ปีศาจสุรา
สมัยหนุ่มผมอยู่ซอยพญาไม้ ใกล้ๆ กับวัดประยุรวงศ์ฝั่งธนบุรีนี่เอง ตกเย็นงานเลิกก็โหนรถเมล์จากที่ทำงานแถววังบูรพากลับบ้าน บางวันนึกครึ้มๆ ก็แวะดวดดื่มแก้เหนื่อย ร้านเฮียเง่า ที่อยู่ติดกับปากซอย...เปิดโล่งโถงทั้งด้านหน้าและด้านข้างร้านนี้พูดไปก็แทบไม่น่าเชื่อ คือเป็นร้านเหล้าร้านเดียวในเมืองไทยมั้งครับ ที่ขายสุราอย่างเดียว ไม่มีอาหารหรือว่ากับแกล้มใดๆ ทั้งสิ้น แต่แฟนๆ แน่นตึงทุกคืน!
เสน่ห์ดึงดูดใจสำคัญที่ทำให้ร้านเหล้าที่เป็นห้องแถวไม้เก่าๆ มีแขกติดอกติดใจก็เพราะแช่โซดาเย็นเจี๊ยบ เปิดปุ๊บกลายเป็นน้ำแข็งครึ่งค่อนขวดปั๊บ ถูกใจคอสุรานักแล
กินเหล้าต้องมีกับแกล้ม! จริงด้วยครับ ตอนเย็นๆ จะมีหญิงวัยค่อนคนชื่อ ป้าอุย เดินกระเดียดกระจาดกับแกล้มสำเร็จรูปเข้ามาขาย ของสำคัญที่ใครๆ เรียกหาคือยำทั้ง 3 อย่าง ประกอบด้วยยำมะม่วง, ยำหนังหมูและยำหอยขม แฟนๆ เรียกซื้อหากันทุกโต๊ะ เฮียเง่ามีจานชามกับช้อนส้อมไว้บริการพรักพร้อม
เรียกว่าน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าก็แล้วกัน!
กิตติศัพท์เรื่องโซดาน้ำแข็ง กับแกล้มเหล้าสุดโอชะ พูดกันปากต่อปากจนคอเหล้าจากใกล้และไกลตามแห่กันมาอุดหนุนคึ่กๆ แน่นตึงขนาดเต็มเพียบทุกโต๊ะ แถมบางโต๊ะยังมีคอเหล้าที่ไม่รู้จักกันมาร่วมวงกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ตั้งแต่ 2-3 คนต่อโต๊ะอีกต่างหาก
อ๋อ! ไม่มีปัญหาทะเลาะวิวาทอะไรซักครั้งเดียว เพราะทุกคนล้วนแต่เป็นคอเหล้าระดับเกจิทั้งนั้น บางทีขยับเก้าอี้ชนกับโต๊ะข้างๆ ก็รีบหันมาขอโทษขอโพยกันทันที
เชื่อไหมครับว่าป้าอุยไม่ต้องเดินไปขายที่อื่นต่อให้เมื่อย...มีเท่าไหร่หมดเท่านั้น! เพราะกับแกล้ม 3 อย่างนี่รสชาติเด็ดขาดนัก ถูกปากคอเหล้านักเชียว จนเฮียเง่าขอร้องให้ปักหลักขายที่หน้าร้านซะเลย โดยจัดการเรื่องโต๊ะตู้ให้พรักพร้อม ป้าอุยต้องหาลูกมือ มาช่วยอีก 2-3 คน แต่ยังงั้นยังต้องทำกับแกล้มกัน มือเป็นระวิง
มีหลักแหล่งเรียบร้อยแล้ว ป้าอุยก็เพิ่มเมนูมากขึ้น รสชาติสุดแซบไปซะทุกอย่าง ผมเคยถามป้าอุยตอน ที่แกพอว่างมือว่าทำไมป้าทำกับแกล้มอร่อยนักหนา คุณป้าก็ตอบซื่อๆ น่ารักว่า
"ผัวป้าเขาเป็นคอเหล้า ป้าเลยต้องทำกับแกล้มให้เขากินมาตั้งแต่สาวๆ น่ะซี!"
ความที่เป็นร้านเหล้ายอดฮิตประจำถิ่น ผมเคยชวนพรรคพวกจากที่ทำงานมาดื่มกินที่นั่นด้วย แหม! ติดอกติดใจกันใหญ่ บางคนร้านจะปิดตอนสี่ทุ่มแต่เพื่อนยังไม่หายอยาก ต้องชวนผมไปต่อที่อื่นมั่ง บางทีก็ซื้อพวก ยำหอยขมกับยำหนังหมูไปกินแกล้มเหล้าที่บ้านบ้าง
จนกระทั่งถึงคืนขนหัวลุก!
จำได้ว่าเป็นปลายเดือนมกราคม ปีนั้นอากาศหนาวจัด ผมชวนเพื่อนสองคนคือ วินัย กับ ชาตรี ไปดื่มดวลกันที่ร้านเฮียเง่า...ทั้งคู่เป็นคนฝั่งธนฯเหมือนกัน อยู่แถวบ้านแขกกับเจริญพาสน์...ราวหกโมงเย็นก็เต็มหมดทุกโต๊ะแล้วครับ
คอเหล้าส่วนมากเข้าวัยกลางคนไปถึงวัยชรา ระดับครูบาอาจารย์ทั้งนั้น ต่างคนต่างเสาะหาความสุขกับการดื่มกินเงียบๆ โต๊ะที่มากันเป็นกลุ่มก็พูดคุยกันเบาๆ ไม่ก่อเรื่องวิวาท หรือสร้างความรำคาญให้ใครทั้งสิ้น
พวกที่มาช้ารอโต๊ะหรือเก้าอี้ว่างก็มี ตัดใจสั่งกับแกล้มโอชะไปกินที่บ้านก็มี...เฮียเง่านุ่งกางเกงขาสั้น สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวแก่ เดินเข้าเดินออกน่าเหน็ดเหนื่อย เพื่อเสิร์ฟเหล้ากับโซดายุคนั้นแม่โขงกับกวางทองกำลังขึ้นชื่อ ส่วนมากสั่งกันทีละแบน...ก่อนจะแบนแล้วแบนเล่า พวกเราก็ดวดดื่มพูดคุยกันอย่างสำราญบานใจ
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเชื่อ เพิ่งสังเกตว่ามีโต๊ะว่างหลายโต๊ะ ส่วนแขกอีกสองโต๊ะก็กำลังเรียกคิดเงิน ยกเว้นชายชราหน้าตาเหี่ยวย่นแต่ย้อมผมดำปี๋ที่นั่งอยู่โต๊ะด้านข้างติดซอยพญาไม้คนเดียว ที่ยังนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนเหมือนพวกเรา
จนกระทั่งคอเหล้าสองโต๊ะนั่นเดินออกจากหน้าร้านไปแล้ว เฮียเง่าก็มาร้องบอกอยู่ข้างโต๊ะ จะปิดร้านแล้วนะ!
ตายหะ...สี่ทุ่มกว่าแล้วจริงๆ ด้วย แต่ผมยังเกี่ยงงอนด้วยการบุ้ยปากไปที่ชายชราผู้นั้น...ทำไมไม่บอกโต๊ะนั้นด้วยล่ะ? เฮียเง่าหันไปมองแล้วแค่นหัวเราะ
"เมาแล้วเรอะ? ไม่มีใครซักคน...คุณเห็นผีตาแหวงที่ถูกรถชนตายปากซอยเมื่อวานเรอะไง?"
คราวนี้พวกเราหันขวับเหมือนถูกจับกระชาก ท่าม กลางแสงไฟเยือกเย็นไม่มีร่างของชายหน้าเหี่ยวย่นอีกต่อไป ถ้างั้นแกเป็นใครล่ะ?
หน้า:
[1]