สัตว์ในตำนาน
ฟีนิกซ์(Phoenix)ฟีนิกซ์สะกดในภาษาอังกฤษได้สองแบบคือ Phoenix และ Phenix เป็นนกที่เชื่อกันว่ามีอายุยืน และมีตำนานปรากฏอยู่ในหลายท้องที่ทั่วโลก ตามตำนานของชาวอียิปต์ มีนกที่คล้ายกันมากเรียกว่าเบนู(Benu)
ฟีนิกซ์มีขนทั่วตัว บางส่วนสีทองบางส่วนสีแดงหรือแดงเข้ม บางแหล่งกล่าวว่าสีแดงทอง และบ้างว่าขนของมันให้รังสีของแสงอาทิตย์ และเปล่งแสงสีทอง ฟีนิกซ์มีลักษณะและขนาดเหมือนนกอินทรีย์ ฟีนิกซ์เป็นนกอาราเบีย มันกินน้ำมันของต้น balsam และกำยาน บางแหล่งว่ามันกินกำยาน และยางไม้หอมเป็นอาหารหลัก ฟีนิกซ์มีอายุยืนยาวมาก มันมีอายุไม่ต่ำกว่า 500 ปี และตามตำนาน ฟีนิกซ์หนึ่งตัวมีชีวิตอยู่ได้หนึ่งครั้งเท่านั้น
เมื่อฟีนิกซ์อายุจะครบ เขาจะสร้างรังจากกิ่งไม้ที่มีกลิ่นหอม ทำให้มันลุกเป็นไฟ และเผาตัวเองในเปลวไฟ จากกองเถ้าถ่านนี้เกิดฟีนิกซ์ตัวใหม่ หรือบางแหล่งว่า เมื่อฟีนิกซ์มีอายุถึง 500 ปี มันสร้างรังด้วยกิ่งโอ๊ก บนยอดของต้นปาล์ม ในรังนี้มันรวบรวม อบเชย, ต้น spikenard และยางไม้ myrrh จากวัสดุเหล่านี้มันสร้างเป็นกอง นอนตัวลง และตายท่ามกลางกลิ่นหอม จากร่างกายของฟีนิกซ์เกิดฟีนิกซ์ตัวใหม่
มีกำลังพอที่จะยกน้ำหนักได้ มันจะนำซากของพ่อที่เหลือจากอาราเบียไปยังเมือง เฮลิโอโปลิส(Heliopolis,เมืองแห่งพระอาทิตย์) ในอียิปต์ และวางลงในวิหารแห่งพระอาทิตย์ บางแหล่งว่าวางไว้ที่แท่นบูชาแห่งพระอาทิตย์ บ้างว่าวางไว้ที่หน้าประตูวิหาร
Herodotus เล่าถึงวิธีการที่มันนำซากที่เหลือของพ่อไปว่า “...ขั้นแรก ปั้นยางไม้ myrh ให้เป็นรูปไข่ที่หนักเท่ากับที่เขาจะยกไหว จากนั้นลองยกมัน และเมื่อเขาได้ทดลองแล้ว จากนั้นเขาเจาะรูไข่ออกเท่ากันน้ำหนักซากพ่อเขา แล้ววางซากพ่อเขาไว้ข้างใน และเขานำห่อพ่อของเขาไปที่วิหารแห่งพระอาทิตย์ สิ่งนี้คืออะไรที่พวกเขากล่าวว่านกชนิดนี้ทำ”
Ovid(กวีชาวละติน 43ปีก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 17) เล่าว่าฟีนิกซ์มาจากอาณาจักร อัสซีเรีย(Assyria) อย่างไรก็ตามนกชนิดนี้ปรากฏอยู่ในหลายท้องที่ทั่วโลก และมีชื่อเรียกต่างกันดังนี้ จีน: feng-huang, ญี่ปุ่น: โฮโอ, รัซเซีย: นกไฟ(Firebird), อียิปต์: เบนู(Benu) และคนพื้นเมืออเมรักัน: Yel
ฟีนิกซ์เป็นสัญลักษณ์สากลของความเป็นอมตะ และการเกิดใหม่ และเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ ฟีนิกซ์ถูกเปรียบเทียบกับกรุงโรมที่ไม่มีวันตาย และมันปรากฏอยู่ในระบบเหรียญของจักรวรรดิ์โรมันสมัยก่อนในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอมตะ
ในอียิปต์ นกที่คล้ายกันนี้เปียกว่า เบนู มีลักษณะคล้ายนกกระสา เบนูเป็นสัญลักษณ์แห่งการจุติของ โอซิริส(Osiris) และถูกแสดงตัวกับ ร า(Ra) เทพเจ้าพระอาทิตย์
ในจีนนกฟีนิกซ์เรียกว่า Feen-huang มันเป็นหนึ่งในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีน เป็นตัวแทนของจักรพรรดิผู้หญิง เป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรมอันสูง และความงดงาม และเป็นตัวแทนพลังลำดับแรกของสวรรค์
หงส์จีน(ในที่นี้ผมเรียกฟีนิกซ์จีนว่าหงส์จีน) มีหัวและหงอนของไก่ฟ้า และหางของนกยูง หรือบางแหล่งว่า “ฟีนิกซ์ของจีนมีปากใหญ่, คอของงู, หลังของเต่า และหางของปลา” ถ้าดูตามธาตุ มันรวมกันจากธาตุต่างๆ เป็นแบบฉบับของทั้งจักรวาล มันมีหัวของไก่(พระอาทิตย์), หลังของนกนางแอ่น เหมือนกับพระจันทร์เสี้ยว, ปีกของมันเป็นธาตุลม, หารงของมันแทนต้นไม้และดอกไม้ และเท้าของมันเป็นธาตุดิน ขนของหงส์จีนมีห้าสีคือ สีดำ, สีขาว, สีแดง, สีเขียว, และสีเหลือง หงส์จีนคาบม้วนคัมภีร์สองม้วนไว้ในปาก และการร้องของมันรวมเสียงทั้งห้าตามมาตรฐานของจีน จากพิธีกรรมทางศาสนาโบราณกล่าวว่า “สีของมันให้ความสุขใจกับดวงตา, หงอนของมันแสดงความชอบธรรม, ลิ้นของมันกล่าวความจริงใจ, เสียงของมันร้องเพลงไพเราะ, หูของมันเพลิดเพลินเสียงเพลง, หัวใจของมันยอมรับกฎข้อบังคับ, หน้าอกของมันบรรจุทรัพย์สมบัติแห่งวรรณคดี และเดีอยของมันมีอำนาจต่อต้านผู้ละเมิด”
หงส์จีนเกี่ยวข้องกับหยินและหยาง ถ้าเป็นเพศผู้เรียกว่า feng แทนหยางและดวงอาทิตย์ ถ้าเป็นเพศเมียเรียกว่า huang แทนหยินและดวงจันทร์ นอกจากนี้ huang ใช้แทน ความสวย, ความละเอียดอ่อนของความรู้สึก และสันติภาพ มันใช้เป็นสัญลักษณ์ของเจ้าสางแสดงถึง “มิตรภาพที่แยกกันไม่ได้” อีกด้วย
ในศาสนาคริสต์ยุคแรก นกฟีนิกส์ถูกรับมาในฐานะที่เป็น คุณสมบัติของการเกิดใหม่และความเป็นอมตะ ต่อมานกฟีนิกซ์กลายเป็นสัญลักษณ์แห่ง การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูในวันที่สามหลังจากสิ้นพระชนม์, ชัยชนะเหนือความตาย, ความศรัทธาและความมั่นคงในศาสนา และคุณสมบัติสวรรค์ของพระคริสต์(ในขณะที่นกกระทุงเป็นคุณสมบัติมนุษย์ของพระคริสต์)
ยูนิคอร์น(Unicorn)
คำว่า Unicorn คือคำในภาษาอังกฤษ ในภาษาละตินคือ Monocerus (เอกพจน์) และ Monoceri (พหูพจน์) ในภาษาโรมันคือ Equus Unicornis (เอกพจน์) และ Equi Unicornes (พหูพจน์) จากข้อมูลบางแหล่งกล่าวว่า คำว่า Unicorn มาจากตำว่า Uni ที่แปลว่าหนึ่ง และ Cornu ที่แปลว่าเขาในภาษาละติน
ฮิโรโดทัส(Herodotus) อาจจะเป็นคนแรกสุดที่อ้างถึงยูนิคอร์น เขาเขียนเกี่ยวกับลามีเขาของแอฟริกา เมื่อประมาณสามศตวรรษก่อน ค.ศ. ลักษณะของยูนิคอร์นมาจากการกล่าวของ ซีทีเซียส(Ctesias) นักประวัติศาสตร์และแพทย์ ผู้ซึ่งไปเปอร์เซีย และนำเรื่องที่น่าอัศจรรย์นี้มาจากพ่อค้าซึ่งเดินทางผ่านอินเดีย
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พบด้วยตนเอง แต่อธิบายสัตว์ที่เรียกว่า “ลาป่าอินเดีย” ไว้ว่า มีขนาดเท่ากับม้า ร่างกายสีขาว หัวสีแดง ตาสีน้ำเงินอ่อน และมีเขาตั้งตรงอยู่กลางหน้าผาก เขาอธิบายเพิ่มว่า ส่วนล่างของเขาเป็นสีขาว ตรงกลางเป็นสีดำ และปลายเป็นสีแดง ซีทีเซียสแทนยูนิคอร์นว่ามีเท้าที่ว่องไวเป็นพิเศษ ไม่สามมารถเลี้ยงให้เชื่องได้ และเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะจับ
พลินี(Pliny) นักเชียนโรมัน ค.ศ. 23-79 ลงความเห็นว่ายูนิคอร์นมีชีวิตอยู่ในอินเดีย เขากล่าวไว้ในสารานุกรมชื่อ “Historia Naturalis” ว่ายูนิคอร์นมีร่างกายของม้า เท้าของช้าง หางของหมูป่า และมีเขาเดียวสีดำยาวสองศอกตั้งอยู่กลางหน้าผาก
อย่างไรก็ตามยูนิคอร์นเป็นสัตว์ในตำนานที่โดยทั่วไปแล้วถูกพรรณนาว่ามีหัวและลำตัวของม้า ขาหลังของกวาง หางของสิงโต และมีเขายาวเรียวงอกจากกลางหน้าผาก ตามตำนาน ยูนิคอร์นมีสีขาวบริสุทธิ์ กีบเท้าแยก ตาสีน้ำเงิน เป็นสัตว์ลักษณะม้ามีเขาเดียวอยู่ที่หน้าผาก ยาวประมาณหนึ่งฟุต ครึ่งล่างเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เหนือขึ้นไปแหลมและเป็นสีแดง
ตามตำนาน หญิงพรหมจารีสามารถทำให้ยูนิคอร์นเชื่องได้ เมื่อยูนิคอร์นเห็นหญิงพรหมจารีจะเข้าไปใกล้แล้วซบตัก จึงเป็นการง่ายที่จะถูกจับหรือถูกฆ่าโดยนายพรานที่ซุ่มอยู่
ศัตรูของยูนิคอร์นคือสิงโต ในนิทานของยุคกลางเล่าว่า ยูนิคอร์นจะปราบศัตรูของมันโดยวิธีต่อไปนี้ สิงโตจะวิ่งไปที่ต้นไม้ ล่อยูนิคอร์นเพื่อที่จะพุ่งเข้าใส่ ในขณะที่ยูนิคอร์นเข้าไปใกล้สิงโตจะเดินเลี่ยงไป และยูนิคอร์นจะพุ่งเข้าไปยังต้นไม้ ซึ่งอัดเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นสิงโตจะตกลงบนศัตรูที่ทำอะไรไม่ได้ของมัน
ตำนานอื่นเล่าว่าในการต่อสู้ของยูนิคอร์นกับช้าง สุดท้ายช้าบงจะถูกเขายูนิคอร์นแทงถึงแก่ความตาย
เขายูนิคอร์นมีประโยชน์ที่วิเศษอย่างมาก ภาชนะที่ทำจากเขายูนิคอร์นสามารถต่อต้านและแก้พิษในอาหารได้ มีข้อความกล่าวไว้ว่า ถ้วยที่ทำจากเขายูนิคอร์นสามารถป้องกัน อาการสั่น, โรคลมบ้าหมู และพิษได้ ถ้าดื่มน้ำหรือของเหลวที่ใส่ในถ้วยนั้น และมีอีกข้อความหนึ่งกล่าวว่า “มันเป็นความเชื่อที่ว่าถ้ามันหลั่งน้ำออกมา อาหารหรือเครื่องดื่มในภาชนะนั้นเป็นพิษ” นอกจากนี้ผงตะไบจากเขาของมัน สามารถใช้ทำยาต่อต้านยาพิษร้ายแรงได้ และเมื่อนำมาทำเป็นเครื่องอัญมณีจะปกป้องผู้สวมใส่จากสิ่งชั่วร้าย
ถ้าเทียบตามน้ำหนักแล้ว เขายูนิคอร์นมีค่ามากกว่าทองคำ ดังนั้น พระราชา,จักรพรรดิ และพระสันตปาปา เป็นคนในกลุ่มไม่กี่คนที่สามารถสนองความต้องการราคาที่สูงนี้ได้ พวกเขาอยากได้เขาที่มีค่านี้มาเพื่อรับรองว่าจะมีชีวิตยืนยาวและสุขภาพดี การขายที่ได้กำไรงามนี้ ขายเขายูนิคอร์นเทียมอย่างแพร่หลาย ซึ่งทำจากเขาวัว,เขาแพะ หรือในบางกรณีจากสัตว์ต่างประเทศ กระดูกสุนัขธรรมดา หรืองาของปลาวาฬชนิดหนึ่งชื่อว่า narwhal
ในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ อะไรซึ่งอ่างว่าเป็นเขายูนิคอร์นได้มีการขายตลอดทั้งยุโรปในราคางาม
ในคัมภีร์ไบเบิลมีการกล่าวถึงยูนิคอร์นไว้มากมาย ในคัมภีร์ Genesis กล่าวว่าพระเจ้าให้งานอะดัมตั้งชื่อทุกสิ่งที่พบ ในบางการแปลของไบเบิล ยูนิคอร์นเป็นสิ่งแรกที่ได้มีการตั้งชื่อ และเมื่ออะดัมกับอีฟออกจากสวรรค์ ยูนิคอร์นตามมาด้วย
คัมภีร์ไบเบิลเสนอข้ออธิบายว่า ทำไมยูนิคอร์นจึงไม่ได้ถูกเห็นเป็นเวลานาน ระหว่างน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ 40 วัน 40 คืนโนอานำสัตว์มาชนิดละสองตัว แต่ไม่มียูนิคอร์นรวมอยู่ด้วย นิทานยิวอ้างว่า แต่เดิมมันอยู่บนเรือ แต่ต้องการพื้นที่และการเอาใจใส่มาก โนอาจึงขับไล่พวกมันไป พวกมันจมน้ำหรือกระเสือกกระสนว่ายน้ำไประหว่างน้ำท่วม และยังคงมีชีวิตอยู่บางแห่งบนโลก
ในศาสนาคริสต์ ยูนิคอร์นเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ และพรหมจรรย์ และเป็นเครื่องหมายของพระแม่มารี และนักบุญจุสตินา
ขี่หลิน
ขี่หลิน หรือ ไคหลิน เป็นยูนิคอร์นของจีน บางทีคนตะวันตกเรียกว่า “ยูนิคอร์นตะวันออก”(Eastern Unicorn) หรือเขียนเป็นภาษาอังกฤษซึ่งคือ Kylin, Ki lin หรือ Ch’i lin และคนไทยเรียกว่ากิเลน
ขี่หลินเป็นชื่อที่ใช้เรียกแทนสัตว์ชนิดนี้ทั้งสองเพศ เพศผู้เรียกว่า ขี่ หรือ ไค เพศเมียเรียกว่า หลิน ขี่หลินมีลักษณะคือ มีลำตัวของกวาง กีบเท้าของม้า และหางของวัว มีขนห้าสี เป็นสีมงคลของจีนคือ สีแดง, สีเหลือง, สีน้ำเงิน, สีขาวและสีดำ ขนที่ท้องเป็นสีเหลือง บางแหล่งว่า ขี่หลินมีหัวของมังกร ลำตัวของม้า และมีเกล็ด(บางแหล่งว่าสีเขียว)เหมือนมังกร และบางแหล่งรวมลักษณะทั้งสองอย่างคือคือ มีหัวของมังกร แผงคอของสิงโต ลำตัวของกวาง และหางของวัว อย่างไรก็ตามขี่หลินมีเขาเดียวอยู่ที่กลางหน้าผาก เป็นเขาเนื้อมีลักษณะยาว(บ้างว่ายาวสิบสองฟุต) หรือบางแหล่งว่าสั้น, ตรง หรือบางแหล่งว่าเป็นแนวโค้งไปตามหลัง, เรียวและมีร่องเป็นเกลียว และเป็นสีงาช้าง ขี่หลินมีอายุ 1,000 ปีและเป็นหนึ่งในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีน
ขี่หลินเป็นสัตว์ที่เมตตากรุณา และว่ากันว่าขี่หลินเป็นสัตว์ที่ใจอ่อน มันจะไม่เหยียบแม้แต่ใบหญ้าหรือแมลง ซึ่งบางแหล่งว่ามันเดินอย่างนิ่มนวลจนไม่มีเสียง บางแหล่งว่ามันจะไม่เดินเหยียบหญ้าหรือแมลง หรือบางแหล่งว่ามันสามารถเดินบนต้นหญ้าโดยที่ไม่ได้เหยียบ ขี่หลินสามมารถวิ่งได้ที่ความเร็วแสงตามที่บางแหล่งกล่าวไว้ ขี่หลินจะกินเฉพาะพืชที่มีอายุไม่ยืนเท่านั้น มันมีเสียงไพเราะเหมือนระฆังลมหนึ่งพันใบ และจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้โดยทุกวิถีทาง บางแหล่ว่าขี่หลินเป็นสัตว์ที่ไวต่อความรู้สึกมาก มันสามารถรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของเงาที่ถูกฉายโดยแสงจันทร์
ขี่หลินเกิดจากธาตุทั้งห้าคือ ไฟ, น้ำ, ไม้, โลหะ และดิน และเชื่อกันว่าขี่หลินมีกำเนิดจากพื้นดิน
การพบเห็นขี่หลินครั้งแรกและได้มีการบันทึกไว้น่าจะเป็นของจักรพรรดิ ฟู ซาย ซึ่งได้บันทึกไว้เมื่อประมาณ 2,800 ปีก่อน ค.ศ. เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งในขณะที่ท่านกำลังวิเคราะห์เกี่ยวกับ การผ่านไปอย่างรวดเร็วของชีวิตมนุษย์ กับความเป็นไปได้ที่ถูกจำกัดสำหรับสนับสนุนความยั่งยืนให้กับสังคม ฟู ซาย ชำเลืองมองเห็นกวางประหลาดยืนอยู่ใกล้แม่น้ำเหลือง(บางแหล่งว่าโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำ) สัตว์ตัวนี้มีขนาดใกล้เคียงกับลูกแกะ แต่มีเขาสีเงินหนึ่งเขายื่นออกมาจากกลางหน้าผาก และมันมีหลายสี ที่ใดก็ตามที่มันยืนในแม่น้ำน้ำที่ขุ่นจะกลับเป็นใส ในขณะที่สัตว์ตัวนี้เดินออกไป ฟู ซาย เห็นเครื่องหมายแปลกๆที่ด้านข้าง และหลังของมัน ในขณะที่สัตว์ตัวนี้เดินไกลออกไป เขาพบว่าตัวเองกำลังวาดสัญลักษณ์นี้บนพื้นข้างหน้า ทันใดนั้นเขาก็รู้ว่า เครื่องหมายเช่นนี้สามารถใช้อธิบายความคิดและคำพูดได้ ด้วยเหตุนี้ ขี่หลินจึงเป็นต้นเหตุสำหรับการเรื่มต้นภาษาเขียนของจีน
จักรพรรดิ Huang เป็นคนออกแบบบ้านและเมืองครั้งแรก ในยุคนี้มีการเห็นขี่หลินอีกครั้งในวังของท่าน ตามที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือไม้ไผ่ 2,672 ปีก่อน ค.ศ. ในเวลาที่ท่านแก่มากท่านเห็นขี่หลินยืนอยู่ในสวน สัตว์ตัวนี้เรียกท่านอย่างอ่อนโยนในขณะที่ท่านเพ่งมองอย่างเลื่องใสอยู่ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็ตาย
551 ปีก่อน ค.ศ. ขี่หลินมาหาหญิงสาวที่ชื่อ เยน เชนเซ ขณะที่กำลังเดินทางไปนมัสการศาลเจ้าบนภูเขา มันคุกเข่าข้างหน้าเธอ แล้ววางแผ่นจารึกหยกขนาดเล็กไปในมือเธอจากปากของมัน บนข้างหนึ่งของแผ่นจารึกมีข้อความจารึกว่า เธอจะกลายเป็นแม่ของราชาไร้บัลลังก์ หลายเดือนจ่ากนั้น เยน เชนเซ ให้กำเนิดลูกชายชื่อ คัง ฟู ซู หรือที่คนไทยเรียกว่าขงจื้อ
เจ็ดสิบปีต่อมา ขงจื้อเป็นขี่หลินอีกครั้ง แต่มันถูกฆ่าตายแล้ว เขาจึงวามปากกาหยุดเขียนคำสอนอีก
ขี่หลึนจะปรากฏตัวเฉพาะในเวลาที่จะมีเหตุการณ์สำคัญคือเมื่อผู้นำประเทศยุติธรรม และเมตตา และเมื่อเป็นยุคที่มีสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง มันจะปรากฏเมื่อผู้นำที่ยิ่งใหญ่เกิดหรือตายอีกด้วย และการปรากฏของมันถือว่าเป็นเครื่องหมายของฤกษ์ดี
ประเทศไทยเรียกขี่หลินว่ากิเลน กิเลนไทยนั้นมีสองเขา ในขณะที่ของจีนมีเขาเดียว และบางทีของไทยมีการใส่ลายกนกมาด้วย
ขี่ริน
ยูนิคอร์นในประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า ขี่ริน หรือ ซินยู มันมีขนแผงคอปุกปุย และมีร่างกายลักษณะเหมือนสิงโต บางแหล่งว่ามีร่างกายของวัว มันมีเขาเดียวอยู่กลางหน้าผาก ขี่รินจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า แต่มันก็ไม่ขี้อายมาก เชื่อกันว่ามันมีความสามารถที่จะรู้ได้ว่าใครทำผิดหรือใครบริสุทธิ์ มันจึงถูกเรียกมาทำการตัดสินบุคคลว่าผิดหรือบริสุทธิ์ ถ้าบุคคลถูกตัดสินให้ผิด ขี่รินจะจ้องตามองและจะแทงทะลุหัวใจของคนที่ผิด
มังกรจีน
มังกรจีนมีลักษณะที่มาจากสัตว์หลายๆชนิดคือ มีหัวเหมือนของอูฐ ,เขาเหมือนของกวาง ,ตาเหมือนของกระต่าย หรือปีศาจ ,หูเหมือนของวัว ,คอเหมือนของงู หรืออีกัวน่า ,ตัวเหมือนของงู ,เท้าเหมือนของเสือ ,กรงเล็บเหมือนของนกอินทรีย์ ,ท้องเหมือนของกบหรือหอยกาบ และเกล็ดเหมือนของปลาคาร์พ
มังกรจีนมีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่ขากรรไกรบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนของสิงโตอยู่บน คอ ,คาง และข้อศอก มังกรจีนมีเกล็ด 117 แผ่น ซึ่ง 81 แผ่นเป็นหยางมีความดี 36 แผ่นเป็นหยินมีความชั่ว เขามีสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหาง เป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มังกรจีนมีโหนกอยู่บนหัวซึ่งทำให้เขาสามารถบินได้ เรียกว่า เชด เม่อ (ch’ih muh) แต่ถ้าเขาไม่มีโหนกนี่เขาจะกำคทาเล็กๆที่เรียกว่า โพ เชน (po-shan) ซึ่งสามารถทำให้เขาลอยได้
สีของมังกรจีนผันแปรตั้งแต่แกมเขียวจนถึงทอง หรือบางแหล่งว่ามังกรจีนมีสี น้ำเงิน ,ดำ ,ขาว ,แดง ,เขียว หรือเหลือง แต่ในกรณีของมังกรชนิด ไชโอะ (chiao) หลังของเขาเป็นสีเขียว ด้านข้างเป็นสีเหลือง และใต้ท้องเป็นสีแดงเข้ม มังกรจีนอีกตัวอย่าง มีปีกที่ด้านข้าง และเดินบนน้ำ อีกตัวอย่างสะบักแผงคอของเขาไปข้างหน้าและข้างหลัง ทำเสียงที่ฟังดูเหมือนขลุ่ย
มังกรจีนในตำนานสามารถทำตัวเองให้ใหญ่เท่ากับจักรวาล หรือเท่ากับหนอนไหมได้ และในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีนมังกรจีนได้รับความนับถือมากที่สุด
มังกรจีนมีนิสัยเมตตากรุณา ,เป็นมิตร ,ทะเยอทะยาน และมองโลกในแง่ดี นอกจากนี้มังกรจีนฉลาด ,มีปัญญามาก ,มีความเด็ดขาด และมีพลัง เขาจึงเป็นที่ปรึกษาของผู้นำ แต่มังกรจีนมีทิฐิ เขาจะถือว่าถูกหมิ่นประมาทเมื่อผู้นำไม่ทำตามคำแนะนำของเขา หรือเมื่อผู้คนไม่เคารพความสำคัญของเขา จากนั้นเขาจะทำให้ฝนหยุดตก หรือเป่าเมฆดำออกมาซึ่งจะนำพายุ และน้ำท่วมมาให้ มังกรตัวเล็กก็ทำเรื่องยุ่งยากเล็กๆ เช่นทำหลังคารั่ว หรือทำให้ข้าวเกิดความเหนอะหนะ
มังกรจีนมีเก้าชนิดใหญ่ๆคือ
1. มังกรมีเขา หรือ หล่ง (lung) มีอำนาจมากที่สุดสามารถทำให้เกิดฝนได้ และหูหนวกโดยสิ้นเชิง
2. มังกรมีปีก เรียกว่า ยิ่น หล่ง (Ying-lung)
3. มังกรสวรรค์หรือมังกรฟ้าเรียกว่า ทิ่น หล่ง (T’ien-Lung) เขาสนับสนุนและปกป้องคฤหาสน์สวรรค์ของเทพเจ้า
4. มังกรวิญญาณเรียกว่า เชน หล่ง (Shen-Lung) ที่ทำให้เกิดลมและฝนเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ
5. มังกรแห่งขุมทรัพย์ที่ซ่อนเร้น หรือแห่งขุมทรัพย์ลึกลับ เรียกว่า ฟู แซง (Fu-tsang) หรือ ฝัดซ์ หล่ง (Fut’s-Lung ,มังกรใต้ดิน) เขาดูแลขุมทรัพย์ที่ช่อนอยู่ หรือโลหะมีค่า และอัญมณี
6. มังกรขด (ซึ่งอาศัยอยู่ในน้ำ)
7. มังกรเหลือง โผล่ขึ้นมาจากน้ำครั้งหนึ่ง และนำเสนอปัจจัยสำคัญของการเขียนให้กับจักรพรรดิ ฟู ซาย (Fu Shi) ที่เป็นตำนาน
8. มังกรไร้บ้านเรียกว่า อี่ (Ii) อาศัยอยู่ในมหาสมุทร อีกชนิดเรียกว่า ไชโอะ มีเกล็ดปกคลุมและมักจะอาศัยอยู่ในหนอง แต่มีถ้ำอยู่ในภูเขา
9. พญามังกร คือมังกร 4 ตัว ซึ่งปกครองอยู่เหนือทะเลทั้งสี่ คือทะเล ตะวันออก(ตัง) ,ใต้(น่ำ) ,ตะวันตก(ไซ) และเหนือ(ปัก) พญามังกรอาศัยอยู่ในปราสาทมหาสมุทรหรูหรา(วังใต้ทะเล) และกินไข่มุกเจียงตู หรือไข่มุก และโอปอล เป็นอาหาร และพญามังกรทั้งสี่ตัวเป็นพี่น้องกัน บางแหล่งข้อมูลกล่าวว่ามังกร 4 ตัวนี้มีผู้ควบคุมชื่อ ฉิน แท็ง (Chien-Tang) เป็นมังกรที่มีสีแดงเลือด มีแผงคอเป็นไฟ และยาว 900 ฟุต
คนจีนแทนลักษณะเฉพาะของมังกร 9 อย่าง ตามประเพณี แต่ละอย่างแสดงถึงลักษณะของมังกรที่แตกต่างกัน (บางแหล่งมีชื่อของมังกรแต่ละอย่างด้วย)
อย่างแรก มังกรชื่อ พิว โหล (p’u lao) ถูกสลักบนยอดของระฆังและฆ้องเพราะว่าเขามีนิสัยชอบส่งเสียงร้องดังเมื่อถูกโจมตี
อย่างที่สอง มังกรชื่อ ไชยู (ch’iu) อยู่บนที่หมุนของซอตั้งแต่มังกรส่วนมากชอบดนตรี
อย่างที่สาม มังกรชื่อ ไพ ไซ (pi his) ถูกสลักที่ส่วนบนของโต๊ะหินเนื่องจากความรักของมังกรที่มีต่อวรรณคดี
อย่างที่สี่ มังกรชื่อ พา ไซ อะ (pa hsai) พบได้ที่ฐานของอนุสาวรีย์หินในฐานะที่มังกรสามารถรับน้ำหนักมากได้
อย่างที่ห้า มังกรชื่อ เชโอะ เฟ่ง (chao feng) วางอยู่ที่ชายคาของวัดในฐานะที่มังกรตื่นตัวต่ออันตรรายอย่างที่หก มังกรชื่อ เช่ย (ch’ih) ปรากฏบนคานของสะพานตั้งแต่มังกรชอบน้ำ
อย่างที่เจ็ด มังกรชื่อ ซ่วง หนี่ (Suan ni) ถูกสลักบนบัลลังก์ของพระพุทธรูปในถานะที่มังกรชอบพักผ่อน
อย่างที่แปด มังกรชื่อ เย่ สึ (Yai tzu) ถูกสลักบนด้ามดาบ ตั้งแต่มังกรถูกรู้ว่ามีความสามารถที่จะฆ่าได้
อย่างที่เก้า มังกรชื่อ ไพ ฮั่น (pi han) ถูกสลักบนประตูคุก เพราะมีมังกรที่ชอบการทะเลาะ และการสร้างปัญหา
มังกรจีน(2)
มังกรจีนมีวงจรการเกิด 4,000 ปี จึงจะเป็นมังกรเต็มวัย
1. ไข่มังกรเป็นไข่ลักษณะอัญมณี จะถูกวางไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำและฝังไว้ลึกจนไม่ถูรบกวนโดยใครหรืออะไร
2. 1,000 ปีต่อมาไข่จะฟัก
3. ในระหว่างช่วงเวลา 500 ปีต่อมา มังกรน้อยนี้เรียกว่าไคอาส (Kias ,มังกรมีเกล็ด) ในช่วงนี้เขามีลักษณะเหมือนกับงูน้ำ และหัวของปลาคาร์พค่อยๆพัฒนาขึ้น ขั้นนี้เรียกว่า ไคโอะ
4. 1,000 ถัดไปเขาถูกรู้จักในฐานะของ หล่ง (lung ,มังกรตามมาตรฐาน) รยางค์ และเกล็ดของมังกรเจริญขึ้นแล้ว ความยาวของเขาเพิ่มขึ้น และหน้ามีหนวดเครา
5. 500 ปีต่อมา เป็นเวลาที่ใช้ในการงอกของเขา ตอนนี้มังกรสามารถได้ยินได้แล้ว และถูกรู้จักในฐานะของ ไคโอ หล่ง (Kioh-Lung ,มีเขา)
6. 1,000 ปีต่อมาใช้ในการเจริญของปีกเขาจะถูกรู้จักในฐานะ ยิ่น หล่ง (มังกรมีปีก) และเป็นมังกรเต็มวัย
นิ้วของมังกรจีนในแต่ละเท้าจะมี 4 หรือ 5 นิ้ว ถ้ามี 4 นิ้วเป็นมังกรทั่วไป แต่ถ้ามี 5 นิ้ว เป็นมังกรหลวง ซึ่งในสมัยก่อนจะมีเฉพาะจักรพรรดิเท่านั้น ที่สามารถใช้สิ่งของที่มีรูปมังกรหลวงประดับอยู่ถ้ามีใครอื่นใช้จะถูกประหาร
น้ำลายจากมังกรจีนจะทำให้เกิดลูกหรงกลมวิเศษซึ่งเรียกว่า “ไข่มุกแห่งพลัง” , “ดวงจันทร์” และ “ไข่แห่งความอุดมสมบูรณ์” เมื่อเลือดของมังกรจีนซึมซาบเข้าไปในแผ่นดิน มันจะเปลี่ยนกลายเป็นอำพัน เมื่อมังกรลอกคราบเป็นเหตุให้เขาเรืองแสงอย่างน่าขนลุกในความมืด
มังกรจีนชอบกินนกนางแอ่นย่าง จึงมีการถวายให้ก่อนเดินทางข้ามน้ำ เพื่อที่จะเอาใจมังกรและเพื่อให้การเดินทางปลอดภัย ว่ากันว่ามังกรจีนกลัวใบของต้น แว่ง (wang) ,ใบของต้น ลีน (lien) ,ด้ายไหม 5 สี ,สีผึ้ง ,เหล็ก และตะขาบ
ว่ากันว่าบางครั้งในยุคโบราณ มังกรจีนเพศผู้จะแต่งงานกับสัตว์ชนิดอื่น มังกรจะเป็นพ่อของช้างเมื่อแต่งงานกับหมู และเมื่อแต่งงานกับม้าจะได้ลูกเป็นม้าแข่ง
การที่มังกรจีนจะนำฝนตกลงสู่พื้นดิน ขึ้นอยู่กับ “บุคคลสง่างามแห่งหยก” หรือจักรพรรดิหยก ผู้ซึ่งมังกรจะรับคำสั่งว่า จะส่งน้ำจากท้องฟ้าเท่าไร จากนั้นพวกมังกรจะต่อสู้กับตัวอื่นอย่างมุ่งร้ายในอากาศ ฝนจะตกลงมาในจังหวะที่มังกรม้วนตัว และชักดิ้นชักงอ นอกจากนี้มังกรมีความสามารถที่จะอยู่ในทะเล บินขึ้นไปยังสวรรค์ และขดตัวบนพื้นในรูปของภูเขา มังกรจีนสามารถปัดเป่าวิญญาณพเนจรชั่วร้าย ปกป้องผู้บริสุทธิ์ และให้ความปลอดภัยกับทุกคนที่ถือสัญลักษณ์ของเขา
มังกรจีนเป็นเครื่องหมายแห่งอำนาจและคุณงามความดี ,ความองอาจและความกล้าหาญ ,ความเป็นวีรบุรุษและความอุตสาหะ และความสูงส่งและความศักดิ์สิทธิ์ และนอกจากนี้ มังกรจีนเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี ความเป็นมงคล และความมั่งคั่งอีกด้วย
กริฟฟิน(Griffin)
กริฟฟินมีการสะกด 24 แบบผ่านหลายๆยุคคือ gryffen, girphinne, greffon, grefyne, grephoun, griffen, griffin, griffion, griffon, griffoun(e), griffown, griffun, griffyn, grifon, grifyn, griphin, griphon, gryffin, gryffon, gryfon, gryfoun(e), gryphen, gryphin, และ gryphon แต่แบบที่เห็นได้บ่อยในปัจจุบันจะมี 4 แบบคือ griffin ,griffon ,grifon และ gryphon
กริฟฟินเป็นสัตว์ที่มีลักษณะของสิงโตและนกอินทรีส่วนของลำตัวและหางซึ่งบางแหล่งว่าก้นและหาง จะเหมือนของสิง
โต หัวและปีกเหมือนของนกอินทรี บางแหล่งว่ากรงเล็บเหมือนของนกอินทรี แต่ซีทีเซีย(Ctesias) บอกว่าขาและกรงเล็บของมันคล้ายกับของสิงโต หูยาว กรงเล็บของกริฟฟินมีขนาดเท่ากับเขาวัวหรือเท้านกอินทรีทั้งเท้า ในยุคกรีกภายหลัง กริฟฟินมีรูปทรงเปลี่ยนไป คือมีจะงอยปากงุ้ม หูแหลมและลิ้นแหลม ซีทีเซียเล่าไว้ว่าขนที่หน้าอกของมันเป็นสีแดง ส่วนที่เหลือของลำตัวเป็นสีดำ แต่บางแหล่งว่า ขนตามหลังของมันเป็นสีดำและที่อยู่ข้างหน้าเป็นสีแดง ปีกเป็นสีขาว และคอของมันเป็นลายสลับสีน้ำเงินเข้ม บางแหล่งว่าลำตัวที่เหมือนสิงโตของมันใหญ่กว่าสิงโตแปดเท่า และหัวและปีกของนกอินทรีของมัน แข็งแรงกว่านกอินทรีหนึ่งร้อยเท่า แต่บ้างว่ากริฟฟินสูงกว่าม้าสองฟุต
กริฟฟินฉลาดและแข็งแรง มันสามารถบินได้ด้วยความเร็วสูง และสามารถยกเหยื่อที่หนักได้ ในการบินกริฟฟินใช้หางเป็นหางเสือ และใช้ขาหลังช่วยเวลาที่จะบินขึ้น
กริฟฟินอาศัยอยู่ในภูเขา เฝ้าทองคำที่เก็บไว้อยู่ และจะโฉบเหยื่อจากที่สูงนั้น กริฟฟินเป็นศัตรูอย่างเป็นตายกับม้า กริฟฟินเป็นนักล่า ม้าเป็นเหยื่อ
กริฟฟินเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและน่ากลัว ในกรีกยุคหลัง มันถูกพรรณนาให้โจมตีสัตว์อื่นหรือคน และในยุคกลาง กริฟฟินจะดีหรือชั่วร้ายก็ได้ ในงานศิลปะของยุคนี้ กริฟฟินถูกแสลงให้กินคนบาป และฉีกสัตว์ออกเป็นชิ้นๆ
สายพันธ์ใหญ่ของกริฟฟินจะเป็นของ กริฟฟิน Raptopantthera และมีการผันแปรเป็นสองแบบคือ กริฟฟินเหนือ หรือกริฟฟิน Hyperborean และกริฟฟินอินเดีย กริฟฟินเหนืออยู่ในเขตป่าเป็นเนิน และภูเขา ทางตะวันออกเฉียวเหนือของยุโรป และรัซเซีย กริฟฟินอินเดียพบในดินแดนหุบเขา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และตะวันออกกลาง รู้จักโดยลักษณะแมวของมัน ขัดแย้งกันขาหน้าลักษณะนกอินทรี
รูปกริฟฟินรูปแรก สลักบนตราทรงกระบอกจากเมืองโบราณชื่อ Susa ในอิหร่าน มันเป็นรูปกริฟฟินธรรมดา และลงวันที่ไว้ประมาณ 5,000 ปีก่อนค.ศ. กริฟฟินรูปอื่นๆ พบในสุสานของอียิปต์ และตราทรงกระบอกของชาวเมโสโปเตเมียเพื่อใช้แทนลายมือชื่อในภาษาเขียนยุคแรก
กรงเล็บของกริฟฟิน เป็นเครื่องรางต่อต้านความชั่วร้าย และโชคร้าย และสามารถตรวจพบพิษได้ ว่ากันว่าถ้ากรงเล็บของมันได้สัมผัสกับพิษจะมีสีคล้ำลง ส่วนขนของมันรักษาอาการตาบอด
กริฟฟินใช้ในตราประจำตระกูลเป็นส่วนใหญ่ รูปแบบที่ไม่เหมือนใคร และลักษณะที่สูงส่งของมัน ทำให้มันสมบูรณ์แบบสำหรับตราประจำตระกูล กริฟฟินเพศเมียในตราประจำตระกูลมีปีก ในขณะที่เพศผู้เสริมพัดหนามงอกออกมาจากหัวไหล่
ตามตำนาน กริฟฟินลากรถม้าของ เทพอพอลโล(Apollo) และเนเมซิส(Nemesis)
ฮิปโปกริฟ(Hippogryph)
ฮิปโปกริฟเกิดจากกริฟฟินเพศผู้ และม้ารุ่นเพศเมีย ซึ่งโดยปกติแล้วสัตว์สองชนิดนี้เป็นศัตรูกัน ฮิปโปกริฟอาศัยอยู่ที่ภูเขา Rhiphaean ไกลจากทะเล มันมีหัว, ปีก และขาหน้า เหมือนของกริฟฟิน หลังและขาหลังเหมือนของม้า ฮิปโปกริฟสามารถฝึกให้เชื่องได้ และใช้เป็นพาหนะทางอากาศ บ้างว่ามันสามารถบินผ่านลมได้ด้วยความเร็วมากกว่าสายฟ้าแลบ
อริออสโต(Ariosto, ค.ศ. 1474 – 1533) กวีชาวอิตาลี น่าจะเป็นคนที่ทำให้ฮิปโปกริฟมีขึ้น สำหรับคำประพันธ์ของเขา เรื่อง ออลันโด ฟูริโอโซ (Orlando Furioso) เขาใช้มันในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก
หน้า:
[1]