ขึ้นจากโลง
คุณมีความทรงจำย้อนไปได้ไกลสุดแค่ไหนคะ? ดิฉันคิดว่าราวขวบกว่าๆ เราก็เริ่มจำได้จนถึงบัดนี้ แม้ว่ามันกระท่อนกระแท่นเต็มที ดิฉันจำตอนตัวเองหัดเดินไปได้เลยล่ะค่ะ...เชื่อไหมคะ?
แต่ความทรงจำอันหนึ่งที่เป็นปริศนาชวนสยองเกิดขึ้น ตอนที่ดิฉันอยู่อนุบาลสอง...คิดแล้วก็ราว ห้าขวบเห็นจะได้ เมื่อดิฉันย้อนรำลึกถึงทีไร ภาพใบหน้าหนึ่งก็เด่นชัดขึ้นทุกที...มันเป็นใบหน้าของ พี่แต้ว-ลูกพี่ลูกน้องของดิฉันเอง เธอแก่กว่าราวสองปี และเป็นลูกคุณป้าวิไลพี่สาวแท้ๆ ของแม่ดิฉันเอง
พี่แต้วจมน้ำตาย แต่ในความคิดและการรับรู้ของดิฉันยามมีอายุแค่ห้าขวบนั้น...ความตายคืออะไร ก็ไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าพี่แต้วตายแล้วกลับมาได้!
ภาพที่ดิฉันจำได้คือ คุณป้าวิไลจะมาหาคุณแม่ดิฉันบ่อยๆ หลังจากเกิดอุบัติเหตุที่พรากลูกสาวคนเดียวให้จากไป คุณป้าแต่งชุดดำ ใบหน้าไม่มีเครื่องสำอาง...มันซีดเซียวหม่นหมอง ทว่าใบหน้าเล็กๆ ของพี่แต้วที่เดินตามหลังแม่ไปโน่นไปนี่มันซีดกว่าเยอะ เพราะถึงอย่างไร ใบหน้าของป้าวิไลยังมีสีเลือด แต่ใบหน้าของพี่แต้วเป็นสีม่วงคล้ำ และไม่มีรอยยิ้มเลย!
เป็นใบหน้าที่เรียบเฉย เวลามองดิฉันก็จะจ้องนิ่งๆ
ในวัยห้าขวบนั้น ดิฉันแทบไม่รู้ว่าผีคืออะไร? และไม่คิดหรอกค่ะว่าพี่แต้วเป็นผี แต่ถึงกระนั้นดิฉัน ก็กลัวเธอ
มีอย่างที่ไหนคะ เดิมเราเคยเล่นกันอย่างสนุกสนาน แก้มของพี่แต้วเป็นสีชมพู ปากแดงจัดราวกับทาลิปสติก เธอรวบผมหางม้า ศีรษะทุยได้รูปสวย เธอสูงกว่าดิฉัน และใจดีมาก เรามักจะเล่นตุ๊กตากระดาษกันค่ะ
เวลาที่มาบ้านดิฉัน เธอจะเอากล่องตุ๊กตากระดาษมาเล่น ส่วนดิฉันมีบาร์บี้หลายตัวยังแบ่งให้เธอเอากลับไปเล่นที่บ้านด้วยซ้ำ
แต่หลังจากพี่แต้วจมน้ำตาย เธอเปลี่ยนไปมาก นิ่งเงียบ เดินตามป้าวิไลแบบทื่อๆ ไม่มีการแตะต้องเนื้อตัว...ดิฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นคนเดียวที่เห็นเธอ เพราะ นึกว่าคุณแม่ คุณป้า และทุกคนทำท่าไม่สนใจเธอ...ดิฉันไม่รู้ว่าคนอื่นไม่เห็น!
และแล้ววันหนึ่ง พี่แต้วก็ไม่ตามป้าวิไลมาที่บ้านดิฉันอีก เป็นอันว่าเธอหายไปเลย นับจากนั้น ดิฉันเล่าให้คุณแม่ฟังแต่โดนดุว่าคิดไปเอง ครั้นเมื่อโตขึ้น ดิฉันกับคุณแม่ก็คุยเรื่องนี้กัน...ท่านยอมรับว่านั่นคือวิญญาณ และเรื่องผีพี่แต้วกลายเป็นเรื่องที่เคยคุยกันได้ไม่รู้จบจนกระทั่งทุกวันนี้
ขณะนี้ดิฉันอายุสามสิบสองปี มีลูกสาวเล็กๆ วัยสี่ขวบกว่า วันหนึ่งประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย!
วันนั้น ดิฉันไปงานศพของเพื่อนรักที่เป็นมะเร็งตาย เธอยังสาว สวย และมีลูกสองคน...เธอแต่งงานเร็วค่ะ มีลูกก่อนดิฉัน และดูเถอะค่ะ...เธอตายเสียแล้ว!
สองทุ่มกว่าๆ ดิฉันกลับเข้าบ้าน...รู้สึกเหนื่อย เพลีย อาจจะเป็นเพราะร้องไห้กับเพื่อนๆ และญาติของไก่-เพื่อนที่เพิ่งวายชนม์ แหม! เห็นลูกๆ เธอแล้วใจคอมันตีบตันไปหมด
อากาศร้อน ตัวเหนียว ดิฉันอยากถอดชุดดำออกและอาบน้ำให้สบายตัว...
พอเดินเข้าบ้าน ลูกเอมของดิฉันก็กระโดดมาหา ร้องแม่ขาๆ แต่นัยน์ตามองไปทางด้านหลังของดิฉัน จากนั้นก็ยกมือไหว้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู...ดิฉันหันขวับไปมองก็พบแต่ความว่างเปล่า...เล่นเอาหนาวเยือกไปตลอดไขสันหลัง
ไม่กล้าถามเลยค่ะ ว่าเอมไหว้ใคร? แต่เอมส่งเสียงเจื้อยแจ้วเฉลยเอง
"น้าไก่ขา แต่งชุดสีเขียวสวยจัง หอมด้วย...หอมเหมือนน้ำอบที่เอมรดน้ำคุณย่าตอนสงกรานต์เลยค่ะ!"
จริงค่ะ ไก่เพื่อนดิฉันแต่งตัวด้วยชุดผ้าไหมสดสีเขียวอ่อน นอนสงบนิ่งบนตั่งก่อนที่สัปเหร่อจะนำเธอลงโลง ดิฉันจำได้ติดตา...และแน่ล่ะค่ะ กลิ่นน้ำอบไทยหอมกรุ่นนั้น ลูกเอมของดิฉันคงสัมผัสได้
ดิฉันขนลุกซู่ หันไปพูดกับลมกับแล้งว่า "ไก่ ขอบใจนะที่มาส่ง ไม่ต้องห่วงนะ ไปเถอะจ้ะ หลับให้สบาย..."
ลูกเอมของดิฉันยกมือไหว้ แล้วโบกมือบ๊ายบาย!
ท่าทีของลูกทำให้ดิฉันพอจะรู้ว่า วิญญาณของไก่กลับไปแล้ว ยอมรับเลยค่ะว่ากลัวจนไม่รู้จะทำยังไง รีบบอกให้คนรับใช้ดูแลบ้านช่อง ปิดประตูให้เรียบร้อย พอสั่งเสร็จก็พาลูกเอมขึ้นข้างบน ดิฉันอาบน้ำโดยเปิดประตูไว้...ให้ลูกและสามีนั่งเล่นอยู่หน้าห้องน้ำเป็นเพื่อน
เฮ้อ...ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจริงๆ นี่เป็นเรื่องผีอีกเรื่องที่ดิฉันจดจำไปตลอดชีวิต!
หน้า:
[1]