ตำนานพระแม่โพสพ พระเทวีแห่งข้าว
http://st1.mthcdn.com/s/talk/uploads/2012/09/27/92614-01.jpgตำนานพระแม่โพสพ
พระแม่โพสพเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ เป็นสนมเอกขององค์อัมรินทร์ธิราช วันหนึ่งก็นำดอกไม้ไปถวายองค์อัมรินทราธิราช พระองค์ก็มองเห็นว่า แม่โพสพซึ่งมีเนื้อเหลืองดังทองนั้นผิวดูหม่นลง จึงบอกให้นางเสียสละเนื้อให้แก่ชาวโลก นางก็เสด็จลงมาโดยเก็บดอกไม้สวรรค์มาด้วย มาหาฤาษีตาไฟ ฤาษีตนนี้ปกติจะนั่งหลับตาตลอดเวลา จะลืมตาเวลาที่ดอกไม้ในป่าหิมพานต์บานเพียงครั้งเดียวโดยออกจากฌานด้วย ถ้าไม่ได้ออกจากฌานแล้วลืมตาไฟก็จะไหม้
เมื่อพระแม่โพสพเข้าไปหาฤาษีนั้น กลิ่นดอกไม้ก็ไปเข้าจมูกฤาษี ฤาษีจึงลืมตา ไฟไหม้พระแม่โพสพลงเป็นเถ้า หล่นข้างหน้าฤาษี ฤาษีเห็นดังนั้นก็แปลกใจ และสงสารจึงชุบขึ้นมา พระแม่โพสพจึงบอกวัตถุประสงค์ว่าตนต้องการจะสละเนื้อของตนให้เป็นข้าวให้ชาวโลกกิน แล้วกลายรูปเป็นเมล็ดข้าว พระฤาษีจึงใช้ไม้เท้าตีลงบนข้าวและอธิษฐาน ข้าวแตกกระจายเป็นแมลงเม่าบินลงมาตกทั่วภาคพื้นดิน มนุษย์จึงเก็บพืชพันธุ์ไปปลูกให้ลูกหลานกิน ในเดือน 10-11 ข้าวตั้งท้อง ตะวันจะอ้อมข้าวเพราะเกรงใจแม่โพสพที่กำลังตั้งท้อง
ปัจจุบัน “พระแม่โพสพ” นับเป็นวัตถุมงคลเก่า ที่กำลังได้รับความนิยมศรัทธา มีการบรรจุในรายการ การประกวดพระเสมอ โดยเฉพาะขนาดหน้าตักไม่เกิน 3 นิ้วส่วนใหญ่เป็นพระบูชา พระแม่โพสพ สมัยรัตนโกสินทร์พระแม่โพสพเป็นประติมากรรมลอยตัว ปั้น หล่อ หรือแกะสลักขึ้นเป็นรูปร่าง ลอยตัว มองได้รอบด้าน ไม่มีพื้นหลังรูปหล่อพระแม่โพสพ ที่เห็นบ่อยเป็นฝีมือช่างรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ 3 ถึงรัชกาลที่ 6 ถือเป็นยุคที่เฟื่องฟูที่สุดความเก่าของชาด รัก ทอง ที่ปิดองค์พระ มีความเก่าถึงอายุ และอีกประการหนึ่งคือ ดินผสมทรายละเอียด ที่เป็นโครงสร้างของหุ่นองค์พระ มีสีแดง สีดำ ประเด็นนี้มีอายุบ่งบอกเช่นกันสำหรับผู้ที่มีความชำนาญในการดู เนื้อโลหะที่ใช้ในการหล่อส่วนมาก เป็นทองเหลืองพระแม่โพสพ เป็นฝีมือของช่างในยุค อยุธยา สุโขทัย เชียงแสน จวบวันนี้ยังไม่เคยเห็น ถ้ามีก็คงน้อยมากกล่าวสำหรับชื่อเต็มของพระแม่โพสพ ชื่อ “พระแม่ศรีโพสพนพเกล้า” เดิมทีนั้นเป็นเทพธิดาอยู่บนสวรรค์ มีนามว่า "โพสวเทวี" มีร่างกายสวยงามมีกลิ่นหอมตลบอบอวล ผิวพรรณดุจทองคำ นางเป็นสนมเอกของพระอินทร์ ซึ่งมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลสรวงสวรรค์ พอถึงวันพระ 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ นางจะเก็บดอกไม้ใส่พานไปถวาย เพื่อให้พระอินทร์ใช้บูชาพระรัตนตรัย วันพระวันหนึ่ง เมื่อนางเก็บดอกไม้ไปถวายแล้ว พระอินทร์ทรงสังเกตเห็นว่าผิวพรรณของนางที่เคยผุดผ่องไม่เหมือนเดิม จึงทรงถาม และนางตอบว่า "มันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง"แต่พระอินทร์บอกว่า "นั่นเป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วน คือ บุญของเจ้าใกล้หมด ฉะนั้นจงไปสร้างบุญใหม่ ไปทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อชาวโลกเถิด" นางรับปากและทูลลา จากนั้นไปที่สรวงสวรรค์เก็บบุปผชาติใส่พานลงไปที่ป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของฤๅษี กำลังเข้าฌานสมาบัติ เรียกขานกันว่า "ฤๅษีตาไฟ" เพราะปีหนึ่งจะลืมตาเพียงหนเดียว นางเห็นฤๅษีเข้าฌานก็เวียนทักษิณาวัตร 3 รอบ เพื่อคารวะ ฤๅษีตบะแทบแตกจากการได้กลิ่นหอมของดอกไม้ แต่ยังไม่ลืมตา จากนั้นนางก็เหาะไปหน้าพระฤๅษี แล้วก้มลงกราบ ฤๅษีได้กลิ่นดอกไม้และกลิ่นกายของนาง ทนไม่ได้จึงลืมตาขึ้น ชั่วพริบตา นางก็มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ฤๅษีเห็นว่านางเทพธิดามาหาแบบแปลกประหลาด เห็นได้แว่บเดียวก็มอดไหม้ ไม่รู้มาด้วยเหตุใด จึงใช้ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ชี้ไปที่กองเถ้าถ่านเพื่อให้นางฟื้นขึ้นมาจะได้ไต่ถาม ฉับพลันเกิดเป็น "ต้นข้าว" ขึ้นมาที่หน้าฤๅษี ซึ่งมีเมล็ดข้าวหนึ่งเมล็ด ขนาดกว้างยาวถึง 8 นิ้วคูณ 16 นิ้ว สีเหลืองอร่ามสวยงาม ทีแรกฤๅษีคิดว่าฤทธิ์เดชของตนเองไม่แก่กล้า แต่ความจริงนางไม่ได้ตาย นางหยั่งจิตของฤๅษี จากนั้นจึงคืนร่างเป็นเทพธิดา แล้วเล่าเรื่องความต้องการของนางให้ฟังว่า “ที่มาเพราะอยากให้ฤๅษีช่วยเหลือให้ได้สร้างบุญกุศลตามที่พระอินทร์แนะนำเพื่อประโยชน์ของชาวโลก” ฤๅษีเห็นด้วยที่นางจะเป็นข้าว แต่เมล็ดใหญ่เกินไปไม่สามารถนำไปเป็นประโยชน์ได้ เลยให้กลับร่างเป็นต้นข้าวแล้วใช้ไม้เท้าเสกไปที่เมล็ดข้าว ทำให้แตกกระจาย จึงเป็นที่มาของข้าวอย่างทุกวันนี้ "การบูชาคุณของพระแม่โพสพ มีมาแต่ครั้งพุทธกาล ตามพุทธประวัติ แม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ยังบูชาคุณพระแม่โพสพทุกปี นับแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงปัจจุบัน สมัยก่อนชาวนาทำนาปี ช่วงเดือน 4-6 เป็นช่วงเก็บเกี่ยวเสร็จ จะสังเกตว่าตะวันจะขึ้นตรง พอมาช่วงเดือน 10-11 ที่ชาวนาทำนาเสร็จ ข้าวเริ่มตั้งท้อง จะมีประเพณีทำบุญให้พระแม่โพสพ จะสังเกตว่าตะวันจะขึ้นไม่ตรง แต่จะอ้อมข้าว เรียกว่า ตะวันอ้อมข้าว"การบูชาคุณพระแม่โพสพ จะใช้ผลไม้ เช่น สับปะรด กล้วย ส้ม มะพร้าวอ่อน จะสังเกตว่าไม่มีขนม หรือหมูเห็ดเป็ดไก่ นั่นเป็นเพราะช่วง 15 ค่ำเดือน 11 เป็นช่วงข้าวตั้งท้อง พอออกพรรษาจะมีประเพณีใส่บาตร จะใช้ผลไม้ใส่บาตร เช่น ส้ม กล้วย ไม่ใส่ข้าว แล้วจะเอาชะลอมเล็กๆ ใส่ผลไม้ เอาไม้เล็กๆ ด้ายแดง-ขาวไปที่นา เอาเชือกขาวผูกที่ต้นข้าว เอาธงปัก และเอาชะลอมผลไม้ไปผูกที่ปลายไม้ ทำการบูชาบอกกล่าวเพื่อเป็นสิริมงคล "การที่ไม่ใช้อาหารคาว-หวาน เป็นข้าวหรือขนมมาบูชา เพราะพระแม่โพสพย่อมไม่กินตัวเอง แต่จะอุทิศตัวเองเพื่อให้คนอื่นกิน" พิธีรับขวัญท้องข้าวที่ทุ่งนา หรือรับขวัญข้าวตั้งท้อง จะใช้ผู้หญิงไปรับขวัญข้าวเท่านั้น ในวันทำพิธี สุภาพสตรีคนที่ได้รับคัดเลือก จะต้องแต่งตัวด้วยผ้าถุง ใส่เสื้อสีขาว พาดสไบ ใบหน้าอิ่มเอิบ ยิ้มแย้ม และแม่โพสพกำลังตั้งท้องจะต้องเอาเครื่องไปถวายท่าน มีพวกของเปรี้ยวเป็นสำคัญ ทั้ง ส้มโอ ส้มเขียวหวาน มะพร้าวอ่อน กล้วย มะม่วง ถั่วงา อ้อย โดยแฝงความเชื่อ เช่น ใช้มะพร้าว เพราะน้ำมะพร้าวจะทำให้ได้ลูกสวย ผิวพรรณดี กล้วย จะเห็นว่าในงาน "มิ่งขวัญ" ต้องมีกล้วยทั้งนั้น เพราะคนเราเกิดมาก็ได้กล้วยเป็นอาหารในมื้อแรกๆ อาจกล่าวได้ว่ากล้วยเป็นต้นรากของชีวิตมนุษย์เลยก็ว่าได้ ด้านเครื่องแต่งกายจะมี กระจก หวี แปรงหอม น้ำมันหอม กรรไกรตัดผม ของอย่างอื่นมี ไฟแช็ก เทียน ธูป ธงคาถาพัน นัยว่าเพื่อป้องกันศัตรูที่จะมาทำลายพืชผล ผ้าถุง ผ้าสไบ น้ำ ชะลอม และเฉลว ซึ่งสานจากไม้ไผ่ ชะลอมจะเอาไว้ใส่ส้มสูกลูกไม้ แล้วแขวนเอาไว้ที่นา จากนั้นมีการยกข้าวของไปทำพิธีรับขวัญท้องข้าวที่หัวมุมนา พิธีกรรมเริ่มจากสวดมนต์ไหว้พระก่อน ต่อด้วยบทนะโมแปล และบทสวดชุมนุมเทวดา ตามด้วยบทสวดรับขวัญท้องข้าวที่จริงพิธีกรรมเกี่ยวกับการรับขวัญนามีทุกขั้นตอนของวงจรชีวิตข้าว ตั้งแต่แรกไถ แรกหว่าน รับขวัญท้องข้าว (ช่วงข้าวตั้งท้อง)แรกเกี่ยว จนถึงรับขวัญข้าวเข้าลาน แต่รายละเอียดพิธีกรรมจะมีแตกต่างกันไป
กำเนิดแม่โพสพ เจ้าแม่แห่งข้าว
เมื่อวานเพิ่งผ่านพ้นวันพืชมงคลไป นึกถึงบุญคุณของข้าวที่เรารับประทาน
เข้าไปทุกวันก็ทำให้นึกสงสารชาวนาที่กว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ดนั้นต้อง
เหนื่อยยากลำบากกายเท่าไร บางครั้งก็ขาดทุนจากปัญหาน้ำท่วมไร่นา
ชีวิตชาวนาไทยช่างน่าสงสารจริงๆ เคยได้คุยกับชาวนาซึ่งเขาเล่าว่า
เวลาขายข้าวให้พ่อค้าคนกลางก็โดนกดขี่ให้ราคาต่ำ แต่เวลาที่นำส่ง
ไปขายต่างประเทศพ่อค้ากลับได้กำไรอย่างงาม บางครั้งก็เอาข้าวดีๆ
ไปปลอมปนกับเมล็ดกรวดเพื่อให้ได้น้ำหนักเยอะๆ ทำให้เสียชื่อเสียง
ประเทศด้วยเพราะส่งข้าวคุณภาพไม่ดีไปขาย วันนี้ก็เลยอยากนำ
ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับแม่โพสพเพื่อเป็นความรู้มาฝากกันคะ
http://i699.photobucket.com/albums/vv354/songrianchai/images-1.jpg
แม่โพสพ เป็นเมล็ดข้าวประเสริฐสุด เป็นเทพีกลางท้องทุ่งนา ผู้ทรงอานุภาพศักดาเรืองฤทธิ์ ช่วยชุบชีวิตมนุษย์ให้ยืนยาง มีน้ำม่นวลผิวพรรณผ่องใส ช่วยสำรองท้องให้อิ่มหมีพีมัน อีกทั้งเสริมเพิ่มพลังกายามีเรี่ยวมีแรงขมีขมัน แบกหามตรากตรำงานหนักได้ทุกวี่ทุกวัน ก็ด้วยเมล็ดข้าวแม่โพสพนี่แหละ แม่ผู้มีบุญคุญล้ำเลิศ สงเคราะห์ลูกผู้ทุกข์โศก มิต้องอนารร้อนใจ ตราบจนชั่วชีวิต
โอม..แม่โพศรี แม่โพสพ แม่นพดารา แม่จันทร์เทวี แม่ศรีโสภาได้เลี้ยงลูกมา ใหญ่กล้าเพียงนี้ลูกขอบวงสรวงด้วยพวงมาลี ธูปเทียนอัคคี ตามมีบูชาลูกขอนี้ไซร้ ขอยกบุญคุณ แม่โพสพ ขึ้นนบนอบเหนือเศียร
ตำนานหนึ่งเล่าว่า มีฤาษีมหากระไลย์โกฏอยู่สันโษในอรัญ บำเพ็ญพรหมขันธุ์ในกุฏิ เพลาหนึ่งเกิดอสุนีฟ้าฟาด อากาศวิปริตโกลาหล ฟ้าฝนก็ตกลงมามิหยุดหย่อน มีเมล็ดข้าวปลิวว่อนกระจาย พอฟ้าฝนหายฤๅษีก็เห็นเป็นอัศจรรย์ จึงจัดสรรนำไปปลูกริมฝั่งนทีสระน้ำ ฝนชะตลอดมา จนข้าวกล้าแตกรวง
กาลล่วงเข้าฤดูหนาว เมล็ดข้าวก็แก่จัด พระฤๅษีก็โสมนัสยิ่งนัก ครั้นจะนำมากินก็กริ่งเกรงจะเบื่อเมา อันตัวเราก็พึ่งพบคราวนี้ คราวหนึ่งสกุลณีสกุณามาเป็นหมู่ บินจู่โจมกินข้าวสาลี ฤๅษีเห็นดังนั้นพลันรู้ว่า หมู่ปักษามิได้ตายวายชีวิต ก็คิดว่าคงเป็นอาหารอันโอชารส พระดาบสจึงเก็บพันธุ์ข้าวไว้เพาะปลูกกระจายลูกหลานเหลน ได้เป็นอาหารของมนุษย์สุดประเสริฐ โดยกำเนิดขององค์ดาบส ตราบเท่าทุกวันนี้
ในขณะที่ ตำนานเรื่องแม่โพสพ ฉบับชาวพัทลุง ได้บอกเล่าเรื่องราวอันน่าสนใจของ เจ้าแม่แห่งข้าว เอาไว้ดังนี้ กล่าวคือ นานมาแล้ว มีเทพธิดาองค์หนึ่ง เป็นเทพธิดาแห่งข้าว อาศัยอยู่บนสวรรค์ มีความประสงค์จะให้มวลหมู่มนุษย์ทั้งหลายนี้มีข้าวกิน จึงจำแลงกายลงมาบนโลก ในร่างของหญิงชรา อันนำพาห่อผ้ามาด้วย ซึ่งในห่อผ้านี้เอง มีเมล็ดพันธุ์ข้าวอยู่
หญิงชราเดินไปในหมู่บ้าน มีแต่ผู้คนรังเกียจ จนไปพบกระท่อมเก่าๆ หลังหนึ่ง ซึ่งมีผัวเมียผู้ใจบุญ แต่ยากไร้ซึ่งเงินทอง อาศัยให้ที่พักพิง หญิงชราซึ้งในน้ำใจของผัวเมียคู่นี้ จึงมอบห่อผ้าที่มีเมล็ดข้าวอยู่ข้างในให้ โดยบอกให้เอาเมล็ดข้าวนี้ไปโปรยลงสู่พื้นดิน
เมื่อเมล็ดข้าวได้รับน้ำ ก็เกิดความชุ่มชื่น เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ออกรวงแล้วก็สุก และนำมากินเป็นอาหารได้ หญิงชราจึงให้ผัวเมียเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวนี้ไปแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านในหมู่บ้าน แล้วบอกว่า นี่คืออาหารที่ใช้กินต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อพูดจบหญิงชราก็หายตัวไป
ต่อจากนั้น เมื่อถึงเดือนหกฝนก็เริ่มตก ชาวนาจะแรกไถนา และทำพิธีอัญเชิญแม่โพสพลงมาเพื่อช่วยดูแลรักษาต้นข้าว ต้องมีพิธีเรียกขวัญข้าว การกระทำทุกอย่างนี้ เพื่อตอบแทนคุณ และบูชาแม่โพสพ ที่ให้ข้าวแก่มนุษย์กิน จวบจนปัจจุบัน
บทเชิญขวัญแม่โพสพ
ทุกวันนี้ก็ยังคงมืดมน ไม่ทราบชัดว่าผู้ใดเริ่มรจนาเรื่องราววของแม่โพสพ อาจมีเค้ามาตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เมื่อ 700 ปีก่อน ดังปรากฏสำนวนว่า "ในน้ำมีปลาในนามีข้าว" อยู่เป็นหลักฐานบนหลักศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่หนึ่ง ที่เชื่อกันว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราช โปรดจารึกขึ้น ยังมีข้อความพิศดารปรากฏอยู่ด้วย กล่าวว่า มีพระขพุงผี เทพยดาในเขาอันนั้น(เขาหลวง)เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ผิวไหว้บ่ดีพลีบ่ถูแ ผีในเขาอันนั้นบ่คุ้ม บ่เกรงเมืองนี้หาย กาลครั้งนั้น คงมีแต่ พระขพุงผี ผู้เป็นใหญ่เท่านั้น
บทเชิญขวัญแม่โพสพ โบราณาจารย์ท่านว่าไว้ดังนี้ ศรี ศรี วันนี้เป็นวันเลิศลม ข้าขอเชิญขวัญแม่พระโพสพ ในนา จะเข้ามาอยู่ในยุ้งฉางวันนี้ ขวัญแม่อย่าหนีตื่นตกใจ เมื่อลมพัดสะบัดใบใม้ร่วงหล่น ขวัญแม่อย่าได้หนีจรดลเที่ยวหนี อย่าได้หลงกินนรีร่ายรำ ขวัญแม่อย่าได้ถลำในไพรพฤกษ์ แม้สัญจรอยู่ในห้วงลึกก็กลับมา ขวัญแม่อย่าได้หลงชมสิงสาราสัตว์ แม้ถูกเขี้ยวตระหวัดอย่าตกใจ แม้จะถูกไถคราด ถูกฟัดฟาดลงกลางดิน ถูกขบกินเป็นอาหารมวลมนุษย์ ขวัญแม่อย่าได้รุดหน่ายหนี จงอยู่เป็นศรีในยุ้งฉาง ขอเชิญแม่นางชมบายศรี ซึ่งมากมีทั้งคาวหวานสารพัด เจ้าของได้จัดมาสังเวยบวงสรวง ขอให้ลาภทั้งปวงเกษมสันต์ มีเงินทองอนันต์ยิ่งนัก มีความรักมั่นคงสถาพร พ้นจากความเดือดร้อนทั้งปวง ไม่มีอุปสรรคมาขัดขวางทางเดิน ขอให้มีแต่สรรเสริฐลาภยศ มีลูกปรากฏเกียรติขจร มีหมอนหนุนอุ่นใจไม่หน่ายหนี ทั้งพาชีโคกระบือมากมาย มีข้าทาสหญิงชายไว้ใช้สอย มีข้าวร้อยเกวียนเต็มยุ้งฉาง เป็นขุนนางปรากฏปรากฏยศลือชา มีลูกยาเสียแต่วันนี้ ท่านจะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี ขอให้มีเมียสวยรวยทรัพย์ อย่าได้ยกอับหม่นหมองมีแก้วแหวนเงินทองเอนกอนันต์ มีสุขสันต์ทุกวันคืนด้วยเดชแห่งพระแม่โพสพ เป็นที่เคารพของปวงประชาได้อาศัยเลี้ยงชีวาไม่หิวโหย ได้กอบโกยซึ่งเงินทอง สิ่งใดที่คะนองทำล่วงเกิน เหมือนย่ำโดยบังเอิญไม่เจตนา ขอให้แม่โพสพอย่าได้โกรธหน้าบึ้ง ขอให้เป็นที่พึ่งของมวลมนุษย์สืบไปเทอญ ลั่นฆ้อง 3 ที โห่ร้องเอาชัย
"แม่โพสพ" ตามสารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า "เทวดาประจำพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งปวง" มวลมนุษยชาติเชื่อถือ และกราบไหว้บูชามาตั้งแต่ครั้งโบราณของชาวไทย ลาว และละแวกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา บูชาเพื่อขอความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญชาติ ที่เพาะปลูกตามฤดูกาล โดยจะทำพิธีบูชาแม่โพสพ ด้วยอาหาร มี ข้าวปากหม้อ กล้วย อ้อย เป็นต้น
แม่โพสพเป็นสตรีเพศ ร่างงาม แต่งกายด้วยผ้าผ่อนแพรพรรณสมัยโบราณห่มสไบเฉียง นุ่งผ้าจีบชายกรอมลงมาถึงปลายหน้าแข้ง ทรงเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ตระการตา ไว้ผมยาวสลวยประบ่า มีกระจังกรอบหน้า คล้ายมงกุฎ และจอนหูงอนชดช้อย มือข้างหนึ่งชูรวงข้าว ส่วนอีกข้างถือถุงโภคทรัพย์เต็มถุง ประทับนั่งพับเพียบ เรียบร้อย แบบแพนงเชิงอย่างไทยโบราณ
คนผู้ใหญ่แต่เก่าก่อนนับถือแม่โพสพมาก มักกราบไหว้ท่านก่อนเปิบข้าวคำแรกเข้าปาก และสั่งสอนลุกหลานให้นั่งล้อมวงเปิบข้าวพร้อม ๆ กัน และต้องสำรวมกิริยามารยาทระหว่างเปิบข้าวให้เรียบร้อยอย่าให้มีเม็ดข้าวหายหกตกหล่น แม้ข้าวเหลือก้นจานสังกะสีก็ต้องกินให้หมด ห้ามเททิ้งลงถึงโสโครกให้เอาใส่ปากหม้อข้าวทับบนข้าวที่หุงมื้อต่อไป หรือไม่ก็ต้องนำไปผึ่งแดด ทำเป็นข้าวตากแห้งเอาไว้ เคยเห็นป่าย่ากินข้าวอิ่มหนำสำราญแล้ว ต้องยกมือไหว้เพื่อสำแดงความกตัญญูรู้บุญคุณข้าว จึงต้องขอบคุณท่าน เหล่าชาวนา เมื่อแรกทำนา จนกระทั่งถึงเวลาไถคราด เก็บเกี่ยวรวงข้าวด้วยเคียวเหล็ก ก็จะต้องประกอบพิธีเซ่นบูชาแม่โพสพทุกระยะไป เช่น ก่อนหน้าเวลาฤกษ์แรกนาจะปลูกศาลเพียงตา สูงระดับสายตาคนขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ที่กำหนดไว้เป็นที่แรกนา ตระเตรียมเครื่องสังเวยบูชาแม่โพสพให้ครบถ้วน พร้อมทั้งกล่าวคำขวัญเป็นถ้อยคำไพเราะอ้อนวอนแม่โพสพให้คุ้มครองรักษาต้นข้าว ขอให้ปีนี้จงทำนาได้ผล ไม่ว่าจะเป็นนาหว่าน นาดำ เพราะแม่โพสพเป็นหญิงขวัญอ่อนง่าย ต้องทำพิธีเรียกขวัญเสมอ พอเริ่มลงมือไถพรวนดินทำนา ทอดกล้า ซึ่งต้องเอาข้าวแม่โพสพที่ไปเรียกเชิญเอามาจากนา เมื่อครั้งเก็บเกี่ยวปีผ่านมา นำเอามาปนพอเป็นกิริยา เพื่อให้ "ข้าวปลูก" มีเชื้อเป็นชีวิตจิตใจ ขอให้ลุล่วงขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อแสดงว่าข้าวเริ่มต้นทำงานแล้ว ดังนี้ ถ้าเป็นนาดำใช้เมล็ดข้างเปลือกที่คัดเลือกไว้ทำพันธุ์แล้ว เก็บไม่นานเกิน 1 ปีไปแช่น้ำหนึ่งวันแล้วพรมน้ำ 1 วัน จนได้ข้าวแตกหน่อ แตกรากออกมา นำไปหว่านในแปลงนาที่เตรียมดินดีแล้ว รอจนเจริญเติบโต หย่อนรากลงดินแตกใบจึงถอน แล้วนำ "กล้าตั้งหน่อ" เหล่านี้ไปปักดำในที่ที่ตระเตรียมไว้อีกแห่ง กล้าตะแตกใบ ลำต้นค่อย ๆ ดต สูงขึ้นทุกทีพอ 7 วัน หลังจากปักดำในนาที่มีน้ำขังไว้ ยอกใบจะสุงจนเรียกว่า ข้าวถอดหางไก่ พอ 20 วัน ใบเก่าจะหลุดกลายเป็นข้าวแตกกอ ในระยะนี้แหละ ข้าวจะสูงขึ้นเป็นปล้อง เรียกว่า ข้าวแต่ง พอลำต้นเติบโตเต็มที่ ก็จะส่งยอดใบชูสลอนเรียกว่า ข้าวซดมาน ข้าวมา หรือ ข้าวท้อง ก็เริ่มตั้งแต่ท้องอ่อน ๆ จนถึงท้องแต่งตึง ท้องใหญ่ขึ้นทุกทีจยเริ่มโผล่ให้เห็นปลายรวง ข้าวที่รวงโผล่จากกายห่อมีลักษณะคล้ายคนยิงฟัน ก็เรียกว่า ข้าวยิงฟัน ชาวอีสานเรียกว่า ข้าวยิงแข่ว (ยิงฟัน) ครั้นพอข้าวโผล่รวงพ้นจากกาบห่อหมดสิ้นทั้งแปลงเรียกว่าข้าวสุ่ม ข้าวจะเริ่มมีน้ำนมจากเมล็ดที่ปลายสุดของรวงขข้าว พอรวงข้าวโตมีน้ำหนัก เพราะมีน้ำนมแต่งตึงมาก ทำให้ปลายรวงค้อมต่ำลง
ขณะที่ข้าวทุกเมล็ดเต่งตึงเต็มที่ ก็เริ่มแข็งตัวเป็นข้าวสารอ่อน ๆ และต่อมาเปลือกเมล็ดเริ่มมีสีเหลืองทั่วท้องทุ่งจะมีสีเหลืองอร่ามดุจดัง "ทุ่งรวงทอง" วันที่ข้าวสารอ่อนก็คือ ข้าวเม่า ชาวนาเก็บเกี่ยวส่วนหนึ่งมาตำในครกกระเดื่องได้เป็น ข้าวเม่า นิ่ม ๆ นำไปถวายพระภิกษุสงฆ์ พร้อมกับกล้วยไข่สุก อุทิศส่วนกุศลให้ "ตากับยาย" บรรพบุรุษผู้เคยทำนามาก่อนถื่อว่าเป็นผู้ที่มีส่วนให้กำเนิดข้าว พอข้าวแต่ละเมล็ดบนต้นแข็งตัวเต็มที่ จะมีเปลือกสีเหลืองอร่าม ใบชั้นล่างเริ่มเหี่ยวพับลงทาบกับลำต้น ก็ถือว่า ข้าวสุก ดีแล้ว รอสักหนึ่งหรือสองสัปดาห์ก็เริ่มเกี่ยวข้าวหมดทั้งแปลงภายในวันเดียวกัน เมื่อผ่านการฝักข้าวแล้วก็จะได้ เมล็ดข้าวเปลือก นำไปสีที่โรงสีไฟ ก็ขัดผิวเปลือกภายนอกออกจนเหลือ ข้าวสาร สีขาวที่เรียกว่า ข้าวเจ้า ที่มีเมล็ดเรียวยาวงดงาม นับเป็นอาหารหลักของคนไทยทั้งชาติยกย่อง เป็นสุดยอดแห่งความโอชะ เปิบข้าวที่ไหนๆ ก็เอร็ดอร่อยสู้ข้าวไทยไม่ได้เลย
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.amulet.in.th
ภาพจากอินเทอร์เน็ต
ตำนานนี้ท่านได้แต่ใดมา ขอบคุณครับ ขอบคุณครับสำหรับสิ่งดีๆที่หามาให้อ่าน ขอบคุณนะครับ ได้ความรุ้เพิ่มเยอะเลย {:5_146:} ขอบคุณครับ{:5_119:} ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ เนื้อหารล้วนๆ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]