เจ้าที่
ป้าแววเป็นเพื่อนแม่ของผม ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติครับ เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเล็กๆ จนถึงตอนนี้อายุแปดสิบแล้วทั้งคู่ เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ผมไปกินข้าวบ้านแม่ตอนเย็นพบว่าแม่กำลังวิตกกังวล สาเหตุคือ แม่โทร.ไปหาป้าแววนับสิบครั้งแล้วแต่ไม่มีใครรับสายเลย
"ป๊อบขับรถพาแม่ไปบ้านป้าแววหน่อยซิลูก แม่อยากเห็นกับตาว่าป้าแววสบายดีหรือเป็นอะไรไปรึเปล่า?"
เราขึ้นรถไปกับหมาชิสุของผมตัวหนึ่งชื่อบียอนเซ่ มันน่ารัก ขี้อ้อนและหอนเพราะมาก ผมเกล้าจุกให้มัน ทำให้เห็นตากลมโตที่ฉายแววสอดรู้สอดเห็นอยู่ตลอดเวลา...บ้านป้าแววอยู่ไม่ไกลนัก แต่กว่าจะไปถึงก็มืดสนิทแล้ว ผมจอดรถที่หน้าประตูรั้วก่อนจะลงไปกดออด ต้องยืนรอนานมากจนอึดอัด เลยใช้เวลานั้นมองไปรอบๆ
บ้านใหญ่โตในเนื้อที่กว้างขวาง เมื่อก่อนเคยสว่างไสว สวยงามน่าอิจฉา แต่วันนี้มันมืดตึ๊ดตื๋อ แถมวังเวงหงอยเหงาพิลึก
เมื่อก่อนหน้านี้มีคนอยู่เยอะแยะ ไหนจะลูกๆ ทั้งสามคนของป้าแววและบริวารอีกมากมาย ทั้งคนใช้ คนสวน คนรถและแม่บ้าน...ไม่เคยเหงาเลยครับ แถมยังจัดงานวันเกิดเจ้าของบ้านกันทุกปี งานปีใหม่อีกต่างหาก จับสลากกันครึกครื้น เสียงหัวเราะเฮฮายังจำได้...
ทว่าเมื่อเวลาล่วงผ่านไป ลูกๆ ของป้าแววโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ต่างแต่งงานแล้วแยกย้ายกันไปอยู่กับลูกเมียของตัว ทิ้งให้พ่อกับแม่-คือป้าแววกับลุงหมออยู่บ้านที่ใหญ่โตเวิ้งว้าง กับลูกสาวคนเล็กที่ยังโสดสนิท เหลืออยู่แค่สี่คนคือ ลุง ป้า ลูกสาวและคนใช้อีกหนึ่ง
อ้อ! มีหมาอีกสามตัวครับ สีดำ สีขาว สีน้ำตาล เป็นหมาไทยธรรมดา ตัวไม่โตแต่เห่าเก่งเป็นบ้า...มันกำลังตั้งหน้าตั้งตาเห่าผมเสียงขรมอยู่นี่ไง!
เสียงเห่าระงมแบบนันสต๊อป ทำให้หญิงสองคนโผล่มาจากความมืด
อ้าว? ก้อย-ลูกสาวคนเล็กของป้าแววนั่นเอง เดินมาที่ประตูกับสาวใช้วัยรุ่น พอเห็นถนัดว่าเป็นผม ก้อยก็ดีอกดีใจเพราะไม่ได้เจอกันซะนาน เธอเปิดประตูให้ผมเลี้ยวรถเข้าไป บอกเราว่าป้าแววเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเพราะหกล้ม ขัดยอกไปทั้งตัว และมีอาการความดันเลือดสูง ตอนนี้นอนอยู่ในห้องชั้นบน ส่วนลุงหมอก็ไม่สบาย ล้มเหมือนกัน สะโพกร้าว ต้องนอนอยู่ห้องรับแขกชั้นล่าง
แม่ผมลงจากรถ ให้ก้อยพาเดินประคองขึ้นไปบนตึก ผมเองขอนั่งอยู่ในรถกับเจ้าบียอนเซ่ที่เสียขวัญเพราะเสียงเห่าของนินจา ดุ๊กดิ๊กและไมโล
นั่นเป็นช่วงเวลาราวสิบห้านาที ที่ผมถูกทิ้งให้นั่งอยู่ลำพังกับพวกหมาทั้งหลาย...รอบกายนั้นมองไปทางไหนก็มืดไปหมด มีแต่แสงไฟหลอดประหยัดที่ชายคาหน้าครัวเท่านั้นที่ส่องมา...
ทันใดนั้นผมเห็นชายคนหนึ่ง ไม่หนุ่ม ไม่แก่ รูปร่างสันทัด ใส่เสื้อคอกลมและนุ่งกางเกงขาสั้นสีขาว ดูโดดเด่นอยู่ในความสลัว เดินมือไพล่หลังมาที่รถ แล้วก้มมองผ่านหน้าต่างข้างตัวผมเข้ามา เล่นเอาผมผงะแล้วมองใบหน้านั้นบ้าง...เป็นคนจีนหน้าตาใจดี เขามองแล้วก็ยืดตัวขึ้น หันหลังเดินกลับไปทางหลังบ้าน
ผมนั่งงง...ใครหว่า? เท่าที่รู้ บ้านนี้มีแค่สี่คนเท่านั้นนี่นา!
กำลังนึกอยู่ดีๆ ก็เห็นผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนสีทึบ มีผ้าดอกขาวๆ คาดอก ตัดผมทรงดอกกระทุ่ม ไม่สาว ไม่แก่ กระเตงเด็กผมจุกไว้กับเอว...เธอเดินมาหยุดมองห่างจากรถผมไปราวสามเมตร แล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนเดินจากไป
คราวนี้ผมขนลุก...ใครล่ะที่แต่งตัวราวกับหลุดมาจากละครย้อนยุค? ผมว่าไม่ใช่คนแฮะ! เจ้าบียอนเซ่ของผมนั่งเงียบกริบเชียว...ดูเหมือนมันจะตาโตกว่าเดิมตั้งพะเรอ
อึดใจต่อมา ก้อยก็ประคองแม่ผมกลับมาขึ้นรถ เราถามสารทุกข์สุกดิบกันใหญ่ ผมขยับปากจะถามถึงบุคคลลึกลับที่ผมเห็น แต่เกรงว่าก้อยจะกลัวเลยไม่ถาม...แล้วก็ล่ำลากัน โดยสัญญาว่าจะมาเยี่ยมอีกบ่อยๆ
พอขับรถออกมาผมก็เล่าให้แม่ฟัง...แม่อยากโทร.ถามป้าแววแต่แกบอกว่าตั้งแต่ไม่สบายทั้งลุงทั้งป้านี่ ได้ยกหูโทรศัพท์ออกเพื่อไม่ให้รบกวน ป้าแววบอกจะโทร.หาแม่เอง...และพอป้าแววโทร.เข้ามา แม่ก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงคนที่ผมเห็น
ป้าแววหัวเราะแล้วบอกว่าไม่ใช่คนหรอก เป็นเจ้าที่น่ะ! มีคนเห็นกันหลายคนแล้ว ป้าแววไม่กลัว ออกจะอุ่นใจด้วยซ้ำ
ผมสบายใจเมื่อทราบอย่างนั้น และทำบุญใส่บาตรให้ ใจก็คิดว่าเห็นมั้ยล่ะ ว่าวิญญาณน่ะมีจริง ไม่ว่าเราจะทำอะไรที่ผิดศีลธรรมอย่าลืมว่าผีเห็น เทวดาเห็น...แต่ก็อดขนหัวลุกไม่ได้ครับ!
ขอบคุณคับผม ขอบคุณครับ ขอบคุณครับผม เชื่อคับว่ามีจริงขอบคุณคับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]