ศาลตายาย
คนแทบทั้งโลกล้วนแต่เชื่อว่าภูตผีมีจริง แถมยังหวาดกลัวต่อสิ่งเร้นลับชนิดนี้ด้วยกันทั้งนั้น แม้ว่าจะไม่เคยโดนผีหลอกมาก่อนก็ตาม ส่วนจะกลัวมากหรือน้อยก็สุดแท้แต่จิตใจของแต่ละคนที่ย่อมมีทั้งเข้มแข็งอ่อนแอแตกต่างกันไป
หลายๆ คนแม้จะไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่นัก แต่ก็สงบปากสงบคำ ไม่เอ่ยถึงอย่างดูถูกดูแคลน ผิดกว่าบางคนที่ปากเปราะเราะราย เที่ยวประกาศว่าตนไม่กลัวผี! ยิ่งมีเสียงเล่าลือว่าที่นั่นที่นี่ผีดุนักหนาถึงกับตะโกนท้าทาย...ถ้าผีมีจริงก็ขอให้ปรากฏตัวสักครั้งหนึ่งเถิดน่า!
นอกจากนี้ยังลามปามไปยังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นศาลตามข้างทาง และต้นไม้ใหญ่ๆ ที่มีผ้าหลากสีพันอยู่รอบโคนต้น หาว่าคนที่เชื่อถือศรัทธาเป็นพวกงมงาย ไร้การศึกษา จนคนที่ทนไม่ไหวต้องบอกกล่าว...และกลายเป็นคำพูดที่ติดปากติดหูผู้คนทั่วไปมาถึงทุกวันนี้
"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!!"
เรื่องน่าขนหัวลุกที่จะเล่าต่อไปนี้ขอฝากให้ท่านผู้อ่านพิจารณาว่าเรื่องผีๆ สางๆ เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเพียงนิทานหลอกเด็กหรือไม่? เรื่องมีดังนี้ครับ
เมื่อสิบกว่าปีก่อน กฎหมายแรงงานยังไม่ได้เข้มงวดกับการกำหนดอายุของผู้เข้าทำงานมากนัก ทำให้วิไลซึ่งมาจากอีสานเพื่อเยี่ยมญาติที่จังหวัดปราจีนบุรี เกิดสนใจที่จะเข้าทำงานในโรงงานเย็บผ้าในจังหวัดนั้น และก็สมประสงค์อย่างง่ายดาย แม้ว่าเธอจะมีอายุเพียง 15 ย่าง 16 ปีเท่านั้นเอง!
วิไลได้เข้าทำงานในแผนกเย็บ ซึ่งต้องมาฝึกโดยเริ่มตั้งแต่วิธีกรอด้าย การฝึกเย็บ การหยุดจักร การเย็บแบบต่างๆ และมีการทดสอบในแต่ละขบวนการ โดยมีระยะเวลาฝึกหัด 2 สัปดาห์ ซึ่งนับว่าน้อยมาก แต่เด็กสาวมีความตั้งอกตั้งใจและอดทนจนได้เข้าทำงาน โดยเข้าประจำกะเพื่อเย็บงานจริงต่อไป
ในโรงงานแห่งนี้มีที่พักโดยจัดเป็นหอพักให้พนักงาน ถือว่าเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่ง และทำให้พนักงานส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง จะได้ทำงานได้เต็มที่คุ้มค่าจ้าง
วิไลอยู่ที่หอพัก 2 ชั้น ชั้นละ 40 ห้อง มีห้องน้ำรวมสะอาดพอใช้ เพื่อนร่วมห้องของเธอล้วนแต่เป็นคนเก่าทั้งสิ้น ห้องที่วิไลพักนั้นมีทั้งหมด 8 คน เป็นเตียง 2 ชั้นรวม 4 เตียงด้วยกัน
"พี่น้อย" เป็นคนงานเก่าแก่กว่าเพื่อน อายุราวสามสิบ ผิวคล้ำ ร่างท้วม พูดจาดี แววตาบอกว่าเป็นคนมีน้ำจิตน้ำใจ เธอเคยบอกวิไลตั้งแต่วันแรกว่า
"อย่าลืมหาพวงมาลัยไปไหว้ศาลตายายที่หน้าโรงงานก่อนนะ ว่าเราจะมาขออาศัยอยู่ที่นี่!"
"ตายาย" ที่พี่น้อยเอ่ยถึง ก็คือศาลพระภูมิที่ตั้งอยู่ปากทางเข้าโรงงาน พนักงานทุกคนแม้จะไม่ได้พักที่นั่นก็จริง แต่เมื่อผ่านเข้าออกก็จะยกมือไหว้เสมอ
ทุกคนเรียกศาลนั้นว่า "ศาลตายาย-เจ้าที่"
สาเหตุเพราะการคร่ำเคร่งอยู่กับการฝึกเย็บผ้า และการเรียนรู้เรื่องงาน ทำให้วิไลลืมเลือนคำบอกกล่าวของพี่น้อยเสียสนิทสนม รวมทั้งความเป็นเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ก็ไม่อาจคาดเดาได้...จนกระทั่งวิไลพักอยู่ที่ห้องนี้เป็นคืนที่ 5 แล้ว!
หลังจากไปดูละครหลังข่าวในห้องดูทีวีรวมแล้ว วิไลก็เดินขึ้นห้องไปนอนยังห้องของเธอและเพื่อนๆ เมื่อมาถึงต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันเข้านอน รวมทั้งพี่น้อยด้วย
วิไลผล็อยหลับได้ไม่นานก็รู้สึกคล้ายจมดิ่งอยู่ในห้วงภวังค์อันล้ำลึก เคว้งคว้าง ท่ามกลางความหนาวเย็นจนขนลุกซ่าไปทั้งตัว...หัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นภาพนั้นเต็มตา!
ชายและหญิงในวัยชราคู่หนึ่ง ผมขาวโพลน นุ่งโจงกระเบนยาวสีเขียว เสื้อขาวแบบโบราณ ดวงตาลุกโพลงดังเปลวไฟจ้องมองมาที่เด็กสาวด้วยความชิงชัง ชายชรายกมือที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก กำไม้เท้าหงิกงอชี้หน้าเธอ พร้อมกับส่งเสียงเกรี้ยวกราดน่ากลัว
"เอ็งเป็นใคร? เสือกเข้ามาในถิ่นฐานบ้านข้าได้ยังไง? ข้าไม่อนุญาตให้ใครเสือกมานอนในที่ของข้า...ไป๊! ไสหัวไปให้พ้น..."
วิไลแทบจะขาดใจตายด้วยความหวาดกลัว ฝ่ายหญิงเฒ่าใช้ไม้เท้าทิ่มแทงไปตามทรวงอกและลำตัวของเธอจนต้องกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดสุดขีด! โอ๊ย...
สะดุ้งตื่นขึ้นมาเหงื่อโซมกาย ใจเต้นกระหน่ำ ออกแรงดิ้นรนจนเกือบตกจากเตียงชั้นบน...แต่เพื่อนร่วมห้องทุกคนกลับหลับสนิท ไม่มีใครได้ยินเสียงหวีดร้องของเธอเลย
คืนนั้นวิไลนอนร้องไห้เมื่อนึกถึงคำเตือนของพี่น้อยจนรุ่งเช้า รีบออกไปซื้อพวงมาลัย ดอกไม้และธูปเทียนมากราบไหว้ที่ศาลตายาย ขอสมาลาโทษที่ล่วงเกินไป...จู่ๆ ก็มีลมพัดมาเย็นวูบจนขนลุกซ่า บ่งบอกว่าตายายได้รับรู้และยกโทษให้เด็กสาวโง่เขลาผู้นี้แล้ว!
นับจากนั้นเป็นต้นมา วิไลก็ไม่ต้องประสบกับความฝันน่าสยดสยองอีกต่อไป!
หน้า:
[1]