คืนขวัญหาย
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบฟังเรื่องผี มันสนุกดีค่ะ แต่ฉันไม่เคยเชื่อเลย แน่ล่ะ! เมื่อไม่เชื่อก็ย่อมไม่กลัวเป็นธรรมดา นอกจากไม่กลัวแล้วยังชอบแกล้งคนอื่นอีกแน่ะ!
เหยื่อของฉันน่ะรึคะ ก็เพื่อนๆ ที่กลัวผีขึ้นสมองนั่นไง ฉันเห็นความขี้กลัวของพวกเขาเป็นเรื่องน่าขำ จนวันหนึ่งกรรมก็สนองฉันเข้าเต็มๆ
ทุกๆ ปีราวต้นเดือนกุมภาพันธ์เราจะมีนัดกัน เราในที่นี้ก็คือเพื่อนๆ ที่เรียนมัธยมมาด้วยกัน ซึ่งความรักความผูกพันไม่เคยจางหาย แม้ว่าเราได้แยกย้ายไปเรียนในมหาวิทยาลัยต่างๆ มาจนถึงปีสามแล้วก็ตาม ต่างคนต่างก็มีเพื่อนใหม่ แต่ไม่เคยลืมเพื่อนเก่า
และแม้อายุจะใกล้ยี่สิบเข้าไปทุกที ทว่าเมื่อรวมพวกกันทีไรเราก็ยังซนเหมือนตอนอายุสิบกว่าขวบกันเมื่อนั้น!
พอถึงเดือนเมษายน เราจะโทร.ถึงกันและนัดแนะอย่างสนุกสนาน หาที่เที่ยว บางทีก็ไปเมืองเหนือ หรือที่บ่อยที่สุดก็ทะเลล่ะค่ะ ไม่หัวหินก็พัทยา...เรารวมสมัครพรรคพวกได้ตั้งสิบกว่าคน ไปกันเป็นฝูง แชร์กันจ่ายค่าโรงแรมและอาหาร สนุกกันอย่างเต็มที่สามวันสองคืน
น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ที่ไปเที่ยวกันทีไรเราก็มักมีเรื่องผีเป็นของแถมกลับมาทุกครั้งไม่รู้ว่าเป็นอะไร?
อย่างปีโน้น นุ่นกับแจงไปโดนผีหลอกที่เชียงใหม่ ก้อยกับบี๋โดนหลอกบนรถไฟ...ปีที่แล้วก็เอาอีก
สาเหตุเพราะกุ้งกับอึ่งนอนห้องเดียวกันที่โรงแรมเก่าๆ ราคาย่อมเยาแถวหัวหิน โดนผีมาจ๊ะเอ๋ซะร้องไห้จ้า...เราโทษกันว่าเป็นเพราะเราหาทางประหยัดค่าใช้จ่ายมากเกินไป โรงแรมดีๆ ก็ไม่ไปอยู่ ดันเลือกจองห้องถูกๆ ก็ต้องเจอแบบนี้ล่ะ!
ปีนี้เราเลือกโรงแรมติดทะเลอย่างหรูเลยล่ะค่ะ ดูใหม่สดทันสมัย ทำให้ทุกคนสบายใจว่าไม่มีเรื่องผีๆ มาให้สยองขวัญแน่ๆ
ห้องที่เราพักอยู่ที่ชั้น 8 กับชั้น 12 ที่แยกชั้นก็เพราะเราจองตั้ง 4 ห้องนี่คะ อยู่กันห้องละ 3 คนสบายๆ ฉันเลือกชั้น 8 ห้องที่ตรงข้ามกับลิฟต์ นอนกับนุ่นและแจงที่เคยโดนเจ้าที่มาทักทายที่เชียงใหม่นั่นล่ะค่ะ
คืนแรกไม่มีอะไร แต่ฉันจับได้ว่าเพื่อนที่น่ารักทั้งสองมีทีท่าว่ากลัวผีกันน่าดู อย่ากระนั้นเลยต้องแกล้งสักหน่อย ชีวิตจะได้มีรสชาติไม่จืดชืด อย่างน้อยก็มีเรื่องฮาๆ ไปเล่าให้ลูกหลานมันฟัง
คืนที่สองเราไปเที่ยวกันดึกเชียวล่ะ กว่าจะมานอนก็ตีสองกว่าแล้ว เราผลัดกันอาบน้ำ โดยฉัน (ผู้ไม่กลัวผี) ยอมอาบเป็นคนสุดท้าย กว่าจะเสร็จเรียบร้อยนุ่นกับแจงก็ใกล้หลับเต็มทน ห้องเงียบและเย็นฉ่ำ เราดับไฟทุกดวงเหลือไว้แต่ในห้องน้ำ
ฉันไม่ง่วงเท่าไหร่ก็เลยมานั่งหวีผมมืดๆ ที่โต๊ะเครื่องแป้งตรงปลายเตียง ผมฉันยาวเกือบถึงเอวและ ฉันก็เพิ่งสางผม ไม่อยากนอนทั้งหัวเปียกๆ เดี๋ยวจะเป็นหวัด
ขณะที่สางผมฉันก็ปิ๊งไอเดีย เลยย่องไปเอาเล็บเท้าเกาที่แข้งของแจงเบาๆ แล้วรีบมานั่งสางผมต่อ แจงงัวเงียผงกหัวขึ้นมองแล้วก็ร้องวี้ด...สมใจฉันเลยค่ะ! ความที่เจ้าหล่อนยังง่วงๆ งงๆ ก็เลยเห็นว่าฉันเป็นผีนั่งสางผม โอ๊ย! ฉันขำแทบตาย แจงกับนุ่นไม่โกรธหรอก แค่เอาหมอนปาใส่ฉันแล้วก็นอนต่อ
สองคนนี่นอนรวมกันที่เตียงหนึ่ง ส่วนฉันนอนอีกเตียงที่ติดกับฝาผนัง
ฉันนอนหันหน้าเข้าฝา ห่มผ้าแค่อกแล้วก็หลับตาพลางสงสัยว่าทำไมเราไม่ง่วง หรือเป็นเพราะอุตริสระผมก่อนนอน...ขณะที่คิดอยู่เพลินๆ ก็รู้สึกมีนิ้วมือใครบางคน มาสางผมให้เบาๆ ฮื้อ! รำคาญน่า นึกว่าหลับแล้วซะอีก นี่น่ะไม่ไอ้แจงก็ยัยนุ่น...คงมาแก้แค้นละซิ ฮึ!
ฉันหันขวับไปกะจะจับแขนให้หนีไม่รอด ฉันคว้าแขนนั้นได้ค่ะ มันแข็งทื่อเหมือนจับขาเก้าอี้ และฉันก็เห็นผู้ที่มาสางผมฉันเล่น...เธอเป็นผู้หญิงค่ะ ผมยาวปรกหน้ารุ่ยร่าย ที่แน่ๆ เธอไม่ใช่แจงและไม่ใช่นุ่น แต่เป็นใครไม่รู้
ในความมืดสลัว ฉันเห็นใบหน้านั้นเกือบชัด...มันเป็นผีตายซากชัดๆ หน้าซูบตอบ ผิวแห้งติดกระดูก ตายุบเข้าไปในโพรงลึกที่เป็นเบ้าตา ปากอ้า หัวเราะเยาะหยันแบบไม่มีเสียงเลย
ฉันกรี๊ดซะลั่นห้อง ขนาดตัวเองยังรู้สึกแสบแก้วหู ทั้งมือทั้งเท้าเหวี่ยงเปะปะ วินาทีต่อมาไฟหัวเตียงสว่างพรึ่บ มีคนร่วมกรี๊ดอีกสองคน...แจงกับนุ่นไม่เห็นอะไรหรอก มันกรี๊ดเพราะตกใจเสียงฉัน
เป็นอันว่าปีนี้ฉันเองโดนผีหลอก กลายเป็นตำนานให้เล่าขานไปชั่วลูกหลาน และนี่คือการถูกผีหลอกครั้งแรกในชีวิต...หวังว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายนะคะ!
หน้า:
[1]