เรื่องผีใน มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา [ถ้า ซ้ำ ก้ขออภัยนะ ครับ]
เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ไม่น้อย “ปาล์ม” นักศึกษาปริญญาโทสาขาวิชาเทคโนโลยีการบริหารสิ่งแวดล้อม เล่าประสบการณ์ให้พวกเราได้ฟังกันปาล์ม เริ่มต้นเล่าว่า สมัยก่อนเคยได้ฟังตำนานจากคนเก่าคนแก่ของมหาวิทยาลัยมหิดล ว่า พื้นที่ในเขต "ศาลายา"คือชื่อตำบลหนึ่งที่ตั้งอยู่ใน จ.นครปฐม และปัจจุบันที่ดินส่วนหนึ่งของต.ศาลายา ก็เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหิดลในอดีตศาลายานี้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งซ่องสุมโจรและเลื่องลือกันว่า "ผีดุ"มักปรากฏตัวให้ใครต่อใครเห็นอยู่เป็นประจำ
ชื่อ "ศาลายา" มีเล่าต่อกันมาหลายทาง สมัยก่อนศาลายาจะเป็นชื่อที่คู่มากับ"ศาลา ทำศพ" ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่า แต่ก่อนสถานที่ 2 แห่งนี้น่าจะเคยมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนเจ็บไข้ล้มตายกันมากจึงมีการตั้งศาลาขึ้นจ่ายยาแก่คนเจ็บเหล่านั้นและเมื่อล้มตายก็จัดการเผาศพจึงมีชื่อทั้ง "ศาลายา" และ "ศาลาทำศพ"ต่อมาเห็นว่าชื่อ "ศาลาทำศพ" ไม่เป็นมงคลจึงเปลี่ยนชื่อเป็น"ศาลาธรรมสรพณ์" และยังใช้ในปัจจุบัน
ในอดีตคนเก่าแก่เล่าว่า "ศาลายา" เป็นที่เปลี่ยว ห่างไกลความเจริญมากยังไม่มีถนนหนทางตัดผ่านทำให้ชาวบ้านในละแวกนั้นเวลาป่วยไข้ไม่มีใครกล้าออกไปหาหมอจึงมีผู้เมตตาสร้างศาลาให้หลังหนึ่งและนำเอาสมุนไพรที่รักษาโรคได้มาแขวนไว้เป็นทาน ให้คนเอาไปใช้รักษาใครต้องการยาอะไรก็จะไปเลือกหาเอาที่ศาลานั้น จึงเรียกที่แห่งนั้นว่า"ศาลายา" เรื่อยมา
ความเป็นมาของที่ดินบริเวณศาลายาแต่เดิมเป็นของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4และเป็นมรดกตกทอดมาถึงสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ต่อมาเจ้านายบางพระองค์ขายตกทอดไปเป็นของชาวบ้านบ้างบางส่วนถูกเวนคืนไปเป็นพุทธมณฑลบ้างและบางส่วนก็เป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
รวมถึงที่ดินที่เป็นพื้นที่ของมหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบันก็เป็นที่ดินพระราชมรดกจากรัชกาลที่ 4 ตกทอดมายังรัชกาลที่9มาในรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯให้มหาวิทยาลัยมหิดลซื้อที่ดินส่วนพระองค์ ในราคาถูกเป็นพิเศษจำนวน 1,250ไร่ เพื่อสร้างเป็นมหาวิทยาลัยทำให้ชาวบ้านที่เคยอาศัยทำกินอยู่ที่พื้นที่นั้นค่อยๆอพยพออกไปจนหมด
http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images2/20101101152956.jpg
แต่สิ่งที่เหลืออยู่มากมายบนที่ดินนั้นก็คือศาลพระภูมิ และศาลเจ้าที่ซึ่งถูกทิ้งให้หักพังโดยส่วนใหญ่ไม่มีใครเหลียวแลจะมีก็บางครอบครัวที่นานๆจะกลับมาไหว้ศาลเก่าของตน เพราะยังผูกพันกับเจ้าที่เดิม
และตามความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่มักให้ความเคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่ไม่ว่าจะปลูกบ้านหรือทำพิธีกรรมใดๆโดยมากมักจะแผ่ส่วนกุศลอุทิศให้เจ้าที่เจ้าทางที่ตนมาอาศัยจึงอยู่กันอย่างสงบสุข ราบรื่น แต่ในบริเวณที่ดินของ ม.มหิดลศาลายาเมื่อเปลี่ยนจากที่ชาวบ้านอยู่อาศัยมาสร้างเป็นสถานที่ราชการแล้วมักเกิดปัญหาที่น่าพิศวงตามมา
** จุดเริ่มต้น ปรากฏการณ์อาถรรพณ์ ณ ม.มหิดล ศาลายา
หลังจากมหาวิทยาลัยมหิดลเตรียมพื้นที่และสร้างอาคารเสร็จพร้อมจะให้นักศึกษาเข้ามาอยู่ปรากฏว่าในวันเปิดตึกหอพักนักศึกษา ...มีนักศึกษาชายคนหนึ่งป่วยกะทันหันโดยไม่มีเค้าว่าจะเป็นคนสุขภาพไม่ดีมาก่อนและผลจากการป่วยคราวนี้ทำให้กลายเป็นคนพิการ ไม่สามารถเรียนต่อได้
ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่ว่านับตั้งแต่สร้างมหาวิทยาลัยมามักมีคนตายบ่อยๆ เช่นมีอุบัติเหตุที่สี่แยกพุทธมณฑลทำให้นักศึกษาตายหลายศพหรือมีการฆ่ากันตายที่ตึกคณะสิ่งแวดล้อมและนักศึกษาหลายคนก็มักจะเห็นคนเดินหายเข้าไปในต้นไม้จากเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ต้องมีอัญเชิญพระพุทธรูปองค์หนึ่งมาตั้งไว้บริเวณหน้าหอพักนักศึกษาเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้อบอุ่นใจเหตุการณ์ในทำนองนี้ยังเกิดต่อเนื่องเรื่อยมา
โดยครั้งหนึ่งที่คณะสังคมศาสตร์ได้จัดให้มีการทำบุญขณะมีงานอย่านั้นก็มีคนงานคนหนึ่งเกิดอาการคล้ายผีเข้าเมื่อทำการถามไถ่ได้ความว่า ผีที่เข้าเป็น "ผีแขก"นับถือศาสนาอิสลามที่ตายที่นี่และวิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด ซึ่งเมื่อผีแขกตนนี้ ออกไปแล้วในแต่ละปีเมื่อทางคณะทำบุญครั้งใด ก็จะต้องอุทิศส่วนกุศลไปให้ทุกครั้ง
http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images2/20101101153034.jpg
** เรือนไทย
เรื่องนั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2529 ขณะที่ทำการสร้างเรือนไทยเพื่อให้เป็นศูนย์วิจัยวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์ มีคนเคยเล่าว่าระหว่างการสร้างเรือนไทยแห่งนี้ มักมีเหตุการณ์แปลกๆคือ...อยู่ๆคนงานก็เกิดอุบัติเหตุ
ถูกฆ้อนตอกเสาเข็มทับบาดเจ็บสาหัส แล้วไปตายที่โรงพยาบาลศิริราช
ซึ่งเสาต้นที่เกิดเหตุน้อยคนนักที่จะรู้และจำได้จนได้มีงานทำบุญขึ้นที่อาคารเรือนไทย ขณะที่กำลังทำพิธี พระ 9รูปกำลังสวดทำน้ำพระพุทธมนต์โดยพระภิกษุรูปแรกกำลังจุดเทียนร่างคาถาทำน้ำมนต์อยู่ จู่ๆพระภิกษุรูปที่4 ก็เกิดอาการน้ำลายฟูมปาก และพ่นน้ำลายออกมาบรรดานักศึกษาและอาจารย์ต่างเห็นกันทั่วทุกคนเมื่อพระรูปที่ทำน้ำมนต์สวดเสร็จและหันมาเห็นเข้า ท่านก็ดูว่าทันทีและซัดน้ำมนต์ลงไปที่ร่างพระรูปนั้น
ท่านว่า "ผีก็อยู่ส่วนผี วันนี้เป็นวันมงคล อย่ามาทำตัวให้เกิดความยุ่งยาก"
ซึ่งเมื่อซัดน้ำมนต์ไปที่ร่างนั้นแล้วอาการต่างๆของพระรูปนั้นก็หายไปทันทีจากนั้นท่านก็ลุกขึ้นยืนประพรมน้ำมนต์ไปทั่วอาคารเรือนไทยแต่พอถึงเสาต้นหนึ่งท่านก็หยุด และตั้งคำถามที่เป็นปริศนาขึ้นว่า
"มีใครเคยเห็นอะไรเป็นพิเศษที่เสาต้นนี้บ้างหรือไม่?"
ผู้ที่อยู่และรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยมาตลอดถึงกับอึ้งและสงสัยว่า พระรูปนี้ไม่เคยรู้เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้างเรือนไทยว่ามีคนตายแต่ทำไมท่านชี้เสาต้นที่เกิดเหตุได้ถูกต้องนอกจากนี้ยังมีนักศึกษาหลายกลุ่มที่ต่างพากันจาจับจ้องพื้นที่บริเวณเรือนไทย เพื่อติวหนังสือกันที่นี่และบางกลุ่มก็ใช้เป็นที่พลอดรักกันอย่างน่าอิจฉา
จนกระทั่งมีนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง เข้าไปอ่านหนังสือบริเวณเรือนไทยเวลาผ่านไปจนเริ่มเย็นขณะนักศึกษาคนนั้นเก็บของเตรียมตัวกลับไปหอพักก็เหลือบไปเห็นเส้นสีดำๆคล้ายผมของใครบางคน ปลิวไสวอยู่ไม่ไกล เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆก็พบว่า
เส้นผมที่ว่านั่น...เป็นเส้นผมของผู้หญิงใส่ชุดไทยโบราณ และกำลังห้อยหัวลงมาจากเสาเรือน ปากยิ้มแสยะเห็นฟันดำขลับ
นักศึกษาคนนั้นกรีดร้องและเป็นลมทันทีพี่ยามได้ยินเสียงจึงเข้าช่วยเหลือ-ทำการปฐมพยาบาล มีรุ่นพี่บางคนเล่าต่อๆกันมาว่า เสาต้นหนึ่งในเรือนไทยตกน้ำมัน
http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images2/20101101153108.jpg
** เจ้าที่..แรง!!
ยังมีอีกเหตุการณ์ที่เกิดกับบุคลากรระดับอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิและเป็นฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยมหิดลท่านหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในกลางดึกกำลังเดินกลับที่พัก ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัย ขณะกำลังเดินอยู่ท่านเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากบริเวณมหาวิทยาลัยจะข้ามสะพานออกไปนอกถนนหน้ามหาวิทยาลัย
ท่านก็นึกว่าเป็นนักศึกษาเดินกลับกลางดึก ด้วยความเป็นห่วงจึงถามว่า
"ไปไหนมาจนดึก เดินไประวังรถจะเฉียวเอา"
เพราะถนนสายนี้ กลางคืนรถแล่นเร็วมาก แต่เธอผู้นั้นก็ไม่ตอบกลับรีบเดินข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามแล้วหายตัวเข้าไปในต้นไม้ข้างทางต่อหน้าต่อตาอาจารย์ท่านนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่จะเกิดเฉพาะกับอาจารย์ท่านนี้ เพราะยังมีนักศึกษาหลายคนรวมทั้งยามหน้าประตูมหาวิทยาลัยก็เคยเห็นโดยจะเห็นผู้หญิงเดินออกจากตัวตึกแล้วหายเข้าไปที่โคนต้นไทรและทุกคนเล่าตรงกันอย่างไม่น่าเชื่อว่ารูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวของผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไร
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้อาจารย์ท่านนี้ต้องนำเรื่องไปปรึกษาพระผู้ใหญ่ที่นับถือองค์หนึ่งที่วัดพระเชตุพนฯ ซึ่งท่านก็สอนว่า
"เรื่องย้ายไปทำงานใหม่ที่ใดที่หนึ่งนั้นประเพณีไทยเขาต้องเซ่นไหว้พระภูมิและเจ้าที่เมื่อบอกกล่าวแล้วหากมีปัญหาอะไรท่านจะได้ช่วยเราและควรทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ท่านเป็นครั้งคราวด้วย"
และท่านยังบอกว่า ที่ศาลายานี้จะมีจิตวิญญาณจริงหรือไม่ตอนดึกๆท่านจะนั่งวิปัสนาดูให้ แต่ครั้งแรกท่านทำไม่สำเร็จ มาป่วยเสียก่อนครั้งที่สองท่านพระยายามนั่งทางในอีก คราวนี้สำเร็จ
ท่านเล่าว่า เจ้าที่ที่ศาลายานี้แรงมาก ไม่ยอมให้ท่านเข้าไปในสถานที่ต้องใช้พลังจิตต่อสู้กันจนทำให้ท่านต้องเข้าโรงพยาบาลเสียหลายอาทิตย์
ภายหลังทางม.มหิดลมาเชิญให้ไป โดยจะเอารถมารับ ท่านบอกว่า"ให้ไปเอาพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ไปติดตั้งให้เรียบร้อยก่อนท่านจึงจะไป”พระบรมรูปรัชกาลที่ 5 มาเกี่ยวข้องกับเรือนไทยที่ศาลายาอย่างไรตอนนั้นยังไม่มีคำตอบ เพราะหลังจากนั้นพระผู้ใหญ่รูปนี้ก็ป่วยหนักและมรณภาพไป หลังจากท่านมรณภาพลงแล้วก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่อง "ผี" ในศาลายาอีก
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นอีก โดยมีคนงานก่อสร้างตึกภายใน ม.มหิดลเกิดโรคไหลตาย และต่อมาก็เกิดฟ้าผ่าคนงานอีกจนทำให้สงสัยว่าทำไมต้องมีคนตายในทุกตึกที่มีการก่อสร้างในศาลายาจึงน่าจะมีอะไรสักอย่างดลบันดาลให้เกิดเหตุไม่ชอบมาพากลอย่างนี้ก็บังเอิญว่ามีผู้ที่สามารถติดต่อกับจิตวิญญาณได้เป็นผู้หญิงซึ่งเธอได้เข้าสมาธิเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ แล้วก็ได้คำตอบว่า
แต่เดิมสถานที่ที่ศาลายาบริเวณ ม.มหิดลนั้น มีผู้ตายทับถมกันมากเป็นผีตายโหงที่อดอยาก หิวโหย คอยส่วนบุญจากผู้อยู่อาศัยบนพื้นที่นั้นคนรุ่นใหม่เข้ามาอยู่ก็ไม่เคยกรวดน้ำอุทิศให้แก่เจ้าที่บนพื้นที่ศาลายานี้เลย
นอกจากเธอยังบอกว่า ศาลายานี้เจ้าที่แรงมาก จะเข้ามาตรวจสอบทางสมาธิได้ยากต้องทำตัวให้สะอาดจึงจะเข้ามาทำพิธีได้สิ่งที่เธอเห็นจากการเข้าสมาธิครั้งแรกก็คือ
....ในชั้นที่ลึกที่สุดของที่ดินบริเวณนี้เป็นกลุ่มคนหน้าตาเหมือนแขกมุสลิมที่ตายเพราะศึกสงครามทับถมกันอยู่โดยวิญญาณเหล่านี้คือทหารที่รบราฆ่าฟันตายบนท้องทุ่งแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยทวารวดี ซึ่งมีทั้งแขกตามและขอม
ชั้นถัดมาเป็นศพที่ตายจากโรคห่าระบาด ในสมัย ร.3 ซึ่งมีทั้งผีผู้ชายผู้หญิง เด็ก และผีทาสที่ข้อมือข้อเท้ายังติดตรวนอยู่จากการติดต่อกับวิญญาณเหล่านี้จึงทราบว่า
ในอดีตเคยเกิดโรคระบาดที่นี่ ตายกันหมดทั้งหมู่บ้านคนจะเข้ามาช่วยก็กลัวจะติดโรค จึงเอายามาแขวนไว้ ให้คนเจ็บมาหยิบใช้เองโดยผูกยาเป็นห่อๆไว้เป็นทานที่ศาลา แต่ก็ช่วยไม่ทัน ตายกันหมดทั้งหมู่บ้าน
นอกจากนั้นก็ยังมีผีหน้าใหม่ซึ่งก็คือบรรดาศพที่ดองไว้ศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์ และที่วิญญาณมาปรากฏให้เห็นก็หวังจะให้ช่วยแผ่ส่วนกุศลไปให้นั่นเองหากต้องการแก้ไขก็ต้องตั้งศาลให้แก่เจ้าที่ รวมถึงสร้างศาลาหรือโบสถ์เล็กๆเพื่อตั้งพระพุทธรูปและพระบรมรูป ร.5พร้อมทั้งบูชาเจ้าที่ด้วยเครื่องเซ่นที่กำหนดมา หากต่อไปจะสร้างอาคารใดให้บอกเจ้าที่ก่อนทุกครั้ง
สำหรับเจ้าที่ผู้เป็นใหญ่ ณ ศาลายา นามว่า "เจ้าขุนทุ่ง" หรือ"เจ้าจันทร์ทุ่ง" ลักษณะเป็นคนโบราณร่างสูงใหญ่ หวีผมเสกกลางนุ่งโสร่งตาหมากรุก ไว้หนวดใส่เสื้อคอกลมหลังจากตั้งศาลแล้ว
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯซึ่งทรงทราบเรื่องมาแต่ต้นทั้งหมดก็ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพระพุทธรูปส่วนพระองค์ สมัยทวารวดีให้มาประดิษฐานในโบสถ์เล็กที่สร้างขึ้น และทางม.มหิดลยังได้อัญเชิญพระบรมรูป ร.4 ร.5 และสมเด็จพระบรมราชชนกมาตั้งในโบสถ์นี้ด้วยเพราะทั้งสามพระองค์มีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ศาลายาแห่งนี้มาก่อนเมื่อดำเนินการสร้างเสร็จเรียบร้อยก็ไม่มีใครพบเห็นหญิงสาวมาปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย และที่น่าแปลกก็คือต่อมาได้มีอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิอีกท่านหนึ่ง มาประชุมที่เรือนไทยแห่งนี้โดยเพิ่งมาเป็นครั้งแรก อาจารย์ท่านนี้สามารถรับกระแสจิตได้และท่านคงมองเห็นอะไรบางอย่าง อยู่ๆท่านก็พูดขึ้นว่า
"เรือนนี้มีจิตสถิตอยู่ แต่เขาอยู่สบาย ไม่กวนใคร"
และท่านยังว่าท่านเห็นชายสูงอายุคนหนึ่งยืนอยู่เฉยๆ ท่าทางสบายอารมณ์นุ่งผ้าตาหมากรุก ไว้หนวด ผิวคล้ำ ซึ่งเป็นรูปร่างของ "เจ้าขุนทุ่ง"ผู้เป็นใหญ่แห่ง "ภูมิวิญญาณ" ในพื้นที่ศาลายาจึงเป็นเรื่องแปลกทำไมบางคนที่ไม่เคยรู้เรื่องในศาลายาเลยอย่างอาจารย์ท่านนี้จึงสามารถบอกเรื่องราวได้ถูกต้อง”
เพื่อความชัดเจน Life OnCampusได้สอบถามไปยังผู้รู้ถึงต้นตอของความเชื่อที่สืบทอดกันมากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่คู่กับวิทยาเขตมาเนิ่นนานเช่นกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าก็คือ “ศาลพ่อปู่จันทร์ทุ่ง”ซึ่งเป็นศาลเก่าแก่ประจำวิทยาเขตศาลายาโดยผู้ที่สามารถให้คำตอบได้มากที่สุดเกี่ยวกับที่มาของการแก้บนในลักษณะดังกล่าวที่ว่านี้ คือ "ดร.สุกรีเจริญสุข” ผู้อำนวยการ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ดร.สุกรีเล่าว่า ศาลนี้ก่อตั้งเมื่อ ปี 2538 แต่ก่อนหน้านั้นมหาวิทยาลัยเรามาตั้งที่ศาลายา ในปี 2500 ในด้านทิศตะวันตกทางทิศเหนือก็มีอาคารอยู่ 1 หลัง ชื่ออาคารอาจารย์ใหญ่ในเวลาที่โรงพยาบาลมีคนบริจาคศพทางโรงพยาบาลก็จะนำมาให้แพทย์ไว้เรียนรู้ที่ อาคารอาจารย์ใหญ่ในส่วนของ ม.มหิดล ฉะนั้นตั้งแต่ ร.1 – ร.4 จนถึงปัจจุบันที่มีตึกมากมายแต่พื้นที่สมันก่อนมีคนตายทับถมกันเนี่ย ในความเชื่อหากจะถามว่าศพและวิญญาณเหล่านี้มีที่มาที่ไปไหม ตอบมีแต่ที่มา ไม่มีที่ไปผมเองก็ไม่มีที่มาเรื่องผีสางนางไม้ พิธีกรรมประเพณีต่างๆ ก็ไม่รู้
ความเชื่อใดๆ ก็ตามอาจจะเป็นความเชื่อที่งมงาย แต่ ร. 5พระองค์ทรงตรัสไว้ว่าเรื่องงมงาย ไม่ดี ไม่มีประโยชน์ แต่ทำดีกว่าไม่ทำเชื่อดีกว่าไม่เชื่อ ผมเป็นนักเรียนนอกเรื่องพรรค์นี้จึงไม่มีในหัวแต่คิดว่าเชื่อดีกว่าไม่เชื่อ
อย่างตอนที่กำลังเริ่มจะสร้างตึก จู่ๆ นศ.ปริญญาโทก็ถูกผีเข้า มีเพียงผมที่รู้ว่านศ.ถูกผีเข้า เราไม่สามารถบอกใครได้กลัวหาว่าเราบ้า
...นศ.ที่ถูกผีเข้าเอะอะโวยวาย บอกผมว่าสร้างตึกไม่ได้หรอกเขามายืนชี้ให้ผมดูว่าตรงนี้มีคนตายเยอะผมจึงถามว่าทำอย่างไรจึงจะสร้างได้ แต่เขายังไม่ทันพูดอะไรต่อ จู่ๆก็ออกไป”
ดร.สุกรีเล่าต่อว่าหลังจากนั้นอีกอีกสองเดือน สิ่งที่อาจารย์เรียกว่าผีก็เข้านศ.หญิงปริญญาโทคนเดิมอีก แต่คราวนี้มีคนอยู่กันหลายคน
“ครั้งนี้ผมมีโอกาสถามว่า ทำอย่างไรจึงจะสร้างตึกได้ ขอให้บอกมาจากนั้นจึงมีผู้รู้ซึ่งเป็นร่างทรงมาก็คุยกันว่าจะตั้งศาล และร่างทรงก็ชี้ไปยังจุดใต้ต้นไทรว่าให้ตั้งศาลตรงนี้นั่นก็คือที่ตั้งศาลพ่อปู่จันทร์ทุ่ง ณ ปัจจุบัน และร่างทรงบอกว่าเจ้าที่ณ ศาลตรงนี้ จะรับแต่ ผลไม้ ปากริมไข่เต่า ชอบเล่นว่าว ชอบเลี้ยงควายหลังจากนั้นก็ทำพิธีให้ทุกปี แต่บางทีผมก็ได้ยินว่านศ.บางรุ่นเขาจะเห็นผู้ชายใส่โจงกระเบนสีม่วงบริเวณนั้นซึ่งก็เป็นเรื่องเล่าต่อกันมา”
อาจารย์ทิ้งท้ายถึงความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้ ของศาลพ่อปู่จันทร์ทุ่งว่าศรัทธาอะไรก็ศรัทธาไปเถอะ หากทำให้จิตใจดีและสามารถทำให้เราดำรงอยู่ในความดีได้ มันก็มีประโยชน์ดีจริงทั้งนั้น“ศาลพ่อปู่จันทร์ทุ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชุมชนมหาวิทยาลัยนี้มันเป็นเรื่องที่ดี ทำให้จิตใจมีอะไรที่ผูกพันกับสถานที่ที่เขาศรัทธาผมคิดว่านับเป็นสิ่งดีที่ทำให้เขามีกำลังใจในการดำเนินชีวิต”...
http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images2/20101101153134.jpg
มาต่อกันด้วย เรื่องเ ฮี้ ย นๆ....ที่เกิดขึ้น ณ ม.มหิดล ศาลายาที่ต่างเล่าขานกันว่า น่ากลัวจริงๆ
** เพลงรักน้อง "เจ้านกน้อย ล่องลอยโผบิน จากแผ่นดินทะเลสีคราม..."นั่นคือเนื้อเพลงรักน้อง หรือเจ้านกน้อยอย่างที่ใครหลายๆคนพูดจนชินปากเพลงอาถรรพ์ของชาวศาลายามีเรื่องเล่ากันว่า
มีนักศึกษาพยาบาลคนหนึ่ง ถูกพ่อแม่บังคับให้เรียนในสายที่ไม่เต็มใจด้วยความเสียใจ คิดว่าไม่มีใครเข้าใจอีกแล้วนักศึกษาพยาบาลคนนั้นจึงปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าของหอพักและเขียนข้อความสั้นๆนี้ไว้ จึงทิ้งร่างลงมาสู่พื้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
เพลงรักน้อง จึงเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกความระลึกถึงนักศึกษาพยาบาลคนนั้นชาวศาลายาจะถือกันว่า เพลงนี้ห้ามร้องในเวลากลางคืนและถ้าใครคนใดคนหนึ่งร้องขึ้นมาแล้ว ต้องร้องต่อจนจบเพลงมิฉะนั้นจะเท่ากับเป็นการเรียกนักศึกษาพยาบาลคนนั้นจากพื้นดินมาสู่เจ้าของเสียงในบางครั้งก็ปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นน้องที่เข้าใหม่เห็นในลักษณะกระโดดลงจากดาดฟ้าหอพัก เมื่อนักศึกษาคนนั้นตั้งสติได้และเรียกให้คนมาช่วยพอไปถึงจุดเกิดเหตุกลับปรากฏว่า ไม่มีร่องรอยใดๆอยู่เลย
** 3.SI วันมหิดล เตียงCอีกหนึ่งความเชื่อเกี่ยวกับวันสำคัญของมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งกล่าวถึงนักศึกษาคณะแพทย์ศิริราช เรียกสั้นๆว่าSIที่จะกลับมาเยี่ยมเยียนหอพักในวันนี้ของทุกๆปี แต่งกายด้วยชุดนักศึกษาเสื้อนั้นย้อมด้วยเลือด และร่างเต็มไปด้วยบาดแผล
“เรื่องนี้จัดเป็นอันดับต้นๆของความเ ฮี้ ยนสุดยอดในวิทยาเขตศาลายาเลยก็ว่าได้...
มีนักศึกษาแพทย์คนนี้ประสบอุบัติเหตุรถชนขณะข้ามถนนมายังมหาวิทยาลัยอาจเป็นเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเขาจึงไม่รู้ตัวว่าได้เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้วห้องพักดังกล่าวที่นักศึกษาแพทย์คนนี้อาศัยอยู่กลายเป็นเรื่องถูกปิดตายทราบแต่เพียงว่าเตียงCของนักศึกษาSIในคืนวันมหิดลเท่านั้นที่จะพบเห็นเค้าได้
** เชือกในห้องน้ำ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ไม่นานประมาณปีกว่าๆมีข่าวแพร่สะพัดตามหอพักว่าช่วงปิดเทอมเดือนตุลาแม่บ้านคนหนึ่งได้ผูกคอตายในห้องน้ำชายห้องดังกล่าวได้ถูกปิดตายไปพักใหญ่ เจ้าหน้าที่หอพักแก้ต่างเป็นพัลวันว่า
"ห้อง น้ำเสีย"
นักศึกษาชายที่อยู่ตรงข้ามกับห้องน้ำนั้นมักได้ยินเสียงร้องไห้ระงมจากประตูเจ้ากรรมเสมอๆ เมื่อมองผ่านจากหอตรงข้ามมีคนสังเกตว่าบริเวณขื่อมีเชือกผูกอยู่จริงแม่บ้านที่ทำความสะอาดประจำชั้นนั้นก็หายหน้าหายตาไปเจ้าหน้าที่หอก็ชี้แจงต่อข่าวลือน้ำขุ่นๆว่า
"เค้ากลับต่างจังหวัด"
ในปัจจุบันห้องน้ำดังกล่าวได้เปิดใช้งานตามปกติแล้ว....ถ้าเข้าไปแล้วเห็นแม่บ้านผิวดำผมหยักศกยิ้มให้ ก็อย่าลืมยิ้มตอบด้วยเพราะคุณคือผู้โชคดีแล้ว
** หอชาย ในสมัยก่อนหอชายของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เป็นหอหญิงมาก่อนบางคนอยู่มาเป็นปีๆไม่เคยจะรู้ ไม่เคยจะใส่ใจกับความเป็นมาตรงนี้หอชายในปัจจุบันนั้นมีสภาพค่อนข้างใหม่กว่าหอหญิง (ยกเว้นแต่หอ10)ก็มีเรื่องเล่ากันว่า
มีนักศึกษาหญิงคน หนึ่งได้ฆ่าตัวตายภายในหอพัก วิญญาณก็ยังวนเวียนไม่ไปไหนคอยปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นหลังได้พบเจอและในแต่ละปีจะมีนักศึกษาชายจำนวนมากที่โวยวายกับเจ้าหน้าที่หอพักเรื่องผู้หญิงชุดขาวที่เดินไปมาในบริเวณหอพัก
ส่วนสถานที่หลักๆที่จะพบได้ก็คือบันไดหนีไฟ ที่หลายคนชอบเดินทางนี้บ่อยๆหรือไม่ก็เป็นทางเชื่อมระหว่างหอ เมื่อมองจากระเบียง หรือด้านล่างของหอนี่คือสามแพร่งที่ทุกคนต้องผ่านเข้าออกในแต่ละวัน
ปิดท้ายด้วยเรื่องเล่าที่หลายคนรู้เป็นอย่างดี กับ ** คอนโดC ห้องxxxxเมื่อคอนโดบริเวณประตูสาม จะถูกจองตั้งแต่เดือนเมษาแต่จะมีอยู่ห้องหนึ่งในคอนโดC ซึ่งปิดขอบประตู โดยรอบด้วยยันต์และประไว้ที่หน้าประตูอีกหนึ่งแผ่น ลองนึกภาพดูว่าบรรยากาศของห้องจะหม่นๆเหมือนมีสายตาเฝ้ามองอยู่ตลอดใครที่เคยอาศัยอยู่ย่อมรู้ถึงความกดดันได้เป็นอย่างดี
ประวัติของห้องนี้ก็มีอยู่ว่าช่วงปิดเทอมเมื่อ4-5ปีก่อนมีเด็กอินเตอร์คนหนึ่งกรอกยาฆ่าตัวตายกว่าเพื่อนจะไปพบ ศพมันก็อืด เน่าเฟะ เละจนแทบจำไม่ได้เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงอยู่ปี 2 น้อยใจแฟนก็เลยประชดด้วยการลาโลกพองานศพเสร็จ เพื่อนๆทำใจไม่ได้ก็เลยขอย้ายไปพักที่อื่นคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆไม่รู้เรื่องรู้ราวตกกลางคืนมักได้ยินเสียงเปิดก็อกในห้องน้ำบางครั้งก็ได้ยินเสียงกุกกักทั้งๆที่ไม่มีใคร
แต่นั่น...ไม่ร้ายแรงเท่านักศึกษาบางคนที่กำลังนอนหลับ เหลือบไปเห็นผู้หญิงหน้าตาบวมปูดเหมือนศพ จับขาและกระชากลงจากเตียง..... ตอบกระทู้ pukkome ตั้งกระทู้
ขอบคุนมากมายคราบ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]