โดนไอติมยัดตูด
ผมรอกินไอติมพี่คนเดียวเลยนะเนี่ย” ผมแกะถุงไอติมแล้วใช้ลิ้นเลียแท่งไอติมสีเขียว จากฐานสู่ปลายไม้“แล้วไอติมคนพ่อค้าคนอื่นไม่กินเหรอครับ” พ่อค้าไอติมผิวเข้ม ขยับหมวกแก๊ปสีฟ้าขึ้น ส่งสายตาทะเล้นท้าทาย
“ไม่ หรอก ก็ผมจะรอเอาไม้ไอติมแลกไอติมใหม่จากพี่นะสิ” ผมขยับตัวเข้าใกล้ ไอร้อนจากร่างกายอ้วนล่ำขับกลิ่นความเป็นชายโชยเร้าอารมณ์ผมใจแทบขาดผม เกลียดน่าร้อน เพราะอากาศที่อบอ้าวทำให้เหงื่อออกเหนียวตัว การต้องใช้เวลาในช่วงปิดเทอมติดแหงกอยู่ในบ้านต่างจังหวัดที่ไม่มีแอร์ นี่มันนรกชัดๆ ทุกปิดเทอมน่าร้อนผมจะต้องถูกส่งมาอยู่บ้านของลุงและป้าที่อำเภอเล็ก ๆ แห่งนี้ แม่ว่าลุงและป้าที่เป็นครูจะได้สอนพิเศษผมให้ฉลาดขึ้นบ้าง แต่เอาเข้าจริงผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าอยู่เฝ้าบ้านเวลาลุงและป้าไปทำงาน ที่โรงเรียน แม้บ้านที่ผมอยู่จะมีสวนเล็ก ๆ ที่ครึ้มไปด้วยเงาต้นมะม่วง แต่ในวันที่ร้อนอบอ้าวต้นไม้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร สิ่งที่ผมจะทำได้คือนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ทาแป้งเย็นให้ทั่วตัว แล้วนอนเล่นเกมออนไลน์ให้สบายใจ
“ไอศกรีม... มาแล้ว มาแล้ว....” เสียงแหลมเล็กจากลำโพงรถไอติม ทำให้ผมรู้ว่าบ่ายนี้ผมคงจะไม่แห้งตาย ผมหยิบเศษเหรียญจากกระเป๋าเป้ เปิดประตูรั้ว แล้ววิ่งออกไปหน้าบ้านทั้งที่ใส่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว
คนขายไอติมคนนี้ ไม่ใช่ลุงขายไอติมที่ผมคุ้นหน้า แต่เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างอวบแน่น มีหนวดดกดำเหนือริมฝีปาก เขายิ้มใจดีให้กับผม “ร้อนเหรอครับ”
ผมได้แต่ยิ้มเขิน ๆ ก้มดูตัวเองที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว แถมยังปะแป้งตรางูเสียจนดูเหมือนกระป๋องแป้งคว่ำใส่
“เอา อันนี้ครับ” ผมชี้ไปที่ตัวอย่างไอติมในแผ่นป้ายโฆษณาเหนือตู้ไอติม พ่อค้าร่างใหญ่เปิดฝาตู้ไอติมแล้วค้นอยู่สักพักแต่ก็ยังไม่เจอ ผมเลยก้าวเข้าใกล้แล้วช่วยแกก้มดู หัวของผมและคนขายไอติมอยู่ห่างกันไม่ถึงศอก จังหวะนั้นเอง จมูกผมกระทบกับกลิ่นบางอย่าง กลิ่นแห่งความเป็นชาย...
“ได้แล้วครับ” หนุ่มขายไอติมเงยหน้าขึ้นมาชูไอติมให้ แต่ผมยังงก ๆ เงิ่น ๆ ด้วยกลิ่นสาบที่น่าหลงใหล พอตั้งตัวได้ผมถอยหลังมาอีกนิด ยื่นเงินเหรียญในมือให้คนขายไอติม เขากล่าวขอบคุณพร้อมมองผมแปลก ๆ ก่อนจะออกรถไป ...จะไม่ให้เขาแปลกใจได้ยังไง ในเมื่อ
ไอ้ดุ้นเนื้อใต้ผ้าเช็ดตัวผม มันโด่ขึ้นมาชี้หน้าเขาขนาดนั้น
“ไอศกรีม... มาแล้ว มาแล้ว....” เสียงรถไอติมดังขึ้นในบ่ายของวันต่อมา แม้อากาศอบอ้าวจะทำให้ผมอยากกินไอติมใจจะขาด แต่เรื่องจู๋โด่เมื่อวาน ทำให้ผมอายแทบแทรกแผ่นดิน ผมในชุดผ้าเช็ดตัวนั่งขัดสมาธิกับพื้นบ้านทำเป็นอ่านหนังสือ แต่สายตาแอบส่องไปดูคนขายไอติมร่างใหญ๋ที่จอดรถเพื่อขายไอติมให้เด็กหญิง บ้านตรงข้าม
เด็กหญิงยิ้มกว้างเมื่อได้ถือไอติมในมือ พอเธอวิ่งเข้าบ้าน คนขายไอติมก็สตาร์ทรถเตรียมไปขายต่อซอยอื่น แต่เมื่อเขามองมาเห็นผม พ่อค้าไอติมก็ส่งเสียงตะโกนข้ามรั่วมาว่า “วันนี้ไม่กินไอติมเหรอครับ”
ผมส่ายหัวแล้วรีบเอาหนังสือเล่มหนาปิด ใบหน้าที่แดงด้วยเลือดฝาด จนเสียงมอเตอร์ไซค์ขายไอติมไกลออกไป ผมจึงเลื่อนหนังสือลงช้า ๆ พอเลื่อนสายตาลงมาที่ตักก็พบว่าไอ้ดุ้นเนื้อของผมมันแข็งโด่อีกแล้ว....
หนึ่ง วัน สองวัน สามวันผ่านไป ผมก็ยังคงนั่งขัดสมาธิทำท่าอ่านหนังสือ แอบดูคนขายไอติมเหมือนทุกวัน แม้กระทั่งบางวันที่เด็กหญิงบ้านตรงข้ามไม่ออกมาซื้อไอติม แกก็จะจอดรถตะโกนข้ามรั้วโกนถามผมว่า “วันนี้ไม่กินไอติมเหรอครับ” เสมอ
วันนี้ อากาศร้อนเหลือเกิน ข่าวพยากรณ์อากาศบอกว่าเป็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบปี ผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าบ้าน ในมือกำเหรียญสิบแน่น ตั้งใจแน่วแน่ว่าวันนี้จะต้องซื้อไอติมของพ่อค้าร่างใหญ่ให้ได้ ในเมื่อแกตะโกนถามผมทุกวัน แกก็คงไม่รังเกียจผมที่ทำน้องชายชี้หน้าแก ไม่แน่วันนี้ผมอาจจะได้คุยกับแกให้มากขึ้น ....แต่จนเย็นรถไอติมก็ยังไม่ผ่านมา หนึ่งวัน สองวัน สามวัน ผมก็ยังคงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงโฆษณาจากรถไอติม
สงกรานต์มาเยือน พ่อแม่พี่น้องผมขับรถมาจากกรุงเทพฯ เพื่อมารวมญาติที่บ้านของลุงและป้าซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่สุดของตระกูล พอรถน้ำขอพรกันตอนเช้า ช่วงบ่ายญาติผู้ชายก็ตั้งโต๊ะเหล้ายาปลาปิ้งเมากันแต่หัววัน ส่วนพวกผู้หญิงก็ตำส้มตำกันสนุกสนาน พอมือว่างจากสากก็คว้าไมค์ร้องคาราโอเกะดังลั่น ผมหนีจากเสียงดังมานั่งรับลมร้อนที่แคร่ไม้ใต้ต้นมะม่วงคนเดียว อาจจะเป็นเพราะในตระกูลไม่มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับผม ผมจึงไม่มีที่ยืนในงานสังสรรค์นี้โดยปริยาย
“ไอศกรีม... มาแล้ว มาแล้ว....” แล้วเสียงที่ผมรอคอยก็มาถึง ชายวัยกลางคนร่างใหญ่ผิวคล้ำ ชะลอขับรถไอติมแล้วจอดที่หน้าบ้าน ใน
ขณะที่ผมกำลังตัดสินใจวว่าจะไปซื้อไอดิมของแกหรือไม่ เสียงแม่ก็ตะโกนใส่ไมค์คาราโอเกะว่า ให้พาหลานสาวไปซื้อไอติม
“วันนี้กินไอติมไหมครับ” ชายขายไอติมร่างใหญ่ถามพร้อมกับส่งยิ้มให้ผมจากใต้ไรหนวด
ผม ยิ้มตอบแล้วช่วยหลานเลือกไอติม เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยผมก็จูงมือหลานเข้าบ้าน แต่เสียงสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ที่ดังขึ้นมันทำให้ผมตัดสินใจบางอย่างได้ ผมบอกหลานให้เข้าบ้านไปก่อนแล้วหันหน้ากลับไปเพื่อทำให้สิ่งที่ต้องการ...
“พี่ไปไหนมา ไม่เห็นหน้าตั้งหลายวัน”
คนขายไอติมดับเครื่องรถพร้อมกับทำหน้างง ๆ
“ผมถามว่า พี่หายไปไหนมาตั้งหลายวัน” ผมถามซ้ำ ตะเบงเสียงแข่งกับคาราโอเกะ
“อ๋อ ที่อบต. เขามีงาน ผมเลยไปจอดขายที่นั่น” หนุ่มขายไอติมบอก
ผมพยักหน้าเออออ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
ชายขายไอติมล้วงมือหยิบบุหรี่ในกระเป๋าขึ้นมาจุดสูบอย่างอารมณ์เย็น “วันนี้กินเลี้ยงกันเหรอครับ”
ผมพยักหน้ารับ
“ถึงว่าวันนี้ไม่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว” หนุ่มขายไอติมหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะสตารท์รถออกไป
โชค ดีที่คนในบ้านกำลังสนุกสนานกับการสังสรรค์ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะสังเกตได้ว่ารอยยิ้มเปื้อนใบหน้าผมนานกว่าปรกติ และเป้ากางเกงยีนส์ผมก็ตุงกว่าปรกติเช่นกัน
หลังสงกรานต์ทุกอย่างคืน สู่สภาวะปรกติ พ่อแม่และญาติพี่น้องขับรถกลับกรุงเทพฯ ลุงกับป้าออกจากบ้านไปทำงานที่โรงเรียน ส่วนผมก็ต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านหลังนี้จนกว่าจะเปิดเทอมเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือความสนิทสนมของผมกับชายขายไอติม ที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนไม้ไอติมที่ผมเก็บสะสมไว้ทุกวัน
“ไม่เอาไม้ที่กินแล้วมาแลกไอติมฟรีละ” คนขายไอติมถามผมในบ่ายวันหนึ่งหลังรับเงินค่าไอติม ผมในผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินมาดูแผนป้าย
โฆษณาที่ติดอยู่เหนือตู้ไอติม
“ไม่ เอา ผมจะเก็บไว้แลกเก้าอี้” ผมพูดถึงเก้าอี้ผ้าใบที่สามารถแลกได้ด้วยไม้ไอติมหนึ่งร้อยไม้ “แต่ว่าผมคงแลกเก้าอี้ไม่ได้อยู่แล้วล่ะ เพราะอาทิตย์หน้าผมก็กลับบ้านที่กรุงเทพฯแล้ว แต่ถ้าผมแลกไอติมพี่ พี่ไม่ขาดทุนเหรอ เงินก็ไม่ได้ ต้องให้ไอติมผมฟรีอีก”
พ่อค้าไอติมหัวเราะเบา ๆ แกควักบุหรี่ออกมาจุดไฟสูบ “ไม้ที่น้องเอาไม้ให้พี่ พี่ก็เอาไม้ไปแลกเงินที่ร้านส่ง”
ผมพยักหน้ากับความรู้ใหม่จากชายขายไอติม “ตอนนี้ผมมีสามสิบไม้ผมแลกอะไรได้บ้าง”
ชาย ขายไอติมชะโงกตัวดูแผ่นโปรโมชั่นไม้ไอติมแลกรางวัลในแผ่นป้ายเหนือตู้ไอติม “เอ... ถ้าสี่สิบไม้จะได้กระเป๋าเป้นะ” แกชี้ไปที่ภาพถุงหูรูดสีแดงราคาถูกที่เขียนคำว่าเป้ติดไว้
“โห ไม่สวยเลยอ่ะ ไม่มีอย่างอื่นให้แลกเหรอครับ”
“แล้วน้องอยากได้อะไรละ” พ่อค้าไอติมพ่นควันบุหรี่ออกทางจมูกแล้วมองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“แล้วถ้าผมขอพี่จะให้ผมไหมละ” ใจผมเต้นแรง ดุ้นเนื้อใต้ผ้าเช็ดตัวเริ่มแข็งขึ้นอีกแล้ว
ชายขายไอติมไปที่ท่อนเนื้อผม แล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะขับมอเตอร์ไซค์ออกไป ทิ้งผมให้อารมณ์ค้างเหมือนทุกวัน
คน ขายไอติมหายหน้าไปอีกแล้ว คราวนี้หายไปเป็นอาทิตย์ ผมนั่งจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เย็นนี้หลังลุงและป้ากลับมาจากโรงเรียน แกจะไปส่งผมขึ้นรถบัสกลับกรุงเทพฯ
“ไอศกรีม... มาแล้ว มาแล้ว....” ผมหูผึ่ง วิ่งลงจากชั้นสองเต็มตีน ไม่ลืมจะคว้าเหรียญสิบติดมือมาด้วย
แต่ คนขับรถไอติมไม่ใช่ชายร่างใหญ่ กลับเป็นหญิงวัยกลางคนที่ผมเห็นขายไอติมอยู่แถวตลาด ผมจึงเดินมานั่งที่แคร่ไม้ใต้ต้นมะม่วงพลางคิดในใจว่าพ่อค้าไอติมคงจะเกลียด หรือกลัวคำพูดสองแง่สองง่ามของผม
“ไอศกรีม... มาแล้ว มาแล้ว....” ผมนึกแปลกใจที่วันนี้เสียงรถไอติมดังขึ้นถึงสองครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นชายร่างอ้วนล่ำที่ขับรถไอติมเข้ามา
“พี่หายไปไหนมาอีกแล้ว”
“ผมกลับบ้านมาครับ” ชายหนุ่มร่างใหญ่ส่งยิ้มมาเช่นเคย
“... ผมนึกว่าพี่โกรธที่ผมแซวไปวันนั้น”
“ผม จะโกรธลูกค้าได้ยังไงละครับ” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนพลางควักบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อ “วันนี้กินไอติมไปยังครับ... เมื่อกี้ผมเห็นมีรถเข้ามาคันหนึ่งแล้ว”
ผมเปิดตู้ไอติมอย่างวิสาสะ หยิบไอติมสีเขียวรสโปรดขึ้นมา แล้ววางเงินสิบบาทไว้บนฝาตู้
“ผมรอกินไอติมพี่คนเดียวเลยนะเนี่ย” ผมแกะถุงไอติมแล้วใช้ลิ้นเลียแท่งไอติมสีเขียว จากฐานสู่ปลายไม้
“แล้วไอติมคนพ่อค้าคนอื่นไม่กินเหรอครับ” พ่อค้าไอติมผิวเข้ม ขยับหมวกแก๊ปสีฟ้าขึ้น ส่งสายตาทะเล้นท้าทาย
“ไม่ หรอก ก็ผมจะรอเอาไม้ไอติมแลกไอติมใหม่จากพี่นะสิ” ผมขยับตัวเข้าใกล้ ไอร้อนจากร่างกายอ้วนล่ำขับกลิ่นความเป็นชายโชยเร้าอารมณ์ผมใจแทบขาด
“ได้สิ จะแลกอะไรล่ะ” คนขายไอติมยังคงพ่นบุหรี่ช้า ๆ อย่างใจเย็น
**** Hidden Message *****
ขอบคุณมากครับ ชอบมากๆเรยอาส ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ คนขายไอติมยั่วมากๆเลย ขอบคุณมากครับ หวัดดีคับ ชื่อไรคับ ชอบคับเรื่องนี้ อืมมม ดูดีจังเลยคับ ขอบคุณครับ ขอบพระคุณครับ ขอบคุณค้าบบ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ!!! ขอบคุณครับ ;Pขอบคุณครับ อ่านนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ