ความรู้เรื่องการติดเชื้อเอชไอวี และ โรคเอดส์
ความรู้เรื่องการติดเชื้อเอชไอวี และ โรคเอดส์โรคเอดส์ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชื่อ “เอชไอวี” เชื้อไวรัสนี้จะทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง จนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายได้รับเข้ามาจึงเกิดโรคฉวยโอกาสต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้ง่าย การติดเชื้อเอชไอวีพบครั้งแรกในประเทศแถบแอฟริกาปัจจุบันโรคเอดส์ได้ขยายตัวครอบคลุมไปทั่วทุกภูมิภาค รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งคาดว่ามีผู้ติดเชื้อแล้วประมาณ1 ล้านคน การติดต่อและการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส สามารถติดจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้หลายทาง กล่าวคือ1.การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ ที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยและสำคัญที่สุด
2.การได้รับเลือดจากผู้ที่ มีเชื้อ รวมไปถึงการใช้เข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาร่วมกัน
3.จากมารดาสู่ทารก
ส่วนในน้ำลาย น้ำตาน้ำนม ปัสสาวะ มีเชื้อน้อยมาก ดังนั้นการอยู่ร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อไม่ว่าการทำงานร่วมกัน ใกล้ลมหายใจผู้ติดเชื้อ การสัมผัสมือหรือว่ายน้ำในสระเดียวกัน จึงไม่ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้โรคเอดส์ยังไม่แพร่เชื้อโดยยุงเห็บหรือหมัดความเจ็บป่วยจากการติดเชื้อเอชไอวีแบ่งได้ เป็น 4 ระยะคือ
1.การ ติดเชื้อระยะเฉียบพลัน ภายหลังจากการได้รับเชื้อและเกิดการติดเชื้อแล้วจะ
เข้าสู่ระยะฟักตัวของโรคซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ ผู้ติดเชื้อร้อยละ 50-90 จะมีอาการแต่มักจะไม่ได้รับการวินิจฉัย เนื่องจากมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่แต่อาจมีอาการบางอย่างที่ต่างกันเช่น ฝ้าขาวในปาก และเยื่อหุ้มสมองอักเสบเป็นต้น อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ประมาณ 1-4 สัปดาห์หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้นเอง
2.ระยะ ที่ไม่แสดงอาการ เมื่อสิ้นสุดการติดเชื้อระยะเฉียบพลัน ร่างกายจะสร้าง
ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเอชไอวี ผู้ที่อยู่ในระยะนี้จะไม่มีอาการ และผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะนี้สามารถแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว การตรวจร่างกายมักจะไม่พบสิ่งผิดปกติยกเว้นอาจจะมีต่อมน้ำเหลืองขนาดเล็กได้ จะทราบว่ามีการติดเชื้อถ้าได้เจาะเลือดตรวจเท่านั้น
3.ระยะ แสดงอาการ ในระยะนี้ภูมิต้านทานของร่างกายเริ่มต่ำลง ผู้ป่วยจะเริ่มมี
อาการเช่น เชื้อราในปาก ไข้เรื้อรัง น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองโต อุจจาระร่วงอาจมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสเช่น งูสวัด วัณโรค หรือปอดอักเสบ
4.ระยะ แสดงอาการขั้นรุนแรงหรือเอดส์ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น เอดส์ได้แก่
ผู้ป่วยที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาวซีดีสี่น้อยว่า 200 ตัว หรือมีภาวะที่บ่งชี้ว่าเป็นเอดส์เช่น วัณโรคเชื้อราที่เยื่อหุ้มสมอง โดยปกติตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งกลายเป็นเอดส์เต็มขั้นและเสียชีวิตจะใช้เวลา 7-10 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจรวมทั้งไม่รับเชื้อเอชไอวีเพิ่มและการได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือไม่
ซีดีสี่ คือ เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เป็นตัวหลักในการกำจัดและควบคุมเชื้อโรคต่างๆ และมีบทบาทในการสร้าง สารภูมิคุ้มกันให้ร่างกายใช้เป็นอาวุธต่อสู้กับเชื้อโรคด้วยซีดีสี่เป็นเป้าหมายในการโจมตีของเชื้อไวรัส เมื่อซีดีสี่ถูกทำลายมากๆ ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลงดังนั้น การตรวจวัดจำนวนซีดีสี่เป็นตัวบ่งชี้ระดับภูมิต้านทานของผู้ที่ติดเชื้อ การตรวจซีดีสี่คือการตรวจเลือดเพื่อนับจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิดซีดีสี่ ถ้ามีปริมาณซีดีสี่มาก หมายถึงภูมิคุ้มกันของร่างกายยังดี คนปกติโดยทั่วไปมีจำนวนซีดีสี่ประมาณ 500 ตัวขึ้นไปจนถึง1,500 ตัว ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีทุกรายควรได้รับการตรวจปริมาณซีดีสี่ เพื่อจะได้ทราบว่าตนเองอยู่ในระยะใด ต้องได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือไม่และต้องได้ยาป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสหรือไม่โรคเอดส์เป็นโรคที่รักษาได้การรักษาด้วยยาต้านไวรัส เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูแลรักษาผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์การรักษาด้วยยาต้านไวรัสจะต้องประกอบด้วยยาอย่างน้อย 3 ชนิดร่วมกันตามสูตรยาที่มีการศึกษาไว้ว่ามีประสิทธิภาพดี จำเป็นต้องรับประทานยาทุกวัน ตลอดชีวิต จะสามารถลดปริมาณไวรัสเอชไอวีให้อยู่ในปริมาณน้อยจนไม่สามารถวัดได้ ทำให้ปริมาณซีดีสี่หรือเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น ทำให้อุบัติการณ์ของโรคฉวยโอกาสลดลงทำให้ผู้ติดเชื้อมีการดำเนินโรคเข้าสู่ระยะเอดส์ช้าลง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดอัตราทุพลภาพและอัตราตายแม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีสูตรยาใด ที่สามารถใช้รักษาผู้ป่วยให้หายขาด ผู้ที่ควรจะต้องได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างแน่นอนมี3 กรณีคือ
1.ผู้ที่อยู่ในระยะมีอาการ หรือ
2.ผู้ที่ยังไม่มีอาการแต่มี ปริมาณซีดีสี่น้อยกว่า 200 ตัวหรือ
3.ผู้ที่ป่วยหรือเคยป่วย ด้วยโรคฉวยโอกาสโรคใดโรคหนึ่งที่บ่งชี้ว่าภูมิต้านทาน
บกพร่อง เช่น เชื้อราในปาก เชื้อราในหลอดอาหาร ริ้วขาวข้างลิ้น ตุ่มพีพีอีวัณโรค ปอดอักเสบพีซีพี เชื้อราเยื่อหุ้มสมอง เป็นต้น
ผู้ที่มีคุณสมบัติต่อไปนี้ควรได้รับการตรวจเลือด เพื่อหาว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ เพื่อ จะได้ทราบตั้งแต่ช่วงที่ยังไม่มีอาการจะได้ทำการรักษาและป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
1.ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง และต้องการรู้ว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่
2.ผู้ที่ตัดสินใจจะมีคู่ หรือแต่งงาน
3.ผู้ที่สงสัยว่าคู่นอนของ ตนมีพฤติกรรมเสี่ยง
4.ผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ หรือหญิงที่ตั้งครรภ์เพื่อความปลอดภัยของมารดาและบุตร
5.ผู้ที่มีอาการต่อไปนี้ เป็นเวลานานแม้ว่าอาการเหล่านี้อาจพบในโรคอื่นได้ด้วย เช่น
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว มีไข้ต่ำๆ เรื้อรังเป็นระยะเวลานานท้องเสียเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ เป็นเชื้อราในช่องปาก เป็นต้น
การป้องกันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การงดเพศสัมพันธ์คือ หัวใจสำคัญที่สุดที่จะปลอดภัยจากเอดส์หรือการมีเพศสัมพันธ์ที่มีการป้องกัน ดังนั้นต้องป้องตัวเองทุกครั้งที่จะมีเพศสัมพันธ์ โดยสวมถุงยางอนามัย การป้องกันยังรวมถึงการไม่ใช้ของมีคมรวมกับผู้เป็นเอดส์ เช่น เข็มฉีดยา มีดโกนหนวด การเจาะหูการสักยันต์ ที่ไม่แน่ใจว่าทำความสะอาดเครื่องมืออย่างดีจนเชื่อถือได้ ไม่บริจาคเลือดให้ผู้อื่น
อืมขอเอาไปคิดดูก่อนนะครับ:L อันตราย สงสัยเราต้องไป ตรวจมั่งละ
หน้า:
[1]