สาวจากฮวงซุ้ย
ผมเป็นเด็กสระบุรีจนกระทั่งแตกเนื้อหนุ่ม บ้านช่องก็อยู่แถวข้างตลาดหลังสถานีรถไฟนั่นแหละครับ สมัยนั้นยังมีข่าวเรื่องไข้ป่าชุกชุม โดยเฉพาะแถวหินลับ, ทับกวาง, ไปถึงกลางดง, มวกเหล็กและปากช่อง
ขนาดเปลี่ยนชื่อจากดงพญาไฟมาเป็นดงพญาเย็นแล้วนะเนี่ย!
ส่วนในตัวเมืองน่ะยังสงบสุข ชาวบ้านร้านช่องยังทำมาหากินกันตามปกติ เทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ รวมทั้งลอยกระทงก็ยังสนุกสนานกันทั่วหน้า ตอนค่ำๆ ก็มีตลาดของกินทั้งคาวและหวานสารพัด หนุ่มสาวควงคู่กันชมวิวแควป่าสักบนสะพานอำนวยสงคราม ตอนเย็นๆ บางคู่ก็ไปดูหนังที่ศรีสราภรณ์เธียเตอร์ ก่อนจะนั่งสามล้อกลับอย่างมีความสุข
แต่ที่สนุกสนานมากที่สุดก็คืองานวัดประจำปีน่ะซีครับ
ไม่ว่าวัดเพรียว, วัดศาลาแดงหรือวัดทองพุ่มพวง ล้วนแต่สนุกครึกครื้นทั้งนั้น แสง, สี, เสียงครบครัน พวกผมไม่ยอมพลาดหรอกครับ แหม! งานวัดเมืองปากเพรียวบ้านผมน่ะ มีแต่สาวๆ สวยๆ อื้อซ่า เห็นแล้วน่าตื่นตาตื่นใจพิลึกละคุณเอ๋ย
จนกระทั่งถึงงานวัดปีนั้น! งานที่ผมจะไม่มีวันลืมเลือนไปจนชั่วชีวิตสลาย...
วัดปากเพรียวครับ มีถึง 3 วัน 3 คืน ยังไงผมก็ไปแน่ๆ เพราะนอกจากจะใกล้บ้านแล้ว ผมยังนัดพบกานดา-สาวคนรักที่เป็นลูกสาวร้านชำในตลาดอีกต่างหาก
ตกค่ำ...หัวใจเต้นตึกตักเมื่อได้ยินเสียงกลองดังกระหึ่มมาจากเครื่องขยายเสียง พวกเพื่อนๆ คือไอ้หวิงกับไอ้ซ้อนมาชวนยิกๆ ตั้งแต่เย็น เร่งให้ผมอาบน้ำแต่งตัว จะได้รีบไปเดินดูสาวๆ ให้ฉ่ำตาฉ่ำใจ
โอ้โฮ! พอเลี้ยวเข้าวัดที่อยู่ติดกับแควป่าสักเท่านั้นแหละครับ แสงไฟสว่างไสวเสียงดนตรีดังกระหึ่มไปหมด สาวๆ แต่งตัวสวยๆ หลากสีสันจนลานตา...บ้างก็มากับแฟน บ้างก็มากับพ่อแม่ หรือไม่ก็ญาติพี่น้อง ส่วนมากมากับเพื่อนเป็นกลุ่มๆ หัวเราะต่อกระซิกเสียงระริกคิกคัก มีชีวิตชีวาน่าดูชมอย่าบอกใครเชียว
ผมมองหากานดา...ไม่รู้ว่าเธอจะบินเดี่ยวหรือมากับเพื่อนๆ แต่คิดว่าคงจะเป็นอย่างหลังมากกว่า ไอ้หวิงรู้ใจเพราะมันบอกว่าให้ไปเดินดูตามแผงของกินก่อน เผื่อจะโชคดี
ตอนนั้นลิเกกำลังออกแขก หนังเริ่มฉาย ส่วนลำตัดตาผูกเริ่มเล่นกลอนเกี้ยวกับแม่จรูญกันแล้ว เดี๋ยวก็ว่ากันแดงๆ จนคนแก่ที่ปูเสื่อดูหัวเราะจนน้ำหมากกระเซ็นเหมือนทุกครั้ง
เที่ยวมองสาวรักตามโต๊ะอาหาร ไม่ว่าก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น, หอยทอด, ผัดไทย, หมูสะเต๊ะ ฯลฯ จนกระทั่งไอ้ซ้อนสะกิดเอวบอกว่า...แฟนมึงมากับแม่ว่ะ นั่งกินขนมน้ำแข็งอยู่นั่นไง
ผมหันไปมองก็ถอนใจเฮือก...กานดาสวมเสื้อเหลืองแสนสวย ผมยาวสยายเต็มหลัง หันมามองทางผมพอดี ผมบุ้ยใบ้เป็นสัญญาณไปทางริมแควเธอก็พยักหน้า...ผมใจเต้นแรงขณะหันไปมองบอกเพื่อนทั้งสองว่าขอแยกทางไปก่อน แล้วค่อยมาพบกันที่โรงลิเกทีหลัง
ตอนนี้ขอชื่นอกชื่นใจกับสาวรักก่อนล่ะกัน!
เสียงระนาดกับเสียงฆ้องกลอง เสียงพากย์หนังพากย์โขน กับเสียงกลองรำมะนาดังระคนปนเปกับเสียงหัวเราะครึกครื้นอยู่ในแสงไฟและอากาศเยือกเย็น...ผมเดินเบียดคนไปทางศาลาและโบสถ์มืดสลัว...แต่หันไปเห็นกานดาเข้าพอดี!
สาวรักของผมกำลังเดินไปที่ดงไม้เงียบเชียบริมแควป่าสัก...ผมรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว ตื่นเต้นจนใจเต้นแรงที่จะได้มีโอกาสอยู่กับเธอเพียงลำพัง...แต่เมื่อมองไปอีกทีก็ต้องชะงึกกึก กลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว
สุสานบนตลิ่งน่ะซีครับ มีฮวงซุ้ยขาวโพลนตั้งโดดเด่นอยู่ในแสงจันทร์นับสิบ...สายลมจากแควป่าสักในหน้าน้ำหลากพัดโชยมาเยือกเย็น แถมเกิดเสียงวู่หวิวน่าวังเวงใจสิ้นดี!
เสียงฆ้องกลองจากงานวัดดังมาแว่วๆ เอาล่ะ! ไหนๆ ก็ได้มีโอกาสใกล้ชิดคนรักทั้งที ทำให้ผมรีบเดินเร็วๆ เข้าไปหาพลางเรียกชื่อเธอดังๆ กานดา!! จนเธอหยุดชะงักใกล้เจดีย์สีขาวข้างฮวงซุ้ย ก่อนจะหันมามองอย่างเชื่องช้า ใบหน้าขาวผ่องนั้นยิ้มหวานอยู่ในแสงจันทร์
คุณพระช่วย! นั่นไม่ใช่ใบหน้าของกานดานี่นา แต่เป็นสาวสวยผมยาวที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว!
ขณะที่ผมยืนตะลึงอยู่นั้น รอยยิ้มของเธอก็ยิ่งหวานเยิ้ม นัยน์ตากลมโตดำขลับมองมาอย่างยั่วเย้า...ก่อนจะหันกลับออกเดินช้าๆ เหมือนลอยไปเหนือพงหญ้า มุ่งหน้าสู่ฮวงซุ้ยอันเรียงราย...หันมายิ้มหวานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเลือนรางจางหายไปต่อหน้าต่อตา
น่าแปลกที่ไม่ได้หวาดกลัวสุดขีดอย่างที่น่าจะเป็น นอกจากจะรู้สึกพร่ามึนขณะที่หันกลับ เดินช้าๆ กลับไปสู่บรรยากาศอันครึกครื้นของงานวัดเหมือนคนใจลอย...
คืนนั้นผมไม่มีโอกาสได้พบกานดาหรอกครับ แต่กลับจดจำใบหน้าของสาวสวยจากฮวงซุ้ยผู้นั้นไม่มีลืมเลือนจนถึงทุกวันนี้!
สาวเค้าออกมาเที่ยวงานวัดมั้ง อิอิ
หน้า:
[1]