หนูยังอยู่
ดิฉันพบเด็กผู้หญิงลึกลับในชุดกระโปรงสีชมพูคนนั้นเมื่อตอนโพล้เพล้พอดี ตอนนั้นดิฉันกำลังขับรถเข้าซอย ใกล้จะถึงบ้านแล้วค่ะ
ซอยบ้านนี่ก็แปลกนะ แถวๆ หน้าซอยน่ะคึกคักเชียว มีรถขายไก่ย่าง ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว ไอติมมีครบครัน ตอนเย็นๆ จะมีผู้คนขวักไขว่ ทั้งเด็กนักเรียนและบรรดาผู้ใหญ่ที่กลับจากทำงาน บรรยากาศไม่เหงาเลย จะมีคนเดินซื้อของกินกันไปเรื่อยตั้งแต่หัววันยันดึกดื่น
แต่พอขับรถลึกเข้ามาถึงกลางซอย บรรยากาศก็เปลี่ยนไป มันเงียบสงบเพราะมีแต่บ้านคนทั้งนั้น แต่ละหลังน่ะกำแพงทึบสูง มองไม่เห็นใครเพราะเขาอยู่ในบ้านกันหมด...ต่างคนต่างกินข้าว ดูทีวี พักผ่อนเมื่อจบวันอันเหนื่อยหน่าย
เมื่อพระอาทิตย์จวนสิ้นแสง ไฟถนนในซอยก็เปิดพรึ่บ แต่ยังหรอกค่ะ มันยังไม่สว่างเจิดจ้าเพราะยังไม่ทันมืด ช่วงเวลานี้มันสลัวมัวซัวไปทั่ว ดิฉันชอบเรียกว่าแดนสนธยา! เพราะจะเป็นกลางวันก็ไม่ใช่ กลางคืนก็ไม่เชิง
เอ๊ะ! อะไรกันนั่น...
ตรงหัวโค้งที่เป็นทางสามแพร่ง มีร่างเล็กๆ เหมือนตุ๊กตานั่งพิงกำแพงอิฐสีเทาอยู่ ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็แทบจะไม่เห็นเลย เพราะมันไม่ใช่กำแพงโล่งๆ แต่เจ้าของบ้านเขาปลูกต้นไม้สวยไว้หนาทึบ....มันเป็นพุ่มไม้สูงราวหนึ่งเมตร ดอกสีม่วงอร่าม...เด็กคนนั้นซุกตัวอยู่ในกอไม้ และทำท่าจะลุกออกมาตัดหน้ารถดิฉันทันทีทันใด
ดิฉันแตะเบรกจนรถหยุด นึกฉุนอยู่เหมือนกันว่าพ่อแม่หรือผู้หลักผู้ใหญ่ไปไหนหมดนะ ปล่อยปละละเลยลูกเล็กเด็กแดงตัวกะเปี๊ยกไว้คนเดียว
นี่ถ้ารถแล่นมาเร็วๆ เบรกไม่ทันจะว่ายังไงเนี่ย?
ดูซิ! เด็กตัวนิดเดียวจริงๆ ท่าทางน่าจะไม่เกิน 2-3 ขวบด้วยซ้ำ เมื่อแกเดินผ่านหน้ารถดิฉันก็มองไม่เห็นเลยล่ะ อันตรายจริง! อ้าว? แกหายไปไหนแล้วล่ะนี่...เมื่อตะกี้ยังเห็นอยู่หยกๆ นี่นา
ดิฉันเปิดประตูรถลงมามองหาจนเจอ อ้าว? แม่หนูนั่งลงกับพื้นซะงั้น! แกนั่งลงกระโปรงสีชมพูบานเชียว แหงนหน้ามองตาแป๋ว...ไฟหน้ารถส่องตัวแกเหมือนตัวละครบนเวที
"มาจากไหนล่ะเนี่ย...พ่อแม่ไปไหนจ๊ะ?"
ดิฉันถามขณะที่เดินไปดึงตัวขึ้นมา เด็กน้อยลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่าย ตัวแกเบาหวิว และเย็นๆ ชื้นๆ จนดิฉันนึกถึงสัมผัสของปีกค้างคาว หรือไม่ก็เนื้อไก่ที่เราเอาออกจากตู้เย็นไว้เตรียมทำกับข้าว...
ความคิดต่อจากนั้นก็คือ เด็กคนนี้ท่าจะหลงมาแน่ๆ ดิฉันไม่เคยเห็นแกเลย!
นาทีต่อมา ดิฉันกดออดบ้านที่เด็กนั่งพิงกำแพงเขาอยู่ สาวใช้เดินออกมาดูและบอกว่าไม่รู้จักเด็กน้อย อย่างไรก็ตาม เธอมีน้ำใจไปร้องเรียกถามเอากับบ้านที่อยู่ติดๆ กันปรากฏว่าไม่มีใครรู้เลยว่าแกมาจากไหน? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร?
"อาจจะลูกคนงานก่อสร้างก็ได้ค่ะ" ใครคนหนึ่งออกความเห็น
จริงซีนะ! แถวๆ หน้าปากซอยน่ะ มีบ้านหลังหนึ่งเพิ่งรื้อออกเหลือแต่ที่ดินโล่งๆ ราวสองร้อยตารางวา แล้วมีการปรับถมดิน ลงเสาเข็มกันตึงตัง นัยว่าจะปลูกเป็นหอพักสูงห้าชั้น เด็กคนนี้อาจจะมาจากไซต์งานนั้นก็ได้? เอ...เดินมาไกลน่าดู!
ดิฉันอุ้มเด็กน้อยมาวางที่เบาะหลังรถ นึกเอะใจในความเบาหวิวของร่างน้อยๆ นั้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะไม่รู้จะพูดกับใคร
จากนั้นก็กลับมาท่ามกลางสายตาชาวบ้าน 3-4 คนที่มองมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย
เป็นอันว่าดิฉันต้องขับย้อนมาทางหน้าซอย ถึงบ้านที่กำลังก่อสร้าง!
ความมืดโรยตัวลงมารวดเร็วมาก คนงานผละจากสิ่งที่ทำมาทั้งวัน แล้วไปอาบน้ำอาบท่า หรือหุงหาอาหารอยู่ในเพิงที่ปลูกเป็นที่พักชั่วคราว พวกเขามองมาอย่างแปลกใจ ดิฉันเรียกสุ่มๆ ไปว่า...ช่วยมาดูซิว่าลูกใคร?
ผู้หญิงรูปร่างท่วม ผิวคล้ำ หน้ากลม ผมดัดหยิกสั้นคนหนึ่ง นุ่งกระโจมอกอยู่ เดินมาดูพร้อมๆ กับเพื่อนหญิงชายอีก 2-3 คน พอมาถึงก็มองผ่านกระจกเข้ามาที่เบาะหลังรถของดิฉัน
"ไหนๆ?" เธอถาม ดิฉันเหลียวมองแล้วก็ใจหายวาบเมื่อในรถมีแต่ความว่างเปล่า
"เด็กแต่งตัวยังไง?" เธอมองหน้าดิฉันเขม็ง พอดิฉันบรรยายเธอก็หันไปพูดเชิงบ่นกับคนข้างๆ ว่า "เอาอีกแล้ว!
เมื่อปีก่อน คนงานกลุ่มนี้ไปก่อสร้างแถวพุทธมณฑล พวกเขามีเด็กผู้หญิงเล็กๆ วัยสองขวบที่ซุกซน ชอบเดินเล่นเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล...เด็กน้อยถูกรถชนตายตอนโพล้เพล้ ในชุดกระโปรงสีชมพูค่ะ!
หน้า:
[1]