ดวง คืออะไร? ทำไมถึงเป็นสิ่งที่กำหนดชะตาชีวิตเรา
ดวง คืออะไร? ทำไมถึงเป็นสิ่งที่กำหนดชะตาชีวิตเรานิยามของดวง
หมายถึง บางสิ่งบางอย่างที่ถูกกำหนดมาแล้ว ซึ่งมีผลต่อชะตาชีวิตของคน และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ ดวง (อนาคต)มันไม่มี มีแต่ปัจจุบันที่ดำเนินไป
อนาคตที่จะเกิดขึ้นเป็นเพียงแนวโน้ม(may not must) ที่เกิดจากแรงผลักดันของกรรมที่ทำมาในอดีต โดยเรื่องราว เหตุการณ์ หรือแนวโน้มต่างๆจะถูกsave ลงในจิต เพื่อรอเวลาอันสมควรที่จะเกิด ซึ่งเป็นการกำหนดอย่างกว้างๆ ไม่ได้กำหนดรายระเอียดแต่ประการใด(อิทัปปัจจยตาภายใน) ทั้งหมดจะมีความสัมพันธ์กับอิทัปปัจยตาภายนอก ซึ่งเราสามารถมองเห็นและหลีกเลี่ยงได้เสมอ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดอนาคตเช่นนั้นเสมอไป เว้นเสียแต่พลังผลักดันของกรรมมันรุนแรงมากก็อาจจะหนีไม่พ้น อย่างดีก็ทำได้แค่ผ่อนหนักให้เป็นเบา
เช่นเดียวกับ การงอกของเมล็ดพืช เมล็ดพืชถูกกำหนด function มาแล้วว่ามันจะต้องงอกและงอกเป็นอะไร
แต่จะงอกได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับดินที่ดี น้ำที่พอเหมาะ และอุณหภูมิที่เหมาะสม และปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และจะงอกงามแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแสงด้วย(หมายเหตุ การงอกในที่นี่หมายถึงการเกิดขึ้นของผลแห่งกรรม ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว)
การดูดวงจึงเป็นการดูเชื้อแห่งการเกิด(เมล็ด) และคำนวณอิทัปปัจยตาภายนอก
ฉะนั้น อนาคตบางเรื่องจึงไม่สามารถดูได้ เพราะอิทัปปัจจยตาภายนอกมันยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะที่ดู จึงไม่สามารถคำนวณอิทัปปัจจยตาภายนอก เหตุนี้อนาคตบางเรื่องจึงไม่สามารถดูได้ เช่น จะตายเมื่อไร เป็นต้น
แต่บางคำถาม แม้จะเป็นคำถามเดียวกัน แต่บางทีก็ดูได้ บางทีก็ดูไม่ได้ เช่น เราจะขายรถได้ภายใน1เดือนหรือไม่ หากขณะที่เราดูอยู่นั้น มีคนสนใจ มีคนอยากได้ คำตอบก็อีกแบบ แต่หากยังไม่มี คำตอบก็อีกแบบ ในกรณีหลังไม่ใช่ว่าจะขายไม่ได้ภายใน1เดือน เพีงแต่ว่าอิทัปปัจจยตาภายนอกมันยังไม่เกิดขึ้นเท่านั้น จิตเราจึงไมสามารถหยั่งรู้หรือสามารถคำนวณได้
สรุป ดวง หรืออนาคตจะไม่สามารถคำนวณได้เลย หากอิทัปปัจจยตาภายนอกมันยังไม่เกิด ทั้งนี้เพราะว่ามันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ดวง หรืออนาคตแต่แรกแล้ว
แต่นี่ทฤษฎีดังกล่าวนี้ อาจไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ ผมจึงมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่มาอธิบายเรื่องแรงผลักดันของชีวิต ดังนี้
แต่แรกเดิมทีจักรวาลของเราประกอบไปด้วยมวลสารขนาดเล็กแต่มีอนุภาคเป็นอนันต์ และเมื่อมันมารวมตัวกันมากเข้า ก็เกิดอุณหภูมิที่สูงขึ้น จนกระทั่งถึงจุดๆหนึ่งก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่เราเรียกกันว่า Big Bang ด้วยแรงระเบิดดังกล่าวมีผลทำให้จักรวาลมีการขยายตัวออกไปเรื่อยๆ อนุภาคที่เคยมีอยู่ก็กระจัดกระจายกันออกไปและรวมตัวกันเป็นดวงดาวต่างๆ รวมถึงดวงอาทิตย์ด้วย และเมื่ออุณหภูมิลดลงก็เกิดน้ำ และสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวตามมาและวิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆ
http://jitpan.files.wordpress.com/2007/08/saturn3.jpg
http://i.ixnp.com/images/v2.21/t.gifhttp://i.ixnp.com/images/v2.21/t.gif
ประกอบกับมีการพิสูจน์ทางฟิสิกซ์ที่บอกว่า อนุภาคอิเลกตรอน 2 ตัว ที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน ย่อมจะมีความสัมพันธ์กันไปตลอดกาล และอีกทฤษฎีคือกฎการอนุรักษ์พลังงานที่ว่าสสารจะไม่มีวันหายไปจากโลก แค่จะเปลี่ยนสภาพไปเท่านั้น โดยอาจเปลี่ยนจากอนุภาคเป็นอนุภาค หรืออนุภาคเป็นพลังงาน หรือพลังงานเป็นอนุภาค หรือพลังงานเป็นพลังงานก็ได้
ประเด็นที่ผมต้องการจะชี้ก็คือสิ่งมีชีวิต มนุษย์ ดวงดาว และจักรวาล ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์และสามารถส่งอิทธิพลถึงกันได้เพราะก่อนที่จะเกิดจักรวาลมันเป็นอนุภาคที่มีความสัมพันธ์กันมาก่อนดังที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น และการเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่ใช่เรื่องไร้สาระและนี่ก็คือที่มาของโหราศาสตร์การผูกดวงวันเดือนปีเกิดที่คำนาณการโคจรของดวงดาวต่างๆ และพยากรศาสตร์แขนงต่างๆ อาทิ โหงวเฮ้ง และลายมือที่สะท้อนชะตาออกมาทางร่างกาย และไพ่ทาโรต์(ตลอดจนไพ่ป๊อกและศาสตร์เสี่ยงทายแขนงอื่นๆ) ที่สะท้อนให้เห็นถึงพลังของจิตอันเป็นธาตุแท้เดิมทีของจักรวาล ดังนั้น จิตที่มีสภาพเป็นอนุภาคของจักรวาลจึงสามารถหยั่งรู้ความเป็นไปของจักรวาลได้ครับ
แต่ก็ใช่ว่าดวงดาวหรือปัจจัยภายนอกจะมีอิทธิพลต่อเราฝ่ายเดียว แต่เราก็สามารถส่งอิทธิพลขอกการกระทำเราไปยังดวงดาวและจักรวาลได้ ดังสำนวนฟิสิกซ์ที่ว่าเพราะเด็ดดอกไม้จึงสะเทือนถึงดวงดาว ดังนั้นเรามนุษย์จึงมีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะลิขิตชีวิตตนเอง อย่างนี้แล จึงจะสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
และอีกเรื่องที่ไม่พูดก็คงไม่ได้เพราะท่านอาจจะหาความเชื่อมโยงไม่ถูก นั่นคือ กรรม ซึ่งผมขออธิบายด้วยปัญญาที่มีอยู่อย่างจำกัดในขณะนี้ ดังนี้ครับ
http://www.era.su.ac.th/ArtDatabase/ArtImage/smP002360.jpg
การที่เราจะมาเกิดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งย่อมเป็นผลมาจากกรรมที่มำมาในอดีต ซึ่งอนุภาคของจิตเราก็จะบันทึกข้อมูลของกรรมเอาไว้(อนุภาคทุกอย่างบนโลกนี้มีตัวรู้ คือสามรถรับรู้หรือบันทึกข้อมูลได้ จิตก็เช่นเดียวกับต้นไม้ที่การได้ยินเสียงเพลงมีผลต่อการเจริญเติบโต) แล้วรอเวลา สถานที่ และครอบครัวที่เหมาะสมที่จะไปเกิดใหม่ เรียกว่า ชนกกรรม (โปรดเทียบเคียงกับทฤษฎีอื่นข้างต้น) ซึ่งเจ้าชะตาจะได้พบกับเจ้ากรรมนายเวรและผู้ที่เคยมีความผูกพันกันมาคนอื่น และมันก็จะดำเนินไปตามวงจรนี้ต่อไปเรื่อย มันคือพลังหล่อเลี้ยงให้จิตยังมีข้อมูลเดิมอยู่ และเป็นแรงผลักดันให้เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ จนกว่าที่เราจะหลุดพ้นจากความรู้สึกตัวกูของกู ดังนี้เองวงจรเหล่านี้ก็จึงหายไป อนุภาคของจิตเราไม่มีข้อมูลหลงเหลือ ก็กลับสู่สภาพแท้ของธาตุเดิมแห่งจักรวาล และเราเรียกสิ่งนี้ว่า นิพพาน
ขอบคุณมากๆ นะครับ {:5_119:} ดีครับๆ{:5_119:} แต้งมากคับ แล้วเราควรจะบงการชีวิตเราไปในทางที่ดีเท่านั้น?{:5_119:}
หน้า:
[1]