ริมฝั่งสะแกกรัง
เมื่อต้นเดือนตุลาคมปีกลายนี้เอง ครอบครัวเราคือ พ่อ แม่ ลูกสาว วัย 5 ขวบ เดินทางจากระยองไปเยี่ยมพี่สาวสามี เรียกกันตามลูกว่า "ป้าไพ" อยู่ที่จังหวัดอุทัยธานี ที่มีแม่น้ำสะแกกรังเป็นสายเลือดเส้นใหญ่
สาเหตุเพราะป้าไพล้มเจ็บทั้งเบาหวาน โรคหัวใจและภูมิแพ้ ตามประสาคนที่อายุเลยวัยกลางคน แถมยังมาหกล้มในห้องน้ำอีกด้วยค่ะ
เราไปถึงบ่ายจัดจวนเย็น ปรากฏว่าพี่สาวค่อยทุเลาขึ้นแล้ว หน้าตาดูสดใสแช่มชื่น...บอกว่ามีญาติมิตรเอายามาให้หลายคน ทั้งยาฝรั่งและสมุนไพร ไหนจะพวกอาหารเสริมอีกล่ะ เลยบอกอย่างคนมีอารมณ์ขันว่า...ไม่รู้ว่าถูกกับยาตัวไหนแน่เพราะหลายอย่างเหลือเกิน พวกโรคร้ายมันคงตกใจถึงกับพากันวิ่งหนีไปเลย!
ลุงเปล่งสามีแกบอกว่า อาจจะทุเลาเพราะการออกกำลังกายเป็นประจำก็ได้...ตอนเย็นๆ มักจะชวนกันไปเดินเล่นแถวริมแม่น้ำ ลมโชยฉ่ำ อากาศสดชื่น จนกว่าเหงื่อซึมหลังถึงจะกลับ
บ้านพี่สาวดูโปร่งโล่ง มีระเบียงรับลมจากลมแม่น้ำเย็นสบาย ทำให้เรานั่งคุยกันอย่างเพลิดเพลินตามประสาพี่ๆ น้องๆ
ตอนที่ลุงเปล่งขอตัวลงไปรดน้ำแปลงผักริมตลิ่ง ป้าไพก็บอกว่าตอนนี้ถึงฤดูน้ำหลากพอดี น้ำเหนือไหลบ่ามาจนเปี่ยมฝั่ง พ่อแม่ที่ไม่ระวังลูกเล็กๆ ให้ดีอาจจะเสียใจแทบเป็นบ้าเพราะลูกตกน้ำตาย ขนาดว่ายน้ำเป็นแล้วอย่างเด็กข้างๆ บ้าน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วลงไปเล่นน้ำกับเพื่อนยังต้านกระแสน้ำไม่ไหว
กว่าจะช่วยกันงมขึ้นมาได้ก็กลายเป็นศพไปแล้ว พ่อแม่ก็ร้องไห้เหมือนจะตายตามลูกไปทั้งคู่
"นึกๆ แล้วก็สงสารมัน เคยมาวิ่งเล่นเกรียวกราวกับเพื่อนๆ อยู่แถวนี้แหละ พอไอ้จุกตายเสียคน เด็กอื่นๆ เลยพลอยหายเงียบไปหมด"
ป้าไพเล่าเสียงเศร้าๆ ก่อนจะทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ เหลียวซ้ายแลขวา ย่นคิ้วแล้วชะโงกหน้าเข้ามาถามหาลูกสาวดิฉัน
"เมื่อตะกี้ยังเห็นอยู่ไวๆ นี่นา ยัยกุ๊กไก่หายไปไหนแล้วล่ะ?"
เท่านั้นแหละค่ะ ดิฉันใจหายวาบไปหมด สามีก็ อ้าปากค้าง ลุกพรวดพราดขึ้นมาตะโกนเรียกลูกเสียงลั่นแต่ไม่ได้ยินเสียงขานตอบ นอกจากเสียงสายลมพัด วู่หวิวกับยอดไม้กับเสียงคลื่นเซาะฝั่ง แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องจับระลอกคลื่นแม่น้ำสีน้ำตาลเข้มก็ค่อยๆ จางหายไป
"กุ๊กไก่ลูกพ่อ!" เขาตะโกนพร้อมๆ กับเผ่นลงบันไดชนิดไม่กลัวแข้งขาหัก
"กุ๊กไก่อยู่ไหน? กุ๊กไก่ๆๆ"
ดิฉันเองแทบจะเป็นลมเสียให้ได้ หัวใจเต้นโครมคราม มือเท้าเย็นเฉียบไปหมด เมื่อนึกถึงร่างเล็กๆ ของลูกถูกกระแสน้ำไหลเชี่ยวพัดพาออกไปไกลแสนไกล...
"กุ๊กไก่ลูกแม่..." ได้แต่ครางอยู่ในลำคอตีบตื้น วิ่งตามหลังสามีไปตามริมตลิ่งที่มีต้นไม้ใหญ่น้อยเรียงราย มองลงไปเห็นลุงเปล่งกำลังเงยหน้าจากชายน้ำขึ้นมาพอดี "เห็นหลานไหมคะ? โธ่..."
ลุงเปล่งส่ายหน้า รีบเผ่นขึ้นมาหน้าตาตื่น ป้าไพก็อุตส่าห์ลงบันไดตามหลังมา พอดีได้ยินเสียงสามีดังแว่วมาเข้าหูอื้ออึง
"กุ๊กไก่ลูกพ่อ! ทำไมมาเล่นถึงนี่...พ่อแม่จะบ้าตายอยู่แล้ว"
ดิฉันน้ำตาไหล ทอดถอนใจยืดยาวอย่างโล่งอก ปราดเข้าไปหาลูกที่ลอยขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนพ่อแล้ว...ลุงเปล่งกับป้าไพพลอยหัวเราะออกมาได้ ขณะที่ลูกสาวดิฉันหันไปชี้มือที่กอไผ่ดกหนาริมตลิ่งใกล้ๆ กัน
"กุ๊กกำลังเล่นกับจุกที่นั่นค่ะ เขาชวนกุ๊กลงไปเล่นน้ำด้วย กุ๊กก็อยากเล่นน้ำเหมือนกันแต่พอดีพ่อเรียก..."
ดิฉันขนลุกซ่าเมื่อมองไม่เห็นใครสักคนเดียว หันขวับไปมองป้าไพที่กำลังหน้าตาซีดเซียวเต็มที...แต่ลูกสาวยังไม่รู้เรื่องเด็กชายจุกที่ตกน้ำตายนี่นา!
"ไม่มีใครหรอกลูก" ป้าไพเดินเข้ามาช่วยปลอบใจ "เจ้าจุกไม่อยู่แล้วล่ะกุ๊ก...กลับบ้านไปกินข้าวกินปลากันเถอะ ใกล้จะมืดค่ำแล้ว"
"อยู่ซีคะ!" กุ๊กไก่ยืนยันเสียงใส ก่อนจะหันไปชี้มืออีกครั้ง "นั่นไงคะ! จุกยืนตัวเปียกโชกอยู่ข้างกอไผ่นั่นไง...ไปก่อนนะจุก พรุ่งนี้กุ๊กไก่จะมาเล่นด้วยอีกนะ"
ดิฉันแทบจะล้มฮวบ รีบฉุดมือสามีเดินกลับบ้านไม่เหลียวหลัง...แต่ยังช้ากว่าลุงเปล่งกับป้าไพอีกค่ะ!
หน้า:
[1]