รำผีฟ้า
ดิฉันเป็นคนบ้านกำแพง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ตัวเองไม่สันทัดเรื่องประวัติศาสตร์ จึงขอเล่าแต่เรื่องความเชื่อถือของชาวบ้านที่สืบต่อกันมาแต่โบราณแล้ว
วันนี้จะเล่าเรื่อง "ผีปู่ตา" ให้ฟังค่ะ!
คนภาคอื่นๆ มักจะเคยได้ยินแต่ "ผีตาแฮก" ที่คอยดูแลไร่นา ส่วนอำเภอดิฉัน และส่วนมากในภาคอีสาน มักจะมีการเลี้ยงผีปู่ตากันทั้งนั้น เพราะถือว่าเป็นผีบรรพบุรุษ
เชื่อกันว่าผีปู่ตาคือวิญญาณของบุพการีที่ยังห่วงใยลูกหลาน มาคอยดูแลคุ้มครองป้องกันไม่ให้เกิดโพยภัย ชาวบ้านก็ช่วยกันสร้างศาลผีปู่ตาเป็นเรือนไม้หลังย่อมๆ แต่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นโดยรอบเพื่อให้วิญญาณบรรพชนได้พักอาศัย เรียกกันว่า "ตูบปู่ตา"
พวกผู้ใหญ่เล่าว่า การสร้างศาลปู่ตาไว้ในดงไม้ขนาดใหญ่ นอกจากจะช่วยทำให้ร่มรื่นแล้ว ยังเป็นการป้องกันคนร้ายไม่ให้บุกบั่นเข้ามาตัดไม้ใหญ่ๆ ได้อีกด้วย
เมื่อมีศาลปู่ตาอยู่แทบทุกชุมชน ก็ต้องมีผู้สื่อสารระหว่างผีปู่ตากับชาวบ้าน เรียกกันว่า "เฒ่าจ้ำ"
เรื่องนี้น่าสังเกตว่าหลายจังหวัดในภาคกลางก็มีศาลปู่ตากับผู้สื่อสารเช่นกัน บางแห่งเรียก "เจ้าจ้ำ" บางแห่งก็เรียก "จ้ำ" คำเดียว มีทั้งสระบุรีและลพบุรี เชื่อว่าพวกลาวพวนในจังหวัดดังกล่าวคงจะอพยพจากอีสาน และนำความเชื่อถือของตนมาด้วยค่ะ
เฒ่าจ้ำในหมู่บ้านดิฉันยังมีหน้าที่ดูแลศาลปู่ตา รวมทั้งต้นไม้และสัตว์ต่างๆ ในบริเวณนั้น เพื่อให้สงบร่มรื่นและสะอาดสะอ้านตามสมควร
พิธีเลี้ยงผีปู่ตาก็น่าสนใจนะคะ
ปกติจะทำกันในวันพุธเป็นประจำทุกปี ปีละ 2 ครั้งค่ะ คือตอน "ลงนา" กับ "ขึ้นนา" ตอนแรกจะทำในเดือน 6 เพื่อเสี่ยงทายในการทำนาและเก็บเกี่ยว ว่าน้ำท่าจะบริบูรณ์หรือแห้งแล้ง ตอนหลังคือเดือน 3 สิ้นฤดูเก็บเกี่ยวก็ทำพิธีอีกครั้ง "เลี้ยงลง" กับ "เลี้ยงขึ้น"
เป็นหน้าที่เฒ่าจ้ำจะไปบอกผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้แจ้งข่าวถึงวันทำพิธี ด้วยการตีฆ้องบ้าง ตะโกนบอกต่อๆ ไปบ้าง เมื่อถึงวันสำคัญชาวบ้านทุกครัวเรือนก็จะนำหัวหมูไก่ต้มและสุราไปร่วมพิธีกันครึกครื้น เสร็จพิธีก็นำสุราอาหารเหล่านั้นมาเลี้ยงดูกันครึกครื้น
อ้อ! ระหว่างทำพิธีไหว้ผีปู่ตาก็จะมีการเสี่ยงทายด้วย เช่นการ "เสี่ยงทายไก่" โดยเฒ่าจ้ำจะจุดธูปบอกกล่าวผีปู่ตาว่า...
"ถ้าบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข น้ำท่าและข้าวปลาอาหารบริบูรณ์แล้ว ก็ขอให้ท่านเจ้าปู่ตาจงดัดแปลงคางไก่ให้โค้งเข้าเหมือนคันเคียวอันสวยงาม แต่ถ้าเกิดความแห้งแล้งก็ขอให้เจ้าปู่ตาจงดัดแปลงคางไก่ให้หงิกงอ หรือถ้าจะเกิดฝนตกหนักจนน้ำท่วม ก็ขอให้เจ้าปู่ตาช่วยดัดแปลงคางไก่ให้ตรงๆ ด้วยเถิด"
ปรากฏว่าคำทำนายของผีปู่ตามักจะแม่นยำ และทำให้ผู้คนเชื่อถือตลอดมา
ประสบการณ์ขนหัวลุกสมัยเด็กของดิฉันคือรำผีฟ้าค่ะ!
นั่นคือพิธีกรรมเพื่อรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะการแพทย์สมัยก่อนยังไม่ก้าวหน้า ชาวบ้านต้องใช้ไสยศาสตร์เข้าช่วย ขอร้องให้ผีฟ้ามาเข้าร่างคนทรงหรือ "นางทรง" ที่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อจากผีฟ้าในรุ่นก่อนๆ
อย่างแรกต้องตั้งศาลเพียงตาและเครื่องเซ่น มีคนเป่าแคน ทำพิธีไหว้ครู มีคนฟ้อนรำและขับร้องกันเป็นหมู่ เพื่ออ้อนวอนขอพรจากผีฟ้าให้ช่วยบันดาลความสุขความเจริญให้แก่คนในหมู่บ้าน และขอให้ผีฟ้าช่วยคนเจ็บป่วยหายขาดโดยเร็วไวด้วยเถิด!
วันหนึ่ง ป้าบุญเหลือคนข้างบ้านดิฉันก็เจ็บออดๆ แอดๆ มาหลายเดือน ไม่ว่าจะกินยามากมายเท่าไหร่ก็ไม่ยอมทุเลา มีแต่จะทรงกับทรุดลงไปทุกวัน
ลุงสังข์ผู้เป็นผัวก็จัดให้มีการรำผีฟ้าขึ้นที่บ้าน ดิฉันกับเพื่อนๆ ก็ไปดูพร้อมกับชาวบ้านอีกหลายสิบคน
ปรากฏว่าฟ้ามืดครึ้มทั้งที่เป็นเวลาบ่าย ลมพัดอู้ๆ น่ากลัว ป้าบุญเหลือผู้นอนแซ่วถึงกับลุกพรวดพราดขึ้นมานั่ง เบิกตาจ้องมองอะไรบางอย่าง ลุงสังข์กับคนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นที่เห็นคนเจ็บลุกขึ้นได้เองทั้งที่อาการหนักอยู่แท้ๆ
คนที่งุนงงสงสัยเข้าไปซักถามอาการ ป้าบุญเหลือ กลับชี้มือไปที่ศาลเพียงตาย้อนถามว่า...ทำไมนางทรงกินเครื่องเซ่นล่ะ?
ทุกคนหันขวับ...ไม่เห็นมีใครอยู่ที่ศาลเพียงตาเลยแม้แต่คนเดียว!
ขณะนั้น นางทรงและช่างฟ้อนกับคนร้องก็ยังอยู่ห่างๆ ลุงสังข์หน้าซีด ปากสั่น แข็งใจเดินไปดูที่ศาลแล้วพูดอะไรไม่ออก คนอื่นๆ ก็เช่นกัน...เพราะเครื่องเซ่นหมดเกลี้ยง ส่วนป้าบุญเหลือค่อยทุเลาจนหายดีตามเดิมค่ะ!
หน้า:
[1]