กะโหลกวัดร้าง
สมัยเด็กผมอยู่อุทัยธานีครับ บอกตรงๆ ว่าบ้านผมผีดุนะ! ไม่ต้องไปถึงทุ่งนาป่าเขาหรอกครับ ในตัวเมืองนั่นแหละ มีทั้งวัดร้างทั้งป่าช้าเก่า เอ่ยชื่อวัดโคกซึ่งเป็นวัดร้างขึ้นมาไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนแต่ส่ายหน้าสั่นหัว...ยอมกลัวกันทุกคน บอกไม่เชื่อ!
วัดนี้อยู่ริมแม่น้ำสะแกกรังครับ เขาว่าเป็นวัดเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีโน่นแน่ะ ต่อมาวัดโคกก็ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ภิกษุสามเณรเหลือน้อยลงทุกที จนล้มตายไปบ้าง อพยพไปอยู่วัดอื่นบ้าง
ในที่สุดวัดโคกก็กลายเป็นวัดร้าง มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นร่มครึ้ม ไหนจะมีพวกพงอ้อกอหญ้ากับไม้เลื้อยต่างๆ ขึ้นรกเรื้อเต็มไปหมด
ผู้ใหญ่เตือนว่าอย่าไปวิ่งเล่นแถวนั้น เคราะห์หามยามซวยจะโดนผีหลอกเอาง่ายๆ
สมัยเด็กๆ ผมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันไปวิ่งเล่นครืนๆ คนเยอะเลยไม่ค่อยกลัวผี แถมเป็นกลางวันแสกๆ อีกด้วย นอกจากจะหยุดมองเจดีย์หักๆ มีกองอิฐสีแดงกลิ้งเกลื่อน โบสถ์แทบไม่เหลือรูปทรง ศาลาการเปรียญก็ผุพังจนลงมากองกับพื้น ไม่ต้องพูดถึงกุฏิที่มองไม่เห็นซากแล้ว
เด็กๆ อย่างผมเห็นแล้วรู้สึกสันหลังเย็นวาบๆ ชอบกลละครับ
เพื่อนบางคนมันบอกว่าเคยเห็นพระแก่ๆ โผล่จากต้นไทรมายืนมองมันนิ่งๆ ตอนแรกก็ไม่คิดอะไรมาก มีวัดก็มีพระเป็นธรรมดา แต่เมื่อนึกได้ว่าเป็นวัดร้างมาหลายสิบปีแล้ว ใครๆ ก็บอกว่าผีดุ มันเลยมาบอกเพื่อนๆ ให้ดูพระที่ต้นไทร
แหม! ลำพังต้นไทรอย่างเดียวก็น่ากลัวแล้วนะครับ รากห้อยระย้าที่เขาเรียกว่าม่านไทรย้อยนั่นน่ะ บางทีเห็นผู้หญิงผมยาวสยาย บางทีก็เห็นเป็นผู้ชายรูปร่างกำยำ...หนักกว่านั้นคือเห็นคนเป็นโขยง!
ยิ่งบอกว่ามีพระอยู่ที่นั่นยิ่งขนลุก หันไปดูก็ไม่เห็นอะไร นอกจากรากไทรที่แกว่งไกวตามสายลม ยอดไม้สะบัดใบกราว ฟังเผินๆ ราวกับเป็นเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะขบขันครืนใหญ่
จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุ...
เราไปเล่นดีดลูกหินกันแถววัดโคกราว 4-5 คน มีเจ้าหนอม เจ้าปื้ด เจ้าดำกับเจ้าแหลม...คนหลังนี่แหละครับที่มันอุตริเห็นพระโผล่ออกมายืนหน้าต้นไทรวันก่อนน่ะ
เมื่อคืนฝนตกหนักจนพื้นดินเฉอะแฉะไปหมด เคยเล่นล้อต๊อกกันเลยเล่นไม่ได้พื้นที่ไม่อำนวย จะเล่นซ่อนแอบกันก็ไม่ค่อยไว้ใจ...เดี๋ยวกำลังแอบอยู่ดีๆ เกิดจ๊ะเอ๋กับพระจีวรเหลืองอ๋อยเข้ามีหวังร้องจ้า เรียกหาพ่อแก้วแม่แก้วไปตามๆ กัน ดีไม่ดีดันผ่าตกใจสุดขีดจนจับไข้หัวโกร๋นได้ง่ายๆ
บรื๋อส์...เล่นรวมกลุ่มกันยังงี้แหละ ปลอดภัยไร้กังวล ถึงจะโดนผีหลอกก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรมละเอ้า!
วันนั้นฟ้าครึ้มมาตั้งแต่บ่ายแล้ว พวกเรากลับเห็นว่าดีซะอีก ไม่ต้องเจอแดดร้อน ถ้าฝนเกิดเทลงมาเราก็วิ่งกลับบ้าน...เด็กบ้านนอกไม่ใช่น้ำตาลนี่ครับ จะได้กลัวละลายน่ะ
สรรพสิ่งเงียบเชียบน่าวังเวงใจ สายลมพัดลู่ไปตามสุมทุมพุ่มไม้ ฟังคล้ายเสียงใครกำลังทอดถอนใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่พวกเรากำลังสนุกกันจนลืมตัว ส่งเสียงหัวเราะเฮฮาอย่างสนุกสนานประสาเด็ก
จู่ๆ เจ้าปื้ดดีดลูกหินอีท่าไหนไม่รู้ กระเด็นหวือไปในซุ้มข่อยที่เป็นแอ่งตื้นๆ อยู่ข้างกอไผ่ เจ้าตัวเดินตามไปพลางบ่นพึมพำ เจ้าหนอมโพล่งขึ้นว่า...ระวังผีหลอกนะมึง!
เจ้าปื้ดหันมาด่า เจ้าดำกลับซ้ำเติมว่า...เดี๋ยวก็เจอะพระเหมือนไอ้แหลมอีกคน!!
คราวนี้เจ้าปื้ดไม่ต่อล้อต่อเถียง แหวกหญ้าก้มหน้าหาลูกหิน ก่อนจะหันขวับมาร้องลั่น...ช่วยด้วย! ผีหลอก!! พวกเราหัวเราะกันใหญ่ เจ้าหนอมร้องว่าอย่ามาหลอกกูซะให้ยาก กลางวันแสกๆ ผีที่ไหนจะมาหลอกวะ?
ว่าแล้วก็วิ่งเข้าไปหา มีผมกับเจ้าแหลมเดินตามไปช้าๆ
อ้าว? เจ้าหนอมร้องจ้า หงายหลังตึง ผมกับเจ้าแหลมหัวเราะก๊ากเลย...ไอ้สองคนมันสมคบกันหลอกเราแน่ๆ
ครั้นวิ่งไปเห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา ผมถึงกับผงะหน้า แผดร้องโวยวายเหมือนคนบ้า
นรกเป็นพยาน! ผมรู้สึกหูอื้อตาลาย เสียงวิ้งๆ ดังขึ้นในสมองทันที...หันกลับได้ก็โกยอ้าวไม่คิดชีวิต เพื่อนอีกสามคนรั้งท้าย ร้องตะโกนโหวกโหวยเหมือนคนบ้า เพราะเราเห็นผีตาโบ๋กำลังอ้าปากพะงาบๆ หัวเราะเย้ยหยันเต็มตา
เมื่อพวกผู้ใหญ่รู้เรื่องพากันไปดู ก็ปรากฏว่าเป็นโครงกระดูกที่โดนฝนชะจนหัวกะโหลกโผล่พ้นดินขึ้นมา...ภาพสยองขวัญนั่นยังติดตาผมมาจนถึงทุกวันนี้เลยครับ! บรื๋ออออ....
หน้า:
[1]