ผีวัดตะพาน
สมัยหนุ่มๆ พวกเราเป็นนักเที่ยวตัวยงกันทุกคน ล้วนแต่คนดังๆ ทั้งนั้นแหละครับ เช่น สุรสิทธิ์, คำรณ, เบญจมินทร์ ขอบอกเลาๆ ว่าเป็นดารา ส่วนผมเป็นนักดนตรี พวกเราชอบสนุกครับ เสร็จงานกินเหล้า เที่ยวเตร่ หนุ่มฉกรรจ์วัย 30 ต้นๆ ไม่กลัวอะไรทั้งหมด ไม่ว่าคนหรือผี
เกิดเรื่องขนหัวลุกเพราะความเมาจนเกิดอุตริแท้ๆ
คืนนั้นไปก๊งกันที่ประตูน้ำ เชิงสะพานเฉลิมโลก แหม! สมัยนั้นก็ถือว่าไกลกรุงเอาการ เบญจมินทร์คงจะเมาเอาเรื่อง บอกว่าเฮ้ย...เขาลือว่าผีวัดตะพานดุนัก เราไปลองของกันมั้ยวะ?
วัดนี้ชื่อเป็นทางการคือวัดทัศนารุณสุนทริการาม มักกะสัน สุรสิทธิ์น่ะปกติไม่กลัวคนแต่กลัวผีสุดขีด แต่คืนนั้นไม่ทราบว่าของขึ้นหรือไง บอกว่าไปไหนเป็นไปกัน ผีก็ผีวะ...กูไม่กลัว!
ผมเองขัดเพื่อนไม่ได้นี่ครับ อยากไปพิสูจน์ผีหรือเพื่อน? ได้เลย!
ราวสองทุ่มกว่าๆ เราเดินข้ามทางรถไฟ ตัดหมู่บ้านเข้าทางป่าช้าวัดตะพานไม่ช้าที...แหม! ไอ้พวกหมาเจ้ากรรมก็หอนได้หอนดี ผ่าเถอะ! ไม่รู้ว่าจะหอนหาสามง่ามอะไรของมันซีน่า
พวกเราหิ้วขวดเหล้าบุกบั่นไปถึงป่าช้าจนได้ อื้อฮือ! มันเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจจริงๆ สมัยนั้นยังไม่มีตึกสูงๆ หรอกครับ นอกจากต้นไม้ใหญ่ๆ มืดครึ้มแทบรอบด้าน อาศัยว่าพระจันทร์ข้างขึ้นส่องแสงขาวนวล อย่างที่ชอบพูดกันว่า...สว่างจนแทบจะจับมดได้แน่ะ!
นั่งล้อมวงโจ้เหล้ากันกลางป่าช้า สมัยนี้ต้องบอกว่าเอาให้สะใจโก๋ไปเลย
ป่าช้าวัดตะพานตอนนั้นมีทั้งเมรุเผาผี กับหลุมศพระเกะระกะ มีไม้ปักป้ายชื่อคนตายแต่ใช้ตอกตะปูมั่ง ผูกเชือกไว้มั่ง...หลายป้ายโย้เย้ตามยถากรรม ที่หลุดมา กองบนดินเหนือหลุมศพก็มี
คิดดูเถอะว่าบรรยากาศมันเหลือกินขนาดไหน?
ทั้งเสียงแมลงกลางคืนร้องระงม นกฮูกครางฮือๆ ยอดไม้ส่งเสียงซู่ซ่ากับสายลม ฟังเหมือนเสียงคนสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ บางครั้งก็คล้ายเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากผู้ไม่มีร่างกาย
อ้าว? คิดอีกทีก็มีซีครับ คือพวกคนตายที่นอนอยู่ใต้ดินหลายสิบหลุมรอบตัวเรานี่ไง! ทั้งเหลือแต่ซากก็มี ที่กำลังเน่าเปื่อยผุพังก็มาก ที่กำลังพองอืด ขึ้นอึ้ดทึ่ดเพราะเพิ่งถูกฝังเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีไม่ใช่น้อย จริงไหมครับ?
จู่ๆ คำรณก็คำรามขึ้นว่า...เฮ้ย! ไม่ลุกมากินเหล้าด้วยกันหน่อยเรอะเพื่อนฝูง?
เบญจมินทร์ตบเข่าฉาด...นั่นซีวะ! ไม่เปรี้ยวปากมั่ง เรอะเกลอ? อ๋าย...ไม่ต้องมาทำเหนียมหรอกน่า ลุกขึ้นมาซดเหล้ากันดีกว่า!
สุรสิทธิ์เป็นคนกลัวผีแท้ๆ พอเมาดีเข้าก็หัวเราะเอิ๊ก อ๊าก...ใจเย็นๆ โว้ย เพื่อนฝูงเขากำลังลุกโงนเงนขึ้นมาแล้ว! ฟังซี่...พวกหมามันหอนกันยกใหญ่ โบราณเขาว่ามันเห็นผีใช่มั้ยวะ?
ในที่สุด เหล้าหมด ถึงจะไม่โดนผีหลอกแต่ก็กลัวหมาน่าดู ไอ้พวกเล็บงามตะละตัวนี่ดุวายวอดทั้งนั้น แยกเขี้ยวขาวโง้งจนพวกเราเสียวน่องไปตามๆ กัน
เพราะความกลัวหมานี่แหละครับ ขากลับต้องดึงไม้กางเขนจากหลุมศพคนละอัน เพื่อกันฝูงหมามาราวี...พอมันโฮ่งเข้าใส่ เราเงื้อไม้มันก็ถอยออกไปคำรามแฮ่ๆ จนเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วจึงโยนไม้กันหมาทิ้งไว้ตามหน้าบ้านผู้คนละแวกนั้นเอง!
ได้ข่าวว่าวันรุ่งขึ้น ชาวบ้านแถววัดตะพานโจษขานกันเซ็งแซ่ ว่าพวกผีพากันออกมาเที่ยว แล้วลืมไม้กางเขนไว้หน้าบ้าน เล่นเอาขนลุกขนพองทุกคนไป ต้องเอาไม้นั่นไปปักหลุมผีตามเดิม จำได้ว่าหลุมใครก็มี มั่วเอาก็มี
ราวอาทิตย์ต่อมา เราไปกินเหล้าที่ร้านไก่ย่างชื่อดังใกล้ๆ ทางรถไฟมักกะสัน ทำท่าจะมีเรื่องกับพวกนักเลงประตูน้ำ แต่พวกนั้นจำสุรสิทธิ์กับคำรณได้ เลยไม่ต้องเดือดร้อนกันทั้งสองฝ่าย
ไปกินเหล้าที่ป่าช้าวัดตะพานกันอีกดีกว่า!
วันนั้นเบญจมินทร์ไม่ได้มา มีนักเลงสองคนนึกครึ้ม อยากลองดีกับผีวัดตะพานดูมั่ง...พวกเราก็ยกโขยงกันไปนั่งขัดสมาธิโจ้เหล้ากันกลางป่าช้าตามเดิม
พระจันทร์กำลังงามเชียว กำลังเมาๆ ก็เรียกเพื่อนฝูงในหลุมขึ้นมาซัดเหล้ากันซักฉาดสองฉาด หัวเราะเฮฮากันสนุก...พอดีได้ยินเสี
ยงอะไรผิดหูดังครืดๆ คราดๆ รอบตัว หันไปมองก็ต้องสะบัดหน้า...เราเมาจนตาลาย เห็นดินบนหลุมศพเขยื้อนได้เอง!
เอ๊ะ! ไหงมีซากเละๆ โผล่หัวกับลำตัวขึ้นมาด้วยล่ะ? ไอ้บ้างก็ดันฝาโลงหลุดผลัวะ กลิ่นเหม็นสาบสางคละคลุ้ง ร่างในผ้าตราสังรุ่ยร่ายกำลังโผล่จากหลุมขึ้นมาทีละร่างสองร่าง เดินโย่งเย่งเข้ามาหาพวกเราที่ผงะหงาย ร้องเฮ้ยๆ ฮ้ายๆ ไปตามๆ กัน
เผ่นพรวดขึ้นมาได้ ตะเกียกตะกายร้องช่วยด้วยๆ ก็มี เผ่นอ้าวชนิดไม่เหลียวหลังก็มี หมูหมาไม่กลัวทั้งนั้น วิ่งตะโพงผ่านหมู่บ้านออกมาได้ก็เหนื่อยแทบจะขาดใจตายอยู่ตรงนั้นเอง
ได้ข่าวว่าชาวบ้านแถวนั้นอาการหนักกว่า เพราะบอกว่าเห็นผีกลุ่มใหญ่วิ่งออกมาจากป่าช้าน่าสยดสยองสิ้นดี สงสัยแต่ว่าทำไมไม่เอาไม้กางเขนมาทิ้งไว้เหมือนคืนก่อน...เป็นงั้นไปครับ!
หน้า:
[1]