อาถรรพ์วังเพชรบูรณ์ (เซ็นทรัลเวิลล์)
วังเพ็ชรบูรณ์เคยตั้งอยู่ริมถนนพระราม 1 และถนนราชดำริ เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย พระราชโอรสองค์ที่ 72 ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5สำหรับที่ตั้งวังเพ็ชรบูรณ์คือพระราชวังปทุมวัน ซึ่งรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเพื่อเสด็จประพาสและให้ประชาชนไปแล่นเรือ โดยโปรดให้ขุดสระใหญ่ 2สระติดกัน โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพลับพลา 2 ชั้นสำหรับประทับแรม ริมสระมีพลับพลาเสด็จออกและโรงละคร พร้อมกับตำหนักฝ่ายในโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดใกลักับพระราชวัง พระราชทานนามว่า วัดปทุมวนาราม
สำหรับตำหนักมีดังนี้
ตำหนักประถมเดิมเป็นตำหนักที่ประทับของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลกต่อมาโปรดให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบันบัวผันซึ่งทรงเป็นผู้ถวายพระอภิบาลสมเด็จฯ เจ้าจุฑาธุชธราดิลก มาแต่ทรงพระเยาว์เป็นตำหนักที่ก่อสร้างด้วยไม้ สูง 3 ชั้นปัจจุบันได้ถูกชลอมาปลูกสร้างใหม่ ที่ตำหนักของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภาซึ่งเป็นพระธิดา ที่จังหวัดนนทบุรี
ตำหนักแพปัจจุบันอยู่ที่วังเลอดิสตำหนักแพ เป็นตำหนักที่ประทับของสมเด็จฯเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ภายหลังจากที่ทรงย้ายจากตำหนักประถม ลักษณะเป็นเรือนไทย 2หลังอยู่บนแพ ปัจจุบันชลอมาอยู่ที่วังเลอดิส ถนนสุขุมวิทซึ่งเคยเป็นที่ประทับของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช พระโอรส
ตำหนักสันนิบาตน้อย เป็นที่ประทับของหม่อมเจ้าบุญจิราธร จุฑาธุชพระชายาในสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก
ตำหนักน้ำ เป็นที่อยู่ของหม่อมละออในสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลกเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวหลังเล็กๆ ปัจจุบันชลอมาปลูกใหม่ ณ ตำหนักของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา ที่จังหวัดนนทบุรี
เรือนลมพัดชายคา เป็นสถานที่ซึ่งสมเด็จฯเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก สิ้นพระชนม์
เรือนกินรำ เป็นที่อยู่ของคณะละครวังเพ็ชรบูรณ์
ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อสมเด็จฯเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัยเสด็จกลับจากศึกษาที่ประเทศอังกฤษ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระราชวังปทุมวัน นี้ว่า "วังเพ็ชรบูรณ์" ภายในวังประกอบด้วยตำหนักซึ่งมีชื่อเป็นเพลงไทยเดิมเนื่องจากทรงมีความสนพระทัยในด้านนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์แต่ต่อมาวังเพ็ชรบูรณ์ได้ถูกขอเช่าที่ดินไปสร้างเป็นห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ถ.ราชประสงค์ ปัจจุบัน
อาจารย์วิศิษฐ์ เตชะเกษม ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยชื่อดังของไทยกล่าวถึงความอาถรรพ์ของ แยกราชประสงค์ว่า เป็นที่ดินที่มีการสาปแช่งว่าห้ามผู้ใดเข้ามาใช้สถานที่นี้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นอาจจะถึงตาย "ที่ตรงนั้นเคยเป็นทางแยกและเป็นคลองตรงจุดทางแยกซึ่งส่วนใหญ่จะมีวิญญาณชั่วร้ายอาศัยอยู่ค่อนข้างเยอะสมัยโบราณตอนแรกที่ตั้งโรงแรมเอราวัณก็ประสบปัญหามากมายถึงขั้นลมละลายกันบ่อยแต่หลังจากมีพระผู้ใหญ่ที่เป็นพราหมณ์ แนะนำให้ตั้งศาลพระพรหมที่ตรงโรงแรมเอราวัณหลังนั้นสถานการณ์ต่างๆ ก็ดีขึ้น
หรืออย่างที่ตั้งของโรงพยาบาลตำรวจเมื่อก่อนยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์มักจะมีเหตุการณ์ตาย จนกระทั่งมีการตั้งพระนารายณ์ เพื่อให้ควบคุมสถานการณ์ได้หรือ
อย่างสมัยก่อนตรงหัวมุมตรงนั้นก็มีการสร้าง "ห้างไทยไดมารู"ขึ้น แต่ก็ต้องเจ๊งระเนระนาดเนื่องจากว่าตรงห้างไทยไดมารูที่ตรงนั้นเดิมเคยเป็นสถานที่ศักสิทธิ์เป็นพระราชวังที่ประทับของ ร.4 ซึ่งตรงจุดนั้นก็มีการประทับพระตรีมูรติ โดยสร้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และก็มีการสืบทอดมาอันเชิญมาตั้งอยู่ในวังเพชรบูรณ์
ตรง ถ.ราชดำริซึ่งพื้นที่ตรงนั้นถือเป็นที่นและก็มีการสาบแช่งไว้มากมาย" สุดท้ายที่ดินสุดสวยก็กลายไปเป็นของตระกูลจิราธิวัฒน์ฉะนั้นพอใครไปถึงตรงนั้นจะต้องรู้ว่ามีพลังศักดิ์สิทธิ์มากแต่ทีนี้การที่มีม็อบมาตั้งเวทีตรงนั้นเชื่อว่าเสื้อแดงมีการใช้ไสยเวทย์ด้วยกันหลายเรื่อง "ที่เห็นได้ชัดมากก็คือ วันที่เสื้อแดงเทเลือด ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 วันนั้นเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยตามราชประเพณีซึ่งวันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือตัวแทนซึ่งเป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีจะเป็นตัวแทนเข้าไปไหว้พระสยามเทวาธิราช ซึ่งวันนั้นเองที่เสื้อแดงเทเลือดกันไม่รู้ว่าจะเป็นการจงใจหรือไม่แต่อย่างไร เพราะนี่คือการทำอาถรรพ์ใส่กับประเทศชาติอาถรรพ์แบบนี้เขาเรียกกันว่า "แช่งบ้านสาปเมือง"แต่ทีนี้การทำลักษณะนี้จริงๆ มันเป็นการกระทำอันตรายต่อคนทำเป็นอย่างยิ่งเพราะพระสยามเทวาทิราชนั้นมีพระพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่มากใครที่เป็นคนคิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาได้ถือว่าแย่มาก การสาปแช่งบ้านเมืองตัวเอง ซึ่งบาปก็จะติดตัวไปจนตาย" อาจารย์วิศิษฐ์ยังพูดถึงประเด็นการการตั้งเวทีหันหลังให้พระพรหมนั้น ไม่เป็นผลดีต่อคนทำ แน่ๆเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านอยู่ด้วยความสงบสุข "ทำแบบนั้นก็ถือเป็นการไปรบกวนเสียเปล่า พอรบกวนไปแล้วก็คิดว่าท่านจะบันดาลไม่ให้ประสบผลสำเร็จซึ่งตนก็จับตาดูสถานการณ์ของเสื้อแดงตลอด และ
วันที่ 5 นี้เองนั้นจริงๆแล้วเป็นวันที่ปราบดาภิเษกของ ร.1 และวันที่ 6 คือวันราชาภิเษกของพระองค์ท่านฉะนั้นมองว่าเป็นการเล่นเอาวันสำคัญเป็นการแก้เคล็ด อย่างไรก็ดี เชื่ออย่างหนึ่งว่าเสาหลักเมืองมีความศักดิ์สิทธิ์การที่มีคนทำพิธีเกี่ยวกับประเทศชาติเนี่ย เราคิดว่าบารมีเรามีมากพอในสมัยโบราณมีการทำกันระหว่างกษัตริย์ แต่นี่คือประชาชนทำจะเป็นเช่นไรสำหรับทางออกนั้น ผมอยากจะบอกว่าจริงๆคือการเล่นไสยเวทย์กันทั้งสิ้นไสยเวทย์จะบอกไว้นิดนึงว่าใครทำเข้ามัน จะย้อนกับมาเล่นตัวเรา ซึ่งมันรุนแรงมากยิ่งกว่าไม่มีบ้านให้อยู่เหมือนกับตกอยู่ในขุมนรกเลยทีเดียว" อาจารย์วิศิษฐ์กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากคำบอกเล่าของสถาปนิกที่ผันตัวมาเป็นหมอดูฮวงจุ้ยแล้วเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาถรรพ์วังเพชรบูรณ์ยังมีอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่นข้อความข้างล่างนี้
"แยกราชประสงค์ถือว่าเป็นอันตรายมาก ๆ เรียกกันว่าเป็นที่ที่มีฮวงจุ้ย"ใบพัด" เหมือนกับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อมีคนเยอะๆ ใบพัดก็จะหมุน ซึ่งตรงนั้นมีเทพเจ้ามากมาย ส่งผลให้เทพทุกองค์ต่างแสดงอำนาจกันใหญ่ จากประวัติศาสตร์ตอนสร้างกทม.ลงเสาหลักเมือง กทม.มีการใส่คนจริงยังไม่ตายไปก้นหลุมด้วยพอลงเสาจะกลบหลุมมีงู 4 ตัวเลื้อยลงไป และถูกฝังไปพร้อมกับคน....เป็นเครื่องบอกลางอาถรรพ์ของกรุงเทพว่าครบรอบต้องบูชายันต์กทม.ครั้งใหม่ อีกแล้วโดยผู้มีอำนาจ นอกจากนี้สี่แยกราชประสงค์เป็นลางไม่ดียังอยู่ใกล้โรงพยาบาลตำรวจที่มีคนตายทุกวันตั้งแต่ตั้งโรงพยาบาลมามีคนตายไปแล้วหลายพันหลายหมื่นคน เป็นสี่แยกอาถรรพ์แต่บรรพกาล อีกทั้งยังเรียกกันว่าเป็นที่ประตูผีซึ่งเป็นอาถรรพ์"
หน้า:
[1]