ห้องอาถรรพณ์
ผมไม่เคยเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจใดๆ เพราะการศึกษาและวิทยาการแผนใหม่ทำให้รู้แน่ว่า เมื่อคนเราสิ้นลมหายใจ สมองหยุดทำงาน ร่างกายก็มีแต่จะรอความเน่าเปื่อย ย่อยสลายไปเพราะจุลินทรีย์ในเลือดเนื้อตัวเอง
พูดก็พูดเถอะ...ตัวเองยังเอาไม่รอดแล้วจะไปหลอกหลอนใครๆ เขาได้?
พลังจิตก็เช่นกัน ผมว่าอย่างเก่งก็คือการสะกดจิต ด้วยการใช้สายตาบ้าง โบกมือวนไปมาบ้าง จนถึงการให้จ้องมองลูกตุ้มที่แกว่งไกวไปมา...อาจจะทำให้เกิดอาการเคลิบเคลิ้มงุนงง หรือง่วงนอน ยอมทำสิ่งต่างๆ หรือไม่ก็เปิดปากบอกกล่าวความลับของตนให้ผู้อื่นได้รับรู้จนหมดสิ้น
ของจริงนั้นเป็นไปไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดค้นจนได้ยาฉีดเพื่อให้เปิดเผย ความลับทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว...ถ้าอำนาจจิตมีจริงจะต้องเสียเวลาไปค้นคว้าหายาตัวใหม่ๆ มาใช้ทำไม จริงไหมครับ? แต่อุตส่าห์มีคนหลงเชื่อเรื่องผี เรื่องพลังจิตอยู่ได้!
ผมมั่นใจว่ายังมีคนงมงาย หลงเชื่อในสิ่งเร้นลับ เหลวไหลไร้สาระสิ้นดีอีกมากมายทั้งๆ ที่เป็นยุคไฮเทคแท้ๆ
คิดแล้วแทบไม่น่าเชื่อ เพราะจู่ๆ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ผมได้ประสบกับเหตุการณ์แปลกประหลาดด้วยตัวเอง...ทั้งน่ามหัศจรรย์และชวนสยองสิ้นดี ทั้งที่เป็นเวลากลางวันแสกๆ ด้วยซ้ำไป!
พิชิตเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของผมครับ เราสนิทสนมกันมาเกือบ 10 ปีทั้งๆ ที่แตกต่างกันทั้งอาชีพและที่อยู่ คือผมเป็นข้าราชการอยู่กรุงเทพฯ ส่วนพี่เขาเป็นผู้จัดการแบงก์อยู่ต่างจังหวัดทางภาคตะวันออกนี่เอง
เรารู้จักกันเมื่อต่างคนต่างซื้อทัวร์พาภรรยาไปเที่ยวที่ไต้หวัน เกาหลีและญี่ปุ่น...พูดคุยกันจนถูกคอ กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากตั้งแต่กลับจากทัวร์คราวนั้นเป็นต้นมา
พี่พิชิตอายุเกือบขึ้นเลขห้าแล้ว แต่ร่างกายดูแข็งแรงกว่าผมที่อ่อนกว่าเขาเกือบสามปีด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าจะตามใจปากลิ้น จะดื่มเหล้าเบียร์นิดหน่อยเวลาสังสรรค์กัน แต่ไม่แตะต้องบุหรี่เลย
ที่สำคัญก็คือขยันออกกำลังกายจนได้เหงื่อเป็นประจำ!
อ้อ! อารมณ์เย็น ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เครียด ไม่โกรธง่าย สุขุมรอบคอบอย่างที่เรียกว่า...มีสติติดตัวเสมอ!
พี่เขาชวนผมกับครอบครัวไปเที่ยวชายทะเลบ่อยๆ ต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่ เวลาพิชิตขับรถมากรุงเทพฯ พักโรงแรมแห่งหนึ่งแถวหัวลำโพงเป็นขาประจำ ส่วนมากจะมาประชุมที่สำนักงานใหญ่ ตอนบ่ายๆ ก็ออกรอบกับก๊วนกอล์ฟที่มาจากต่างจังหวัดด้วยกัน...หลังจากนั้นจึงกลับโรงแรม อาบน้ำแต่งตัวแล้วพบกับผมตามนัด
บางครั้งผมก็นั่งรอในล็อบบี้ แต่บางคราวก็ขึ้นไปหาที่ห้องก่อนจะลงมาพร้อมกัน
จากนั้นก็คือการดื่มกิน เที่ยวเตร่เฮฮาหาความสนุกตามประสาผู้ชาย ก่อนจะแยกย้ายกันที่หน้าโรงแรม...ผมส่งเพื่อนแล้วกลับบ้าน ส่วนพี่เขาก็จะขับรถกลับจันทบุรีในวันรุ่งขึ้น
วันที่เกิดเหตุหลอนสุดขีดก็เช่นกัน!
พี่พิชิตโทร.มาบอกผมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เรานัดพบกันที่โรงแรมเดิม...ผมโทร.หาก็ได้ความว่ามาถึงเร็วเลยพักผ่อนเสียหน่อยก่อนจะอาบน้ำ...บอกเบอร์ห้องให้ผมขึ้นไปหาได้เลย
ห้องพักอยู่ชั้นห้า ผมเคาะประตูเบาๆ พี่เขาก็เปิดรับ ผมยกมือไหว้...รู้สึกแอร์เย็นจนขนลุก พี่พิชิตสวมเสื้อคลุมผ้าขนหนูสีขาว บอกให้ผมเปิดตู้เย็นช่วยตัวเอง เหล้าเบียร์และกับแกล้มง่ายๆ อย่างมันทอด ข้าวเกรียบกุ้งมีพร้อม...แล้วเขาก็ขอตัวเข้าห้องน้ำ
ผมหยิบเบียร์มารินใส่แก้ว เดินไปเปิดม่านหนาทึบลงไปดูวิวข้างล่าง เห็นรถราติดกันเป็นแพอยู่ในแสงแดด เหลืองอร่ามยามเย็น แว่วเสียงน้ำจากฝักบัวไหลซ่า เกือบพร้อมๆ กับเสียงเคาะประตูดังขึ้น...
รูมเมดล่ะมั้ง? ผมเดินไปเปิดประตูออก ก่อนจะรู้สึกเหมือนโดนค้อนประเคนเข้าตรงแสกหน้า ม่านตาลายพร่า สรรพสิ่งหมุนเคว้งคว้างไปจนหมดสิ้น
พี่พิชิตยืนยิ้มเผล่อยู่ที่นั่น ถามยิ้มๆ ว่า...เข้ามาได้ไงเนี่ย? มีกุญแจผีเหรอ?
ผมพูดอะไรไม่ออก ปากลิ้นมันแข็งไปหมด จนพี่เขาเดินเข้ามาในห้องเรียบร้อย ผมถึงได้ครางว่า...พี่เปิดประตูรับผมแล้วขอตัวไปอาบน้ำ! พี่พิชิตหัวเราะชอบใจ แต่ผมปราดไปกระชากประตูห้องน้ำออก ไม่มีเสียงน้ำไหลซ่า...ไม่มีใครทั้งนั้นนอกจากความว่างเปล่าน่าใจหาย
เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดพี่เขาก็อึ้งไป...ผมจะเข้าห้องได้ยังไงถ้าไม่มีใครเปิดรับ? คืนนั้นเราเลยตะลอนๆ กันจนดึก พี่พิชิตบอกว่า...ถ้าไม่เมาจริงๆ ผมคงนอนห้องนั้นไม่ได้แน่! แต่ผมน่ะประสาทหลอนสุดขีดไปนานเลยครับ!
ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]