ทุ่งนาบ้านดอน
ประชัน เล่าเรื่องขนหัวลุกจากเด็กสุดสยอง
สมัยเด็กผมอยู่สิงห์บุรี พ่อทำนา แม่ขายของกินของใช้ต่างๆ ที่เพิงหน้าบ้าน แต่ไม่ช้าแม่บอกว่าไม่ค่อยคุ้มทุน เลยเปลี่ยนเป็นขนของลงเรือไปขายต่างตำบล ที่ไกลกว่าเพื่อนก็คือตำบลที่เรียกว่า บ้านดอน เพราะสมัยนั้นกันดารมาก
แม่ต้องออกจากบ้านตีสี่ ไปถึงบ้านดอนก็ตกสายแล้ว กว่าจะขายของหมด พายเรือกลับบ้านก็มืดค่ำ สินค้าที่แม่ขนลงเรือหมูไปขายมีสารพัดอย่าง ทั้งน้ำตาล น้ำปลา กะปิ พริกแห้ง ของเค็ม มะพร้าว ผักดอง ฯลฯ โดยพายเรือเลยวัดโยชน์ไปเข้าทางลัด คือคลองส่งน้ำของชลประทานที่ปิด-เปิดเป็นเวลา ชาวบ้านเรียกกันสั้นๆ ว่า "คลองส่ง"
ผมเคยติดเรือแม่ไปครั้งหนึ่งเพราะนึกว่าสนุก รับอาสาพายหัว...แต่ไม่ช้าก็ฟุบหลับไปเอง พอตื่นขึ้นถึงได้เห็นแม่กำลังพายเรือไปกลางทุ่งนา ต้นข้าวสูงท่วมหัว เล่นเอาผมลุกขึ้นยืนชะเง้ออย่างลืมตัว...
เหมือนอยู่กลางทะเลข้าวยังไงยังงั้นเลยครับ!
ต้นข้าวเขียวๆ ดกสะพรั่ง ดูเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา แม่เตือนให้ผมนั่งเพราะกลัวเรือล่ม...มานึกทีหลังว่าถ้าไม่ชำนาญทางจริงๆ มีหวังหลงทางวนเวียนอยู่ในทะเลเขียวๆ หาทางออกไม่พบจนอดข้าวตาย
ที่เขาว่าบ้านดอนกันดารกว่าที่อื่นคงเป็นความจริงครับ เพราะคนที่เรียกเรือแวะตีนท่ามักจะเอาข้าวเปลือกมาแลก ไม่ว่าจะต้องการน้ำตาลปี๊บ มะพร้าว หมากพลู หรือขนมแห้งๆ ก็ตกลงกันว่าจะแลกอะไรเป็นข้าวเท่าไหร่? น้อยรายที่กำเงินมาซื้อของกินหรือของใช้พวกเครื่องครัว เป็นต้น
เวลากลับบ้าน พ่อต้องลงไปช่วยแม่ขนข้าวเปลือกขึ้นจากเรือตั้งค่อนลำ
วันหนึ่งก็เกิดเรื่องน่ากลัวขึ้น!
เลยค่ำไปนานแล้ว พวกเราต่างรอเวลาแม่กลับบ้าน พ่อคอยไปชะเง้อมองที่ระเบียง ผมกับพี่น้องก็บ่นถึงแม่กัน แต่เรือหมูก็ยังไม่โผล่คุ้งน้ำมาให้เราเห็นพอโล่งใจซักที
ตอนนั้นเริ่มมีเรือติดเครื่องแล่นค้าขายกันใหม่ๆ เราเรียกกันว่า "เรือเครื่อง" นานๆ จะมีแล่นไปมา พ่อห่วงว่าแม่อาจจะโดนคลื่นลูกโตๆ จากเรือเครื่องจนล่มได้ง่ายๆ
คืนนั้นพ่อเกือบจะออกเรือไปตามอยู่แล้วเพราะความเป็นห่วง พอดีเรือหมูของแม่โผล่มาราวสามทุ่มเศษ...
พวกเราแทบจะกระโดดเรือนลงไปรับแม่ พ่อช่วยขนของเงียบๆ แต่พวกเราแย่งกันถามแม่ว่าทำไมมาช้า? พ่อจุ๊ย์ปากห้าม แต่แม่โบกมือ หน้าขาวซีดอยู่ในแสงจันทร์ พอขึ้นจากเรือก็เซนิดๆ พ่อรีบประคอง แม่ก็ฝืนยิ้ม บอกเสียงแหบแห้งว่า...โดนผีหลอกมา!
ขาดคำ พวกเราก็เข้าไปเบียดกันไม่รู้ตัว พ่อตัดบทว่าให้ช่วยกันขนของขึ้นบ้านก่อน...แม่อาบน้ำเสร็จก็มากินข้าว หน้าตาสดใสขึ้น มองดูพวกเราที่นั่งล้อมวงจ้องมองแทบไม่กะพริบตา จนแม่หัวเราะ ยกมือขึ้นลูบหัวลูกคนเล็กก่อนจะเล่าเรื่องน่าขนหัวลุกให้พวกเราฟัง!
ตอนที่แม่กำลังพายเรือกลับบ้านตอนตะวันชิงพลบ ผ่านดงข้าวดกหนาที่คุ้นเคยมานาน ครั้นมืดสนิท ดาวเริ่มผุดขึ้น แม่ก็ได้ยินปลาฮุบโผงอยู่ทางซ้ายมือ
คงเป็นปลาชะโดน่ะ แม่คิด มันคล้ายปลาช่อนแต่ตัวใหญ่กว่ามาก ลุงพุกในหมู่บ้านเราเคยตกปลาชะโดที่ตีนท่า พอมันฮุบเหยื่อก็วัดโผง แต่ชะโดเจ้ากรรมนั่นกลับพุ่งขึ้นมาทิ่มหน้าลุงพุกหงายตึง ล้มทั้งยืน เลือดไหลโกรก แถมปลาก็หลุดลงน้ำไปด้วย
แม่เล่าว่าพายเรือไปอีกหน่อยก็ได้ยินเสียงฮุบโผงทางขวา แต่อารามรีบกลับบ้านจึงไม่สนใจ รีบพายเรือหมูเลาะลัดไปตามทะเลข้าว จนกระทั่งมีเสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ดังขึ้นข้างๆ จนแม่เอะใจ เหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นอะไร ขณะที่จ้างพายต่อก็แว่วเสียงดังหัวเราะคิกๆ อยู่ในดงข้าวใกล้ๆ นั่นเอง!
เด็กอะไรมาอยู่กลางนาที่มีน้ำนองเจิ่งแบบนี้ แถมเป็นเวลาค่ำมืดอีกด้วย?
แม่รู้สึกปากคอแห้งผาก หลังเย็นวาบๆ แข็งใจพายเรือต่อก็ได้ยินเสียงเด็กนั่นพูดแจ๋วๆ ว่า... ปลาดิบๆ เนื้อหวานจัง กินด้วยกันมั้ยป้า?
แทบจะไม่ขาดคำ ร่างดำๆ ของเด็กชายไว้จุกผู้หนึ่งก็โผล่โพล่งขึ้นที่หัวเรือ! ร่างสูงใหญ่ ตาแดงจ้าราวเปลวไฟ หัวเราะแหบโหยเห็นฟันเต็มปาก...แม่ร้องด่าอย่างลืมตัว หลับหูหลับตาจ้วงพายไม่คิดชีวิต
เสียงเด็กอุบาทว์ร้องเขย่าขวัญ โอ๊ย...มาชนหนูทำไมล่ะ?
แม่บอกว่าจ้ำพายไม่ยั้งจนออกแม่น้ำ มาถึงบ้านก็รู้สึกว่าตายแล้วเกิดใหม่...เลิกพายเรือไปขายของที่บ้านดอนตลอดกาลเลยครับ!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ http://www.creditonhand.com/images/ks.gifข่าวสด
ขอบคุนครับ งื้ออ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]