ตามรอยธรรมหลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์
ตามรอยธรรมหลวงปู่ชอบ ฐานสโมวัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลยhttp://2.bp.blogspot.com/-S0aI5D-SX7s/UcW37Pvoh5I/AAAAAAAANb4/cz6R6dgVV-w/s320/1012617_475757039180647_1570886056_n.jpg
หลวงปู่ชอบและหลวงปู่แหวน
http://3.bp.blogspot.com/-T6v4D_UU56I/UDjYygs9q-I/AAAAAAAADQs/Gu5gIhkdx5E/s320/304846_430472357004729_1029249382_n.jpg
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นศิษย์ที่สำคัญที่สุดองค์หนึ่งของท่านพระ
อาจารย์มั่น ที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญทางความเพียร มีนิสัยมักน้อย ถือ
สันโดษ ชอบแสวงหาความสงัดวิเวกอยู่ตามป่าตามเขามาตลอด
ข้อปฏิบัติและธรรมภายในของท่านเป็นที่สรรเสริญ แม้จากปากพระ
อาจารย์ของท่านเอง
ตามคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ที่เคยเที่ยวธุดงค์มากับท่านมาแต่
สมัยแรก ๆ ว่า ท่านเป็นผู้อยู่ง่าย มาง่าย ไปง่าย ปกติชอบอยู่คน
เดียวไปคนเดียว ถ้ามีหมู่พวกก็จะต้องเลือกเฉพาะผู้มีนิสัยใจเพชร สู้
อดทนลำบาก เหมือนอย่างท่าน
- อยู่ง่าย หมายถึงว่า ท่านไม่เลือกที่พักนอน ไม่ว่าจะเป็นในป่าในเขา
เพียงใช้ใบไม้แห้งหรือใบไม้สดมารอง ปูผ้าอาบลงไปก็ใช้เป็นที่นอน
ได้ หากอยู่ใกล้หมู่บ้านมีฟางก็ใช้ฟาง มีใบหญ้าก็ใช้ใบหญ้า
- มาง่าย ไปง่าย ของหลวงปู่เป็นที่เลื่องลือ บางคราวอยู่ในป่า ชาว
บ้านที่เคารพศรัทธาทำกระต๊อบให้เป็นอย่างดี มีฝา มีหน้าต่าง มีชาน
ครบ จัดว่าเลิศในป่าลึก ท่านอยู่เพียง ๒-๓ วัน ก็ออกเดินธุดงค์ต่อ
โดยหาได้ห่วงหาอาลัยต่อกุฏิพิเศษ ที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่
http://2.bp.blogspot.com/-IqIHuLnYDsg/UAPhvHutZEI/AAAAAAAABq0/RAvX4qPkwqc/s320/_8_440.jpg
กามคุณ ๕ อย่าง...รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
เปรียบด้วยภัย คือ วังน้ำวน
ใครหลงติดกามคุณทั้ง5 นี้ ก็จะติดเหมือนลิงติดตัง อยู่ในวังน้ำวน
และมีแต่จะถูกกระแสน้ำดูดจมลงอย่างไม่ต้องสงสัย
http://2.bp.blogspot.com/-mmfqGln7m4U/UAPh1fBX2RI/AAAAAAAABq8/z8nyzrJTCg8/s320/_paragraph__1_149.jpg
ถ้าเราไม่เชื่อโอวาท ไม่เชื่อกรรมดีกรรมชั่ว
จิตใจก็หวั่นไหว เป็นลูกคลื่นมากระทบจิตใจ
สู้คลื่นแรงที่ซัดโถมมาไม่ไหวก็อาจจะจมน้ำตาย
http://2.bp.blogspot.com/-pfE2sa82uig/UAPiGu2IVuI/AAAAAAAABrE/Bw2ksjbQK2U/s320/1204284415.jpg
ความดื้อดึงไม่อดทนเชื่อฟัง
ต่อโอวาทที่ครูบาอาจารย์พร่ำสอนแนะนำ
ก็เป็นภัยสำหรับพระกรรมฐาน
http://4.bp.blogspot.com/-E25sLll38q8/UAPieHm-XwI/AAAAAAAABrM/Ie0tk62KEkA/s320/e0b89ee0b8a3e0b8b0e0b898e0b8b2e0b895e0b8b8e0b8abe0b8a5e0b8a7e0b887e0b89be0b8b9e0b988e0b88ae0b8ade0b89a.jpg
ความเห็นแก่ปากแก่ท้อง
เห็นแก่หลับแก่นอน
ไม่บำเพ็ญเพียร
เป็นภัยของพระกรรมฐาน
http://4.bp.blogspot.com/-CxewQvVjJCg/UAQ2YWIsRjI/AAAAAAAABsc/UZ6oG4AL8Ys/s320/311574_256736777772188_787618457_n.jpg
การพนันทุกชนิดนั้นเป็นอบายมุข...
เมื่อติดอบายมุขก็จะตกอยู่ในอบายภูมิอย่างไม่ต้องสงสัย
http://4.bp.blogspot.com/-ucRPUdc9bRw/UAQ4IOFS8QI/AAAAAAAABsw/ia0f3g3RHFw/s320/293862_256443814468151_1205146528_n.jpg
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นพระป่า อยู่แต่ในป่าในเขาจน
ชินและดูเหมือนจะไม่รู้จักโลกภายนอกที่ว่าเจริญของ
คนกรุงท่านมักจะอยู่กับพวกยาง พวกกระเหรี่ยง พวก
ชาวเขาเป็นปกติไม่คุ้นเคยต่อการพบคนใหญ่คนโตมีชื่อ
เสียงของจังหวัดหรือบ้านเมืองเลย
ดังนั้น วันหนึ่งท่านไปเยี่ยม หลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัด
ถ้ำกลองเพล ขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะ
เสด็จพระราชดำเนินมากราบหลวงปู่ขาวเป็นวาระแรก
ทางบ้านเมืองจึงมาส่งข่าวให้ทางวัดเตรียมตัวรับเสด็จ
พอหลวงปู่ชอบทราบว่าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจะเสด็จ
ก็เตรียมหนีทันที หลวงปู่ขาวซึ่งบ่นเช่นกันว่า ไม่ทราบ
ว่าจะ “พูด” ด้วยอย่างไร ขอให้หลวงปู่ชอบอยู่ด้วยกัน
เป็นเพื่อนอ้อนวอนกัน จนสุดท้ายหลวงปู่ชอบก็ใจอ่อน
ยอมอยู่ด้วย โดยเป็นที่เข้าใจว่า ท่านจะไม่ต้องพูดอะไร
เลย และหลวงปู่ขาวก็ไม่ต้องพูดอะไรเท่าไรนัก ด้วย
ทางบ้านเมืองจะมาดูแลกำกับด้วยถึงวันที่กำหนด
หลวงปู่ทั้งสององค์ก็ครองจีวรอย่างเรียบร้อยรออยู่
จนเย็น ท่านก็บ่นกันว่า
“ไม่เห็นมา ให้รออยู่” องค์หนึ่งบ่น
“นั่นซิ ไม่เห็นมา มีแต่ทหารสองพ่อลูกมาคุยอยู่เป็นนาน
สองนาน”
“คนพ่อเพิ่นงามกว่าลูกนะ” ท่านวิจารณ์กัน
หลวงปู่ทั้งสององค์หัวเราะกันจนงอหาย เมื่อพระเณร
ช่วยกันชี้แจงว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน
แล้วพร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
ที่หลวงปู่ว่า ทหาร ๒ พ่อลูกนั่นแหละ
เป็นเรื่องที่เล่ากันอย่างขบขันตลอดมา ผู้เขียน (คุณ
หญิงสุรีพันธ์ มณีวัต) ซึ่งปากอยู่ไม่สุข ภายหลังได้
โอกาสก็กราบเรียนถามหลวงปู่ขาว
ทำไมหลวงปู่ไม่รู้จักพระเจ้าอยู่หัว และทูลกระหม่อมฟ้า
ชายล่ะเจ้าคะ
ท่านว่า “ไม่เห็นมีขบวนแห่”
ส่วนหลวงปู่ชอบนั้น เมื่อกราบเรียนถามด้วยคำถาม
เดียวกันนั้น ท่านก็ยิ้มอายๆ ตอบผู้เขียนว่า “นึกว่าจะใส่
ชฎา !”
จาก หนังสือฐานสโมปูชา เรียบเรียงโดย คุณหญิงสุรีพันธ์ มณีวัต
http://2.bp.blogspot.com/-QqT5fifrgAk/UAVSVKIUIEI/AAAAAAAABx4/wsMClX7mHf0/s320/561076_257063597739506_1211030116_n.jpg
ถ้าปฎิบัติได้ ปฎิบัติจริง ปฎิบัติถูก
ปฎิบัติตรง ปฎิบัติชอบ และ
พิจารณาได้ พิจารณาจริง พิจารณาถูก
พิจารณาตรง พิจารณาชอบ
แน่นอน มรรคผลคงอยู่แค่เอื้อมนั้นเอง
http://1.bp.blogspot.com/-a2HA5341nWo/UAVTBQabCHI/AAAAAAAAByA/dlYcgWy_hEQ/s320/524127_257062867739579_1557579789_n.jpg
หลวงปู่หลุยกับหลวงปู่ชอบ
http://4.bp.blogspot.com/-SUcE3iT7DzA/UAVXDqyO28I/AAAAAAAAByo/_-fbPXe3xY0/s320/534946_256110067834859_1913574325_n.jpg
http://4.bp.blogspot.com/-s860GhJDK-s/UAar5wKZAyI/AAAAAAAAB5A/hjOOTEQ7NbQ/s320/600427_250677905044742_610644264_n.jpg
บ่ต้องดีใจ บ่ต้องเสียใจ ดีก็ช่าง ร้ายก็ช่าง วาง
http://3.bp.blogspot.com/-47Tyc2rs3B8/UM705m9PqPI/AAAAAAAAG_Q/-vZkiyOeSFg/s320/33859_292444950872624_1734839728_n.jpg
http://3.bp.blogspot.com/-QpSmsSlnY_s/UP1iYWf30aI/AAAAAAAAI3M/-OsTL7W1SKw/s320/318052_473115189391492_1369830257_n.jpg
แน่นอน มรรค ผลนั้นคงอยู่แค่เอื้อมนั้นเอง
เทศน์ที่สั้นที่สุด... วาง พิจารณาตน วางตัวเจ้าของ
จิตตะใน อิทธิบาท 4 เอาใจใส่
นั่งก็ตาย นอนก็ตาย ยืน ก็ตาย เดินก็ตาย
http://4.bp.blogspot.com/-eNJ3ci5ZfIg/UQ1Pa3wTPeI/AAAAAAAAKwI/OmQKdtvrWnM/s320/542494_331253453660791_1027018624_n.jpg
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอริยเจ้าผู้ทรงอภิญญาญาน
คือผู้ทรงความรู้ยิ่งในพระพุทธศาสนา
มีคุณสมบัติพิเศษ 6 อย่าง
1. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้
2. ทิพโสต หูทิพย์
3. เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่น
4. บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
5. ทิพจักขุ ตาทิพย์
6. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้นไป
ท่านมีนิสัยชอบโดดเดี่ยวเที่ยวไปอยู่ในป่า
ทำในสิ่งที่บุคคลอื่นทำได้ยาก
ไม่ชอบเกี่ยวข้องกับหมู่ชนพระเณร
เป็นผู้มีความองอาจเด็ดเดี่ยว
อดทนเป็นเลิศ ไม่กลัวความทุกข์ยากลำบาก
เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
กล้าได้กล้าเสียในการปราบกิเลส
ถึงกับพระอาจารย์มั่นออกปากชมท่ามกลางสภาสงฆ์ว่า
“ให้ทุกองค์ภาวนาให้ได้เหมือนท่านชอบสิ
ท่านองค์นี้ภาวนาไปไกลลิบเลย”
ท่านสามารถแสดงธรรมและสนทนาธรรมเป็นภาษาต่างๆ ได้หมด
เพียงกำหนดจิตดูว่าภาษานั้นเขาใช้พูดกันว่าอย่างไร
ท่านสามารถแสดงธรรมโปรดเทวดา พญานาค
ตลอดจนภพภูมิต่างๆ ได้
การธุดงค์ของท่านนับว่าโลดโผนมาก
ชอบเดินทางในเวลากลางคืน
หรือจวนสว่างในคืนเดือนหงาย
เที่ยวไปอย่างอนาคาริกมุนีผู้ไม่มีอาลัยในโลกทั้งปวง
บางคราวมีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่สองตัว
กระโดดล้อมหน้าล้อมหลังเอาไว้
ท่านเร่งสติสมาธิ แผ่เมตตา กำหนดจิตเข้าข้างใน
สมาธิลึกเข้าไปถึงฐานของจิต
ปล่อยวางสิ่งทั้งปวง เมื่อถอนจิตออกมา
ปรากฏว่าเสือสองตัวได้หายไปแล้ว
ครั้นหนึ่งท่านได้เดินทางไปทางอำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง
เข้าไปหมู่บ้านกะเหรี่ยงกลางหุบเขา
เพื่อโปรดพี่ชายของท่านในอดีตชาติที่รักกันมาก
ท่านระลึกชาติได้ว่า เคยเกิดเป็นกะเหรี่ยงที่ประเทศพม่า
มีพี่ชายคนหนึ่ง บัดนี้เขาได้มาเกิดเป็นชาวกะเหรี่ยง ชื่อว่า “เสาร์”
อยู่ที่ตำบลป่ายาง บ้านผาแด่น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
ด้วยจิตเมตตาท่านจึงเดินทางไปโปรดดึงเขาเข้าสู่ทางธรรม
และต่อมานายเสาร์ก็ได้บวชเป็นพระติดตามท่านจนตลอดชีวิต
ท่านเล่าว่าในบางคราวหลงอยู่ในกลางป่าเป็นเวลาหลายๆวัน
ท่านเป็นที่เคารพรักของเหล่าเทพยดา
เดินทางจากประเทศพม่าจะเข้าสู่ไทย
หลงป่าเจียนตายเพราะความหิว
เทวดาได้นำอาหารทิพย์มาใส่บาตร
อาหารนั้นมีรสอร่อยส่งกลิ่นหอม หายเมื่อยหายหิวไปหลายวัน
ท่านทำสมาธิทั้งกลางวันกลางคืน
บางคราวพายุฝนตกหนักน้ำป่าไหลหลาก
ท่านต้องนั่งกอดบาตรเอาไว้จนสว่าง
ท่านพบวิมุตติบรรลุธรรมชั้นสูงสุด เมื่อปี พ.ศ. 2487 พรรษาที่ 20
อายุ 43 ปี ที่ถ้ำบ้านหนองยวน ประเทศพม่า
ท่านเป็นพระผู้ทรงอภิญญา
สามารถล่วงรู้สิ่งที่ลึกลับที่มนุษย์ธรรมดาตามองไม่เห็น
เช่น เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ พญานาค
ภูต ผี ปีศาจมากมาย
แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดภายในใจของคน ท่านก็สามารถล่วงรู้ได้
ในระยะที่ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นนั้น
ท่านได้รับความไว้วางใจและมอบหมาย
ให้ช่วยดูแลพระเณรที่คิดอะไรนอกลู่นอกทาง ไม่ถูกต้อง
ตามครรลองของผู้ทรงศีลธรรม ท่านก็จะตักเตือน
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นว่า
ท่านมีความรู้ภายในว่องไวไม่แพ้หลวงปู่มั่น
พระเณรทั้งหลายจึงเกรงกลัวท่านมาก
และท่านก็ยังสามารถระลึกชาติรู้อดีตชาติของท่านเองว่า
เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เช่น
เคยเกิดเป็นพระภิกษุรักษาศีลอยู่กับพระอนุรุทธะ
เคยเป็นสามเณรน้อยลูกศิษย์พระมหากัสสปะ
เคยเกิดเป็นท้าวมหาพรหมในพรหมโลก
และเป็นสัตว์หลายชนิดอืกด้วย
หลวงปู่ชอบท่านบำเพ็ญภาวนาอยู่ตามป่าตามเขา
ส่วนมากทางภาคเหนือหลายพื้นที่รวมถึงประเทศพม่าด้วย
ท่านเกิดเมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2444 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 3
ปีฉลู ณ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
เป็นบุตรของนายมอ และ นางพิลา แก้วสุวรรณ
แต่เดิมครอบครัวท่านอยู่อำเภอด่านซ้ายดินแดนอันศักดิ์สิทธ์
แห่งพระธาตุศรีสองรัก
เนื่องจากตัวอำเภอด่านซ้ายอยู่กลางหุบเขาพื้นที่ราบมีไม่มากนัก
ทำให้การทำมาหากินลำบากจึงได้พากันอพยพมาอยู่บ้านโคกมน
บวชสามเณรเมื่ออายุ 19 ปี
ณ วัดบ้านนาแก ตำบลบ้านนากลาง
อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
เป็นสามเณรอยู่ถึง 4 ปีกว่า
และได้อุปสมบทเมื่ออายุ 23 ปี วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2467
ณ วัดศรีธรรมาราม อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
โดยมีพระครูวิจิตรวิโสธนาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์แดง เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ท่านได้พบพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ณ เสนาสนะป่าบ้านสามผง
อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม หลวงปู่มั่นได้ให้โอวาทสั้นๆ ว่า
“ท่านเคยภาวนามาอย่างไร ก็ให้ทำต่อไปเช่นนั้น อย่าได้หยุด ธรรม
84,000 พระธรรมขันธ์ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้นั้น มันอยู่ที่ใจ
เรานี่แหละ ถ้าอยากรู้อยากเห็นธรรมเหล่านั้น ก็ให้ค้นหาเอาที่ใจของ
ท่านเอง”
ปีพุทธศักราช 2489 ขณะท่องเที่ยวธุดงค์อยู่ทางภาคเหนือ
สหธรรมมิกคือหลวงปู่ขาว อนาลโย ชวนท่านกลับมาอีสาน
ท่านจึงได้มาจำพรรษาที่ป่าช้าหินโง้น ปัจจุบันคือ วัดป่าโคกมน
ปีพุทธศักราช 2501 มีชาวบ้านถวายที่สร้างวัดกว่าร้อยไร่
ท่านจึงได้รับสร้างเป็นวัดขึ้นมา
ปัจจุบันคือ วัดป่าสัมมานุสรณ์
ท่านได้อยู่จำพรรษาที่นี่เรื่อยมาจวบจนวาระสุดท้ายของท่าน
ปีพุทธศักราช 2514 อายุ 70 ปี ท่านป่วยเป็นอัมพาต
ท่านละสังขารเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ณ วัดป่าสัมมานุสรณ์
เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2538
สิริรวมอายุได้ 93 ปี 11 เดือน 27 วัน 70 พรรษา
http://3.bp.blogspot.com/-xyTA0KhbeoU/UUfhAo8CzfI/AAAAAAAAMzs/etg3BaUW1aI/s320/156021_561902963842451_1048727668_n.jpg
http://1.bp.blogspot.com/-8w0bUrFbEP0/UdHGhLhP6rI/AAAAAAAANq0/TRLbCqahmU8/s320/1011374_479617088794642_2088543024_n.jpg
ขึ้นชื่อว่าบาปกรรมไม่ควรดูหมิ่นว่าเล็กน้อย
เปรียบเสมือนภาชนะที่เขาเปิดทิ้งไว้กลางแจ้ง
เมื่อฝนตกน้ำฝนหยดเดียวไม่ทำให้ภาชนะเต็มก็จริงอยู่
แต่เมื่อฝนตกบ่อยๆภาชนะนั้นย่อมเต็มแน่ๆ ฉันใด
ผู้ทำบาปอยู่แม้ทีละน้อยๆ
ย่อมทำกองบาปให้ใหญ่โตขึ้นตามลำดับได้ฉันนั้น
http://1.bp.blogspot.com/-STHSGIFVWP0/UesYMq9H_YI/AAAAAAAAOMQ/0LQ3dM5YMpM/s320/45407_489074941182190_1280291608_n.jpg
http://1.bp.blogspot.com/-rqnbZQ_myaU/Ueu-UwKkAyI/AAAAAAAAORw/2pgc6_fZyjU/s320/1002314_489542247802126_1290604058_n.jpg
ได้มีผู้ถามหลวงปู่ชอบ ฐานสโมว่า
ไปคนเดียว หากเกิดล้มเจ็บหรือตายไปจะทำอย่างไร
ท่านก็ตอบง่ายๆว่า
เจ็บก็รักษาธาตุขันธ์ไปตามมีตามเกิด
หายก็หายตายก็ตาย
หากต้องตายก็ปล่อยไปตามคติธรรมดา
คือธาตุขันธ์นั้นไม่ใช่ของเรา
ธาตุทั้งสี่ก็ยืมเขามาใช้
ถึงเวลาเขาก็กลับคืนไปสู่สภาพเดิมของเขาตามลำดับ
เริ่มจากลมหยุดแล้วไฟความอุ่นในกายหมดไป
น้ำตามลำดับหลังและดินนั้นคืนหลังสุดนะซิ
http://2.bp.blogspot.com/-I_iQBkIrkEs/Ue-nao8qk-I/AAAAAAAAOXE/ZqfeyIJK5mg/s320/970995_489939164429101_584454349_n.jpg
ศีลธรรมบ่อเคยเสื่อม
คนเรานั้นละให้พากันยึดมั่นในศีลธรรม
จะมีความเจริญไปหน้าบ่อตกต่ำลำบากดอกฯ
http://1.bp.blogspot.com/-MaPIfyMkUuY/UfE5ZbwgArI/AAAAAAAAOZ4/w8g0mLvzIvc/s320/76353_491494214273596_112329029_n.jpg
http://3.bp.blogspot.com/-BviPBJwGzzE/Uf0SLzurFXI/AAAAAAAAOiI/WuWF9FcsJ2A/s320/995772_495826623840355_112966097_n.jpg
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ไปเยี่ยมและสนทนาธรรมกับ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ ในภาพหลวงปู่ชอบท่านจับมือ
หลวงตามหาบัว แล้วท่านพูดว่า "มหาบัว ผมฝากท่านดูแลหมู่คณะและแผ่นดินแน่เด้อ มีท่านเท่านั้นที่ทำได้ คนอื่นนั้นเรามองไม่เห็นว่าใครจะทำได้" จากนั้นอีกสองเดือนต่อมาหลวงปู่ชอบท่านก็มรณภาพ และอีกไม่กี่ปีต่อมา หลวงตามหาบัวท่านก็กู้ชาติกู้แผ่นดินในนาม "โครงการผ้าป่าช่วยชาติ" ได้ทองคำเข้าคลังหลวงเพื่อค้ำฐานะของประเทศมากถึง ๑๒ ตัน
http://2.bp.blogspot.com/-veNkfwJI95o/UiFMasKA3-I/AAAAAAAAO00/IneQv38O5ys/s320/1186001_508812899208394_285178661_n.jpg
กลางดึกคืนหนึ่งขณะที่หลวงปู่ชอบกำลังจำวัดอยู่
ท่านได้สะดุ้งขึ้นอย่างแรง
พระผู้ปฏิบัติอยู่ใกล้ ๆ ต่างรีบจัดหมอนและผ้าห่มถวายท่าน
องค์หนึ่งสงสัยจึงกราบเรียนถามท่านว่า
ท่านสะดุ้งตื่นด้วยเหตุใด
หลวงปู่เลยบอกศิษย์ว่าดูเมื่อกี้นี้ไม่เห็นพระมีแต่จระเข้อยู่เต็มกุฏิ
ไปดูซินอนอยู่ใต้ถุนตัวหนึ่ง นอนอยู่บนเตียงตัวหนึ่ง
ตัวใหญ่ๆนอนอยู่ตรงกลาง ไปดูซิใช่ไหม
พระเณรรีบไปดู ก็จริงดังท่านว่า
กล่าวคือแทนที่จะเห็นภาพพระเณร
ศิษย์ของท่านกำลังนั่งภาวนาอย่างเอาเป็นเอาตาย
ให้สมกับที่ปวารณาตัวถวายเป็นศิษย์พระกรรมฐาน
กลับมีพระเณรนอนอยู่ที่ใต้ถุนบนเตียงองค์ใหญ่นั้นนอนตรงกลาง
ไม่น่าประหลาดใจที่ทำไมบรรดาศิษย์จึงเกรงกลัวท่านกันนัก
ท่านไม่ต้องลุกเดินไปตรวจตราดูใคร
ท่านเป็นอัมพาต นอนอยู่กับที่
แต่ท่านก็ทราบได้ดีว่าศิษย์คนไหนภาวนาหรือไม่
ผู้ที่ไม่ภาวนาท่านเห็นเป็นภาพจระเข้นอนกลิ้งเกลือกกองกิเลสอยู่
หลวงปู่เตือนเสมอถึงภัย ๔ อย่างของพระกรรมฐาน
ท่านได้สอนศิษย์ของท่านควรระวัง
ถ้าเฮาจะลงไปในห้วงน้ำข้ามโอฆสงสาร
ต้องระวังภัย ๔ อย่างคือ
คลื่นหนึ่ง จระเข้ หนึ่ง วังน้ำวนหนึ่ง ปลาร้ายอีกหนึ่ง
ความดื้อดึงไม่อดทนเชื่อฟังต่อโอวาทที่ครูบาอาจารย์พร่ำสอน
เปรียบด้วยคลื่น
ความเห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่หลับแก่นอนไม่บำเพ็ญเพียร
เปรียบด้วยจระเข้
กามคุณ ๕ อย่างรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
เปรียบด้วยวังน้ำวน
ใครหลงติดกามคุณทั้ง ๕ นี้ก็จะติดเหมือนลิงติดตัง
อยู่ในวังน้ำวน มีแต่จะถูกกระแสน้ำดูดจมลงอย่างไม่ต้องสงสัย
มาตุคามที่พระพุทธเจ้าสอนพระอานนท์ไว้ก่อนจะเสด็จปรินิพพานว่า
ควรหลีกเลี่ยงไม่พบปะด้วย
หากจำต้องพบปะก็ไม่ควรพูดด้วย
หากจำต้องพูดด้วยก็ต้องพูดด้วยความสำรวมมีสติ
ท่านเปรียบด้วยภัยคือปลาร้าย
ผู้จะผ่านพ้นโอฆสงสารหรือห้วงน้ำใหญ่ ไปถึงพระนิพพานได้
จะต้องอาศัยหลักของความเชื่อ
ต้องเชื่อมั่นในหลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในปฏิปทาทาง
ดำเนินของครูบาอาจารย์
จะต้องมีความเชื่อมั่นแน่นอนว่า มรรคผล นิพพานเป็นของมีอยู่จริง
เมื่อเราเชื่อว่า มรรคผลนิพพานมีอยู่จริง
เราก็ปฏิบัติมุ่งต่อมรรคผลนิพพานได้
เมื่อเราเชื่อว่ามนุษย์สมบัติมี สวรรคสมบัติมี
เราก็ทำทานรักษาศีล ไหว้พระเจริญเมตตาภาวนาให้ย ๆ ขึ้นไป
เราเชื่อว่าจิตของเราเป็นธรรมชาติที่ไม่ตาย
รูปร่างกายเราต่างหากที่แตกดับ
เราเชื่อโอวาทคำสอนของครูบาอาจารย์
เราก็ขวนขวายสร้างคุณงามความดี
สร้างบุญกุศล เป็นอริยทรัพย์อริยบารมี
ฝังไว้สำหรับติดตัวเราไปทุกชาติ ทุกภพ จนกว่าจะถึงพระนิพพาน
ถ้าเราไม่เชื่อโอวาท ไม่เชื่อกรรมดีกรรมชั่ว
จิตใจก็หวั่นไหวเป็นลูกคลื่นมากระทบจิตใจ
สู้คลื่นแรงที่ซัดโถมมาไม่ไหวก็อาจจะจมน้ำตาย
ผ่านคลื่นมาได้หากมาติดการเห็นแก่ปากแก่ท้อง
ไม่ปรารภความเพียร ถูกจระเข้ร้ายฟาดฟัน งับลงสู่ไต้ท้องน้ำ
หรือกลายเป็นจระเข้ไปเสียเอง ดังนิมิตเกิดขึ้นฟ้องหลวงปู่ก็ได้
ผ่านคลื่นผ่านจระเข้ ก็อาจมาติดวังน้ำวน มัวรัก มัวชอบ มัวหวง
มัวห่วง มัวอาลัย ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
เกิดความยึดถือมั่นหมายว่า เป็นของเรา เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวป่วย กลัวเป็น
หนัก กลัวล้มตาย กลัวแก่ กลัวตาย
ไม่แต่ร่างกายของเรา แม้ที่อยู่ ที่อาศัยก็ห่วงก็หวง กลัวชำรุดทรุด
โทรม ร่างกายของคนอื่น ก็ห่วง ก็หวง ก็อาลัยไปด้วย
จิตใจก็หวั่นไหว แหวกว่ายอยู่กลางวังน้ำวน หลงยึด หลงติด
ก็ถูกกระแสน้ำดูดลงสู่วังวนเป็นวัฏฎะวนตลอดไป
หลบคลื่น หลบจระเข้ หลบวังน้ำวน
เผลอ ๆ อาจจะถูกปลาร้ายจับกินเป็นภักษาหาร
ศิษย์ของท่านเองต้องสึกออกไปนักต่อนักแล้ว ท่านจึงเตือนศิษย์
เสมอ ถึงภัย ๔ อย่างของผู้ภาวนา
เขียนโดยNopporn Sritippho ที่02:44
สาธุๆๆ ครับผมนู๋ต้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Namtip เมื่อ 2013-10-7 22:58
อ่านเพลินเลย
เข้ากระทู้นี้รู้สึกเย็นดีจัง{:5_119:} ขอบคุณครับ อิ่มใจมากครับที่ได้อ่าน ขอบคุณครับ อิ่มใจมากครับที่ได้อ่าน อนุโมทนาครับ หลวงปู่ชอบท่านเป็นเทวานัมปิยะคือเป็นที่รักของเทวดาแม้เดินป่าอดน้ำก็มีตาน้ำผุดมาให้ดื่มให้ใช้ ขอบคุณครับ สาธุ สาธุ ครับ ดูท่านมีเมตตาสูง
หน้า:
[1]