ผีพิศวาส
สมัยหนุ่มผมเป็นเด็กต่างจังหวัดมาศึกษาเล่าเรียนในกรุงเทพฯ โดยเช่าห้องพักอยู่ที่ซอยวรพงษ์ แถวสี่แยกบางขุนพรหมนี่เองเพราะมีเพื่อนจากบ้านเดียวกันชื่อวิชิตแนะนำ และใกล้กับมหาวิทยาลัยดีด้วยครับ
ตอนแรกก็ตั้งใจจะอยู่ห้องเดียวกัน แต่บังเอิญวิชิตเพิ่งมีเพื่อนมาขอพักพิงชั่วคราว ผมเลยเช่าห้องชั้นสองอยู่คนเดียว
ต่อมา เพื่อนวิชิตย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่มีเพื่อนฝูงแวะมาหาบ่อยๆ เล่นกีตาร์กันบ้าง สูบกัญชากันบ้าง ส่วนมากมักจะตั้งวงเหล้า คุยกันเอะอะเอ็ดตะโรจนทำให้ผมไม่มีสมาธิดูหนังสือ เลยตัดสินใจอยู่ห้องเดิมต่อไป
วิชิตเล่าว่าหอพักนี้ผีดุนักหนา ขอให้ระวังตัวไว้ด้วย แต่ผมไม่กลัวหรอกครับ ถือคติว่าผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน ไม่ต้องคิดอะไรมาก!
ห้องพักที่ผมอยู่ก็สะดวกสบายพอสมควร แม้จะต้องใช้ห้องน้ำรวมแต่มีที่นอนหมอนมุ้งกับตู้เสื้อผ้า อาหารการกินต้องฝากท้องไว้นอกหอ เพื่อนข้างห้องส่วนมากเป็นนักเรียน นักศึกษา มีเซลส์แมน 2-3 คน กับทำงานตามบริษัทห้างร้าน
หน้าห้องมีระเบียงยาว ตอนเย็นๆ มักจะมีคนชอบออกจากห้องไปยืนเกาะลูกกรงรับลม บางคนก็ตะโกนคุยกับเพื่อนที่อยู่ข้างล่าง ส่วนผมมักหมกมุ่นอยู่กับการนั่งดูตำราที่โต๊ะข้างฝา บางทีก็เพลิดเพลินจนถึงห้าทุ่มสองยามโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
คืนแรกๆ ผ่านไปอย่างราบรื่น แต่พออยู่ไปได้ราว 5-6 วันก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น...นั่นคือผมรู้สึกด้วยสัญชาตญาณว่าไม่ได้อยู่ในห้องคนเดียว!
มันเหมือนกับมีใครที่ผมไม่รู้จักมาอยู่ในห้องเดียวกัน โดยเฉพาะตอนดึกๆ ที่เงียบเชียบเยือกเย็น ผมรู้สึกว่ามีใครวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ตัว บางคืนก็จ้องมองมาเงียบๆ แต่บางคืนก็เข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ แม้แต่ยามปิดไฟนอนก็รู้สึกว่ามีใครเข้ามานอนเคียงข้างด้วย เล่นเอาขนลุกขนพองอยู่นานกว่าจะหลับลงได้
คืนหนึ่งฝนตกในตอนค่ำ ขณะที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับตำรากฎหมาย ผมรู้สึกมีลมหายใจมาเป่ารดที่ต้นคอด้านหลัง เล่นเอาหันขวับ แต่ก็ไม่ประสบพบเห็นใครเลย
เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากข้างฝา...ผมนึกว่าคงจะเป็นเสียงจากเพื่อนข้างห้องที่ดังลอดฝาไม้อัดเข้ามา...ทันใดนั้นเอง กลิ่นแป้งน้ำหอมกรุ่นก็อวลมากระทบจมูก!
คราวนี้ผมต้องปิดหนังสือ ลุกขึ้นมองไปรอบๆ ตัวก็ไม่เห็นอะไร กลิ่นหอมนั้นก็ค่อยๆ จางลง ผมมั่นใจว่าคงจะอุปาทานไปเองเพราะการหมกมุ่นอยู่กับตำรับตำรามาหลายคืนติดๆ กันจนมีเวลานอนหลับไม่พอกับความต้องการของร่างกาย
จัดการกางมุ้งแล้วดับไฟนอน...
ความง่วงงุนทำให้ความรู้สึกจมดิ่งลงสู่ความหลับใหล ร่างกายหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยก้อนหิน...อากาศเย็นชื้นมีกลิ่นแป้งน้ำหอมกรุ่นมาอีกครั้ง ผมเห็นหญิงสาววัยเดียวกันเดินช้าๆ จากผนังห้อง ใบหน้าสะสวยในเรือนผมยาวสยายระบายด้วยรอยยิ้มหวาน
ร่างอวบแต่โปร่งอยู่ในเสื้อแขนกุดสีไพล โสร่งดอกหนารัดเอวคอดกิ่วเน้นสะโพกกลมกลึงผึ่งผาย ทรวงอกไหวกระเพื่อมเมื่อเธอทรุดลงนั่งเคียงข้าง โน้มตัวลงมาจนเห็นดวงตาดำขลับและทรวงอกอวบอัดน่าใจหาย
ท่ามกลางความมึนงงของผม เรือนร่างเย้ายวนก็เข้ามาเบียดเสียดจนใบหน้าผมคลุกเคล้ากับก้อนเนื้อตึงเต่งหอมหวนยวนใจ เลือดหนุ่มฉีดพล่าน ความรู้สึกเตลิดเพริดด้วยไฟเสน่หาเร่าร้อน
อ้อมแขนผมโอบรัดไปที่สะเอวและสันสะโพกหนั่นเนื้อ มือป่ายเปะปะลงไปตามโคนขาจนเธอพลิกร่างลงนอนระทวย โสร่งดอกหนาลุ่ยเลิกขึ้นมาถึงไหนๆ เล็บคมจิกไหล่พลางครวญครางคล้ายสะอื้น ขณะที่หัวใจผมเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้นจนแทบทะลักทลาย...
ต่อจากนั้นผมก็ลืมไปหมดสิ้นว่าอะไรเป็นอะไร จำได้แต่ความสุขสุดขีดจนแทบสำลักก่อนจะสลบไสลไม่เป็นสมประดี!
...เที่ยงวันรุ่งขึ้น ผมสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงทุบ ประตูแรงๆ ติดกัน ฝืนใจลุกโผเผไปถอดกลอนก็พบวิชิตยืนมองมาอย่างห่วงใย ถามว่า...มีผีผู้หญิงมาหาลื้อหรือเปล่าวะ? ลื้อนอนกับเธอหรือเปล่าล่ะ?
แล้วเพื่อนก็เล่าให้ฟังว่าห้องนี้ใครมาอยู่ได้ 3-4 คืนก็ต้องเผ่น จนเขาปิดตายมานานแล้ว วิชิตรู้ว่าผมไม่กลัวผีก็เลยขอร้องให้เปิดห้องจนได้ สาเหตุมาจากผู้หญิงผูกคอตายเพราะอกหักในห้องนี้เมื่อเดือนก่อนน่ะซี...
ตอนนี้ผมกลัวผีชนิดขนหัวลุกจริงๆ เลยต้องย้ายไปอยู่กับเพื่อนจนได้ครับ!
หน้า:
[1]