หลุมสยองขวัญ
ใครจะเชื่อเรื่องผีหรือไม่เชื่อก็ช่างเถอะค่ะ แต่ป้าน่ะเชื่อมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ อยู่ย่านจักรวรรดิใจกลางกรุงเทพฯ แล้ว วันนี้จะเล่าเรื่องผีดุสมัยก่อนที่วัดเชิงเลนสู่กันฟังค่ะ
เอ่ยถึงชื่อวัดเชิงเลนคนสมัยนี้ไม่ค่อยรู้จัก แม้จะเป็นคนย่านสะพานหันก็มักเลือนๆ ไป ยกเว้นแต่คนเก่าแก่จริงๆ ถึงจะจำได้ เพราะวัดเชิงเลนได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดบพิตรพิมุข
วัดนี้น่าแปลกประหลาดสุดๆ ตรงที่มีทางรถรางแล่นผ่าเข้ามาในวัด โดยผ่านข้างโบสถ์กับโรงเรียนมัธยมวัดบพิตรพิมุข ไม่รู้ว่าคิดได้ยังไง? ต่อมาจึงนึกได้เลยเปลี่ยนเส้นทางอ้อมไปข้างโรงพักจักรวรรดิแทน
นอกจากนี้วัดเชิงเลนยังมีทางสัญจรเข้าออกภายในวัดมากมายเหลือเชื่อ ไม่ว่าหน้าวัด หลังวัด ข้างวัด ตอนกลางวันน่ะมีผู้คนเดินไปมากันขวักไขว่ทีเดียวค่ะ
ทางเข้าออกที่นิยมกันมากคือเส้นทางที่เลียบมาจากสะพานหัน เป็นตรอกผ่านตลาดริมคลอง แล้วผ่านวัดไปออกท้ายวัดโน่นเลย
เส้นทางนี้เมื่อใกล้วัดก็จะเป็นร้านขายยาเส้นชนิดต่างๆ มีทั้งยาสูบที่เรียกว่า "ยาตั้ง" สำหรับใช้มวนสูบ มีทั้งยาฉุนและยาจืดที่คนเฒ่าคนแก่ติดหมากพลูใช้ถูฟันให้ขาว หรือดำเป็นมันวาวก็แล้วแต่จะติดหมากมากน้อยแค่ไหน
ถูฟันแล้วจุกปากไว้ เคี้ยวหมากหยับๆ ถ่มน้ำหมากปรี๊ดแล้วใช้ถูฟันต่อไป!
พวกที่มานั่งมวนยาบุหรี่ใบตองหน้าร้านริมตรอก ล้วนแต่สาวๆ แส้ๆ ในย่านนั้น ที่สะสวยรวยรูปก็มีอยู่หลายคน ทำให้พวกหนุ่มๆ มากรีดกรายเป็นเจ้าชู้ประตูดินอยู่บ่อยๆ การเกี้ยวพาราสีกันย่อมเกิดขึ้นเป็นของธรรมดา
การหาโอกาสพบกันน่ะไม่ใช่ของง่ายๆ ต้องหาโอกาสตอนมีงานวัด มีหนังมีลิเก หรือเวลามีงานศพของเศรษฐี มีมหรสพครึกครื้นและจุดดอกไม้ไฟกันสนุกอีกด้วย
เมื่อมีการสร้างโรงเรียนมัธยมบพิตรพิมุขขึ้น คนส่วนมากจึงลืมเลือนชื่อวัดเชิงเลนไป ชักจะเรียกกันว่าวัดบพิตรฯ มีแต่คนเก่าแก่รุ่นป้ากับแก่กว่าป้า เท่านั้นที่ยังเรียกว่า วัดเชิงเลนตามเดิม
เรื่องผีดุวันนี้ก็ไม่น้อยหน้าใครหรอกค่ะ!
สัปเหร่อสนแกมาก๊งเหล้าหน้าวัด เล่าว่าระยะหลังๆ มีเรื่องน่าแปลกตอนกลางคืน หมูหมาพากันหอนโหยหวน บ้างก็ครวญครางงื้ดง้าดเหมือนพวกมันได้ประสบพบเห็นอะไรบางอย่างที่แสนจะน่าเกลียดน่ากลัวเหลือประมาณ
ป้าเชื่อมกลับจากธุระมาตอนหัวค่ำ กำลังจะเดินไปท้ายวัดเพื่อกลับบ้านที่ตลาดริมคลอง จู่ๆ ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่นั่งล้อมวงกันเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ที่ลานหน้าโรงเรียน...พอดียอดโพธิ์ไหวซ่า ร่างดำๆ กลุ่มนั้นก็หันมาหัวเราะครืนใหญ่
ป้าเชื่อมแกขึ้นชื่อว่ากลัวผีชนิดหาตัวจับไม่ได้ ถึงกับหลุดปากร้อง ว้าย...ตาเถร! แล้วก็เผ่นอ้าวรวดเดียวไปสลบที่หน้าบ้าน!
เสียงโจษจันชักจะหนาหูขึ้นทุกที ชาวบ้านชักสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นมา?
จนกระทั่งทางโรงเรียนในวัดเชิงเลน ได้จัดการขยายพื้นที่ให้กว้างขวางขึ้น โดยจ้างช่างมาปรับพื้นที่และขุดดิน เพื่อสร้างเป็นลานกว้าง หรือสนามกีฬาให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย จึงได้ประสบกับสิ่งน่าขนลุกขนพองเข้าจังเบอร์!
นั่นคือขุดดินลงไปพบศพมากมายหลายสิบศพ เป็นซากศพแห้งๆ ก็มี เหลือแต่กระดูกก็ไม่ใช่น้อย หลายๆ คนยืนยันว่านับได้ถึงร้อยกว่าศพด้วยซ้ำ
พวกผู้ใหญ่เล่าว่าที่นั่นเคยเป็นป่าช้าเก่าแก่ สมัยก่อนมีคนตายด้วยโรคระบาดกันมากทั้งอหิวาต์และกาฬโรค หลุมศพจึงเรียงรายกันเป็นตับ บ้างก็เป็นหลุมใหญ่ที่เอาศพมาสุมๆ กันไว้เพราะจะฝังหลุมละศพคงไม่ทันการณ์
หลังจากประกาศหาญาติผู้ตายแล้ว ก็ยังมีศพอีกมากมายที่ไร้ญาติขาดมิตร กลายเป็นศพอนาถา ทางวัดเชิงเลนจึงประกาศเผาศพไม่มีญาติ โดยบอกบุญทายกทายิกาในละแวกนั้น โดยตั้งบาตรขนาดใหญ่ไว้รับเงินที่มีคนบริจาคตรงหน้าเมรุ
ชาวบ้านร้านช่องล้วนแต่ยกโขยงกันมาบริจาคเงินทองตามกำลังทรัพย์และศรัทธา ได้ข่าวว่ารวบรวมเงินทองได้โขเชียวล่ะค่ะ
เมื่อการบำเพ็ญกุศลศพไร้ญาติผ่านไป อุทิศส่วนบุญให้ผู้ตายตามประเพณีเรียบร้อยแล้ว สนามหญ้าหน้าโรงเรียนบพิตรพิมุขก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น กิตติศัพท์ปีศาจวัดเชิงเลนก็เงียบหายไปแต่นั้นมา!
หน้า:
[1]