ผีเฝ้าป่าช้า
ป้าคิดผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ค่ะที่เขียนเรื่อง "ป่าช้าผีดิบ" มาลงข่าวสด เพราะมีญาติมิตรมากมาย ขนาดอยู่ถึงชัยนาท สิงห์บุรีก็มีนะคะ โทรศัพท์มาถามไถ่เรื่องผีดุกันหลายคน ที่หนักข้อกว่านั้นถึงกับเดินทางมาบ้านป้าเลยค่ะ
ไม่บอกดีกว่าว่าอยู่ที่ไหนในอยุธยาน่ะ เดี๋ยวก็แห่กันมาคลั่กๆ ไม่รู้ว่าอยากจะมาดูผีจริงๆ หรือว่าอยากชิมกุ้งเผาตัวโตๆ ปลาเนื้ออ่อนราดพริก หรือว่าฉู่ฉี่ปลาน้ำเงินกันแน่? เฮ้อ...
วันก่อนมีทั้งญาติและเพื่อนมาจากอู่ทองราว 5-6 คนแน่ะ นั่งปิกอัพกันมา บอกว่าอยากรู้อยากเห็นจริงๆ ว่าป่าช้าผีดิบนี่เป็นยังไง? ถึงพอจะเข้าใจก็ไม่เหมือนได้เห็นด้วยลูกกะตาตัวเอง ใช่ไหมคะ? แล้วก็อยากรู้ว่าผียังดุอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า? โอย...คนอะไรคิดพิเรนทร์ได้ขนาดนี้ก็ไม่ทราบ
เออแน่ะ! อยู่ดีไม่ว่าดี ดันอยากเห็นผีเห็นสางซะงั้น
เอาก็เอาซี ไม่กลัวโดนผีหลอกก็ตามใจละกัน!
ก่อนอื่น ป้าต้องบอกกล่าวเสียก่อนว่าทุกวันนี้ไม่เหมือนอดีตตอนป้าเด็กๆ กับกำลังรุ่นกระเตาะ เนื้อสาวแตกเผาะๆ อุ๊ย! ตื่นเต้นดีใจซะไม่มีล่ะ ผิดกับทุกวันนี้ที่มองตัวเองต้องเอาทางพระเข้าขย่ม เอ๊ย! ข่มให้ตัวอ้อนๆ จงผ่ายผอมลงซัก 10-20 กิโลกรัมก็ยังดี! ฮิฮิ
บ่ายแก่ๆ วันนั้นป้าเลยพาญาติมิตรเป็นโขยงไปดูป่าช้าผีดิบในฐานะเจ้าภาพที่ดี
อ้อ! ต้องบอกไว้ก่อนสำหรับท่านที่ยังไม่รู้ ว่าไม่ใช่ป้าช้าอันเป็นที่สิงสู่ของผีดิบในหนังฝรั่ง ที่กลางวันนอนเงียบอยู่ในโลง แต่พอตะวันตกดินก็โงนเงนขึ้นมาล่าเหยื่อ...ดูดเลือดมนุษย์เป็นภักษาหาร ถ้าบารมีแก่กล้าก็อาจแปลงร่างเป็นนกผีที่เขาเรียกว่า "แวมไพร์" นั่นล่ะค่ะ
แต่เป็นที่เผาศพของคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยตาย หรือแก่ชราถึงแก่อายุขัย...แหม! ป้าก็จวนๆ แล้วล่ะค่ะ ความตายจะจู่โจมมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เราจึงไม่ควรกลัวตายจริงไหมคะ? แต่เรื่องกลัวผีนี่แหละ วุ้ย...พูดแล้วขนลุกขนชัน!
พอย่างเข้าเขตป่าช้า สรรพสิ่งก็พลันเงียบเชียบเยือกเย็นลงกะทันหัน
บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจ ต้นไม้ใหญ่ๆ อย่างตะเคียน โพธิ์ ไทร อะไรพวกนี้ยืนต้นทะมึนแทบรายล้อมคล้ายจะจ้องมองพวกเราอย่างขุ่นเคืองที่บังอาจรุกล้ำเข้าไปในดินแดนของพวกเขา! อาณาจักรคนตาย...
จู่ๆ เสียงยอดไม้ก็ไหวซ่า ก่อนจะครึกโครมเหมือนมีคนขึ้นไปขย่มเขย่า เล่นเอาพวกสูงวัยอย่างเราสะดุ้งโหยง ร้องวี้ดว้าย ไอ้บ้างก็ทำนั่นหกนี่หกโดยไม่เจตนา มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไอ้บ้างก็ทำหน้าเหยเกเหมือนจะร้องไห้ แต่ไอ้บ้างก็ถกผ้าเตรียมพร้อมที่จะวิ่งหนีชนิดแหกป่าแหกดงให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป
"ป่าช้าอยู่ไหน....?" เสียงใครถามดังเครือๆ เล่นเอาป้ากระเดือกน้ำลายเอื๊อก
"ก็นี่แหละ ป่าช้าล่ะ นึกว่าอยู่ในโรงยี่เกหรือไงยะ?"
"แล้วเมรุอยู่ที่ไหน เมรุปูนน่ะ?"
แน่ะ! ขนาดหน้าซีดเหมือนสองนิ้วยังปากแข็งอยากเห็นเมรุ เห็นเถ้ากระดูกที่เรียกว่ากองฟอนซะอีก ป้าก็เลยพาบุกป่าฝ่าดงไม้เตี้ยๆ ใช้ไม้เล็กๆ เคาะไล่งูเงี้ยวเขี้ยวขอไปพลาง...อยากมาดูผีดิบเดี๋ยวเกิดโดนงูกัดจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันล่ะยะ?
"นั่นไง! เมรุปูน..." ป้ายกไม้ชี้ให้ดูเมรุเผาผีที่ก่ออิฐขนาบข้างเหมือนตั้งฝ่ามือสองข้างชิดกัน เว้นตรงกลางไว้ใส่ฟืนกับวางโลงศพข้างบน ก่อนบอกกล่าว "แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีศพมาเผาจี่ที่นี่แล้ว เขาไปกันที่วัดเหนือโน่น"
แสงแดดที่ถูกไม้ใหญ่ร่มครึ้มบดบังก็ชักจะจางทุกที มองไปข้างนอกเห็นแต่ความสลัวใกล้จะโพล้เพล้...แต่อย่างว่าล่ะค่ะ มาชมป่าช้าทั้งทีถ้ามาตอนเที่ยงวัน แดดแดงกระแจ๋แหวก็คงจะไม่ได้อารมณ์เย็นสันหลังวูบๆ วาบๆ เท่าไหร่ จริงมั้ยคะ?
"เอ้า! กลับกันได้แล้ว...เดี๋ยวไปถึงบ้านล้างหน้าอาบน้ำแล้วจะได้กินข้าวกินปลากัน พรุ่งนี้ใครอยากจะไปดูป่าช้าผีสุกก็มากันอีกรอบแล้วกัน"
พวกญาติมิตรวัยไม้ใกล้ฝั่งที่ถือโอกาสมาเที่ยวต่างอำเภอก็หันไปพยักหน้า ส่งเสียงอือๆ ออๆ กัน...ตกลงว่าจะกลับไปบ้านป้าเสียที แต่จู่ๆ ก็มีเสียงใครทักท้วงเอาไว้ก่อนว่า...นั่นใครมาชมป่าช้าผีดิบเหมือนกัน พวกเราหรือพวกใคร?
ป้าเอะใจรีบหันขวับไปดูก็เห็นตายายคู่หนึ่ง ผิวดำ ผมขาวโพลน ผอมกงโก้หมือนไม้เสียบผี นุ่งผ้าเตี่ยวสีดำขาดวิ่นกำลังยืนเกาะมือกันมองมา...หน้าตาบ่งบอกว่ากำลังตระหนกอกสั่น หรือหวั่นกลัวพวกเราเหลือกำลัง!
"จะมีใครล่ะยะ" ป้าร้องเสียงสั่นๆ "ผีเฝ้าป่าช้าน่ะซี! ฉันไปก่อนล่ะโว้ย..." ไม่ต้องสงสัยหรอกค่ะว่าจะมีเสียงหวีดร้องทั้งตาแก่ยายแก่ ที่เผ่นกระเจิงตามหลังป้ามาติดๆ โธ่! จะโดนผีหลอกกันเองยังไม่พอ ดันชวนป้ามาจ๊ะเอ๋เข้าอีกคน...ช้ำใจจริงๆ ค่ะงานนี้น่ะ!
หน้า:
[1]