เชื้อไวรัสในกระแสเลือด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย makute เมื่อ 2011-3-23 14:35เชื้อไวรัสในกระแสเลือด
เห็นข่าวดารา หรือคนแก่ป่วยด้วยอาการติดเชื้อไวรัสในกระแสเลือด เลยอยากนำความรู้มาร่วมด้วยช่วยกันครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก http://thaifittips.com/health/?p=74
".....
วันนี้ขอคุยยาวนะครับในสมัยก่อน การติดเชื้อในกระแสเลือด มีชื่อว่า “เลือดเป็นพิษ” ครับติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นคำกว้างๆครับ หมายถึงภาวะที่ร่างกายกำลังต่อสู้กับเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือ เชื้อราครับซึ่งถ้าแพทย์บอกว่าติดเชื้อในกระแสเลือดก็มีโอกาสที่จะความดันเลือดต่ำเนื่องมาจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายหรือสารพิษจากเชื้อโรคครับสาเหตุของการติดเชื้อในกระแสเลือด
มีเชื้อโรคอยู่หลายชนิดครับที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่ก็เกิดจากเชื้อไวรัสและเชื้อราได้เช่นกัน การติดเชื้อในทุกอวัยวะก็สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น…
[*]การติดเชื้อในปอด(ปอดอักเสบ)
[*]การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ(กรวยไตอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ)
[*]การติดเชื้อที่ผิวหนัง(ผิวหนังอักเสบจากแบคทีเรีย)
[*]การติดเชื้อในทางเดินอาหาร(ถ่ายเหลวจากการติดเชื้อ)
[*]การติดเชื้อในเยื่อหุ้มสมอง(เยื่อหุ้มสมองอักเสบ)
การติดเชื้อที่อวัยวะต่างๆเหล่านี้ เมื่อเชื้อมีการแพร่กระจายก็ทำให้เกิดการติดเชื้อต่อไปจากอวัยวะนั้นเข้าสู่กระแสเลือดครับโอกาสเสี่ยงที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อในกระแสเลือดได้มากขึ้น
[*]ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (ระบบป้องกันเชื้อโรคของร่างกายไม่ทำงานได้ดีเพียงพอ) เช่นผู้ป่วยมะเร็งผู้ป่วยAIDS ก็มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อในกระแสเลือดได้ง่าย
[*]เด็กแรกเกิดเพราะว่าระบบภูมิคุ้มกันยังไม่เจริญพัฒนาได้ดีพอเด็กแรกเกิดจะมีโอกาสติดเชื้อในกระแสเลือดได้ง่ยซึ่งอาการหลักก็คือมีไข้และเด็กแรกเกิดจำเป็นต้องได้รับยาปฎิชีวนะ(ยาฆ่าเขื้อ)ครับ
[*]ในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดครับ
[*]ผู้ที่ทำการเปลี่ยนอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันเพื่อลดโอกาสที่จะร่างกายจะต่อต้านอวัยวะที่เปลี่ยนใหม่ ก็จะติดเชื้อในกระแสเลือดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
[*]ผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัดก็สามารถติดเชื้อในกระแสเลือดได้บ่อยกว่าด้วยครับ
อาการของการติดเชื้อในกระแสเลือดถ้าคุณมีการติดเชื้อในกระแสเลือดคุณจะ…
[*]ไข้จะเป็นอาการหลักครับ แต่ว่าในผู้สูงอายุอาจไม่มีไข้ก็ได้
[*]หนาวสั่น
[*]หัวใจบีบตัวเร็วหรือหายใจเร็ว
[*]สับสน
[*]ปัสสาวะออกน้อย
[*]บางคนอาจมีผื่นขึ้นตามตัว หรือปวดตามข้อมือ ข้อศอกหลัง สะโพกหัวเข่าและข้อเท้า
คุณควรไปพบแพทย์ทันทีที่คุณมีไข้ และ…
[*]คุณได้รับยาเคมีบำบัด
[*]คุณเคยได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
[*]คุณเป็นเบาหวาน
[*]คุณเป็นAIDS
[*]คุณมีไข้ และหนาวสั่น
[*]เด็กแรกเกิดที่มีอายุน้อยกว่า 60 วันร่วมกับมีไข้ไม่ยอมกินนมหรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ซึมลง
[*]เมื่อมีคนในครอบครัวสับสน ซึมลง ร่วมกับมีไข้
การตรวจเพิ่มเติม
ในโรงพยาบาลแพทย์อาจสั่งตรวจดังต่อไปนี้
[*]การเจาะเลือดเพื่อนับปริมาณของเม็ดเลือดขาว(ถ้ามีการติดเชื้อ ร่างกายจะตอบสนองโดยการปล่อยเม็ดเลือดขาวออกมามากขึ้นครับ เพื่อฆ่าเชื้อโรค) และตรวจดูความผิดปกติในระบบเลือดอื่นๆ
[*]นอกจากนี้ยังส่งเลือดไปทำการเพาะเชื้อว่าเป็นเชื้อโรคชนิดใด ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดขึ้น โดยปกติมักใช้เวลา 24-72 ชั่วโมงขึ้นกับชนิดของเขื้อโรคครับ
[*]แพทย์อาจสั่งตรวจเสมหะและการตรวจเอกซเรย์ปอด เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อที่ปอดหรือไม่นอกจากนี้อาจมีการสั่งตรวจปัสสาวะเพื่อดูว่ามีการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะหรือกรวยไตอักเสบหรือไม่
[*]การเจาะน้ำไขสันหลังจะทำเมื่อแพทย์สงสัยการติดเชื้อในระบบประสาทหรือถ้าคุณมีฝี แพทย์ก็จะเจาะฝีเอาหนองออกเพื่อส่งหาว่าเป็นเชื้อชนิดใด
[*]CT scan จะทำเมื่อแพทย์สงสัยว่ามีการติดเชื้อที่อื่นๆในช่องท้องครับ เช่นเป็นฝีในตับ หรือฝีในม้ามและทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดตามมา
[*]แพทย์อาจทำการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพื่อดูอัตราการบีบตัวของหัวใจด้วยครับ
การติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นภาวะฉุกเฉินครับการรักษาควรเริ่มต้นโดยเร็วที่สุด
[*]การให้ออกซิเจน อาจจะให้เป็นหน้ากากออกซิเจนหรือการใส่ท่อช่วยหายใจถ้ามีข้อบ่งชี้ครับ
[*]ขึ้นกับผลการตรวจเลือด แพทย์อาจสั่งการรักษาด้วยยาปฎิชีวนะ(ยาฆ่าเชื้อ)เป็นหลักทางเส้นเลือด ในการเริ่มยา แพทย์จะใช้ยาที่สามารถฆ่าเชื้อได้หลากหลายชนิดครับ เพราะเราไม่ทราบว่าเชื้อตัวใดที่เป็นสาเหตุ จึงให้ยาแบบเหมากวาดเรียบแต่พอภายหลังที่ผลเพาะเชื้อออกมาแล้ว เราจะทราบว่าเชื้อชนิดใดที่เป็นสาเหตุ และให้ยาได้ตรงกับเชื้อให้มากที่สุด
[*]แพทย์จะสั่งน้ำเกลือ เพื่อป้องกันไม่ให้ความดันต่ำครับ
โดยทั่วไปแล้วแพทย์มักจะให้นอนโรงพยาบาลจนกว่าผลเพาะเชื้อจะออกมายกเว้นแต่ว่าความดันเลือดของคุณต่ำเนื่องจากการติดเชื้อ หรือมีไข้สูงที่อาจจะต้องนอนโรงพยาบาลนานครับการติดเชื้อในกระแสเลือด กับการดื้อยาของเชื้อภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือดรักษาได้ค่อนข้างยากครับโดยทั่วไปการติดเชื้อในกระแสเลือดมักเริ่มต้นมาจากการติดเชื้อที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง หลังจากนั้นเชื้อก็จะแพร่พันธฺ์กระจายไปตามกระแสเลือด ซึ่งการรักษาคือให้ยาที่จำเพาะตรงกันกับเชื้อซึ่งในทางปฎิบัตินั้นทำได้ค่อนข้างลำบากเพราะบ่อยครั้งที่ตรวจเพาะเชื้อไม่พบหรือหาอวัยวะเริ่มต้นที่มีการติดเชื้อไม่พบทำให้ไม่ทราบว่าน่าจะติดเชื้อโรคชนิดใดจึงให้ยาได้ไม่ตรงกับเชื้อครับปัญหาอีกประการหนึ่งของการรักษาการติดเชื้อในกระแสเลือดคือการดื้อยาของเชื้อชนิดนั้นๆครับปัจจุบันมีเชื้อโรคดื้อยาอยู่มากมาย ทำให้ยาปฎิชีวนะใช้ไม่ได้ผลบางครั้งเชื้อดื้อยาทุกตัว (ซึ่งก็จนปัญญาเหมือนกัน เพราะไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้)สาเหตุของเชื้อดื้อยาเกิดจากการใช้ยาฆ่าเชื้อมากเกินความจำเป็น และใช้ไม่ถูกต้องนั่นแหละครับ เช่น เป็นไข้ หวัด น้ำมูกใสเล็กๆน้อยๆก็ใช้ยาแก้อักเสบหรือฉีดยาแก้อักเสบ(ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่จำเป็น เชื้อจะมีโอกาสดื้อยา แล้วเราจะไม่เหลือยาให้ใข้เมื่อคราวจำเป็นครับ) หรือการรับประทานยาไม่ครบตามแพทย์สั่ง เป็นต้นครับ การใช้ยาฆ่าเชื้อและยาแก้อักเสบที่ถูกคือใช้เท่าที่จำเป็นครับ เพราะต่อไปในอนาคตจะไม่มียาให้ใช้ครับเชื้อโรคเป็นสิ่งมีชีวิตครับดังนั้นเชื้อโรคก็มีการปรับตัวเช่นกัน เพื่อความอยู่รอดยิ่งเราพัฒนายาฆ่าเชื้อไปมากเท่าไหร่เชื้อโรคก็จะแข่งขันปรับตัวแข่งกับยาชนิดใหม่ๆอยู่ตลอดเวลาดังนั้นหากใช้ยาปฎิชีวนะไม่ถูกต้องเราจะไม่เหลือยาฆ่าเชื้อให้ใช้เมื่อจำเป็นครับ ......"
ขอบคุณhttp://www.thaifittips.com/diary/image/logo.jpg
ขอกำลังใจด้วยนะครับ ขอบคุณครับ สำหรับ ข้อมูลสุขภาพ ดี ๆ แบบนี้ นะครับ :lol ขอบคุณคับ{:4_112:}
หน้า:
[1]