆว่าบ้านอยู่แถบชานเมืองติดกับนนทบุรีโน่นบ้านจึงทำสวนเหมือนคนในพื้นที่พอถึงบ้านก็น่าอยู่จริงๆแฮะและก็ไม่ใช่ชาวสวนธรรมดาซะด้วยแต่เป็นระดับเศรษฐีของแถวๆนั้นเลยแหละ(สังเกต จากสภาพโดยรวมหลายปัจจัย) พระเจ้าช่วยคนรอบข้างผมทำไมมีแต่รวยๆกันนะเจอแม่กับพี่ชายและน้องสาวตั้นแต่ไม่เห็นคุณพ่ออาจไปทำสวนยังไม่กลับก็ได้
หลังจากที่ไต่ถามกันตามสมควรแล้วแม่ให้ตั้นพาผมไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อนใกล้ค่ำค่อยมารับประทานอาหารกันครอบครัวนี้รับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันดีแต่ก็ยังไม่เห็นคุณพ่อพี่ชายของตั้นก็แต่งงานเรียบร้อยแล้วลูกสาวอายุ 2 ขวบกำลังน่ารักน่าชัง บรรยากาศจึงครึกครื้นดีเมื่อมีเด็กเหมือนกับว่าไม่ใช่บรรยากาศของชาวกรุงยังไงยังงั้นเมื่อทานข้าวเสร็จก็เปลี่ยนมุมมาที่ระเบียงรับลมเย็นๆ ผมคุยต่อพอหอมปากหอมคอจึงขอตัวออกมาก่อนเพราะครอบครัวไม่ได้เจอตั้นนานอาจจะต้องการคุยอะไรกันเป็น ส่วนตัวหน่อยก็ได้
ผมแปรงฟันเสร็จก็ลงเอนกายนอนโซฟาทรงโบราณที่ดู คลาสสิกมาก(ถือคติกินแล้วนอนพักผ่อนกายา กินแล้วนั่งเมื่อยหลังตาย......) เพื่อดูโทรทัศน์ที่ในห้องนอนซะหน่อยซักครึ่งชั่วโมงได้มั้งเสียงประตูเปิดเข้ามาผมรีบลุกขึ้นเดี๋ยวเสียภาพพจน์
“ทำไมไม่สนุกหรือพี่เห็นขึ้นมาก่อน ” ตั้นถาม
“ไม่ใช่ยังงั้นซักหน่อยเผื่อตั้นมีอะไรที่เป็นส่วนตัวที่อยากคุยกับแม่บ้างก็เท่านั้นเอง”
“แหมมีสมบัติผู้ดีจริงๆน้า”
“ไม่ได้หรอกพี่มีเชื้อเจ้าอยู่”
“เจ้ามือหวย” ตั้นรีบพูด
“คนทรงเจ้าต่างหาก”
“เซ็งเป็ดเซ็งไก่จัง” ตั้นบ่น
“อ้าวนอนต่อซีพี่ปั่น นอนหนุนตักผมก่อนก็ได้”ว่าพลางก็ตบที่ขาของตน
“ตั้นจะทำอะไรพี่น่ะ พี่กลัวแล้วอย่าอย่า ทำพี่เลยพี่ยังไม่เคยต้องมือใครมาก่อน นอกจากทีนช่วยด้วยช่วยด้วย ”ผมร้องเล่นๆ เบาๆทำหน้าทำตาเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าอกเหี่ยวๆไว้ซึ่งผมก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อยอย่าง นี้
“เฮ้อพี่ตูจะตลกไปถึงหนาย”ตั้นส่ายหัวอย่างเพลียหัวใจ
“อ่ะมาดิมานอนเถอะเราจะได้มีเรื่องเปิดอกคุยกันผมยังไม่รู้เรื่องราวของพี่ปั่นแบบเจาะลึกเลย”ตั้นมีสีหน้าจริงจัง
“อืม”ผมขรึมบ้างแต่ไม่วาย
“แต่ระวังกางเกงตั้นเปื้อนผงนะเพราะหัวพี่มีแต่ขี้เลื่อย”
“พี่ปั่นนนนน.........”ตั้นคราง
“ก็ด้ายคร้าบ....”
ผมค่อยๆนอนหงายลงเอาหัวนอนหนุนตักตั้นอย่างเบาที่สุดก็คนเค้าไม่เคยนี่นา
“ขอจับผมได้ป่าว”ปากถามแต่มือจับไปแล้ว
“อืม ม” ผมตอบไม่เป็นภาษา รู้สึกแปลกๆจัง อบอุ่นยังไงไม่รู้ไม่เคยมีใครทำอย่างนี้กับผมมาก่อนเฮ้ยเฮ้ยคิดอะไรวะเราหยุดคิดไปได้เลย
“ไม่นึกว่าผมจะนุ่มขนาดนี้”ลูบเส้นผมอย่างเบามือ
“นี้แหละเจ้าปั่นผมหอมคู่แข่งเจ้าจันทร์ผมหอมเขาล่ะ” ผมจวนเจียนจะจนมุม
“พี่ปั่นนี่ก็....” เสียงตั้นตลกๆ ตอนที่10
ผมพยายามคุมสติให้มั่นค่อยๆผ่อนคลายไปกับปฏิกิริยาของตั้น
“เอาละนะผมจะถามคำถามแรกแล้ว จับเวลา”ตั้นเริ่มต้น
“ดะ...ดะ....เดี๋ยวก่อนจะสอบประวัติอะไรพี่”ผมผงกหัวขั้นแต่ตั้นรั้งไว้เบาๆผมโอนอ่อนผ่อนตามสติต้องตั้งสติให้ดีสิเรา
“ไม่ ใช่หรอกผมอยากรู้จักพี่ปั่นให้มากขึ้นกว่าเดิมก็เท่านั้นเรามาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันมีอะไรพี่ก็ถามผมได้อาจจะรู้จักผมในอีกแง่มุมหนึ่งก็ได้ใครจะรู้ตอนนี้ผมถามพี่ก่อน”
“ก็ได้ครับ”ผมเริ่มสงบลงแล้ว
“เมื่อกี้ได้ยินคุยกับแม่ว่าเป็นคนเหนือจังหวัดอะไรเหรอพี่”
“ส่วน ใหญ่ถ้าพูดถึงภาคเหนือคนก็จะนึกถึงจังหวัดเชียงใหม่ตลอดเลยใช่ป๊ะซึ่งพี่ก็เป็นคนเชียงใหม่นั่นแหละไม่ใช่ เป็นหนุ่มเมืองรถม้าครับผม”
“อ๋อผมรู้ละเมืองรถม้าสุรินทร์ใช่มั้ย”
“นี่นี่พังงาตะหาก”
“แหมผมรู้หรอกน่าอ่อนๆผมแกล้งก็เท่านั้น”
“ทำไมพี่มาเรียนเอกได้ล่ะ”
“ก็เป็นความฝันเฟื่องของคนบ้านนอกคนหนึ่งนะครับ”
“อ้าวต่างจังหวัดที่ใกล้ๆก็เปิดสอนนี่นา”
“แต่สาขานี้มีแต่ที่กรุงเทพฯที่ดียวครับ”
ตั้นส่งเสียงอือออในลำคอ
“แล้วก่อนมาเรียนเนี่ยพี่ทำอะไรมาก่อนล่ะ”ตั้นซักไม่หยุด
“อ้าว...เฮ้ย...ซักประวัติผู้ต้องหารึไงยิ่งหนีคดีมาด้วย”
“เอาอีกละเหอะน่าพี่คุยต่อคุยต่อผมอยากฟัง”มีการเขย่าตัวผมด้วย
“เอาจริงเหรอ”
“จริงดิแล้วที่ถามทั้งหมดเนี่ยหลอกเหรอ”น้ำเสียงงอนๆ
“เอ๊าไหนไหนก็หลวมตัวแล้วบอกไปแล้วอย่าหัวเราะนะ”ผมปรามไว้ก่อน
“เออน่า”
“เป็น.....เอ่อ......อืม........เป็นครูครับ” ผมตอบอึกอัก
“ฮ้าเป็นครูหรือนี่ผมละทึ่งเลยรัฐหรือราษฎร์พี่”เห็นตั้นสนใจอย่างนี้ผมก็ไม่คิดปิดบังอะไรบางทีการแบ่งปันเรื่องราวของตนให้คนอื่นฟังก็เหมือนกับว่าเราก็อาจเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของเขาก็ได้
“โรงเรียนรัฐบาลสอนมาหมดทั้งอนุบาลยัน ม.3”
“แล้วหน้าตาจืดๆแบบนี้นักเรียนจะกลัวหรือครับ”ถามด้วยหัวเราะด้วย
“นึก แล้วร้อยทั้งร้อยก็พูดแบบนี้แม้แต่เพื่อนพี่ยังบอกเลยว่าถ้าเป็นนักเรียนก็จะแกล้งครูแบบพี่นี่แหละเพราะหน้าตาไม่ดุเลยแต่หารู้ไม่ฉายาพี่คือใจดีตีเจ็บและหน้าตาแบบนี้นี่แหละที่มักจะเป็นฆาตกรโรคจิตซาดิสต์ซ้ำซ้อนเพราะใครๆก็คาดไม่ถึงกันทั้งน้าน”
“น่ากลัวมั่กมากเอ๊หรือว่าจะจริงแสดงว่าพี่ลามาเรียนใช่ป่ะ”ตั้นสนใจจริงๆแฮะ
“ครับลามาเรียนแต่เป็นลาออกเลย”
“ทำไมล่ะก็ลาเรียนได้ไม่ใช่เหรอแถมเงินเดือนก็ได้อีก”
“พอ ดีเกิดคดีข่มขืนเด็กน่ะ อ้อแรงไปเอาใหม่พอดีพี่ย้ายมาสอนประถมโรงเรียนมีครูน้อยแค่ 5คนไม่ครบชั้นด้วยซ้ำถ้าพี่ลามาเรียนก็คงได้อยู่แต่ก็จะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปเพราะต้องทิ้งภาระไว้กับครูที่เหลือซึ่งงานเดิมก็หนักอยู่แล้วแต่ถ้าพี่ลาออกก็จะได้ครูใหม่มาแทนตำแหน่งเลยแต่ก็ช้าเหมือนกันนะกว่าจะมาได้”
“โอ้โฮพี่นี่ช่างแสนดีจริงๆเลย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกแค่สงสารครูกับนักเรียนก็เท่านั้นและอยากทำตามความฝันด้วยไม่ได้นึกถึงความดงความดีอะไรเล้ย”
“แสดงว่าพี่ลาออกมาก็ต้องได้เงินตอบแทนเยอะนะสิ”
“เฮ้อเท่าทุนต่างหากเงินที่ได้ก็ใช้หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูไงเล่าแบบไม่อายเลยนะแบบจนน่ะ กู้เยอะ พี่ก็เลยทำงานงกๆอย่างที่น้องๆประจักษ์ไงเล่า”
“ค่าเทอมราว5- 6 หมื่น ไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าเป็นปีก่อนๆก็ใช่แต่ปีนี้ขึ้นเป็นเกือบ80,000 บาท/เทอมยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ด้วย”
“แพงเหมือนกันเนอะ”ตั้นเห็นด้วย
“ทำไมเป็นครูอยู่ดีๆไม่ชอบหรือพี่มีปิดเทอมด้วย”
“ก็ ดีครับ เป็นอาชีพที่มั่นคงมีเกียรติโดยเฉพาะต่างจังหวัดนอกจากสอนให้เด็กมีความรู้แล้วก็ยังภาคภูมิใจที่ได้สอนให้คนเป็นคนดีอีกด้วยแต่อย่างที่บอกนั่นแหละเกิดมาเป็นคนทั้งทีก็อยากทำตามความฝันในชีวิตของตัวเองสักครั้งหนึ่งน่ะ”
“ซีเรียสเลยพี่เราเห็นพี่ปั่นจริงจังก็ดูเท่ไปอีกแบบนะเนี่ย”
“จะทงจะเท่ยังไงก็ขอยอมแพ้ตั้นคนหนึ่งละกัน”
“แล้วเมียพี่ไม่ว่าอะไรบ้างเหรอ”อยากรู้จริงจริ๊งนะ ผมขำก๊ากขึ้นมา
“แค่แฟนเอง ก็โดนเค้าทิ้งซะเลยโชคดีนะที่เขาไหวตัวทันเขาไม่อยากรอจนเหนียงยานกว่านี้”
“ก็ไหนบอกว่ามีลูกแล้วไง”
“อ๋อจำได้อีก เป็นลูกของหลานสาวอีกทีพ่อเขาทิ้งไปพี่สงสารก็เลยให้เรียกว่าพ่อ”ผมเล่าต่อหน้าตาเฉย
“เหมือนผมเลยแต่ก็ช่างเถอะเชื่อมั้ยผมยังไม่รู้อายุพี่เลย”
ผมรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงของตั้น แต่เขาก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยได้ฉับไว
“จะรู้ไปทำไมเนี่ยเขินนะ”ผมพูดไปยังงั้นแหละไม่ได้อายอะไร ก็แค่อายุ
“ว่าแต่ตั้นล่ะบอกก่อนดิ”ผมหยั่งเชิง
“22 ครับ”ผมนึกแล้วว่าเด็กปีสี่ส่วนใหญ่ต้องประมาณนี้ 21-23ขวบ
“คิดว่าพี่ซักเท่าไรล่ะ”
“น่าจะซัก29-30ได้ ใช่ป๊ะ”
“เฮ้อเจ้าเด็กน้อยพี่37 แล้วครับ”ผมตอบยิ้มๆอย่างผู้มีชัย(ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีชัยไปทำไมกัน)
“ฮ้าาาา.........(มันจะแปลกใจไปถึงไหนเนี่ย)ไม่อยากจะเชื่อเลย ทำไมหน้าอ่อนจังจริงป่ะเนี่ย”
“ไม่ ใช่หน้าอ่อนอย่างเดียวปัญญาก็อ่อนด้วยแถมอย่างอื่นก็อ่อนๆอีกนิดหน่อยพี่หมายถึง ใจอ่อน ไง” ผมตอบ แต่ตั้นอดหัวเราะไม่ได้
“ผมว่าหน้าพี่เหมือนดาราที่ชื่อแตงโมนะ”
“หวานปานแตงโมภัทรธิดาดาราช่อง7เหรอ”
“ใช่ ซะที่ไหนเล่าพี่ปั่นนี่แตงโมที่แสดงเอ็มวีวิท’ ลัยหลายใจไงลูกของอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย ปิยะพงษ์ผิวอ่อนน่ะ(ขอโทษนะครับที่ต้องเอ่ยชื่อกันแต่ก็เป็นไปในทางชื่นชมนะครับ)หน้าตาพี่ไม่คมเท่าแต่ตาหวานกว่า”เจ้าตั้นอธิบายเป็นต่อยหอย(เจ็บป่าววะ)
“รู้ได้ไงว่าตาหวานมาแอบชิมตั้งแต่เมื่อไร”
“ของแบบนี้ไม่ชิมก็รู้ได้น่า”
“ชมกันขนาดนี้พี่จะไม่ล้างหน้าซัก3 วัน”
“เคลิ้มเลยพี่ตู”
“งั้นพอใจยัง”
“พอใจแล้วคร้าบ แต่ยังไม่หมดนะเดี๋ยวเก็บไว้ถามต่อง่วงแระขอตัวไปนอนก่อนนะคร้าบ”ว่าแล้วก็ลุกไปเฉยเลย
อ้าวเฮ้ยเดี๋ยวก่อนยังไม่ทันได้ถามอะไรนายเลยขึ้นไปนอนทำท่าหลับปุ๋ยซะแล้วเออหลับได้หลับไปเดี๋ยวจะทำให้ตื่นอย่างที่คิดซะเลย
ก็แค่เอาสำลีปั่นหูมาแยงหูเล่นให้ตาสว่างซะเลย http://www.g4guys.com/home" 치앙마이, 리눅스 패치. สนุกจังเลยอะ ขอบคุณครับ ว้า.....จบซะและ..กำลังสนุกเลย...มาลงให้อ่านอีกนะจะรอ น่ารักดีครับ^^ มารออ่านต่อนะครับ{:5_116:} ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]
2