MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:44:02

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------
**** Hidden Message *****

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:44:22

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 2 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------------
เสียงจอแจของทั้งเพื่อนเก่า และ เพื่อนใหม่ที่ได้มาเจอกันในวันแรกของการเปิดภาคเรียนทำให้ภายในห้องชั้น ม. 1 / 1 ดูคึกคักไม่น้อย
เหตุที่ห้องนี้มีเสียงคุยกันอย่างตื่นเต้นไม่หยุดหย่อนทั้งๆที่เป็นการพบกัน ครั้งแรกก็เพราะนักเรียนในห้องนี้ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่รู้จักกันมาก่อน
เนื่องจากนักเรียนที่สามารถสอบผ่านเข้ามาเรียนในห้องนี้จำนวนมากจะมาจากห้อง เก่งของโรงเรียนประจำจังหวัด 2 โรงเรียนที่ได้รับการยอมรับที่สุด นั่นคือโรงเรียนเทศบาลประจำจังหวัด และ โรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัด ดังนั้นการเปิดเทรมในวันนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการพบกันของเพื่อนเก่านั่นเอง
ผมเองก็กำลังคุยกับเพื่อนสนิท 4 – 5 คนอย่างออกรสหลังจากได้จับจองโต๊ะที่นั่งของตัวเองเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เช้า ทุกคนต่างรู้สึกดีใจที่พวกเราส่วนใหญ่ที่อยู่ห้องเดียวกันในชั้นประถมนั้น ได้อยู่ห้องเดียวกันในระดับมัธยมศึกษาด้วย
แต่ขณะที่ผมกำลังคุยกับเพื่อนๆ ถึงเรื่องราวที่ได้เจอมาตอนปิดเทรม อยู่ดีๆก็มีเสียงหนึ่งแทรกมาจากอีกมุมหนึ่งของห้องว่า
“คนนั้นนะเหรอ เด็กไอ้กอล์ฟ ไม่เท่าไหร่เลยนี่หว่า”
ทันทีที่เสียงนั้นจบลงทำให้ผมต้องหยุดบทสนทนาในทันทีแล้วหันมองไปยังต้นเสียงที่บัดนี้เขาก็กำลังจ้องมาที่ผมเช่นเดียวกัน
เพราะถ้าผมฟังไม่ผิด เขาเพิ่งจะพูดถึง “กอล์ฟ” เพื่อนชายที่ผมแอบชอบอยู่ซึ่งตอนนี้เราต้องแยกกันอยู่คนละห้องแล้ว และจากประโยคเมื่อครู่ บวกกับสายตาที่กำลังจ้องมองมาทางผมนั้นทำให้ผมเข้าใจได้ในทันทีว่า คนที่เขากำลังพูดถึงนั้นก็คือผมเอง
แต่ก่อนที่ผมจะได้เข้าไปถามให้รู้เรื่องรู้ราวกับประโยคที่เขาพูดออกมาก็พอ ดีกับที่คุณครูประจำชั้นของเราเข้ามาพอดี ผมจึงจำต้องนั่งลงที่โต๊ะอย่างสงบ
ผมยอมรับว่าผมไม่มีสมาธิเลยตลอดช่วงของการพบปะกับครูประจำชั้นเป็นครั้งแรก ในวันนั้น คำพูดที่ว่า “คนนั้นนะเหรอ เด็กไอ้กอล์ฟ” มันยังก้องอยู่ในหูผมตลอดเวลา จนกระทั่งอาจารย์เรียกให้นักเรียนออกมาหน้าห้องทีละคนเพื่อแนะนำตัวเอง โดยเริ่มจาก....เขา....เจ้าของเสียงปริศนาที่พูดถึงผมเมื่อกี้นี่เอง
ทันทีที่เขาออกมายืนหน้าห้อง แม้หลายคนจะพยายามเก็บอาการแต่ก็ยังมีเสียงฮือฮาจากผู้หญิงหลายคนเล็ดลอดออกมาจนได้
ถ้าจะบอกว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าห้องคนนี้เป็นนายแบบวัยรุ่นที่เพิ่งหลุด ออกมาจากนิตยสารชื่อดังก็คงไม่เกินเลยความจริงนัก เพราะเขามีรูปร่างที่สูงโปร่งกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ร่างกายกำยำได้สัดส่วน มีจมูกโด่งเป็นสัน ที่สำคัญคือมีดวงตาที่คมกริบเปี่ยมเสน่ห์ จนทำให้ผมอดรู้สึกแอบปลื้มไม่ได้เช่นกัน แต่คำพูดที่แสดงออกถึงความเป็นศัตรูเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาทำให้ผมอดสงวน ท่าทีไม่ได้
“สวัสดีครับ ผม ทีมชาติ โอฬารสกุล เรียก ทีม ก็ได้ครับ”

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:44:38

เขาเริ่มต้นแนะนำตัวเอง และแน่นอนก็ยังมีเสียงวี้ดว้ายเป็นระยะๆ โดยเฉพาะจากคนที่ชื่อเจ ซึ่งเป็นเกย์ร่างท้วมที่ประกาศตนถึงจุดยืนและเพศของตัวเองตั้งแต่วันแรกที่ เข้าเรียน
ผมพยายามเก็บอาการอย่างมากที่จะไม่มีท่าทีแสดงความสนใจใด ๆ ต่อผู้ชายคนนี้ในระหว่างที่เพื่อนๆ ร่วมห้องหลายคนรุมยิงคำถามแบบไม่ยั้งถึงประวัติส่วนตัวแทบจะทุกแง่มุมไปยัง หนุ่มฮอทคนนี้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเขาเป็นอดีตกัปตันทีมฟุตบอลของ โรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัด
ถึงตรงนี้ก็พอให้ผมพอเดาได้ว่าเขารู้จักกอล์ฟได้อย่างไร เพราะกอล์ฟเองก็เป็นกัปตันทีมฟุตบอลของโรงเรียนเทศบาลประจำจังหวัดที่ผมเคย เรียนอยู่ รวมทั้งผมยังพอเดาความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ได้ด้วยว่าคงจะไม่ค่อยดีนัก เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าโรงเรียนเทศบาล และ อนุบาลประจำจังหวัดนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน ต่างแย่งชิงความเป็นที่ 1 ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเรียน กิจกรรม และกีฬา
และเมื่อทั้งคู่ต่างเป็นกัปตันทีมฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬาแห่งศักดิ์ศรี จึงเป็นไปได้ว่าคงต้องเคยปะทะกันในสนามมาแล้ว
ทันใดนั้นเองผมก็นึกขึ้นได้ถึงการแข่งขันกระชับมิตรประจำปีครั้งล่าสุดของ โรงเรียนทั้งสองก่อนที่ผมจะจบออกมาก็ปรากฏว่า กอล์ฟเป็นคนนำพาทีมโรงเรียนของเราให้ได้รับชัยชนะด้วยการยิงประตูเอาชนะ โรงเรียนอนุบาลไป 1 ประตูต่อ 0
แต่ผมเองกลับไม่มีโอกาสไปชมการแข่งขันในวันนั้นเนื่องจากตัวเองก็ต้องแยกไป แข่งขันโต้วาทีกับโรงเรียนอนุบาลนี้เช่นกันซึ่งอยู่อีกเวทีหนึ่ง และผลที่ได้ก็คือผมเองก็ได้รับชัยชนะเช่นกัน
ผมไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้เขาพูดถึงผมและกอล์ฟด้วยสาย ตาที่ไม่เป็นมิตรนัก แต่ในเวลานั้นเองที่ผมกลับยิ้มให้ตัวเองอย่างไม่ตั้งใจออกมาเมื่อนึกถึง ประโยคที่ว่า “คนนั้นนะเหรอ เด็กไอ้กอล์ฟ” อีกครั้ง
ผมไม่รู้ว่าเรื่องแซวเล่นๆ ภายในกลุ่มเพื่อนได้ถูกบอกกล่าวไปยังโรงเรียนคู่แข่งได้อย่างไร แต่เท่าที่รู้ดูเหมือนนายทีมคนนี้จะเชื่อเรื่องทีเล่นทีจริงระหว่างผมกับ กอล์ฟอย่างสนิทใจจนถึงกับพยายามมาหาดูตัวจริง ซึ่งนั้นก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกแคร์อะไร เพราะการที่ถูกจับจองเป็นเจ้าของว่าเป็น “เด็กของไอ้กอล์ฟ” นั้นทำให้ผมรู้สึกสุขใจอย่างประหลาด
แต่ผมก็ต้องหยุดความคิดของตัวเองอีกครั้งเมื่อนายทีมได้กล่าวประโยคทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินกลับไปที่โต๊ะว่า
“หวังว่าเราคงจะได้สานสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในอนาคตนะครับ” พร้อมกับเสียงวี้ดวิ้วครั้งใหญ่จากบรรดากองเชียร์ที่มีอยู่เต็มห้อง
จะโดยอุปาทาน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมรู้สึกว่าหลังจากที่ทีมกล่าวประโยคนั้นจบลงเขาได้หันมาส่งยิ้มอย่างจัง ๆ และยักคิ้วให้ผมหนึ่งครั้งก่อนจะกลับไปนั่งที่โต๊ะ ซึ่งพฤติกรรมนี้กลับทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าผู้ชายคนนี้เอาเสียเลย
ตลอดชั่วโมงทำความรู้จักกันในวันนั้นผมพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านต่างๆให้ หมดไป ในใจพยายามนึกถึงประโยคที่ว่า “เด็กของไอ้กอล์ฟ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างชื่นหัวใจในตัวเอง แต่หลายครั้งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดกับการส่งยิ้มและยักคิ้วให้อย่าง มีเลศนัยของนายทีมที่เพิ่งผ่านมา และยิ่งเพิ่มความรู้สึกไม่ชอบหน้าผู้ชายคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยหารู้ไม่ว่าผู้ชายคนนี้เองกำลังจะเข้ามามีส่วนสำคัญที่ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อกอล์ฟของผมต้องเปลี่ยนแปลงไป
และกำลังจะทำให้ผมได้พบกับ “ช่วงเวลาที่ดีที่สุด” และ “ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด” ในชีวิต
----------------------------------------

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:45:11

............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 3 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
--------------------------------
ชั่วโมงพบปะกันในวันแรกใช้เวลาเพียงครึ่งวัน เราต่างได้มีโอกาสทำความรู้จักกันและกัน และ จัดการเรื่องการลงทะเบียนวิชาเรียนให้เรียบร้อย หลังจากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
เมื่อกลับมาถึงบ้านเรื่องราวของผม กอล์ฟ และทีม ยังรบกวนจิตใจผมอยู่ตลอดเวลา แต่พอดึกเข้าผมก็พยายามหาทางออกให้ตัวเองได้ว่าผมคงคิดมากไปเองเพราะนับ ตั้งแต่การแนะนำตัวของทีมเสร็จสิ้นลง เขาก็ไม่มีท่าทีแสดงความสนอกสนใจผมอีกเลย
จนผมอดคิดไม่ได้ว่าผมคงจะคิดมากไปเองที่รู้สึกไปว่าครั้งนึงเขาเคยหันมาส่งยิ้มและยักคิ้วให้ผมอย่างมีเลศนัย
ต่อมาความคิดข้างต้นของผมก็ถูกยืนยันด้วยพฤติกรรมในภายหลังของทีมที่ดูเหมือนจะกลายเป็นเพื่อนปกติทั่วไปของผม
เขาไม่ได้มีทีท่าชื่นชอบหรือรังเกียจผมเป็นพิเศษ กำแพงบางๆของความเป็นอดีตโรงเรียนคู่แข่งได้ค่อยๆถูกทำลายลงจนนักเรียนทั้ง ชั้นได้กลายเป็นเพื่อนใหม่ที่ต่างสนิมสนมกลมเกลียวกันเป็นอย่างดี
ทีมยังคงเป็นขวัญใจที่ทั้งหญิงแท้ หญิงเทียมในห้องต่างแอบปลาบปลื้ม และดูเหมือนเสน่ห์ของเขาจะไม่หยุดลงแค่นั้นเพราะผมได้ข่าวว่ามีผู้หญิงต่าง ห้อง ต่างวัย ทั้งรุ่นเดียวกัน และ รุ่นพี่มาแอบชอบเขาอยู่มาก
ข่าวคราวพวกนี้ดูจะถูกบอกเล่า และเป็นเรื่องเม้าส์อย่างสนุกปากในกลุ่มเพื่อนในห้องบ่อยๆ แต่น่าแปลกที่ผมเองกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับคนๆนี้เลย
ผมสามารถพูดได้ว่าผมกับทีมได้กลายเป็นเพื่อนกันอย่างสนิทใจโดยไม่มีอะไรแอบแฝง

ผมรู้ตัวเองดีว่า ตอนนี้ผู้ชายคนเดียวที่ผมยังนึกถึงคงยังเป็น “กอล์ฟ” แต่ผมก็บอกตัวเองไม่ได้ว่าความรู้สึกที่มีต่อกอล์ฟคือ “ความรัก” หรือไม่
จำนวนนักเรียนที่มากขึ้นและการที่ห้องเราอยู่คนละชั้นทำให้ผมกับกอล์ฟแทบไม่ ได้เจอกันเลยนับตั้งแต่เริ่มภาคเรียนมา จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 2 ของภาคเรียนใหม่ผมกับกอล์ฟจึงได้เจอกันเป็นครั้งแรกในห้องสมุด แต่ท่าทางของเขาดูไม่ค่อยดีใจที่เจอผมนักและก็ไม่ได้เริ่มทักอะไรผมก่อน จนผมต้องเป็นฝ่ายเริ่ม

“ไม่เจอกันนานเลยนะ เป็นไงบ้าง”
“สบายดี แล้วบีล่ะ”
ผมรู้สึกใจชื่นขึ้นบ้างที่เขายังคงเรียกผมด้วยชื่อเล่นอย่างที่เคยเป็นมา เพราะถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นๆ เขามักจะใช้สรรพนามแทนคนๆ นั้นว่า “นาย” เสมอ
“สบายดีเหมือนกัน”
ผมตอบได้สั้นๆ แค่นั้น ถึงแม้ในใจมีเรื่องจะพูดกับเขามากมายแต่ปากมันไม่ยอมขยับ จนเขาต้องเป็นฝ่ายตัดบทก่อน
“เออ จริงสิ ดีใจด้วยนะที่ได้อยู่ห้องคิง กะไว้อยู่แล้วว่าบีต้องทำได้ ไม่เหมือนกับกอล์ฟ......”
แม้เขาจะพยายามปกปิดแต่ผมก็รู้สึกได้ถึงน้ำเสียงและแววตาที่แสดงความหดหู่คู่นั้น
ทำไมผมถึงไม่คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ถ้าเป็นผม....ผมจะทำอย่างไรถ้าเราเป็นเพียงไม่กี่คนที่ไม่สามารถสอบเข้าห้อง คิงได้ ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ กลับสอบได้กันหมด ผมไม่อยากจะคิดว่าเขาจะผิดหวังหรือรู้สึกอายแค่ไหน แต่ถ้าเป็นผม ผมก็คงจะพยายามหลบหน้าเพื่อนเก่าให้มากที่สุด คิดถึงตรงนี้ผมก็พอจะหาคำตอบได้ว่าทำไมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมถึงไม่เจอเขา เลย ผมจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ออกมาเพื่อกลบเกลื่อน......จนกระทั่ง
“เฮ้ย นี่ห้องสมุดนะ ไม่ใช่สวนสาธารณะ จะพลอดรักกันก็น่าจะเลือกที่หน่อย”
เสียงของทีมแทรกเข้ามาทำลายบรรยากาศอึมครึมที่มีไปเมื่อครู่
“พลอดรัก-เอี้ย-อะไรของมึง ” กอล์ฟตอบอย่างขึงขัง
“อ้าวก็เห็นมายืนแอบคุยกันกะหนุงกะหนิง ไม่เรียกว่าพลอดรักจะเรียกว่าอะไรคร้าบบบ” ทีมตอบอย่างยียวน
“กวน`สวย` แล้วมึง” กอล์ฟพูดพลางหัวเราะ
ผมมองดูการสนทนาของทั้งคู่อย่างฉงน การพูดคำหยาบคายแบบนี้ผมไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักจากปากของกอล์ฟ
เขาจะใช้คำเหล่านี้กับเฉพาะเพื่อนที่สนิทกันจนไม่คิดอะไรมากกับคำหยาบๆ เหล่านี้เท่านั้น และดูท่าความสัมพันธ์ของผู้ชาย 2 คนนี้จะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมเคยคิดเสียแล้ว
“แล้วมึงรู้ยังว่าเดี๋ยวอาทิตย์หน้าเขาจะเริ่มคัดตัวนักบอลโรงเรียน” กอล์ฟพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“เออ รู้แล้ว...ยังไงมึงก็ได้เป็นอยู่แล้ว แต่กูเนี้ยสงสัยต้องพยายามมากหน่อย”
“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอก ถ้าไม่ติดหญิงจนลืมไปสมัคร ยังไงมึงก็ได้”
“ว่าแต่กู ระวังตัวเองเหอะ อย่ามัวอี๋อ๋อ กับแฟนจนลืมไปสมัครล่ะ เดี๋ยวหาว่ากูไม่เตือน เฮ้ยไปก่อนแล้ว ไม่อยากเป็น กขค ”
พูดจบทีมก็ไม่วายส่งสายตาล้อเลียนมาทางผม แล้วก็รีบเดินออกไป
“อย่าไปถือมันเลยนะ ปากมันก็อย่าง-เอี้ย- เอ๊ย ขอโทษ....ปากมันก็แบบนี้แหละ”
“ ไม่เป็นไรหรอก”
ผมตอบอย่างยิ้มๆ ด้วยสายตาชื่นชมผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า กับความสุภาพและให้เกียรติที่มีให้ผมอย่างเสมอ
ด้วยเหตุนี้กระมัง ผมถึงไม่เคยลืมผู้ชายคนนี้ได้สักที
หลังจากทีมออกไปเราก็คุยกันอีกไม่นานนัก บทสนทนาก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกได้ว่าระหว่างผมกับกอล์ฟดูเหมือนมีเส้นบางๆ ที่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยคิดจะก้าวข้ามไป จนผมอดคิดไม่ได้ว่าเราคงจะมาไกลที่สุดได้แค่คำว่า “เพื่อนที่หวังดีต่อกันเสมอ” เท่านั้น
ก่อนกลับบ้าน กอล์ฟยังแสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการเดินเป็นเพื่อนผมไปหาหนังสือที่ผม ตั้งใจมายืมอีก 2 – 3 เล่ม และแน่นอนเขาขอเป็นฝ่ายช่วยถือหนังสือเหล่านั้นให้
จากนั้นเราจึงแยกย้ายกันกลับบ้านโดยไม่รู้เลยว่าตลอดเวลาที่อยู่ในห้องสมุด นั้นมีสายตาคู่หนึ่งที่แอบติดตามดูพฤติกรรมของเราทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา
--------------------------------------------------------

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:47:39

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 4 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย
กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว

-------------------------------------------------------

หลังจากพูดคุยกันในวันนั้นแล้ว ผมก็เจอกอล์ฟบ่อยขึ้น
แต่ก็ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการทักทายวิสาสะกันธรรมดา
จนสัปดาห์ต่อมาผมก็ได้ยินข่าวว่าทั้งกอล์ฟและทีมต่างไปสมัครเป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว
แต่การคัดตัวจะมีขึ้นในเทรมหน้าเนื่องจากตอนนี้ก็ใกล้เวลาสอบมากแล้ว
ที่สำคัญนักเรียนที่สมัครจะได้ไปฟิตซ้อมตัวเองก่อนที่จะต้องลงสนามคัดตัวกันจริงๆ

ในช่วงเวลานั้นผมไม่มีเวลามานึกถึงเรื่องผมกับกอล์ฟอีกเนื่องจากเมื่อต้องอยู่ต่างห้องเราก็เจอกันน้อยลงเรื่อยๆ
จนแทบจะเรียกได้ว่าค่อนข้างห่างเหิน
อีกทั้งผมเองก็ต้องวุ่นวายกับการเตรียมตัวสอบกันอย่างขะมักเขม้น

บรรยากาศการเรียนในห้องคิงก็มักจะเป็นอย่างนี้
ถ้าคุณไม่อยากถูกเหยียบลงไปอยู่ที่โหล่คุณก็ต้องพยายามถีบตัวเองขึ้นมาหรือรักษามาตรฐานเอาไว้ให้ได้
แต่โชคดีที่แม้พวกเราส่วนใหญ่จะเอาใจใส่การเรียนการอย่างจริงจังแต่ก็ไม่ได้แข่งขันกันจนทำให้เกิดความตึงเครียด
บรรยากาศในห้องเรียนจึงยังมีการหยอกล้อ หาเรื่องทำกันอย่างสนุกสนาน

แม้จะต้องมุ่งมั่นกับการเรียนแต่ผมก็ยังหาเวลาไปร่วมกิจกรรมอื่นๆ
ของโรงเรียนโดยเฉพาะการประกวดการพูดสุนทรพจน์
จนผมกลายเป็นม้ามืดที่สามารถเอาชนะรุ่นพี่คนอื่นจนได้ตำแหน่งชนะเลิศ
ของโรงเรียนมาครอง
กลายเป็นเจ้าของรางวัลชนะเลิศที่มีอายุน้อยที่สุดตั้งแต่มีการแข่งขันมา
ชื่อของผมจึงเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

จะเป็นโชคดี หรือ
โชคร้ายก็ไม่ทราบได้ที่ชื่อเสียงของผมดูจะไม่หยุดลงแค่นี้เมื่อผมสามารถไปคว้ารางวัลชนะเลิศระดับจังหวัดมาด้วย
ชื่อของผมจึงถูกประกาศทั้งหน้าเสาธง รายการทางวิทยุกระจายเสียงของโรงเรียน
หรือ แม้กระทั่งนำรูปไปติดบอร์ด แน่นอนว่าความอึดอัดแบบเดิม ๆ
ของผมได้กลับมาอีกครั้งเมื่อถูกมองจากคนอื่นๆ เวลาไปไหนมาไหน
แต่ก็นั้นแหละ
นิสัยเสียที่ขัดแย้งอย่างยิ่งกับความต้องการอยู่อย่างสงบของผมก็คือความกระหายอยากได้ชัยชนะและคำชื่นชมจากคนรอบข้าง

นิสัยเสียนี้ได้บ่มเพาะความมั่นใจอย่างร้ายกาจ และ
ความหลงตัวเองอย่างฉกรรจ์ให้กับผมซึ่งต่อมามันได้ย้อนกลับมาทำร้ายผมให้เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

ไม่เพียงแต่ผมเท่านั้นที่แบ่งเวลาจากการเรียนไปทุ่มเทให้กับกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ
ตั้งแต่ปิดรับสมัครคัดเลือกนักฟุตบอลโรงเรียน
ดูเหมือนทีมจะลงสนามเล่นบอลกับเพื่อนๆทั้งในห้องและต่างห้องบ่อยขึ้น

ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนขณะที่เดินกลับบ้าน บริเวณประตูทางออก ทีมและเพื่อนๆ
มักเล่นบอลอยู่ที่สนามหน้าเสาธงสมอ
ในขณะที่ผมได้ข่าวมาว่ากอล์ฟกลับเลือกไปเล่นอยู่ที่สนามฟุตบอลหลังโรงเรียน
ความจริงข้อนี้ทำให้ผมอดเปรียบเทียบนิสัยของทีมกับกอล์ฟไม่ได้

ขณะที่กอล์ฟเลือกที่จะหลบไปฝึกฝนในสนามที่ลับตาคน
แต่ทีมกลับเลือกสนามหน้าเสาธงที่เป็นจุดเด่นเพราะอยู่ตรงทางเข้าออกของนักเรียนทั้งหมด
พฤติกรรมอย่างนี้ทำให้ผมอดมีอคติกับผู้ชายคนนี้ไม่ได้ว่าเหตุที่เขาเลือกมา เล่นที่สนามหน้าเสาธงก็เพียงเพื่อจะ “โชว์หญิง” เท่านั้นเอง

ช่วงก่อนหน้านี้ผมค่อนข้างมีทัศนคติในแง่ลบกับผู้ชายคนนี้มากขึ้น
โดยเฉพาะในระยะหลังๆที่เขามักจะหาโอกาสพูดแขวะ หรือ
พูดเสียดสีผมทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
จะว่าไปแล้วพฤติกรรมทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นหลังจากที่เขาพูดแซวผมกับกอล์ฟในห้องสมุดนั้นแหละ
แต่ผมก็ไม่เข้าใจและหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมเขาจึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนั้น

นับวันการซ้อมของทีมก็ดูจะถี่ขึ้น
และผมสังเกตว่าทุกวันจะมีนักเรียนทั้งหญิงแท้
หญิงเทียมมายืนดูเขาเล่นอย่างหนาตา บ้างก็ส่งเสียงเชียร์อย่างออกหน้า
บางวันพวกเราในห้องก็มายืนดูเขาซ้อมด้วยเพราะผู้ชายส่วนใหญ่ในห้องมักจะมาเป็นเพื่อนซ้อมให้เขาเสมอ
และในวันนี้ก็เช่นกัน

แต่ขณะที่ผมกับเพื่อน 6 - 7 คนกำลังนั่งดูเพื่อนๆซ้อมกันอยู่นั้น อยู่ดีๆ
ทีมก็วิ่งมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าผม
แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิดคือถอดเสื้อแล้วก็ยื่นส่งมาให้ผม

“เอ้า ฝากหน่อย
ดูแลดีๆแล้วกัน คิดเสียว่าเป็นเสื้อของไอ้กอล์ฟมันก็ได้”

ผมรับเสื้อนั้นมาอย่างงง ๆ หลังจากที่ทีมวิ่งออกไปแล้ว
เพื่อนผู้หญิงหลายคนออกเสียงกรี๊ดกร้าดกันใหญ่ที่ได้เห็นท่อนบนแมนๆ
ของทีมแบบเปลือยเปล่า

“ต๊ายแล้ว ผู้ชายอะไรผิวขาวจ๊วะอย่างกะหยวก ผิวดีกว่าผู้หญิงอีกนะนี่” เพื่อนผู้หญิงของผมเริ่มเพ้อ

“สงสัยจะเป็นอีแอบ เป็นเกย์มั้ง” ผมพูดขึ้นมาอย่างหมั่นไส้

“ถึงเป็นเกย์
ฉันก็รักกกกก” เพื่อนของผมไม่หยุดเพ้อ

“เออ เชิญแกรักไปคนเดียวเถอะ เราจะกลับบ้านแล้ว เอาเสื้อมันไปชื่นชมด้วย” ว่าแล้วผมก็ส่งเสื้อไปให้เพื่อนสาวที่ดูเหมือนกำลังทำตาลอยๆ
แล้วรีบคว้ากระเป๋าเดินออกมา
แต่ทันใดนั้นเองที่ผมรู้สึกว่ามีอะไรมาโดนที่ด้านหลังอย่างจัง

“นี่ น้องสาวเก็บบอลให้พี่หน่อย”

สิ้นเสียงผมก็หันไปมองคนพูดอย่างตาขวาง
อาจจะใช่ที่มีเพื่อนๆในห้องหลายคนรู้ว่าผมเป็นเกย์แต่ก็ไม่เคยมีใครเรียกผมด้วยคำ
ๆ นี้มาก่อน
ผมจึงรู้สึกหงุดหงิดอย่างมากเมื่อมีคนเรียกผมอย่างไม่ให้เกียรติเช่นนี้
แต่เมื่อได้เห็นหน้าเจ้าของคำพูด ผมก็ไม่รู้สึกแปลกใจนัก

“ บาส คำว่าขอโทษนี่พูดเป็นมั้ย ถ้าพูดไม่ได้ก็มาเก็บเองเถอะ
แล้วคราวหลังอย่าเรียกเราว่า น้องสาว อีก
เราจำไม่ได้ว่าเคยไปเป็นญาติกับนายตอนไหน”

ว่าแล้วผมก็รีบเดินออกไปโดยไม่วายเหลือบไปเห็นสีหน้าไม่พอใจของทีมที่กำลังมองมาทางนี้เหมือนกัน


บาส เป็นเพื่อนร่วมห้องที่ผมอยากพูดคุยด้วยน้อยที่สุด
ในสายตาของผมเขาเป็นคนกักขฬะ แม้จะมีหน้าตารูปร่างที่ดูดี
แต่เขามักจะพูดและสนทนาถึงเรื่องใต้สะดือบ่อยครั้งจนกลายเป็นโลโก้ประจำตัว
หลายคนในห้องเชื่อว่า บาสคือผู้ชายที่เข้าใจและรู้จักคำว่า “เซ็กซ์” ดีที่สุดแล้วสำหรับเด็กในวัยเดียวกัน
และคงเป็นความบังเอิญที่ดูเหมือนบาสจะเป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งของทีมด้วย

--------ต่อนะครับ---------------

ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าเป็นความบังเอิญอย่างมากคนที่ผมไม่ชอบหน้า 2 คนกลับมาเป็นเพื่อนสนิทกัน

แต่ต่อมาผมถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ การปรากฎตัวของคน 2 คนนี้คงเป็นความตั้งใจของโชคชะตาที่จะส่งผลอย่างมากต่อชีวิตผมในอนาคต

ในที่สุดการสอบในเทรมที่ 1 ก็ผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย
และในช่วงปิดเทรมอันแสนสั้นนั้นก็ไม่ได้ทำให้พวกเรามีกิจกรรมอะไรทำมากนัก
แต่เมื่อเปิดเทรมขึ้นมาก็มีกิจกรรมที่นักเรียน ม. 1 ส่วนใหญ่ให้ความสนใจรออยู่ นั่นก็คือการคัดเลือกนักฟุตบอลประจำโรงเรียน

และเมื่อวันนั้นมาถึงพวกเราในห้องต่างก็ไปนั่งรอรอบสนามเพื่อเชียร์ทีม
เพื่อนร่วมห้องเพียงหนึ่งเดียวที่ลงสนามคัดตัวในครั้งนี้

ผมสารภาพว่าในวันนั้นผมแทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าทีมจะลงแข่งหรือไม่
หรือจะผ่านการคัดเลือกหรือเปล่า กอล์ฟ
ต่างหากคือความตั้งใจที่ทำให้ผมต้องเดินทางมาเชียร์ถึงขอบสนามในวันนี้

การคัดตัวใช้วิธีแบ่งผู้เข้าคัดเลือกเป็น 2 ทีมแล้วให้แข่งกันเอง
โดยมีโค้ชเป็นคนจัดตำแหน่งที่ต้องเล่นให้ซึ่งผลปรากฏว่าทั้งกอล์ฟและทีมต่างได้รับคัดเลือกเป็นกองหน้า
หากแต่ต้องอยู่กันคนละทีม

แม้จะเป็นแค่การคัดตัวแต่เกมในวันนั้นก็ดุเดือดท่ามกลางเสียงกองเชียร์ของแต่ละฝ่าย
โดยเฉพาะกอล์ฟกับทีมถือเป็นตัวเด่นที่สุดที่มีโอกาสทำประตูหลายครั้ง
แต่ผลปรากฏว่าวันนั้นคนที่สามารถทำประตูได้เพียงคนเดียวและทำให้ผลการแข่ง ขันจบลงด้วยการที่ทีมของ “ทีม” สามารถเอาชนะทีมของ “กอล์ฟ” ได้ 1 ประตูต่อ 0

ในวันนั้นทีมเดินออกมาจากสนามในฐานะนักฟุตบอลฮีโร่ที่มีฝีเท้าเก่งฉกาจ
และเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถยิงประตูได้
เขาเดินพลางถอดเสื้อออกมาจากสนามท่ามกลางการห้อมล้อมดีใจของเพื่อนๆ
ในขณะที่อีกด้านกอล์ฟกลับเดินออกมาอย่างคอตก

แม้ผมจะดูฟุตบอลไม่เป็น
แต่ผมเชื่อว่าวันนี้กอล์ฟเล่นได้เยี่ยมมากและคงได้รับคัดเลือกเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ผมรู้ดีว่าการที่ไม่สามารถนำพาทีมให้ได้รับชัยชนะ
รวมทั้งยังไม่สามารถทำประตูได้แม้แต่ประตูเดียวคงทำให้เขาเสียใจมาก

ผมตัดสินใจรีบเดินเข้าไปหาเขา
พยายามสรรหาคำปลอบโยนที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น
แต่เมื่อเข้าไปใกล้เขาในระยะไม่ถึง 10 ก้าว
ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินตัดหน้าไปถึงตัวเขาก่อนแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ
ท่ามกลางเสียงแซวจากเพื่อนๆ ที่มารุมล้อมเขาด้วย

“ ท่าจะไม่ต้องห่วงมันแล้วว่ะ ได้ยาดีจากหวานใจขนาดนี้
เดี๋ยวก็หายเหนื่อยแล้ว” เสียงหนึ่งแซวขึ้นซึ่งทำให้ผมจำขึ้นมาได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนร่วมห้องของกอล์ฟ
และช่วงเวลาหลายเดือนที่ผมมัวแต่ไปสนใจเรื่องการสอบและเรื่องอื่นๆ
คงทำให้คนคู่นี้เปลี่ยนแปลงสถานะจากเพื่อนไปเป็นอย่างอื่นที่มากกว่านั้น

เมื่อได้รับรู้ถึงความจริงข้อนี้
ผมก็เริ่มรู้สึกร้อนผ่าวในเบ้าตาพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มเอ่อมาท่วมจนเกือบจะไหลลงมาตรงนั้น
เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กอล์ฟหันหน้ามาทางผมพอดี ผมจึงต้องรีบหันหลังกลับ
แล้ววิ่งออกมาจากที่นั้นให้เร็วที่สุด
มารู้ตัวอีกทีผมก็มาหยุดอยู่ที่ห้องน้ำหลังโรงเรียนแล้ว

ผมขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำพร้อมกับปล่อยน้ำตาที่พยายามอดกลั้นมาเมื่อครู่อย่างสุดจะฝืน
ความรู้สึกที่ว่าผู้ชายที่เราเคยชอบได้กลายเป็นของคนอื่นไปแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถรับได้

ที่ผ่านมาแม้กอล์ฟจะไม่ใช่ของผม แต่เขาก็ไม่เคยเป็นของคนอื่น
ความจริงที่ว่าไม่ว่าเราจะอยู่ห่างกันแค่ไหนหรือมีสถานะเป็นอะไร
เราก็ยังมีความรู้สึกที่ดีให้กันเสมอ เป็นสิ่งที่คอยปลอบประโลมผมเสมอมา

แต่เมื่อวันนี้
ผมได้พบความจริงว่าในที่สุดเขาก็ได้เลือกคนที่ใช่สำหรับเขาแล้ว
มันเป็นความจริงที่โหดร้าย
เพราะนั่นหมายถึงว่าผมคงจะไม่สามารถไปแสดงความห่วงใยเขาได้อีกต่อไป
เหมือนดังเช่นที่ผมต้องหยุดเมื่อครู่เพราะในที่สุดเขาก็มีคนที่อยู่เคียงข้างคอยปลอบใจในเวลาที่เขาผิดหวังแล้ว

แต่ในขณะที่ผมกำลังร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างที่สุดนั้นเอง
ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาที่ห้องน้ำพร้อมกับเสียงกะหืดกะหอบ
ก่อนจะมาหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าห้องน้ำที่ผมแอบร้องไห้อยู่นั้นเอง

นาทีนั้นเหมือนโลกทั้งโลกกำลังจะหยุดลงตรงหน้า
ผมพยายามหาคำตอบให้ตัวเองว่าคนที่มายืนอยู่หน้าห้องนั้นคือใคร
แล้วในที่สุดผมก็ได้คำตอบว่าจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก “กอล์ฟ”

เขาคงเห็นน้ำตาของผมที่หยดลงอาบแก้มก่อนที่ผมจะหันหลังวิ่งออกมาจากสนาม
แล้วเขาก็คงจะรู้ดีว่าผมรู้สึกยังไงหรือคิดอะไรกับภาพที่เห็น
เขาจึงรีบวิ่งตามมาเพื่อขอโทษหรือปลอบโยน นั่นล่ะคือกอล์ฟ
คนที่เป็นสุภาพบุรุษในสายตาผมเสมอ

ผมยิ้มให้ตัวเองแล้วรีบปาดน้ำตาเพื่อไม่ให้ดูเป็นคนขี้แยนัก
แล้วก็รีบเปิดประตูห้องน้ำออกไป

ผมแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น
แต่ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถปฏิเสธเป็นอื่นได้ว่า
ชายหนุ่มที่ยืนเปลือยท่อนบนโดยพาดเสื้อเอาไว้บนบ่าข้างหนึ่งและยืนอยู่ตรง หน้าผมด้วยท่าทีกระหืดกระหอบจากการรีบวิ่งมาอย่างเร็วจัดนั้นไม่ใช่ “กอล์ฟ”

หากแต่เป็น.................... “ทีม” ..............................

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:49:51

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 5 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย
กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว

-------------------------------------------------------
ความผิดหวังจากการที่ผู้ชายที่มายืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนที่ผมคิดทำให้การปรากฏตัวของทีมในวันนี้ถือว่าผิดที่ผิดเวลาเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งเห็นเขาผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิดแม้ในใจส่วนลึกดูเหมือนผมจะแอบดีใจเล็กๆที่ยังมีคนเป็นห่วงเป็นใยวิ่งตามมา
แต่ทว่าสิ่งที่ผมคิดนั้น...มันผิดถนัด…ผิดไปมาก

“เป็นบ้าอะไรเนี้ย
ประสาทดีหรือเปล่า
เข้าไปทำอะไรอยู่ในนั้น” เขาเริ่มต้นด้วยการตะคอกใส่ผม

ผมไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือประโยคแรกที่เขาพูดกับเพื่อนที่ยืนน้ำตานองหน้าอยู่ตรงนี้
ความโกรธบวกความหงุดหงิดที่ดูเหมือนทุกอย่างที่ผมคิดในวันนี้ดูจะผิดเพี้ยนไปเสียหมด
ทำให้ผมตะคอกกลับไป

“แล้วนายละ มาทำอะไรที่นี่” ผมหวังว่าเขาจะยอมบอกมาตรงๆว่าเขามาที่นี่เพราะ........ผม

“คนมาส้วมก็มาขี้สิ จะให้มากินข้าวหรือไง”

หลังจากที่เขาพูดจบ
ผมเริ่มรู้สึกเหมือนโดนใครเอาค้อนทุบหัว

“แล้วทำไม ไม่ไปเข้าห้องอื่น” ผมตอบกลับไปอย่างเหลืออด

“ก็นี่มันห้องประจำ
เข้าห้องอื่นแล้วขี้ไม่ออก” ทีมตอบกลับมาด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาทที่สุด

ผมเอามือขึ้นมากุบขมับอย่างลืมตัว “ไอ้บ้า” คือคำพูดสุดท้ายและคำพูดเดียวที่ผมตะโกนออกสุดเสียง
ก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปจากที่นั้นให้เร็วที่สุด
พลางอดรู้สึกไม่ได้ว่าผมไม่เคยเจอผู้ชายคนไหน กักขฬะ และ
สั่วเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต

แม้เหตุการณ์นี้จะทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด
ฉุนเฉียวตลอดเวลาขณะที่อยู่ที่บ้านรวมถึงพาลกินข้าวเย็นไม่ลงเมื่อนึกถึง ประโยคที่ทีมบอกว่า “คนมาส้วมก็มาขี้สิ จะให้มากินข้าวหรือไง”

แต่ตลอดช่วงเย็นจนกระทั่งเข้านอนในคืนนั้นผมไม่ได้สังเกตเลยว่าการพฤติกรรมกักขฬะที่ทีมแสดงออกกับผมได้ช่วยผมเอาไว้มาก
เพราะตั้งแต่กลับมาถึงบ้านผมก็ไม่ได้มานั่งฟูมฟายหรือเสียใจกับเรื่องของกอล์ฟอีกเลย

แม้จะรู้สึกเศร้าและหดหู่ในบางครั้ง
แต่สีหน้าของทีมตอนที่พูดยียวนกวนประสาทผมมักจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอารมณ์ให้ผมลืมเรื่องเศร้าๆ
นี้จนกลายมาเป็นความหงุดหงิดเสมอ

แม้กระทั่งในความฝัน....แทนที่ผมจะฝันว่าตัวเองต้องมานั่งร้องไห้ฟูมฟายเพราะเรื่องของกอล์ฟ
ผมกลับฝันว่าได้เอาหมัดตั้นหน้าไอ้คนปากเสียนี่ไปโครมใหญ่

หลังจากที่ตื่นเช้าขึ้นมาผมรู้สึกว่าสมองของผมปลอดโปร่งกว่าที่คิด
อาจจะเพราะความรู้สึกว่าได้ระบายด้วยการต่อยหน้าคนปากเสียอย่างทีมไปได้หนึ่งมัดใหญ่
แม้จะเป็นเพียงแค่ในความฝันก็ตาม

แต่เมื่อไปถึงโรงเรียนผมก็อดรู้สึกกลัวว่าจะเห็นภาพของกอล์ฟกับแฟนสาวของเขาอีกไม่ได้
ในวันนั้นผมจึงตั้งใจว่าจะพยายามไม่ออกจากห้องไปไหน
แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่สามารถทำสิ่งที่ตนคิดไว้ได้เมื่อภายในห้องยังมีทีมซึ่งคอยกัดและแขวะผมอยู่ตลอดเวลา
ที่สำคัญดูเหมือนเขาจะพยายามทำให้ตัวเองมั่นใจได้ว่าผมจะไม่ลืมเหตุการณ์ เมื่อตอนเย็นวานไปรวดเร็วนักด้วยการพูดถึง “ส้วม” อยู่ตลอดทั้งวัน


สำหรับผม
อาทิตย์แรกหลังผ่านเหตุการณ์วันคัดตัวนักฟุตบอลค่อนข้างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แต่ที่น่าแปลกก็คือความรู้สึกของผมก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ผมเคยคิดว่าผมคงต้องใช้เวลาหลายเดือน
หรืออาจะเป็นแรมปีในการทำใจกับเรื่องนี้ แต่เอาเข้าจริงแค่ 3 – 4 วันผมก็สามารถลืมเรื่องนี้ได้อย่างสนิท จนผมอดบอกตัวเองไม่ได้ว่า
ความรู้สึกที่ผมมีต่อกอล์ฟมันอาจจะไม่ใช่ “ความรัก”

แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรผมก็ยังรู้สึกโชคดีที่ผมทำใจกันมันได้ในเวลาอันสั้น

นอกจากความรู้สึกเศร้าเสียใจที่ค่อยๆหายไปอย่างรวดเร็วแล้ว
ความรู้สึกของผมที่มีกับทีมก็ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ เพราะระยะหลังทีมก็เพลา
ๆเรื่องกัด เรื่องแขวะผมลงจนแทบจะไม่มีอีกเลย

เขา เปลี่ยนมาพูดคุยกับผมด้วยภาษาดอกไม้และมุกตลกอันแพรวพราวจนทำให้เราสนิทกัน มากกว่าที่เคยโดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนสุดท้ายก่อนสอบในเทอมที่ 2

ความสนิทที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้ตัวเลยว่าเราใช้เวลาในแต่ละวันด้วยกันมากขึ้น
อาทิ เขามักจะเดินมาคุยกับผมและเพื่อน ๆ ที่โต๊ะของผมทุกครั้งที่ว่าง
เดินไปทานอาหารเที่ยงด้วยกัน ไปนั่งทำการบ้านด้วยกัน หรือไปเที่ยว
ไปดูหนังด้วยกัน
การที่ผมไม่อาจรู้ตัวเลยว่าได้ใช้เวลากับทีมในแต่ละวันด้วยกันมากขึ้นก็อาจจะเป็นเพราะว่า...แม้เราจะไปทำกิจกรรมต่างๆ
ด้วยกันแต่เราก็ไม่เคยทำกิจกรรมไหนด้วยกัน 2 ต่อ 2 ทุกครั้งเรา 2 คนจะอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนกลุ่มใหญ่คือเพื่อนของทีมและเพื่อนของผมมาโดย ตลอด

จนกระทั่ง....

“บี
ไปกินไอติมกันมั้ย
คาบนี้ว่างนี่”

“เอาสิ
เดี๋ยวเราไปชวน
จอย กับ เก๋ ก่อนนะ
เออแล้วก็ออยด้วย เห็นบ่นว่าอยากกินไอติมอยู่เหมือนกัน”

“ทำไมต้องไปชวนคนอื่นด้วย” ทีมตอบกลับมาอย่างฉุนเฉียว

“แล้วทำไมต้องโมโหด้วยเล่า
ไปกินหลายคนก็สนุกดี
นายก็ไปชวนบาสกับคนอื่นๆ ด้วยก็ได้”

“ไม่เอา จะไปกัน 2 คน”

“ทำไม
ทำไมต้องไปกัน 2 คน”

“ก็...ก็คือ.....คือจะเลี้ยงไง มีตังค์เลี้ยงแค่คนเดียว”

“เลี้ยงทำไม
ในโอกาสอะไร” ผมเริ่มหงุดหงิดและเริ่มระแวงว่าผู้ชายคนนี้กำลังจะมาไม้ไหน

“เออน่า
ไม่ต้องถามมากได้มั้ย”

ว่าแล้วทีมก็ลากข้อมือของผมลุกขึ้นจากโต๊ะ
จากนั้นจึงรีบพาไปซุ้มไอติมใกล้สระน้ำของโรงเรียนโดยบ่นเป็นหมีกินผึ้งมาตลอดทาง

“ อะไรว่ะ แค่ชวนกินไอติมแค่เนี้ย กว่าจะยอมลุกมาได้ ตอบตกลงมาง่ายๆไม่ได้หรือไง”

“ก็บอกแล้วไงว่าอยากชวนคนอื่นมาด้วย”

“ก็บอกแล้วเหมือนกันว่าอยากมาแค่ 2 คน ทำไมเข้าใจอะไรยากนักเนี้ย .....โง่หรือไง”

“โอเคล่ะ งั้นไปกินคนเดียวเถอะนะ พ่อคนฉลาด” ผมเริ่มหมดความอดทน

“โอเค
โอเค
ขอโทษแล้วกัน
ไหนๆ ก็มาถึงแล้วน๊า
นั่งสิ........ จะสั่งรสอะไรดี”

“ของบีเอาวานิลลาแล้วกัน”

“วานิลลา…โห เลี่ยนจะตาย
ไม่เอาอะ ทีมไม่ชอบ
เอาช็อกโกแลตแล้วกัน
ป้า.....”

“เดี๋ยว...เดี๋ยว....นี่เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า
ทำไมล่ะ
ก็เราจะกินรสวานิลลา
มันไปเกี่ยวอะไรกับที่นายชอบหรือไม่ชอบด้วย”

“เออน่า..........ป้าเอาช็อกโกแลตมาถ้วยนึง
ช้อน 2 คันนะ”

“อะไรนะช้อน 2 คัน”

“อ้าวก็กินด้วยกันไง”

“จะบ้าเหรอ”

“บ้า...ยังไง”

“ก็กินไอติมถ้วยเดียวกันน่ะ
เกิดใครมาเห็นแล้วเขาจะเอาไปเม้าส์ยังไง”


“ทำไม....กลัวไอ้กอล์ฟมันมาเห็นหรือไง”

“เกี่ยวอะไรกับกอล์ฟด้วย”

“ก็.........”

แต่ก่อนที่ทีมจะตอบอะไรกลับมามากกว่านั้นก็พอดีมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

“พูดถึงเราอยู่เหรอ”

ในนาทีนั้นเองที่ผมต้องยอมรับว่าแม้จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้คิดอะไรกับกอล์ฟอีกแล้ว
แต่เมื่อมาเจอตัวเขาอีกครั้งผมก็อดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้

“ปะ
ปล่าวไม่มีอะไรหรอก
ผ่านมาแถวนี้เหรอ
หรือว่า....นัดใครไว้” เสียงของผมเบาลงอย่างไม่รู้ตัวเพราะกลัวคำตอบที่จะได้รับ

“ปล่าว
ตั้งใจมาหาบีนั่นแหละ”

“ทำไม มีอะไรกับบี”

ถ้า หูผมไม่ฝาดผมคิดว่าทีมเพิ่งพูดประโยคนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเป็น เจ้าข้าวเจ้าของผมอย่างเต็มที่จนทำให้ผมอดหันไปมองหน้าเขาไม่ได้

“พอดีมีเรื่องจะคุยกับบีหน่อย
ขอตัวสักเดี๋ยวได้มั้ย”

“.ไม่........”ทีมพยายามจะรีบตอบแต่โดนผมตัดบทเสียก่อน

“ไปสิ
บีก็ไม่มีอะไรสำคัญที่นี่เหมือนกัน”

“แต่เรากำลังกินไอติมกันอยู่นะ” ทีมรีบทักท้วงอย่างหัวเสีย

“ก็ไว้กินวันหลังก็ได้
ออ แล้วก็ถ้าไม่มีตังค์จะเลี้ยงจริงๆ คราวหลังก็ไม่ต้องชวนนะ
เพราะเราไม่มีวันกินไอติมถ้วยเดียวกับนายแน่ ไปกันเถอะกอล์ฟ”

----ต่อนะครับ---

ผมกับกอล์ฟจึงเดินออกมาจากที่นั่นโดยไม่สนใจว่าทีมจะรู้สึกอย่างไร
สักพักเราก็มานั่งที่โต๊ะกลางสวนที่มีไม้ยืนต้นขึ้นกระจายอยู่ทั่วไปเป็นร่มเงาให้นักเรียนส่วนใหญ่มาใช้ที่นี่เป็นสถานที่อ่านหนังสือ
ทำการบ้าน พักผ่อน หรือแม้กระทั่งมาพลอดรัก

“บีนั่งตรงนี้ก่อนนะ
เดี๋ยวกอล์ฟไปซื้อน้ำมาให้ ”

“งั้น...เดี๋ยวบีไปด้วยก็ได้”

“ไม่ต้องหรอก
นั่งรอสบายๆตรงนี้ดีกว่า
แดดมันร้อนน่ะ
ปล่อยเป็นหน้าที่ของกอล์ฟเถอะ
ยังชอบชานมอยู่เหมือนเดิมมั้ย”

“อืม”

ผมได้แต่พยักหน้าอย่างตื้นตันใจที่เขายังจำได้ว่าผมชอบน้ำอะไร
ความเป็นสุภาพบุรุษของคนๆนี้ทำให้ผมไม่อาจจะเลิกชื่นชอบเขาได้จริงๆ
โดยเฉพาะเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับทีมด้วยแล้ว

“เอ่อ คือกอล์ฟขอโทษเรื่องวันนั้นด้วยนะ” กอล์ฟเปิดฉากสนทนาอย่างตรงไปตรงมา

“ขอโทษทำไมละ กอล์ฟไม่ได้ทำอะไรผิดนี่” ผมตอบกลับไปอย่างฝืนๆ

“วันนั้นเห็นบีรีบวิ่งออกไป
กอล์ฟทำให้บีร้องไห้หรือปล่าว”

“ไม่ใช่หรอก
คือ...คือ...เอ่อ..ฝุ่นมันเข้าตาน่ะก็เลยรีบวิ่งไปล้างตาที่ห้องน้ำ
ไม่เกี่ยวกับกอล์ฟหรอก”

ผมรู้ดีว่ากอล์ฟไม่มีทางเชื่อเหตุผลตื้นๆที่ผมเพิ่งบอกออกไป แต่นี่ก็คงเป็นข้อแก้ตัวที่ดีที่สุดที่ผมจะนึกได้ในตอนนั้น

“เขาชื่อแก้ว
เราอยู่ห้องเดียวกัน”

“อืม
รู้แล้ว หน้าตาน่ารักดีนะเหมาะกับกอล์ฟออก” ผมอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองน่าจะซื้อน้ำส้มมากินแทนชานมเพื่อให้สมกับคำพูดระดับ นางเอกที่เพิ่งบอกกอล์ฟไปเมื่อครู่

“ขอบใจนะ” กอล์ฟนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า

“บียังชอบกอล์ฟอยู่หรือปล่าว ? ”

หลังจบประโยคนี้ ผมได้แต่นั่งอึ้งนึกไม่ออกว่าจะตอบว่าอะไร
หรือไม่ผมก็บอกไม่ได้จริงๆว่าตอนนี้ผมยังชอบเขาอยู่หรือเปล่า
พลางอดคิดไปไม่ได้ว่าเขาถามคำถามนี้ขึ้นมาทำไม หรือว่าเขาจะขอคบผมทั้ง
ๆที่มีแก้วอยู่ เขาคงจะขอให้ผมเป็นกิ๊กของเขามั้ง
แล้วถ้าเขาขออย่างนี้ขึ้นมาจริงๆ ผมจะตอบไปว่ายังไงดี

แต่ก่อนที่ผมจะคิดอะไรที่ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้กอล์ฟก็ดึงผมกลับเข้ามาสู่โลกแห่งความจริงเสียก่อน

“บี.....กอล์ฟขอร้อง เลิกชอบกอล์ฟเถอะนะ”

ผมรู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่าฟาดลงมากลางหัว
จนทำให้ประโยคต่อมาของกอล์ฟดูอื้อๆอึงๆจนผมจับความได้บ้างไม่ได้บ้าง
เป็นครั้งแรกที่เหมือนวิญญาณของผมจะหลุดออกจากร่าง

“กอล์ฟไม่อยากให้บีต้องร้องไห้เพราะกอล์ฟอีก
เพราะยังไงเรื่องของเราก็คงเป็นไปไม่ได้
กอล์ฟไม่เคยคิดอะไรกับบีไปมากกว่าเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง
ที่สำคัญกอล์ฟก็ไม่ได้เป็นเกย์”

ถ้านี่จะถือเป็นจุดจบของผมกับกอล์ฟ
ผมก็คิดว่าประโยคสุดท้ายที่กอล์ฟเพิ่งพูดออกมา
มันก็ถือเป็นจุดจบที่สมบูรณ์ที่สุด

“ไม่หรอกกอล์ฟ
เราไม่ได้คิดจะมีอะไรกับกอล์ฟในแง่นั้นหรอก สบายใจเถอะ
เราก็คิดกับกอล์ฟว่าเป็นแค่เพื่อนที่ดีเหมือนกัน” ผมตอบออกไปอย่างไม่ยากเย็นนักซึ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจตัวเองมาก

“ขอบใจนะ” กอล์ฟตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน

“ทำไมต้องขอบใจด้วยเล่า
บีไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อย” ผมฝืนหัวเราะ “โน่นแน่ะ แก้วเขามารอรับแล้ว
เรากลับกันเถอะ นี่ก็เย็นมากแล้ว” ผมพูดขึ้นหลังจากเห็นแก้วเดินมายืนๆหลบๆ
อยู่ที่อีกมุมหนึ่งของสวน

“งั้นก็...ไว้เจอกันนะ”

หลังพูดจบกอล์ฟก็เดินออกไปสมทบกับแก้วที่มายืนรออยู่
ผมยืนมองทั้งคู่เดินห่างออกไปอย่างไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่
ความรู้สึกปลอดโปร่ง โล่งสบายที่เกิดขึ้นนี่คืออะไรกัน
ทำไมผมถึงไม่รู้สึกโศกเศร้าเสียใจ หรืออยากร้องไห้ฟูมฟายอย่างที่ควรจะเป็น
ทั้งที่บทสนทนาเมื่อครู่คือการกล่าวคำอำลาของผมและกอล์ฟอย่างเป็นทางการ

ผมเดินกลับไปที่ห้องเพื่อไปเอากระเป๋าแล้วเดินกลับลงมาเพื่อกลับบ้านซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่านักเรียนคนอื่นๆ
จะกลับกันไปหมดแล้ว
ผมเดินก้มหน้าอย่างใช้ความคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่
ในใจพยายามหาคำตอบว่าทำไมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทำให้ผมรู้สึกโศกเศร้าอย่างที่ควรจะเป็น
ทำไมผมถึงรู้สึกโล่งอกที่ในที่สุดความสัมพันธ์อันอึมครึมของผมกับกอล์ฟได้จบลงอย่างเป็นทางการเสียที

อาจ จะเป็นเพราะที่ผ่านมาความเป็นสุภาพบุรุษที่เขาปฏิบัติต่อผมทำให้ผมรู้สึกมี ความหวังและแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาอาจจะมีใจให้ผมบ้าง
แต่วันนี้เมื่อเขาพูดออกจากปากมาตรงๆ
จึงทำให้สิ่งที่ผมเคยคาดหวังไว้ได้จบลงอย่างจริงๆจังๆเสียที

ผมก้มหน้าเดินช้าๆ อย่างใช้ความคิดจนเกือบถึงประตูทางออก
ในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกได้ว่ามีใครคนหนึ่งเดินมาขวางทางผมไว้.....ไม่ใช่ใครที่ไหน....ทีมนั่นเอง

“ขอคุยด้วยหน่อยสิ”

“คุยวันหลังเถอะ วันนี้อยากกลับบ้าน
เย็นมากแล้ว” ผมตอบไปอย่างเนือยๆ เพราะไม่อารมณืจะคุยอะไรกับใครอีก

หลังผมพูดจบทีมมีสีหน้าโกรธจัดแล้วก็กระชากแขนผมอย่างรุนแรงดึงผมออกไปที่ม้านั่งบริเวณรั้วโรงเรียน
เมื่อได้สติผมจึงพยายามสะบัดแขนจนหลุดจากมือเขาจนได้

“เป็นบ้าอะไรเนี้ย” ผมเริ่มตวาดใส่เขาอย่างหมดความอดทนกับพฤติกรรมป่าเถื่อนของเขา

“ใครกันแน่ที่บ้า
ทำไมหา ทำไมเวลาทีมชวนไปไหนมาไหนมันถึงได้ยากเย็นแสนเข็ญนัก
ทีไอ้กอล์ฟชวนยังไม่ทันจบประโยคก็ระริกระรี้ไปกับมันแล้ว”

“ระวังปากนายหน่อยนะ
มันไปเกี่ยวอะไรกับกอล์ฟด้วย”

“ อ๋อ
ว่านิดว่าหน่อยไม่ได้ ปกป้องกันดีนักนะ
ทำไมมันกลับไปแล้วเหรอ พอเสร็จกิจกับเมียน้อย ก็พาเมียหลวงกลับบ้านเหรอ”

“นี่....พูดมาดีๆนะใครเป็นเมียหลวงเป็นเมียน้อย” ผมเริ่มโกรธจัด

“หรือว่าไม่จริง
ขนาดมันมีแฟนอยู่แล้วก็ยังแอบมาอี๋อ๋อกับเมียเก่า
ถ้าชอบแบบนี้ทำไมไม่บอกเล่า”

“ถ้าอยากคิดสกปรก ๆ อย่างนั้นก็คิดไปคนเดียวเถอะ เราจะกลับบ้านแล้ว” ว่าแล้วผมก็หันหลังกลับแต่โดนทีมเข้ามากระชากแขนเอาไว้

“ทำไม
ไอ้กอล์ฟมันดีกว่าทีมตรงไหน
ไม่รู้เหรอว่าสาวๆทั้งโรงเรียนอยากเป็นแฟนทีมกันทั้งนั้น เอาไม๊ล่ะ
เรามาเป็นแฟนกัน จะได้ไม่ต้องไปเป็นเมียน้อยไอ้กอล์ฟมันไงล่ะ”

ผมแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ความขุ่นมัวจากอารมณ์ที่สืบทอดมาตั้งแต่บทสนทนาระหว่างผมกับกอล์ฟ
เมื่อมาโดนเชื้อไฟด้วยประโยคที่ไม่ให้เกียรติจากทีมทำให้ผมต้องระเบิดอารมณ์ออกมาใส่เขาอย่างไม่รู้ตัว

“นายนี่ท่าจะหลงตัวเองจนเพี้ยน ฟังให้ดีนะ ใช่ นายน่ะเป็นคนหน้าตาดี
แต่ที่สาวๆทั้งโรงเรียนอยากเป็นแฟนนายก็เพราะเขายังไม่รู้น่ะสิว่านายเป็นคนยังไง
อยากรู้ใช่มั้ยว่ากอล์ฟเขาดีกว่านายตรงไหน
เราบอกให้ก็ได้ว่าเขาดีกว่านายทุกอย่าง เขาเป็นสุภาพบุรุษ มีจิตใจที่ดีงาม
เข้าอกเข้าใจคนอื่น และแคร์ความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าตัวเอง
ที่สำคัญเขาไม่มีวันพูดจาไม่ให้เกียรติคนอื่นอย่างที่นายทำอยู่ ส่วนนายน่ะ
ทั้งบ้า ทั้งป่าเถื่อน กักขฬะ สถุล ไร้สกุลรุนชาติและปากหมาอย่างร้ายกาจ
จะให้เราไปเป็นแฟนเหรอ อย่าว่าแต่ชาตินี้เลย ชาติหน้าก็อย่างหวัง
จำใส่กะลาหัวไว้เสียด้วย”

หลังพูดจบผมก็รีบเดินออกมาจากบริเวณนั้น
ภาพสุดท้ายของทีมที่ผมเห็นคืออาการยืนนิ่งอย่างตกตะลึงกับสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป

ในขณะที่นั่งรถกลับบ้านผมมีอาการกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก
ที่จริงผมน่าจะดีใจที่ได้ระบายความรู้สึกทั้งหมดไปกับทีม
แต่ผมกลับรู้สึกหดหู่ใจอย่างประหลาด
ผมอดคิดไปไม่ได้ว่าผมพูดรุนแรงเกินไปหรือเปล่า
ในเวลานั้นความทรงจำในอดีตของผู้ชายคนนี้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตผมก็ได้ค่อยๆ
ฉายชัดเข้ามาในความรู้สึกเป็นระยะ ๆ

ก็เขาคนนี้ไม่ใช่เหรอ
ที่เป็นคนแรกที่วิ่งตามผมมาในวันที่ผมมาแอบร้องไห้ที่ห้องน้ำหลังโรงเรียน แถมยังช่วยให้ผมได้ลืมความเจ็บปวดกับเรื่องของกอล์ฟไปได้เร็วขึ้น

ก็เขาคนนี้ไม่ใช่เหรอที่มักจะแอบมองผมในห้องเรียน และมีท่าทีห่วงใยผมตลอดเวลา

ก็เขาอีกนั่นแหละ ที่อุตส่าห์ชวนผมมาทานไอติม
แต่ผมกลับทิ้งเขาไว้อย่างไม่สนใจไยดีแล้วเลือกที่จะเดินไปกับกอล์ฟแทน

แล้วก็เขาคนนี้ไม่ใช่เหรอที่เพิ่งเอ่ยปากขอให้ผมไปเป็นแฟนเขา
ไม่ว่าเขาจะใช้คำพูดที่แย่แค่ไหนแต่นั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขากำลังขอความรักจากผม
แต่ผมกลับตอบแทนเขาด้วยประโยคที่ทำร้ายจิตใจเขาอย่างที่สุด

จริง ๆแล้วเขาพูดถูก
ว่าผู้หญิงทั้งโรงเรียนคงพร้อมจะแลกทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้มาเป็นแฟนกับเขา
แต่ผมกลับปฏิเสธคำขอของเขาอย่างไม่สนใจใยดี

บางที.....ผมอาจจะเพิ่งทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตไปแล้วก็ได้

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:50:11

-----------------------------------------

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 6 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย
กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว

-------------------------------------------------------

หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานดูเหมือนกอล์ฟจะค่อยๆ
หายไปจากชีวิตของผมอย่างสมบูรณ์
หากแต่ไม่ใช่ทางกายภาพเนื่องจากว่าเรายังได้พบกันบ่อยครั้ง
สิ่งที่หายไปคือความรู้สึกของผมที่มีต่อกอล์ฟในฐานะคนพิเศษที่หลังจากวันนั้นผมก็แทบไม่ได้คิดถึงเขาในแง่นั้นอีกเลย
เขาได้กลายเป็นเพียงเพื่อนคนหนึ่งที่ผมยังคงมีความรู้สึกดีๆ
ให้กันตลอดเวลาเท่านั้น

ในเวลาเดียวผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าทีมก็ค่อยๆ หายไปจากชีวิตของผมด้วย
เขาไม่เคยมาคุยเล่นกับผมที่โต๊ะอีก ไม่ได้เดินไปทานข้าวด้วยกัน
ไม่ได้ไปนั่งทำการบ้านด้วยกัน เอาเข้าจริงผมคิดว่าเขากำลังพยายามหลบหน้าผม
ผมคงจะยังรู้สึกดีเสียกว่าถ้าเขาจะกลับมาคอยกัด
คอยแขวะผมเหมือนเมื่อก่อน
แต่การที่เขาพยายามทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่เลยนั้นมันทำให้ผมรู้สึกแย่จริงๆ
ซึ่งนั้นเป็นความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับกอล์ฟ

ในขณะที่ผมทำใจกับเรื่องของกอล์ฟได้
แต่ผมกลับรู้สึกเศร้าใจและเจ็บปวดอยู่ลึกๆเมื่อเห็นทีมพยายามหลบหน้าผมอย่างนี้
ยิ่งช่วงระยะหลังๆ ผมได้ข่าวมาว่าเขากำลังคบอยู่กับรุ่นพี่ ม. 2 ที่เป็นถึงหนึ่งในทีมดรัมเมเยอร์ของโรงเรียนก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด อย่างไม่มีคำอธิบาย
จนบางครั้งผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า ผมอาจจะชอบทีมเข้าแล้ว แต่ความมีมานะทิฐิ
และความหยิ่งทะนงตนทำให้ผมแสดงออกในทางตรงกันข้ามด้วยการแสร้งทำทีว่าไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่สักนิด

แม้หลายครั้งที่มีโอกาสผมอยากจะเข้าไปขอโทษที่พูดแรงๆ
กับเขาไปเมื่อวันก่อนแต่ความหยิ่งที่กลายเป็นนิสัยที่แก้ไม่หายของผมก็ทำให้ผมล้มเลิกความคิดนั้นไปเสียทุกครั้ง

จนกระทั่ง....

“บี...บี...ไปกินไอติมกันเถอะ....เร็ว” เจ
เกย์สาวเรื่องท้วมออกปากชวนผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดขีด

“แค่ชวนไปกินไอติมทำไมต้องทำเสียงตื่นเต้นขนาดนี้ด้วย”

“อ้าว
ก็ทีมเขาเป็นคนชวนเราไง จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง”

ถึงตรงนี้ผมจึงต้องนิ่งอึ้งไปพักนึง
พยายามหาเหตุผลถึงคำชวนที่ไม่ชอบมาพากลนี้

“ก็ถ้าเขาชวนแก
แกก็ไปกินกับเขาสองคนสิ
มาชวนเราด้วยทำไม” ผมถามอย่างหยั่งเชิง

“ก็เขาบอกให้มาชวนแกด้วยนี่” เจตอบออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์

หลังจากได้ฟังคำตอบนี้ผมก็ยิ้มออกมาอย่างผู้มีชัย
เพราะคิดเข้าข้างตัวเองว่าที่จริงแล้วทีมก็คงอยากจะเจอ
อยากจะพูดกับผมใจจะขาด
แต่ก็คงเพราะทิฐิมานะเหมือนกันที่ทำให้เขาไม่กล้ามาชวนผมตรง ๆ
จึงต้องใช้เจมาเป็นแม่สื่อ
พลางอดตำหนิตัวเองไม่ได้ว่าทำไมผมถึงคิดถึงวิธีนี้ไม่ออกนะ

แต่เมื่อผมเดินไปถึงซุ้มไอติม ทุกอย่างที่ผมคิดไว้ดูเหมือนจะผิดคาด
เพราะนอกจากผม เจ จอย ออย และเก๋ ที่ผมชวนมาด้วยแล้ว ทีม บาส
และเพื่อนๆของเขาก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย ที่สำคัญคือมีพี่ดาว
ดรัมเมเยอร์สาวสวยของโรงเรียนที่มีข่าวว่าเพิ่งเป็นแฟนกับทีมก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย

“บี มานั่งตรงนี้สิ ” ทีมเอ่ยปากชวนให้ผมไปนั่งติดกับเขาและพี่ดาวซึ่งมีที่เหลือไว้ 1 ที่อย่างจงใจ

ถึงแม้ผมจะพยายามปฏิเสธ แต่ก็ถูกทั้งผลักทั้งดันจากเพื่อนๆ
ให้ไปนั่งจนได้เพราะดูเหมือนไม่มีใครอยากไปนั่งติดกับ 2 คนนั้น
จากนั้นช่วงเวลาอันกระอักกระอ่วนของผมก็เริ่มต้นขึ้น

“ดาวจะทานรสอะไรดี
เดี๋ยวทีมไปสั่งให้”

“ทีมกินรสอะไร ดาวก็กินรสนั้นแหละ”

ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าผะอืดผะอมของเพื่อนๆหลายคนทำนองว่าอยากจะอ้วกออกมาตรงนั้นหลังจากพี่ดาวพูดประโยคนั้นจบลง

แต่โชคร้ายที่พฤติกรรมหวานเลี่ยนเช่นนี้ไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้นเมื่อทีมสั่งไอติมมาเพียงถ้วยเดียวแล้วก็ชวนพี่ดาวทานด้วยกัน
ซึ่งพี่ดาวเองก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจกลับคว้าช้อนตักไอติมป้อนเข้าปากทีมอย่างหน้าตาเฉยจนกลุ่มเพื่อนๆ
ของทีมอดส่งเสียงวี้ดวิ้วต่อพฤติกรรมนั้นไม่ได้

ในขณะที่กลุ่มเพื่อนของผมกลับเอาแต่นั่งเงียบด้วยท่าทางผะอืดผะอมอย่างที่สุดเพราะตลอดเวลานั้น
ทั้งคู่ต่างพยายามฉอเลาะใส่กันอย่างน่าหมั่นไส้เสมือนพยายามจะแสดงให้เห็นว่าพวกเขารักกันแค่ไหน

จนในที่สุดเวลาแห่งความทุกข์ทรมานก็เสร็จสิ้นลงเมื่อ ผม เจ จอย ออย
และเก๋ทานไอติมจนหมด (ซึ่งทำเวลาได้รวดเร็วกว่าปกติมาก)
พวกเราก็เลยขอตัวลุกออกมาเสียก่อนโดยระหว่างทางที่พวกเราเดินกลับห้องแน่นอนว่าบทสนทนาที่พวกเราพูดกันก็หนีไม่พ้นเรื่องของพี่ดาว
และ ทีม

“ทีมกินรสอะไร ดาวก็กินรสนั้นแหละ.....ตอแหลที่สุด”

เจแกล้งทำเสียงล้อเลียนพี่ดาวอย่างเหลืออดจนพวกเราก็อดยิ้มๆเชิงเห็นด้วยไม่ได้

“แล้วดูสิ ผู้ชายชวนกินไอติมถ้วยเดียวกัน จะปฏิเสธสักนิด เป็นไม่มี
ถึงว่าสิกะเทยเดี๋ยวนี้ถึงได้พ่ายชะนีไปหมด” เจยังไม่ยอมลดลาวาศอก

“ช่างเขาเถอะน่า
ก็เขาเป็นแฟนกันจะกินไอติมถ้วยเดียวกัน มันก็ไม่เห็นแปลก” ผมพยายามปราม

“จ้า......แม่ เพชรา เชาวราษฎร์ แม่พิศวัย วิไลศักดิ์ แม่อำภา ภูษิต” ทุกคนพากันหัวเราะครืนกับมุกที่เจพยายามกัดผมว่าเป็นนางเอกเสียเหลือเกิน

“ขอเป็น สุวนันท์
คงยิ่ง ไม่ได้เหรอ” ผมพยายามแกล้งแย้งอย่างขำ ๆ

“ถึงเป็นสุวนันท์ ก็ต้องมีร้ายบ้างล่ะ จะมาเป็นนางเอก 100 เปอร์เซนต์อะไรกันนักหนา พูดแล้วหมั่นไส้
วันนี้ขอสวมบทนังอิจฉากลับไปตบอีชะนีนี่สักทีเถอะ”

เจทำท่าเหมือนจะหมุนตัวกลับไปจนพวกเราต้องเข้าไปห้ามไว้อย่างเสียไม่ได้เพราะรู้ว่าเจก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปทำอย่างนั้นจริงๆ
พลางอดขำกับพฤติกรรมนี้ของเจไม่ได้

“เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว รีบกลับบ้านไปจัดกระเป๋าดีกว่า
ลืมไปแล้วเหรอว่าพรุ่งนี้ต้องไปเข้าค่ายลูกเสือกัน” ผมพยายามเตือนสติทุกคน

“เออ จริงสิ ลืมไปเล้ยย
แหมงานสำคัญเสียด้วย 1 ปีมีครั้งเดียว
โอกาสทองเลยนะเนี้ย”

ว่าแล้วเจก็ทำท่าเลียมุมปากจนทำให้พวกเราอดขำอย่างเข้าใจความคิดของเขาไม่ได้
จากนั้นทั้งจอย ออย และเก๋ก็เดินตามเจเข้าไปเก็บกระเป๋าเรียนในห้อง
จนเหลือแต่ผมซึ่งยังยืนอยู่หน้าห้องอย่างใช้ความคิด

เมื่อได้อยู่คนเดียว
สีหน้าที่แสร้งทำทีเป็นหัวเราะไปกับคนอื่นเมื่อครู่ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นสีหน้าที่กำลังโศกสลดอย่างที่สุด

ถ้าหากว่าการชวนผมไปกินไอติมในครั้งนี้ของทีมก็เพื่อต้องการจะแสดงให้เห็นว่า
เขายังมีผู้หญิงดีๆ สวยๆ อีกมากมายที่พร้อมจะตามใจเขา
และกินไอติมถ้วยเดียวกับเขาอย่างไม่รังเกียจ เขาก็ทำสำเร็จแล้ว
และมันอาจจะเป็นความสำเร็จที่เกิดคาดด้วยซ้ำเพราะนอกจากจะทำให้ผมได้สำนึกแล้ว
ยังทำให้ผมเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ในค่ำคืนนั้นระหว่างที่จัดกระเป๋า
ผมก็กลับมานึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อนและเหตุการณ์ในตอนเย็นวันนี้อีกครั้ง
พลางอดคิดไม่ได้ว่าที่ผมเคยด่าทีมว่าหลงตัวเองนั้น
เอาเข้าจริงแล้วผมเองกระมังที่ควรจะโดนด่าด้วยคำๆนี้

เพราะสำหรับทีมซึ่งมีรูปร่างหน้าตาระดับนายแบบ เรียนห้องเก่ง
แถมยังเป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งของโรงเรียน จะผิดอะไรถ้าเขาจะหลงตัวเอง
ในเมื่อเขาก็มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมออกขนาดนั้น

แต่ผมสิ
ผมมีอะไร นอกจากความหลงตัวอย่างร้ายกาจ
ผมก็ไม่เห็นว่าผมจะมีดีอะไรอีก


นึกถึงตรงนี้ผมก็อดเปรียบเทียบตัวเองกับพี่ดาวไม่ได้ ว่าในขณะที่พี่ดาวซึ่งเป็นสาวสวยระดับดาวของโรงเรียนยังไม่เห็นจะอิดออดกับ การได้กินไอติมถ้วยเดียวกันกับทีม
แต่ผมกลับทำท่าทางรังเกียจแถมยังประกาศว่าจะไม่มีวันยอมกินไอติมถ้วยเดียวกันกับเขาเด็ดขาด
มานึกอีกที
มันช่างเป็นพฤติกรรมของคนที่ไม่เคยชะโงกหัวดูเงาของตัวเองเลยแท้ๆ

ในที่สุดเรื่องของผมกับทีมคงจบกันเพียงแค่นี้
เพราะผมไม่มีวันจะสู้พี่ดาวที่เป็นสาวสวยเพอร์เฟกต์ขนาดนั้นได้

นอกจากนั้นผมยังได้ทำร้ายจิตใจของทีมอย่างแสนสาหัสด้วยคำพูดที่เขาคงไม่มีวันอภัยให้
ผมคงได้ปล่อยโอกาสดีๆในชีวิตให้ผ่านไปแล้วอย่างไม่มีวันจะเรียกคืน

น่าเสียดายที่เรื่องราวระหว่างผมกับทีมต้องจบลงทั้งๆ ที่มันยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ

ในขณะที่ผมกำลังอยู่ในความคิดตำหนิตัวเองอยู่นั้น
เสียงโทรศัพท์ที่บ้านก็ดังขึ้นแต่เมื่อผมไปรับสายกลับไม่มีใครพูดด้วย
เหมือนตั้งใจจะฟังเสียงของผมอยู่อย่างนั้นแล้วก็วางหูไปเฉย ๆ
และมันก็เป็นเช่นนี้ไปอีก 3 – 4 ครั้งจนผมเริ่มหงุดหงิดว่าใครที่โทรศัพท์มาแกล้งกันดึก ๆ ดื่นๆ ขนาดนี้
จนเมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีกครั้ง
ผมจึงตั้งใจว่าจะตะคอกถามและเค้นให้ได้ว่าเขาคือใครแต่พอดีกับที่มีเสียงจากอีกฝ่ายพูดมาเสียก่อน

“บีเหรอ
นี่ป้าแต้วนะ
คุณแม่อยู่หรือเปล่าลูก”

“เอ่อ
อยู่ครับคุณป้า
รอสายแป๊ปนึงนะครับ”

ผมตะโกนเรียกแม่ให้รับสาย
แล้วก็กลับมายังที่นอนของตัวเองพลางอดสงสัยไม่ได้ว่าโทรศัพท์ 3 – 4 ครั้งแรกที่โทร. มาแต่ไม่ยอมพูดนั้นจะเป็นสายของป้าแต้วหรือเปล่า

เป็นไปได้มั้ยที่จะเกิดความขัดข้องทางเทคนิคจนทำให้คุณป้าต้องกดมาใหม่อีก 3 – 4 ครั้ง

แต่ถ้าไม่ใช่ป้าแต้ว....แล้วจะเป็นใครกัน ?

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:50:37

---------------------------------------------

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 7 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย
กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
-------------------------------------------------------
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นผมก็รีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปสมทบกับเพื่อนคนอื่นๆ
ที่โรงเรียน
การเข้าค่ายในครั้งนี้จะแยกกันระหว่างลูกเสือและเนตรนารีโดยพวกลูกเสือจะต้องไปเข้าค่ายที่โรงเรียนต่างอำเภอ
ในขณะที่กลุ่มเนตรนาทีจะไปเข้าค่ายที่โรงเรียนสตรีแห่งหนึ่งในตัวเมือง
พวกเรามารวมหมู่กันที่บริเวณหน้าเสาธงซึ่งคงเป็นโชคดีที่ผมกับทีมได้อยู่กันคนละหมู่กัน
อย่างน้อยผมก็คงพออาศัยเวลา 2 วัน 1 คืนนี้หลบหน้าทีมและไปทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้
อันที่จริงผมก็แอบคิดว่าต่อให้เราต้องอยู่หมู่เดียวกันก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะทีมก็คงไม่มาตอแยอะไรกับผมอีกในเมื่อเขามีพี่ดาวอยู่แล้วทั้งคน
ในขณะที่ผมเองก็คงไม่มีหน้าไปพูดกับเขาอีกแล้ว
ถึงแม้ผมจะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้อยู่คนละหมู่กับทีม
แต่คงเป็นโชคร้ายที่คนที่กลับมาอยู่หมู่เดียวกับผมกลับเป็น “บาส”
“ว่าไงบี
คืนนี้มีใครนอนเป็นเพื่อนหรือยัง”
บาสเริ่มบทสนทนาที่ส่อถึงเจตนาลามกอันเป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หายของเขาในขณะที่เรากำลังนั่งรถบัสไปที่ค่ายด้วยกัน
“มี ไม่มีแล้วยังไง”
ผมพยายามตอบอย่างเก็บอาการแม้จะเหลืออดกับพฤติกรรมของนายคนนี้เต็มทน
“อ้าวก็ถ้าไม่มี
เราจะได้ไปนอนเป็นเพื่อนไง
เผื่ออยากได้เพื่อนแก้หนาว”
ว่าแล้วเขาก็เอาไหล่เข้ามาชิดกับผมให้มากขึ้น
“.........” ผมได้แต่นิ่งเงียบไม่มีปฏิกิริยาอะไร
สำหรับคนประเภทนี้ต่อให้โวยวายหรือตอบโต้อะไรที่รุนแรงกลับไปก็คงไม่ได้ผล
และดูเหมือนผมจะเลือกวิธีที่ถูกต้องเพราะบาสเองก็สงบปากสงบคำลงในทันที
“มีอะไรกับไอ้ทีมมันหรือเปล่า” คำถามที่บาสเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ผมอดตกใจไม่ได้
“ปล่าวนี่ ทำไมเหรอ”
ผมพยายามเก็บอาการ และพยายามนึกให้ออกว่าเขากำลังจะมาไม้ไหน
เขาซึ่งถือเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของทีมจะรู้เรื่องอะไรระหว่างผมกับทีมบ้าง
ทีมจะเคยพูดหรือเล่าเรื่องราวระหว่างผมกับเขาให้บาสฟังบ้างมั้ย
แต่เมื่อคิดอีกทีผมก็คิดว่าคงเป็นไม่ได้เพราะถ้าหากเขาพูดไปก็เท่ากับเปิด เผยให้คนอื่นรู้นะสิว่าเขาเป็น “เกย์” เขาคงไม่กล้าถึงขนาดนั้นหรอก และดูเหมือนสิ่งที่ผมคิดจะถูกต้อง
“ปล่าว
ก็เห็นไม่ค่อยคุยกันเหมือนเคย แต่ก็อย่างว่าล่ะน๊า คนกำลังมีความรัก
มันก็คงต้องเอาเวลาไปให้เมียมันหมด จะมามัวสนใจเพื่อนฝูงได้ไง
ดีนะเนี้ยที่เขาแยกลูกเสือกับเนตรนาทีไปคนละที่
ไม่งั้นคืนนี้คุณน้องดาวต้องเสร็จไอ้ทีมแน่
เอ๊ะหรือว่าอาจจะเสร็จไปแล้วมั้ง”
ผมอดรู้สึกเจ็บแปลบกับคำพูดของบาสไม่ได้จึงเอาแต่นั่งนิ่งเงียบแล้วแกล้งทำเป็นหลับไปตลอดทางจนไปถึงที่พัก
หลังจากพวกเราใช้เวลาที่ครูฝึกมอบให้อย่างน้อยนิดในการจัดเก็บสัมภาระ
พวกเราก็ต้องรีบวิ่งกลับมารวมหมู่กันอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดิน ทางไกลด้วยเท้าและเข้าฐานต่างๆที่เตรียมไว้ซึ่งต้องใช้เวลาตลอดทั้งวัน
ในช่วงเวลาที่มีการเดินทางไกลและต้องเข้าฐานต่างๆ
ที่มีตั้งแต่ระดับง่ายไปจนถึงขึ้นยากลำบากนั้น
ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าบาสได้เข้ามาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ผมตลอดเวลา
และเขามักจะเป็นคนที่ยื่นมือมาช่วยเหลือในเวลาที่ผมตกที่นั่งลำบาก
หรือมีปัญหาทุกครั้ง
จนแม้กระทั่งครั้งนึงเขายังถึงกับเสนอขอช่วยถือสัมภาระที่หนักอึ้งของผมให้ทั้งๆ
ที่เขาก็ต้องถือของเขาอยู่แล้ว 1 ใบ
เมื่อเห็นว่าผมเริ่มจะไม่ไหวกับการแบกกระเป๋าใบนั้น
ความเป็นห่วงเป็นใยที่บาสมีให้ผมตลอดทั้งวันนั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกขอบคุณหรือไว้ใจเขามากขึ้น
ในทางตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกว่า “คืนนี้
ผมคงต้องระวังตัวให้มากขึ้นเป็นพิเศษ” รวมทั้งอดคิดไม่ได้ว่าคงจะดีกว่ามากถ้าคนที่มาดูแลเอาใจใส่ผมในวันนี้จะเป็น “กอล์ฟ” หรือ “ทีม” แทนที่จะเป็น “บาส”

ในช่วงเย็นหลังจากที่พวกเราหุงหาอาหารทานกันด้วยตัวเองจนเสร็จสิ้นแล้ว
ก็ได้เวลาของกิจกรรมรอบกองไฟซึ่งสำหรับผมถือเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อและไม่มี อะไรพิเศษนอกจากการแสดงที่แต่ละกลุ่มละกองงัดกันออกมาโชว์ซึ่งบางครั้งทำให้ ผมอดรู้สึกง่วงไม่ได้
จนเมื่อถึงเวลาจบจากกิจกรรมรอบกองไฟผมจึงเป็นคนแรกๆที่รีบลุกออกมาจากที่นั้นแล้วกลับไปยังห้องนอน
ห้องเรียนของนักเรียนได้ถูกแปลสภาพเป็นห้องนอนชั่วคราวให้กับพวกเรา
ผมจึงต้องนอนบนพื้นห้องที่อย่างน้อยก็มีเสื่อปูลาดเป็นทางยาวไว้ให้
ผมพยายามจับจองที่นอนที่มั่นใจว่าได้ถูกประกบด้วยเพื่อนที่ไว้วางใจได้ 2 – 3 คนและพยายามดูว่าที่นอนของตัวเองนั้นได้อยู่ห่างจากที่นอนของบาสในระยะพอ สมควรแต่เพื่อให้มั่นใจสุดๆ
ผมจึงแสร้งทำทีเป็นอ่านหนังสือเพื่อรอให้เห็นก่อนว่าบาสได้นอนลงในที่นอนของตัวเองอย่างเรียบร้อยแล้ว
ผมนั่งคอยว่าเมื่อไหร่บาสจะกลับมานอนจนกระทั่งมีเพื่อนขอปิดไฟในห้อง
ผมก็ยังไม่เห็นวี่แววของนายคนนี้จนใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่า
หรือว่าเขาจะหาคนอื่นเป็นเหยื่อได้แล้ว
ผมจึงตัดสินใจล้มตัวลงนอนแต่ในวินาทีนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงของบาสที่กำลัง เดินคุยกับใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องซึ่งนั่นทำให้ผมต้องลุกขึ้นนั่งทันที เพราะเสียงที่กำลังคุยเข้ามาในห้องกับบาสนั้นเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยเป็น อย่างดี

“เฮ้ยพวกเรา
คืนนี้ไอ้ทีมมันขอมานอนที่นี่ด้วยว่ะ”
บาสพูดดังจนทั่วทั้งห้องได้ยินแต่ดูเหมือนขณะที่พูดเขาจะตั้งใจหันมามองทางผมเป็นพิเศษ
แต่ในขณะเดียวกันผมกลับสังเกตว่าทีมกลับหันไปมองทางอื่นโดยไม่หันมามองผมแม้แต่หางตา
ดังนั้นผมจึงล้มตัวลงนอนอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นักแม้ในใจจะอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมทีมต้องย้ายมานอนที่ห้องนี้ด้วย
เช้าวันต่อมาผมค่อยๆลุกขึ้นอย่างงัวเงียเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมเดินทางไกลเมื่อวานทำให้ผมหลับสนิทตลอดทั้งคืน
แต่เมื่อผมค่อยๆลุกขึ้นก็ต้องประหลาดใจอย่างที่สุดเมื่อเห็นทีมกำลังนอนหลับอุตุอยู่ที่ปลายเท้าผม
จะเป็นความตกใจ ความสงสัย
หรืออะไรก็แล้วแต่ทำให้ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินข้ามร่างของทีมที่นอนหลับสนิทอยู่ออกมานอกห้องอย่างกระวนกระวาย
แต่ก่อนที่ผมจะคิดอะไรไปมากกว่านั้นก็พอดีมีเสียงประกาศเรียกให้ทุกคนลงไป รวมตัวกันที่สนามหน้าเสาธงในอีก 10 นาทีเพื่อออกกำลังกายยามเช้า
ผมจึงรีบกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งเพื่อไปหยิบแปรงสีฟัน
และก็พบว่าทีมได้ตื่นเรียบร้อยแล้ว
ผมเดินเข้าไปหยิบแปรงสีฟันและยาสีฟันในห้องออกมาโดยพยายามไม่หันไปมองเขาแล้วรีบออกมาจากห้องนั้นให้เร็วที่สุด
ตลอดเช้าวันนั้นสติของผมกระเจิดกระเจิงไม่มีชิ้นดี เมื่อพยายามคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าทำไมทีมถึงต้องมานอนที่ปลายเท้าผมทั้งๆ ที่ภายในห้องยังมีที่อีกเหลือเฟือที่เขาจะไปนอนตรงไหนก็ได้
รวมทั้งอดแปลกใจอีกไม่ได้เมื่อเห็นทีมมาทานข้าวเช้า และ
ร่วมกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ด้วยการเก็บขยะกับหมู่ของผมทั้ง
ๆที่หมู่ของเขาต้องไปรับผิดชอบอีกสถานที่หนึ่งซึ่งคงเป็นโชคดีที่อาจารย์ไม่ได้เข้มงวดกับกิจกรรมในวันนี้นัก
ตลอดเวลาที่ทีมมาร่วมกิจกรรมกับหมู่ของผมไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมใด
เขาก็ยังแสดงอาการเหมือนเดิมคือไม่มีท่าทีสนอกสนใจผมแต่อย่างใด
เขาพยายามทำเหมือนว่าผมไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องทนดูพฤติกรรมนี้อย่างเจ็บปวด
ความรู้สึกไม่สบายเพราะตากน้ำค้างมาเมื่อคืนแถมยังต้องมาเก็บขยะอยู่กลางแดดเปลี้ยงอย่างนี้ทำให้ผมเริ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้
รวมทั้งมีอาการคลื่นเหียนเหมือนอยากจะอ้วกออกมาจนเพื่อนที่อยู่ใกล้กันต้องถามขึ้นมาด้วยความห่วงใย
“บี
เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดเชียว”
“ไม่รู้สิ เหมือนอยากจะอ้วกน่ะ ขอตัวเดี๋ยวนะ”
พูดจบผมก็รีบปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนๆ
แล้วเดินไปยังสวนป่าที่มีร่มไม้หนาทึบด้านหลังโรงเรียนแล้วค่อย ๆ
นั่งลงบนม้านั่งในสวนอย่างอ่อนแรง
“ อะไรเนี้ย แค่คืนเดียวก็ท้องแล้ว
ก็อยากสำส่อนไปนอนกับใครพร่ำเพรื่อก็อย่างเงี้ย ใครเป็นพ่อเด็กล่ะ ไอ้ตั้ม
ไอ้ปอ หรือว่าติดมาตั้งแต่ไอ้กอล์ฟ ผัวเก่า ”
ประโยคถากถางของทีมที่ตามผมมาทำให้ผมต้องลุกขึ้นและยืนมองเขากลับไปอย่างไม่สามารถจะตอบโต้อะไรได้
ผมยอมรับว่าในเวลานั้นผมไม่ได้รู้สึกโกรธต่อสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมา
ความรู้สึกผิดในสิ่งที่ผมเคยทำลงไปทำให้ผมได้แค่รู้สึกน้อยใจ
และเสียใจที่ผู้ชายคนนี้ได้ทำร้ายจิตใจของผมไม่หยุดหย่อน
ไหนจะคำพูดเสียดสีว่าผมเป็นคนสำส่อน
ไหนจะท่าทีห่างเหินเหมือนเป็นคนไม่รู้จัก
ไหนจะเรื่องของเขากับสาวสวยอย่างพี่ดาว
ความอัดอั้นตันใจที่ผมอยากจะระบาย
อยากจะสารภาพว่าผมเสียใจแค่ไหนกับเรื่องที่เกิดขึ้น
บวกกับความน้อยใจและเสียใจในสิ่งที่เขาทำกับผมมาตลอดนั้นทำให้น้ำตาอุ่นๆ
ของผมเริ่มไหลลงมาอาบแก้มอย่างไม่สามารถจะห้ามได้
ในนาทีนั้นเองที่ทีมทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดเมื่อเขาก้าวเข้ามาแล้วกระชากตัวผมเข้าไปสวมกอดไว้
ด้วยความสูงของเขา ทำให้ศีรษะของผมไปอยู่ได้แค่ระดับอกของเขาเท่านั้น
ในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังถูกพันธนาการไว้ด้วยสองแขน ที่แข็งแกร่งของผู้ชายคนนี้และดูเหมือนว่ามันกำลังรัดรึงผมแน่นขึ้นและแน่น ขึ้น
จนผมรู้สึกได้ถึงเสียงลมหายใจที่หนักหน่วงของเขาพร้อมๆกับความอบอุ่นที่บรรยายไม่ถูกซึ่งกำลังแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูในร่างกายของผม
นานเท่านานที่ผมภาวนาขอให้ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างนี้โดยจะไม่ร้องขออะไรอีก
จนกระทั่งผมได้สัมผัสถึงหยดน้ำตาของทีมที่เริ่มไหลลงมาพร้อมกับคำพูดที่ผมไม่มีวันลืมเลยชั่วชีวิตนี้
“ทีมทำอะไรผิด
ทำไมบีถึงต้องทรมานทีมแบบนี้......จะให้ทีมต้องเจ็บปวดอีกแค่ไหน
บีถึงจะพอใจ..... บอกทีมมาสิ ..บอกมา......จะให้ทีมทำยังไงกับบีดี….”

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:52:38

------------------------------------------------
.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 8 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย
กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
-------------------------------------------------------
คำพูดของทีมเมื่อครู่ทำให้ผมได้แต่นิ่งอึ้ง
ความรู้สึกตกใจบวกกับความสงสัยทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก
ผมกำลังทรมานเขาอยู่เหรอ ผมเนี้ยนะที่กำลังทำให้เขาเจ็บปวด
ผมจำไม่ได้ว่าผมเคยมีพฤติกรรมอย่างที่เขาว่าตอนไหน
เขาต่างหากไม่ใช่เหรอที่เป็นคนทำร้ายผม ทั้งคำพูดที่ว่าผมสำส่อน
ทั้งท่าทีที่ไม่เห็นผมอยู่ในสายตา
แล้วที่ตั้งใจให้ผมไปเห็นภาพบาดตาระหว่างเขากับพี่ดาวอีกล่ะ
ใครกำลังทำร้ายใครกันแน่
“ทีมพยายามแล้ว พยายามไม่พูดไม่คุยกับบี
พยายามทำเหมือนบีไม่มีตัวตนอยู่ในโลก
พยายามแม้กระทั่งลองไปคบกับคนอื่นเพราะหวังว่าในที่สุดแล้วทีมจะลืมบีได้
แต่ไม่เลย ทีมกลับยิ่งคิดถึงบีตลอดเวลา คิดถึงจนใจจะขาด
มันทรมานมากรู้มั้ย”
พูดจบทีมค่อยๆปล่อยผมที่บัดนี้ยิ่งแข็งเป็นหินจากคำพูดของเขาเมื่อครู่ออกจากอ้อมกอด
แต่ก็ยังคงใช้ 2 มือยึดกุมหัวไหล่ทั้ง 2 ข้างของผมไว้แน่น
“ทีมรู้ว่าทีมมันหยาบคาย
แล้วก็ปากหมา
แต่ให้โอกาสทีมได้มั้ย
ทีมสัญญาจะเปลี่ยนตัวเอง
ทีมสัญญา”
ในเวลานั้นสมองของผมมีแต่ความว่างเปล่าจนไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้
และครั้งนี้ก็ถือเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นหน้าผู้ชายคนนี้อย่างชัดและถนัดตาขนาดนี้
เป็นเวลานานที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเงยหน้ามองดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักคู่นั้นเหมือนต้องมนต์สะกด
พลางอดคิดไม่ได้ว่าถึงนิสัยของเขาจะเป็นอย่างไรแต่ผมก็ต้องยอมรับโดยดุษฎีว่าผู้ชายคนนี้ดูสมบูรณ์แบบอย่างหมดจด
ทั้งดวงตากลมโตคมกริบ ทั้งจมูกที่โด่งเป็นสันรับกับใบหน้าได้รูป
ทั้งริมฝีปากเรียวงามสีชมพูอ่อน
ทั้งหมดทำให้ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าพระเจ้าช่างอยุติธรรมสิ้นดี
ทำไมคนเหมือนๆกันถึงได้ถูกสร้างมาให้แตกต่างกันได้ขนาดนี้
และจะเพราะความรู้สึกผิดจากความอยุติธรรมนี้หรือไม่
พระเจ้าถึงได้ชดเชยด้วยการส่งผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างเขาให้มาหลงรักคนธรรมดาๆ
อย่างผม
ในตอนนั้นต่อให้คิดจนโลกแตก
ผมก็หาเหตุผลไม่ได้เลยจริงๆ ว่า “คนอย่างเขา” จะมาหลงรัก “คนอย่างผม” อย่างหัวปักหัวปำได้อย่างไร
จนต่อมาผมถึงให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าเหตุผลเดียวที่ทำให้เราทั้งคู่ต้องมารักกันก็คือเรื่องของ........ “กรรม”
แต่คงโชคร้ายที่ดูเหมือนความรักของเราในครั้งนั้นจะเป็น “กรรมของผม” มากกว่า “กรรมของเขา”

เป็นเวลาอีกสักระยะที่ผมและทีมต่างยืนนิ่งมองตากันโดยไม่มีใครพูดอะไร
จนกระทั่งเราทั้งคู่ได้ยินเสียงกรอบแกรบของใบไม้แห้งจากคนที่เดินเข้ามาในสวนทำให้ทั้งผมและทีมต่างผละออกจากกันในแทบจะทันที
“อ้าว มึงนี่เอง ไอ้บาส กูตกใจหมด” ทีมทำสีหน้าโล่งอกเมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาคือบาส
“อ๋อ นี่มึงยังเหลือความอาย กลัวคนอื่นจะเห็นอยู่เหรอ
กูเห็นยืนกอดกันกลมจนนึกว่าจะเอากันในสวนป่านี้แล้ว” บาสตอบกลับมาอย่างเจ็บแสบ
แม้จะรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดนั้นแต่ผมก็เอาแต่ก้มหน้า เพราะสิ่งที่บาสพูดก็ไม่ได้ผิดจากความเป็นจริงที่เราทำกันเท่าไหร่นักแม้เขา จะพูดเกินเลยไปบ้างก็เถอะ
“ปากมึงนี่
แม่งจะกัดกู
ก็ให้เกียรติบีเขาหน่อย” ทีมเริ่มทำเสียงดุ
“อ๋อ คร้าบบ” บาสทำเสียงประชดแล้วหันมาพูดกับผมตรงๆ
“ ลืมไปว่ามีคุณผู้หญิงอยู่ตรงนี้ด้วย
ถ้ากินแรงพวกผมด้วยการมาอี๋อ๋อกันกลางป่าจนหนำใจแล้ว
ก็ได้เวลาไปทานอาหารเที่ยงแล้วคร้าบบ
หรือว่าถ้าอิ่มอย่างอื่นแล้วจะจู๋จี๋กันต่อก็ได้นะ”
“พอเลยมึง ชักลามปามใหญ่แล้ว” ทีมตัดบทแล้วก้าวมาคว้ามือผมเดินออกไป
ในตอนนั้นเองที่ผมอดเงยหน้าขึ้นมามองบาสไม่ได้ซึ่งถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง
สีหน้าของบาสที่ผมเห็นในตอนนี้กำลังแสดงอาการไม่พอใจผมอย่างรุงแรงซึ่งผมก็ไม่อาจรู้สาเหตุเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
ในตอนเที่ยงวันนั้นผม และ ทีม
ต่างนั่งทานอาหารด้วยกันอย่างเก็บอาการเนื่องจากไม่อยากให้ดูผิดสังเกต
เพราะการที่เรา 2 คนหายกันไป 2 ต่อ 2 ตั้งนานสองนานนั้นก็น่าสงสัยพออยู่แล้ว
ทีมเองจึงไม่อยากแสดงท่าทีว่าสนใจหรือเอาอกเอาใจผมเป็นพิเศษ
จริงๆแล้วคงต้องบอกว่าเขาแทบจะไม่พูดอะไรกับผมเลยด้วยซ้ำ
แต่กระนั้นผมก็คิดว่าสำหรับเขาในตอนนี้ คำพูดหรือท่าทีอื่นๆ
คงไม่มีความหมายอีกแล้วในเมื่อตลอดเวลาที่เรากำลังทานอาหารเที่ยงกันอยู่นั้น
มือของเขาแอบเกาะกุมมือของผมอยู่ใต้โต๊ะอาหารตลอดเวลา
แม้มีหลายครั้งที่ผมพยายามจะสะบัดออกแต่เขาก็ยังคงเกาะกุมมือข้างนั้นของผมเอาไว้แน่นและไม่ยอมปล่อย
จนมีครั้งนึงที่เขาจงใจเอนตัวมากระซิบข้างหูผมอย่างแผ่วเบาว่า

“ทีมจะไม่ปล่อยบีไปไหนอีกแล้ว”

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:52:55

------------------------------------------------
.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 9 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย
กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว
-------------------------------------------------------
ในเย็นวันนั้นหลังจากกลับจากเข้าค่ายลูกเสือ
ผมและทีมก็ได้นั่งรถโดยสารกลับบ้านด้วยกัน
อันที่จริงผมรู้มานานแล้วว่าบ้านทีมและบ้านผมนั้นอยู่อำเภอเดียวกัน
แต่เพราะคุณพ่อของทีมทำงานเป็นข้าราชการใหญ่อยู่ในจังหวัด
ดังนั้นหลังเลิกเรียนเขาจึงมักจะไปรอพบคุณพ่อเพื่อติดรถกลับบ้านพร้อมกันเสมอ
เราจึงไม่เคยกลับบ้านด้วยกันเลยสักครั้ง
แต่วันนี้จะถือเป็นครั้งแรกของอีกนับครั้งไม่ถ้วนที่เราจะนั่งรถกลับบ้านด้วยกันโดยที่ระหว่างนั่งอยู่ในรถนั้น
มือของทีมยังคงแอบจับมือของผมไว้อย่างไม่ยอมปล่อยเสมือนเป็นสัญญาณว่านับ ตั้งแต่นี้เขาได้พันธนาการผมไว้กับตัวของเขาแล้วอย่างที่ผมไม่มีวันจะตัดขาด ได้
ซึ่งโชคดีที่รถที่เรานั่งในวันนั้นเป็นรถประจำทางแบบรถบัสซึ่งนั่งได้ที่ละ 2 คนทำให้การนั่งเกาะกุมมือของเราตลอดทางในวันนั้นไม่เป็นที่สังเกตนัก
ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ
ทีมได้สารภาพกับผมว่าในวันที่ผมระเบิดอารมณ์ใส่เขาในวันนั้น
เขารู้สึกโกรธมากและรู้สึกว่าผมเป็นคนอวดดีอย่างที่สุด
เขาอดรู้สึกเสียหน้าไม่ได้ที่คนที่หน้าตาดีอย่างเขากลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อสิ้นไยจากคนธรรมดาๆ
อย่างผม
ดังนั้นในวันต่อมาเขาจึงตั้งใจว่าจะสั่งสอนผมให้รู้ว่าคนอย่างเขาสามารถหาแฟนที่ดีกว่าผมได้เป็นร้อยเท่าพันเท่า
รวมทั้งจะแสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามเพราะเขาเองต่างหากเป็นฝ่ายที่ต้องเจ็บปวด
เมื่อผมเองไม่มีท่าทีแยแสต่อความหมางเมินของเขาเลย
มันทำให้เขายิ่งรู้สึกเจ็บช้ำที่เหมือนกับผมไม่ได้แคร์เขาจริงๆ
แม้กระทั่งตอนที่เขาชวนผมไปกินไอติมโดยมีพี่ดาวอยู่ด้วย
ผมก็กลับพูดคุยเฮฮากับคนอื่นๆ ได้อย่างไม่คิดอะไร
“ถามจริงเหอะ ไม่หึงทีมบ้างเลยเหรอ”
“ก็เราเป็นอะไรกันล่ะ ทำไมเราต้องหึงนายด้วย” ผมทำท่าเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยใช่มั้ย ที่ทีมไม่ไปคุยด้วย ไม่เล่นด้วย” เขาพยายามคาดคั้น
“ก็...ก็ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร”
ผมโกหกคำโตโดยไม่รู้ว่าจะเสียใจหรือดีใจดีที่หลายวันที่ผ่านมา
ผมสามารถเก็บอาการได้อย่างแนบเนียนจนเขาเชื่ออย่างสนิทใจว่าผมไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการที่เขาทำหมางเมินกับผม
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ผมเองก็แทบ “คลั่ง” ไม่แพ้เขา
และดูเหมือนคำตอบที่ว่าผมไม่คิดอะไรนี้จะทำให้เขานิ่งไปพักใหญ่จนผมต้องพูดออกมาเพื่อทำลายความเงียบ
“แล้วเมื่อคืนมานอนที่ห้องเรา ทำไม” ผมถามขึ้นมาอย่างเบา ๆ ในสิ่งที่ค้างคาใจมาตั้งแต่เมื่อคืน
“ก็หัดคิดดูเองบ้างสิ” เขาพูดใส่ผมอย่างหงุดหงิด
“ถ้าคิดออกแล้วจะถามเหรอ
นายเองก็เคยด่าว่าเราโง่นี่” ผมพูดประชดเมื่อนึกถึงตอนที่เขาด่าผมว่าโง่เมื่อตอนที่เขาชวนผมไปกินไอติมด้วยกัน
“ก็นั่นน่ะสิ
ท่าจะโง่จริงๆ”
“นี่....” ผมตวาดใส่เขาอย่างงอนๆ ที่เขาถือโอกาสด่าผม
“ก็ถ้าทีมไม่ไปนอนเฝ้า แล้วเกิดมีใครแอบมาเอาบีทำเมีย แล้วทีมจะทำยังไงล่ะ” เขาตอบออกมาโดยไม่ยอมมองหน้าผมตรงๆ
เมื่อได้รู้ความจริง ผมก็อดขำความคิดของเขาไม่ได้
แต่แค่อยากมานอนเฝ้าก็ไม่เห็นจะต้องมานอนที่ปลายเท้าเลยนี่ ...
“ตอนแรกก็กะจะฝากไอ้บาสมันน่ะนะ แต่คิดอีกที มันนั่นแหละตัวดี ทีมเลยตัดสินใจมานอนเฝ้าเองดีกว่า” ทีมอธิบายต่อ
“แสดงว่า บาสเขา....เอ่อ...รู้...”
“ใช่
ทีมเพิ่งบอกมันไปเมื่อคืนก่อนที่จะไปนอนห้องบีนั่นแหละ ว่าทีมคิดยังไงกับบี”
“แล้วเขาไม่....”
“ไม่ต้องกลัวหรอก
เพราะไอ้นี่มันก็ฟันดะทั้งผู้หญิง ผู้ชายอยู่แล้ว
มันไม่รู้สึกแปลกหรอกที่ทีมจะมีแฟนเป็นผู้ชาย
ที่สำคัญมันเป็นเพื่อนสนิทของทีม ไว้ใจได้”
“เป็นเพื่อนสนิทกันก็คงเพราะมีอะไรเหมือนกันสินะ”

“ก็ถ้าหมายถึงเรื่องฟันดะทั้งผู้หญิงผู้ชายล่ะก็......ใช่ .....อย่าให้มีโอกาสแล้วกัน”
ทีมตอบมาแล้วจ้องตาผมเขม็ง
ในขณะที่ผมเองแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างงอน ๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ทำไม
ไม่พอใจเหรอ
หรือว่าหึง”
“หึง
ทำไมบีต้องหึงด้วย เราไม่ได้เป็นแฟนกันนะ” ผมพยายามเฉไฉ
“พูดถึงเรื่องนี้ก็ดีแล้ว
ที่ทีมถามว่าให้โอกาสทีมได้มั้ย บียังไม่ตอบทีมเลยนะ”
“อ้าวนี่ จะถึงบ้านทีมแล้วนะ ไม่รีบไปกดออดเดี๋ยวก็เลยหรอก” ผมรู้สึกเหมือนโชคช่วยที่รถมาถึงทางเข้าบ้านทีมพอดี
“ไม่ ตอบมาก่อน” ทีมพยายามคาดคั้น
“อยากเลยบ้านไปก็ตามใจ” ผมทำท่านิ่งเงียบแสดงให้เขารู้ว่า เขาไม่มีวันได้คำตอบจากผมตอนนี้แน่
“ก็ได้
ดูสิใครจะทนกว่ากัน” ทีมตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“โอเค โอเค ให้ก็ได้” ผมตอบอย่างยอมแพ้ในที่สุด
เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของเขา
“ขอบใจนะ....ที่รัก”
ทีมตอบมาอย่างผู้มีชัยแล้วเขาก็รีบลุกจากที่นั่งไปกดออด แล้วก็ลงจากรถไปในที่สุด

ตลอดช่วงเย็นไปจนถึงตอนดึกในวันนั้นผมได้แต่อมยิ้ม อย่างมีความสุขทุกครั้งที่นึกเรื่องราวระหว่างผมกับทีมที่ดูเหมือนว่าในที่ สุดเราทั้งคู่ก็ได้ลงเอยกันได้เสียที
แม้บางครั้งผมออกจะกลัวในบางครั้งเมื่อนึกถึงว่าวันข้างหน้าว่าเราจะต้องจะเจอกับอุปสรรคอะไรบ้าง
หรือความรักครั้งนี้จะยืนยาวไปแค่ไหน
แต่เมื่อนึกถึงความสุขที่ผมมีในตอนนี้
เรื่องของอนาคตข้างหน้าก็เป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะสนใจนึกถึงอีก
“ฮัลโหล” ผมตื่นมารับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาราว 5 ทุ่มกว่าๆ
“นอนหรือยัง” เสียงของทีมจากปลายสายดังขึ้น
“โทร. มาทำไมตอนนี้เนี้ย ” ผมตอบอย่างงัวเงีย
“ก็มันนอนไม่หลับ”
“ตัวเองนอนไม่หลับก็เลยจะไม่ให้คนอื่นนอนด้วยหรือไง
แล้วเราจะไปช่วยอะไรนายได้”
“ช่วยได้สิ
ก็ทีมคิดถึงบีนี่ ก็เลยคิดว่าถ้าโทรมาฟังเสียงบี ทีมก็คงหลับลงได้” เป็นอีกครั้งที่ทีมทำให้ผมอดยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้
“สรุปว่าตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย” ทีมพูดมาอีกครั้งหลังจากที่เห็นผมเงียบไป
“เป็นแฟนอะไรกัน
ใครบอก”
“อ้าว ก็ไหนว่าให้โอกาสทีมแล้วไง” ทีมเริ่มทำเสียงหงุดหงิด
“ก็บอกว่าให้โอกาส
แต่ไม่ได้บอกว่าจะเป็นแฟน” ถ้านี่คือประโยคที่แสดงถึงความเอาแต่ใจตัวเองของผม
ทีมก็คงจะได้ยินประโยคที่แสดงถึงนิสัยเสียข้อนี้ของผมอีกนับครั้งไม่ถ้วน
“นี่ จะหาเรื่องกันหรือไง ” เขาตะคอกผ่านมาทางโทรศัพท์จนผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังโกรธจัด
“ก็ถ้านายยังทำตามสัญญาไม่ได้ว่าจะเลิกหยาบคายและป่าเถื่อนใส่เราอย่างเช่นที่นายตะคอกใส่เรามาครู่
ก็อย่าหวังมาเป็นแฟนเราเลย”
ดูเหมือนทีมเองก็รู้เช่นกันว่าเขาเองเป็นฝ่ายพลาดไปแล้ว “ก็ได้ ก็ได้
แล้วจะเอาไง” เสียงของเขาอ่อยลงอย่างเห็นได้ชัด
“ก็ต้องดูต่อไปว่านายเปลี่ยนตัวเองได้อย่างที่พูดจริงหรือเปล่า”
“ อย่างงั้นก็ได้ ตอนนี้อะไรก็ยอมหมดแหละ รักไปแล้วนี่” ทีมตอบกลับมาอย่างไม่มีทางเลือก
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เราไปนอนล่ะ” ผมพยายามตัดบทเพราะยิ่งคุยก็ยิ่งรู้สึกเขินมากขึ้นทุกที
“เดี๋ยว”
“อะไรอีกล่ะ”
“หลับฝันดีนะ
ฝันถึงทีมด้วยล่ะ”
“ถ้าฝันถึงนาย จะเรียกว่าฝันดีได้ไง
ต้องเรียกว่าฝันร้ายสิ” ผมแกล้งแหย่
“ก็ลองฝันถึงผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ “ทีม” ดูสิ
รับรองบีได้ฝันร้ายจริงๆ แน่”
ว่าแล้วก็เขาก็กระแทกโทรศัพท์ลงอย่างลืมตัวจนผมต้องรีบเอาหูโทรศัพท์ออกจากตัว
พลางอดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้จะแก้นิสัยอารมณ์ร้อนและโผงผางของตัวเองได้จริงๆ
หรือเปล่า
แต่จริงๆแล้วในตอนนี้ไม่ว่านิสัยของเขาจะเป็นอย่างไร ผมก็อดรู้สึกหลงรักเขาเข้าแล้วอย่างปฏิเสธไม่ได้
ในคืนนั้นผมกลับเข้านอนอีกครั้งอย่างมีความสุข พลางอดคิดไม่ได้ว่า “ไม่ว่าความฝันในค่ำคืนนี้ของผมจะเป็นฝันดี หรือฝันร้าย ผมก็ขอแค่ให้มี “เขา”

ขอให้มีผู้ชายที่ชื่อ “ทีม” อยู่ในความฝันนั้นด้วยก็เป็นพอ

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:53:15

-------------------------------------------------------

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 10 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย
กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว

-------------------------------------------------------

หลัง จากเหตุการณ์เมื่อคืน แม้ผมจะปฏิเสธทีมว่าความสัมพันธ์ของเราไม่ใช่ “แฟน” แต่โดยพฤติกรรมในเวลาต่อมาของเราทั้งคู่ก็ไม่อาจมองเป็นอย่างอื่นได้

หลังจากวันนั้นทีมจะโทร.
มาคุยกับผมเป็นกิจวัตรจนทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของผมสามารถจำชื่อและจำเสียงของเขาได้อย่างแม่นยำ

และเมื่อช่วงเวลาปิดเทรมใหญ่มาถึงเขาก็หมั่นมาหาผมที่บ้านบ่อยครั้ง
ทั้งมานั่งพูดคุย มาทานข้าว หรือแม้กระทั่งมานั่งมานอนดูทีวีเฉยๆ
จนหลังๆเขาสามารถเดินเข้าออกบ้านผมเสมือนหนึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวของผมไปแล้ว

โชคดีที่ทั้งคุณพ่อ และคุณแม่ของผมไม่ได้ระแคะระคายความสัมพันธ์ของผมกับทีมเลย
ท่านทั้งคู่ต่างรับรู้ว่าทีมคือ “เพื่อนสนิทที่สุด” ของลูกชาย

ในช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันบ่อยขึ้นนั้นเองที่ทำให้ผมได้รู้จักเขาเพิ่มขึ้นว่า
แม้พฤติกรรมภายนอกของทีมจะดูเป็นคนปากตรงกับใจ ตรงไปตรงมา โผงผางและใจร้อน
แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นคนโรแมนติกอย่างมากรวมทั้งมีมุมมองความรักที่ค่อนข้างอุดมคติ
และจริงจังกับความรักสุดๆ

ทีมพยายามแสดงความรักกับผมอย่างไม่ปิดบังแทบจะในทุกที่ทุกโอกาส
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหวานหูที่ผมฟังไม่เคยเบื่อ

เวลาที่เรานั่งอยู่ด้วยกันหรือไปไหนมาไหนด้วยกัน เขาก็ชอบที่จะจับมือของผมไว้
จนหลังๆเมื่อความสัมพันธ์ของเราเริ่มไปไกลมากขึ้นเขาก็เริ่มเอามือมาโอบไหล่ โอบเอว
หรือแม้กระทั่งแอบหอมแก้มผมอยู่เสมอซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ค่อนข้างทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

ถ้าความรักของเขาเป็นความรักที่เต็มไปด้วย “อารมณ์และความรู้สึก” จนน่าอึดอัด

ความรักของผมก็เป็นความรักที่เต็มไปด้วย “เหตุผล” จนน่ารำคาญ

นับวันผมค่อนข้างจะต้องระมัดระวังพฤติกรรมของตัวเองมากขึ้น
เพราะตั้งแต่ที่เราได้เลื่อนชั้นมาอยู่ชั้น ม. 2 นั้นผมก็ได้รับเลือกจากเพื่อนๆ
ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นให้เป็นหัวหน้าห้อง
ขณะที่ก่อนหน้านั้นผมก็ได้รับการคัดเลือกเป็นนักเรียนดีเด่นของชั้น ม. 1
ดังนั้นชื่อของผมจึงเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่อาจารย์
รวมทั้งนักเรียนบางส่วนด้วย

ผมจึงอดรู้สึกไม่ได้ว่าพฤติกรรมต่างๆของผมคงต้องถูกจับตามองจากคนรอบข้าง
ผมจึงพยายามระมัดระวังเรื่องของผมกับทีมไม่ให้กระโตกกระตากมากนัก อย่างน้อยๆ
ผมก็คิดว่าเรื่องของเราน่าจะเป็นที่รับรู้กันเฉพาะในหมู่เพื่อนสนิทก็พอ

แต่นั่นเป็นความคิดที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่ทีมคิด

“ทำไมต้องคอยขัดใจทีมอยู่เรื่อยเนี้ย จับนิดจับหน่อยทำเป็นหวงตัวไปได้
หลายครั้งแล้วนะ” ทีมพูดออกมาอย่างเหลืออด

“ไม่ได้หวงตัว แต่อย่าทำให้คนอื่นเห็นได้มั้ย”

ผมพยายามแก้ตัวที่ไม่ยอมให้เขาเอามือมาโอบเอวผมไว้ระหว่างที่เรากำลังเดินลงจากอาคารเรียนมาด้วยกัน

“ทำไม ถ้าคนอื่นเห็น แล้วจะทำไม ใคร ๆ ก็รู้ว่าเราเป็นแฟนกัน”

“ไม่ใช่หรอก จริงๆแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่าเราเป็นอะไรกัน” ผมแย้ง

“ก็นั้นไง ถึงต้องยิ่งทำให้คนอื่นรู้ไง” เขาไม่ยอมแพ้

“ทีมก็รู้ว่าทั้งอาจารย์ ทั้งนักเรียนเขารู้จักเราจนจะทั่วทั้งโรงเรียนอยู่แล้ว
แล้วเขาจะคิดยังไงที่อยู่ดีๆเกิดมีคนมาเห็นว่าเรามาเดินโอบเอว
โอบไหล่กับเพื่อนผู้ชายโชว์กันอยู่ในโรงเรียนน่ะ”

ผมพยายามใช้เหตุผลซึ่งดูเหมือนไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับผู้ชายคนนี้

“อ๋อ บีมันคนเด่น คนดัง ทีมมันคนโนเนมละสิ”

“เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ผมตอบกลับไปอย่างเหนื่อยใจ

เป็นอีกครั้งที่การถกเถียงของเราต้องจบลงอย่างไม่มีข้อสรุปและต่างฝ่ายต่างต้องเลิกรากันไปเองอย่างงอนๆ

จริงๆ
แล้วผมเองก็อดรู้สึกชื่นชมเขาไม่ได้ที่เขากล้าแสดงความรักหรือความสัมพันธ์ของเราอย่างเปิดเผย
เพราะ ทีมเองก็ไม่ใช่คนโนเนมเลย

เอาเข้าจริงในหมู่นักเรียนด้วยกัน เขาอาจจะโด่งดังกว่าผมเสียด้วยซ้ำ

ทีมได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายที่ติดทำเนียบหนุ่มหล่อของโรงเรียนนับตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวย่างเข้ามาเรียนที่นี่แล้ว
จึงไม่แปลกที่ชื่อของเขาจะได้รับการแพร่กระจายไปในหมู่สาวแท้
สาวเทียมอย่างรวดเร็วจนหลายครั้งผมอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีนักเรียนรุ่นพี่หลาย คนตั้งใจเดินผ่านมาที่ห้องของผมก็เพียงเพื่อจะมาให้เห็นกับตาว่านักเรียนคน ไหนกันที่ชื่อ “ทีม”

แต่โชคดีที่ไม่ว่าเราจะขัดแย้งกันอย่างไร
การทะเลาะกันแต่ละครั้งก็ไม่ได้ส่งผลกับความสัมพันธ์ของเรามากนัก เพราะการ “ทะเลาะ” และ “งอน” กันนั้นได้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ไปแล้วอย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้

จริงๆ แล้ว ผมกับทีมยังมีนิสัยและความคิดที่แตกต่างกันอยู่หลายเรื่อง
จึงเป็นธรรมดาที่เรามักจะขัดแย้งกันในเรื่องต่างๆอยู่เสมอ
และคงเป็นความโชคดีที่ทีมมักจะเป็นฝ่ายยอมให้ผมทุกครั้ง
ความสัมพันธ์ของเราจึงยังคงเดินหน้าต่อไปได้

ในขณะที่ผมเองกลับไม่เคยยอมให้เขาเลยแม้แต่สักครั้งเดียว
อย่างกรณีเรื่องของการแสดงความรักให้คนอื่นเห็นที่แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับผม
แต่ผมก็สังเกตว่าเมื่อผมแสดงอาการงอนและโกรธอย่างจริงๆ จังๆ
เขาก็ลดและเลิกพฤติกรรมนั้นลงไปในที่สุด
แต่ก็ไม่วายไปชดเชยด้วยการไปทำพฤติกรรมนี้ในเวลาที่เราอยู่ด้วยกันแค่ 2 ต่อ 2 มากขึ้น

บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องที่เราทะเลาะกันนั้นแสนจะเป็นเรื่องจุกจิกสำหรับผม
แต่สำหรับทีมแล้วดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องใหญ่มาก อย่างเช่นเรื่อง “คำสรรพนามแทนตัว” เป็นต้น

“เมื่อไหร่จะเลิกใช้คำว่า...เรา..กับ...นาย..สักทีเนี้ย ทนฟังมานานแล้วนะ”

ทีมเปิดฉากชวนผมทะเลาะในบ่ายวันหนึ่ง

“ทำไมล่ะ ใช้เรา กับ นาย มันไม่ดีตรงไหน”

“ฟังดูไม่สมกับคนเป็นแฟนกันเลย มันดูห่างเหิน ไม่รู้สึกเหรอ”

“ไม่เห็นรู้สึกเลย เราก็พูดกับนายแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”

“บอกว่าไม่ให้ใช้ไงเล่า”

“แล้วจะให้ใช้อะไรล่ะ”

“แกล้งโง่ หรือโง่จริงๆ เนี้ย”

“ทีม....”ผมขึ้นเสียงใส่เขาเพราะอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาหาโอกาสด่าผมว่าโง่อีกแล้ว

“นั่นไง ก็เรียกชื่อเล่นสิ บีทีม บีทีม อย่างเงี้ย พูดได้มั้ย”

“ไม่เอาอะ มันไม่ชินปาก”

“แล้วทำไมทีกับไอ้กอล์ฟ ทำไมบีถึงทำได้ล่ะ”

เป็นอีกครั้งที่ดูเหมือนการปฏิบัติตัวระหว่างผมกับกอล์ฟจะถูกนำมาเป็นบรรทัดฐานระหว่างความสัมพันธ์ของผมกับทีมมาโดยตลอด
อะไรที่กอล์ฟได้ ทีมก็ต้องได้ด้วย

“วกไปหา กอล์ฟอีกแล้วนะ” ผมพูดอย่างอ่อนใจ

“แล้วบีก็จะเริ่มปกป้องมันอีกล่ะสิ เป็นอย่างนี้ทุกที”

ถึง ตรงนี้ผมจึงต้องยอมตัดบทด้วยการรับปากว่าจะทำตามใจเขา เพราะผมรู้ดีว่าคำว่า “กอล์ฟ” ถือเป็นคำแสลงสำหรับความสัมพันธ์ของเราเป็นอย่างยิ่ง

ไม่ว่าเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาเมื่อใด
เราจะต้องทะเลาะกันอย่างใหญ่โตทุกครั้งซึ่งผมคิดว่ามันไร้สาระมาก

วันนี้ผมจึงเป็นฝ่ายยอมเขาเป็นครั้งแรกเพราะไม่อยากจะให้คู่ของเราต้องมามีปัญหาเพียงเพราะเรื่องที่ว่าจะใช้คำแทนตัวว่าอะไร
พลางอดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้พยายามทำให้ความรักของตัวเองสมบูรณ์แบบที่สุด
ไม่ว่าจะแง่มุมไหนก็ตาม

นอก จากเรื่องความโผงผางใจร้อนแล้ว สำหรับทีม เขาก็เป็นคนที่ “ขี้หึง” อย่างร้ายกาจและแน่นอนว่าคนที่ถูกขึ้นบัญชีดำหมายเลข 1 สำหรับเขา ย่อมหนีไม่พ้น “กอล์ฟ”

“บี วันนี้กลับบ้านด้วยกันนะ”

“อืม...” ผมตอบไปสั้นๆ

ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแล้วที่เราจะกลับบ้านด้วยกัน เพราะตั้งแต่เริ่มคบกัน
บีก็ไม่ค่อยไปติดรถพ่อกลับบ้านอีก แต่เขาจะมานั่งรถกลับบ้านพร้อมกับผมเสมอ

“แต่ว่าวันนี้กลับเย็นหน่อยนะ”

“ทำไมละ”

“ก็วันนี้ทีมมีคิวซ้อมบอลไง แล้วตั้งแต่เริ่มซ้อมมา บีก็ไม่เคยไปดูเลยนะ”

“ก็ ไม่ได้ลงแข่งจริงซะหน่อยนี่”

“ก็นั่นแหละ หัดไปดูแฟนตัวเองซ้อมบ้าง มันเป็นหน้าที่ที่แฟนที่ดีควรจะทำนะ
ทีคนอื่นเขายังไปให้กำลังใจกันเลย อย่างแก้วไง ทีมก็เห็นไปเชียร์ไอ้กอล์ฟมันบ่อยๆ”

ผมรู้สึกว่าทีมตั้งใจยกกรณีแก้วกับกอล์ฟมาเป็นตัวอย่างเพื่อให้ผมรู้ว่า...คนคู่นี้เขายังรักกันดีอยู่

“ก็เอาสิ”

ในเย็นวันนั้นผมก็เลยตามทีมไปที่สนามฟุตบอลแล้วก็ไปนั่งดูเขาซ้อมกับคนอื่นๆ
ซึ่งออกจะเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับผม

และในขณะที่ทีมอยู่ในสนามนั้น
ผมก็ต้องคอยทำหน้าที่ส่งยิ้มให้กับทีมที่ดูเหมือนจะหันมาโบกไม้โบกมือให้ผมเป็นระยะๆ
พลางอดบ่นอย่างเบื่อๆ กับตัวเองไม่ได้ว่า “นี่น่ะเหรอ พฤติกรรมที่แฟนที่ดีต้องทำ”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ผมก็อดมองหาแก้วไม่ได้ว่าวันนี้เธอจะมาเชียร์กอล์ฟหรือเปล่า
แต่มองหาเท่าไหร่ผมก็ไม่เห็นว่าเธอจะมาอยู่ที่นี่ด้วย

“ลมอะไรหอบบีมาถึงสนามบอลเนี้ย”

เสียงพูดอย่างกระหืดกระหอบของกอล์ฟทำให้ผมต้องหันกลับมามองเขาอย่างตกใจ

“อ๋อ ปล่าว พอดีทีมเขาชวนมาดูเขาซ้อมน่ะ”

“ว้า ผิดหวังจัง นึกว่ามาเชียร์กอล์ฟเสียอีก ”

“ใครจะกล้า เดี๋ยวแก้วก็มาแหกอกบีหรอก อืม แล้วแก้วไม่มาเหรอ”

“ปล่าว...”

คำตอบนั้นทำให้ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่ากอล์ฟมีสีหน้าเศร้าลงเล็กน้อย
ก่อนที่จะพยายามพูดเปลี่ยนเรื่อง

“งั้นก็จริงอย่างที่เขาลือกันสินะ เรื่องบีกับทีม”

“ลือว่าอะไรเหรอ”

ผมถามกลับไปด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
การเป็นเป้าหมายของข่าวลือทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจโดยเฉพาะเป็นเรื่องของผมกับทีมด้วยแล้ว
เป็นไปได้มั้ยที่เขาจะรู้กันแล้วว่าผมกับทีมเป็นอะไรกัน ถ้าเป็นจริง
สิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นจนได้

“ก็ไม่มีอะไรหรอก เขาลือกันว่าตอนนี้บี เป็นเพื่อนสนิทของ ทีมน่ะ ”

“อืม ใช่”

ผมค่อยๆถอนหายใจอย่างโล่งอก
พลางรู้สึกสบายใจที่ข่าวมันมีแค่นั้นเพราะในความเป็นจริงผมก็มีนิสัยและพฤติกรรมเหมือนผู้ชายธรรมดาทั่วไป
ดังนั้นนอกจากเพื่อนสนิทแล้วจึงไม่มีใครรู้เลยว่าผมเป็นเกย์
ผมเลยเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงเชื่ออย่างสนิทใจว่าผมกับทีมเป็นแค่เพื่อนสนิทกันจริงๆ

แต่ผมรู้ดีว่ากอล์ฟคงไม่คิดอย่างนั้น ผมจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วกอล์ฟไม่ต้องซ้อมเหรอ”

“อ๋อ ออกมาพักน่ะ จะให้วิ่งอยู่ในสนามตลอดเวลาได้ไง กอล์ฟ ไม่ใช่ซูเปอร์แมนนะ”

กอล์ฟพูดออกมาพลางส่งยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ
และดูเหมือนรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ได้ทำให้ผมอดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้

“เฮ้อ ทีมฟุตบอลเราเนี้ยไม่ไหวเลยนะ ไม่มีสาวๆมาคอยเสิร์ฟน้ำเลย ” กอล์ฟแกล้งพูดออกมาลอยๆ

“ไม่ต้องถึงมือสาว ๆ หรอก เรื่องแค่นี้เดี๋ยวบีทำให้ก็ได้” ผมพูดพลางหัวเราะอย่างรู้ทัน

ว่าแล้วผมก็หันหลังกลับไปคว้าแก้วน้ำที่วางอยู่ใกล้ๆแล้วเอาไปตักน้ำในกระติกมาเสียเต็มแก้ว
แต่พอหันหลังกลับมาเพื่อจะยื่นส่งให้กอล์ฟกลับมีอีกมือหนึ่งมาคว้าไปดื่ม

“ขอบใจนะ บีเนี้ยรู้ใจทีมจริงๆ เลย กำลังหิวน้ำพอดี”

ทีมพูดประโยคนี้ออกมาพลางส่งสายตาอาฆาตแค้นอย่างที่สุดมาให้ผม
แล้วก็ดื่มน้ำแก้วนั้นไปจนหมดแก้ว

“เอ่อ กอล์ฟว่ากอล์ฟกลับไปซ้อมต่อดีกว่านะ” กอล์ฟหันมาบอกผมเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี

“อ้าว แล้วไม่กินน้ำก่อนเหรอ” ผมพยายามถามกอล์ฟแต่เขาก็วิ่งกลับเข้าไปในสนามเสียแล้ว

“ถึงไม่กิน มันก็ไม่ตายหรอกน่า....” ทีมพูดอย่างฉุนเฉียวแล้วก็วิ่งตามกอล์ฟกลับเข้าไปในสนาม

ทั้งคู่ใช้เวลาซ้อมร่วมกันอีก 20 นาทีซึ่งในเวลานั้น
ผมสังเกตว่ากอล์ฟกับทีมค่อนข้างปะทะกันบ่อยครั้ง
โดยมีครั้งหนึ่งที่ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า....ทีมตั้งใจวิ่งไปกระแทกกอล์ฟอย่างจงใจ

จนในที่สุด.....ผมก็ได้ยินเสียงโค้ชเป่านกหวีดเลิกซ้อมแล้วก็เรียกนักฟุตบอลทั้งหมดมาประชุม
โดยใช้เวลาเล็กน้อยบอกจุดบกพร่องของการซ้อมในวันนี้แล้วก็ให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านได้

ก่อนกลับบ้านกอล์ฟก็ไม่ลืมที่จะเดินมาบอกลาผม
ในขณะที่ทีมกลับเดินมาหยิบกระเป๋าและก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรเลย

ผมจึงต้องเดินตามเขาไปอย่างเงียบ ๆ
เพราะในเวลานั้นยังมีนักฟุตบอลคนอื่นๆอยู่ในบริเวณนั้นด้วย

ผมเดินตามทีมไปได้สักพัก ทีมก็นั่งลงที่ม้านั่งใกล้ห้องสมุดโดยเอาแต่นิ่งเงียบ
ไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น
ผมรู้ดีว่าวันนี้ผมเองก็มีส่วนผิดที่ยังมีท่าทีทอดไมตรีให้กับกอล์ฟ
ซึ่งนั่นคงจะทำให้เขาหึงมาก
ผมจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายง้อด้วยการเดินไปหาเขาที่บัดนี้กำลังนั่งหันหลังให้แล้วเอามือบีบนวดที่ต้นคอเขาเบาๆ

“เมื่อยเหรอ หรือว่าเหนื่อย” ผมถามออกมาเบาๆ

“เผลอเป็นไม่ได้เลยนะ ตกลงวันนี้มาเชียร์ทีมหรือไอ้กอล์ฟกันแน่”

ทีมพูดออกมาโดยไม่หันมามองหน้าผม

“มันไม่ใช่อย่างที่ทีมคิดนะ บีไม่ได้คิดอะไรกับกอล์ฟแล้ว เขาแค่ขอน้ำดื่ม
บีก็ไปตักให้ มันก็แค่นี้”

ผมพยายามอธิบาย แต่เมื่อเห็นทีมยังคงทำนิ่งอยู่ ผมจึงพูดประชดออกมา

“ไม่เชื่อก็ตามใจ งั้นบีกลับล่ะ”

ในเวลานั้นเองที่ทีมหันหลังกลับมาแล้วก็คว้ามือของผมไปจับเอาไว้ก่อนที่จะค่อยๆ
เอามือทั้ง 2 ข้างของเขามาประกบไว้ด้วยความรักก่อนจะพูดออกมาว่า

“ทีมเชื่อใจบีนะ บีจะไม่มีวันทำให้ทีมต้องเสียใจใช่มั้ย”

ผมค่อยๆ พยักหน้าเป็นการยืนยันกับทีม
แต่ภายในใจนั้นกลับไม่รู้สึกมั่นใจเอาเสียเลยว่าผมจะสามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับทีมได้หรือไม่

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:53:34

-----------------------------------------------

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 11 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย
กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว

-------------------------------------------------------


แม้ทีมจะบอกว่าเขาเชื่อใจผม
แต่หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นทีมก็ไม่ยอมให้ผมไปเชียร์เขาที่สนามฟุตบอลอีก
รวมทั้งพยายามทุกวิถีทางที่จะมั่นใจได้ว่าผมจะไม่ได้เจอะเจอกับกอล์ฟอีกเลยไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็ตาม

จนบางครั้งเขาถึงขนาดพาผมเดินอ้อมตึกโดยให้เหตุผลว่าอยากออกกำลังกายและจะได้ใช้เวลากับผมมากขึ้น
แต่จริงๆ
แล้วผมรู้ดีว่าที่เขาต้องทำอย่างนั้นก็เพียงเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดินผ่านห้องกอล์ฟเวลาที่เราเปลี่ยนห้องเรียน

ถ้าไม่นับเรื่องกอล์ฟและการทะเลาะเบาะแว้งกันเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอย่างสม่ำเสมอ
ผมคิดว่าคู่ของเราก็เป็นคู่รักที่มีความสุขมากที่สุดคู่หนึ่ง
เพราะทีมก็ยังคงเอาอกเอาใจและตามใจผมอยู่เสมอ
ไม่ว่าผมจะเอาแต่ใจตัวเองมากแค่ไหนก็ตาม

ในขณะที่ผมเองก็เริ่มโอนอ่อนผ่อนตามและยอมเขามากขึ้น
แม้บางครั้งจะอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ว่าจริงๆแล้ว
ทีมแทบจะไม่เคยเปลี่ยนแปลงนิสัยอารมณ์ร้อนและโผงผางของตัวเองได้เลย

และอาจจะเป็นเพราะผมกับทีมไม่สามารถแสดงความรักต่อกันได้อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ
เราจึงมักจะหาเวลาอยู่ด้วยกัน 2 ต่อ 2 มากขึ้น
เพราะนั่นคงจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่เราจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจโดยไม่ต้องแคร์สายตาใคร

ซึ่งสถานที่ที่เรามักจะแอบมาใช้เวลาด้วยกันก็คือในโรงหนัง และบ้านของผมเอง

วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ทีมจะใช้เวลาในช่วงวันหยุดเสาร์
อาทิตย์มาขลุกตัวอยู่ที่บ้านของผม โดยเขามักจะมานอนเอกเขนกบนโซฟา ดูทีวี
และทานผลไม้ที่ผมปอกไว้ให้อย่างสบายใจจนผมอดรู้สึกหมั่นไส้ไม่ได้

“นี่ จะเป็นคุณชายเกินไปแล้วนะ”

ผมพูดประชดเมื่อเห็นทีมทำตัวยังกะเป็นของเจ้าบ้านเสียเองในขณะที่ผมต้องคอยเสริฟขนม
เสริฟน้ำราวกับคนใช้

“ไม่ใช่คุณชาย เป็นคุณผู้ชายต่างหากล่ะ เรียกให้ถูกหน่อย เอ้า นี่ น้ำหมดแล้ว
ไปเติมมาหน่อยสิ”

“ นี่....”

ผมทำเสียงไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ได้แต่เดินไปหยิบแก้วจากมือทีมแล้วก็ไปเติมน้ำหวานให้เขาตามสั่งอย่างงอนๆ

“เอาวางไว้นั่นแหละ แล้วมานั่งนี่” ทีมพูดออกคำสั่งอย่างยิ้ม ๆ
เมื่อผมเอาน้ำกลับมาให้

“อะไรนะ...” ผมอุทานออกมาเมื่อเห็นจุดที่เขาบอกให้ผมไปนั่ง

“บอกให้มานั่งนี่ไงเล่า”

ว่า แล้วทีมก็ดึงตัวผมลงไปนั่งบนตักด้านหน้าของเขาแล้วเอามือทั้ง 2 ข้างเข้ามาโอบกอดผมไว้แน่น จากนั้นจึงค่อยๆโน้มตัวเอาศีรษะมาพาดบนไหล่ผมไว้

ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังเอาจมูกมาหอมแก้มผมและก็ค้างไว้อย่างนั้นจนผมขนลุกซู่ไปทั้งตัวด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด

เป็นเวลานานที่เราทั่งคู่ต่างนั่งหลับตานิ่งโดยไม่มีใครปริปากพูดอะไรราวกับพยายามซึมซับช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ไว้ให้นานที่สุด

“ทำไมบีไม่เกิดมาเป็นผู้หญิงนะ” ทีมพูดพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ทำไมเหรอ ถ้าบีเป็นผู้หญิง แล้วทีมจะทำอะไรบี”

“นี่ทีมนะไม่ใช่บาส ไม่ได้คิดลามกอย่างนั้นซะหน่อย”

“งั้นจะทำไมล่ะ”

ก่อนจะตอบผมรู้สึกว่าเขากอดผมแน่นขึ้นแล้วก็หอมแก้มผมอีกฟอดใหญ่

“ถ้าทีมมาขอ บีว่าพ่อกับแม่จะยกบีให้ทีมมั้ย”

แม้เป็นคำถามที่เราต่างรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้แต่ผมก็คิดว่าเขาถามคำถามนี้อย่างจริงจัง
บางทีเขาอาจจะคิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราไปไกลกว่าที่ผมคิด

“แล้วทีมว่า พ่อแม่ทีมจะยอมรับได้มั้ยล่ะที่จะมีลูกสะใภ้เป็น...ผู้ชาย”

ผมพยายามดึงเขากลับสู่โลกของความเป็นจริง

“นั่นสินะ ทีมถึงเสียดายไงที่บีไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง”

ทีมตอบกลับมาพลางถอนหายใจออกมาอีกครั้งในขณะที่ผมเองก็เจ็บปวดในใจอยู่ไม่น้อยกับความจริงที่เราต่างรับรู้นี้

“แต่ถ้าบีเป็นผู้หญิงเราก็อาจจะไม่ได้มานั่งกอดกันแบบนี้
แล้วบีก็คงไม่ยอมให้ทีมมาขโมยจูบบีแบบนี้ด้วย”

“ขโมยเหรอ ใครขโมย
การขโมยคือการที่เราเอาของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่รู้หรือไม่เต็มใจไม่ใช่เหรอ ....อย่าบอกนะว่าบีไม่เต็มใจให้ทีมจูบ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

ว่าแล้วผมก็ทำท่าจะลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้
แม้ในใจจะรู้ดีว่าต่อให้ต้องเสียเนื้อเสียตัวให้เขามากกว่านี้ผมก็ยอมได้
แต่เมื่อผมยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งกอดผมไว้แน่น

“โอเค โอเค ขโมยก็ขโมย บีอย่าไปไหนนะ ให้ทีมกอดบีไว้อย่างนี้นะ ทีมขอร้อง”

เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเขาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ซึ่งนั่นทำให้ผมกลับอ่อนระทวยจนกลายมาเป็นฝ่ายไปแอบอิงเขาไว้

“ทำไมทีมถึงมาชอบบีได้ล่ะ” ผมเริ่มถามเขาในสิ่งที่ค้างคาใจมานาน

“นั่นนะสิ ทีมก็เคยถามตัวเองเหมือนกัน แต่กลับหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
สงสัยจะโดนทำเสน่ห์”

“บ้า.....” ผมพูดออกมาอย่างยิ้มๆ

“นึกไปแล้ว ทีมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันนะว่าเราจะมีวันนี้
ตอนแรกมันเริ่มจากแค่ทีมอยากจะแก้แค้นไอ้กอล์ฟที่ทีมฟุตบอลของทีมแพ้ทีมของมันก็เท่านั้น
ทีมก็เลยตั้งใจจะไปแย่งแฟนของมันให้หายแค้น แต่รู้มั้ย
ตอนแรกที่ทีมรู้ว่าแฟนมันเป็นผู้ชายน่ะ ทีมตกใจมากเลยนะ”

ผมได้แต่นิ่งยิ้ม
พลางอดขำไม่ได้ที่ทีมเชื่อเรื่องล้อเล่นในหมู่เพื่อนสมัยประถมของผมอย่างเอาจริงเอาจัง

“แต่พอมาเจอบีวันแรก ทีมก็เลยเลิกคิดจะแก้แค้นแล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“ก็หน้าตาอย่างนี้ใครจะจีบลงล่ะ” ทีมตอบมาอย่างขำๆ

“ใช่สิ บีมันคนหน้าตาไม่ดี แล้วทีมมามัวนั่งกอดคนหน้าตาไม่ดีอยู่ทำไมเนี้ย” ผมเริ่มงอน

“ล้อเล่นน่า บีไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วบีเป็นคนน่ารักขนาดไหน
ไม่งั้นคนอย่างไอ้กอล์ฟ มันก็คงไม่มาชอบบีหรอก”

ถึงตรงนี้ ผมคิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องพูดความจริงเสียที

“ทีม......คือกอล์ฟกับบีไม่เคยเป็นแฟนกันหรอกนะ แล้วเขาก็ไม่ชอบบีด้วย
เขาไม่ชอบผู้ชายด้วยกันหรอก”

“คิดอย่างนั้นเหรอ ผู้ชายน่ะนะ เขาไม่มามัวเสียเวลาทำดีกับคนที่เขาไม่ชอบหรอก”

หลังทีมพูดจบ
ผมจึงคิดได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้เขาจะปฏิเสธว่าเขาไม่ได้คิดกับผมไปมากกว่าเพื่อน
แต่เขาก็ปฏิบัติกับผมอย่างให้เกียรติและเป็นสุภาพบุรุษเสมอ
จะว่าไปในบรรดาเพื่อนที่เป็นเกย์ทั้งหมดก็คงมีผมคนเดียวกระมังที่เขาดีด้วยขนาดนี้

“แค่เห็นแววตาตอนที่มันมองบี ทีมก็รู้แล้วว่ามันคิดอะไรอยู่ .........ถึงมันจะไม่รู้ตัวเอง แต่ผู้ชายด้วยกันน่ะดูออก
ไม่งั้นทีมคงไม่ต้องตามหึงมันให้เหนื่อยหรอก”

ทีมแสดงความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนคิด

ถึงคำพูดของทีมจะดูมีเหตุผลแต่ผมก็ไม่ได้คล้อยตามเขามากนัก
ในใจผมคิดว่าเขาคงจะหึงผมมากจนคิดไปเองมากกว่า

“แล้วก็ไหนว่าพอเห็นหน้าบีแล้วก็เลิกคิดจะจีบบีแล้วไงละ”

ผมตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องหลังจากกลัวว่าการพูดถึงกอล์ฟให้นานไปกว่านี้อาจจะทำให้เรื่องของเราในวันนี้ต้องจบลงด้วยโศกนาฏกรรมได้

“ก็เลิกคิดจริงๆ แต่ทีมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทีมยังชอบแอบมองบีเวลาที่บียิ้ม
เวลาที่บีหัวเราะ ทีมรู้สึกเหมือนกับว่าบีทำให้คนที่อยู่รอบข้างมีความสุขได้ทั้งวัน
จนบางครั้งบีก็อดรู้สึกอิจฉาเพื่อนที่อยู่รอบๆ ตัวบีไม่ได้
แล้ววันที่ทีมไปเห็นบีกับกอล์ฟในห้องสมุดนั้นแหละ ทีมเลยเริ่มรู้ใจตัวเอง”

“ทำไมเหรอ”

“ไม่รู้สิ พอเห็นบีอยู่ด้วยกันกับไอ้กอล์ฟ บีรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ในใจคิดถึงแต่ภาพนั้นอยู่ตลอดเวลา
แล้วยิ่งวันคัดตัวนักฟุตบอลที่เห็นบีวิ่งร้องไห้ไปหลังโรงเรียน
บีแทบอยู่ไม่ติดเลยรู้มั้ย ในใจมัวแต่คิดตลอดเวลาว่าเกิดอะไรขึ้น ใครทำให้บีร้องไห้
ทีมก็เลยตัดสินใจวิ่งตามบีไป วันนั้นแหละที่ทีมแน่ใจตัวเองว่าชอบบีเข้าให้แล้ว”

“โธ่ แล้วดันทำมาแกล้งว่าจะมาเข้าห้องน้ำ แถมยังมาทำโวยวายหยาบคายใส่บีอีก”

“ ทีมมันก็หยาบๆ เถื่อนๆอย่างนี้แหละ ยังไม่ชินเหรอ”

“ก็ไหนบอกจะพยายามปรับปรุงตัว”

“ก็พยายามอยู่นี่ไง ให้เวลากันหน่อยสิ”

“แล้วถ้าทีมทำไม่ได้ล่ะ”

ผมเผลอหลุดถามคำถามนี้ออกไปทั้งๆ
ที่ในใจก็ไม่ได้สนใจอีกแล้วว่าเขาจะแก้นิสัยเสียนี้ได้หรือไม่
แต่ดูเหมือนทีมจะจริงจังกับคำถามนี้มากเพราะเขานิ่งเงียบไปพักนึงก่อนจะตอบกลับมาว่า

“ถ้าวันไหนที่ทีมทำหยาบคาย หรือทำร้ายบีอีก ทีมก็จะยอมปล่อยบีไปโดยไม่รั้งไว้”

น้ำเสียงของเขาในครั้งนี้ซีเรียสจนผมไม่กล้าพูดอะไรออกมา

“แต่รู้มั้ย มันจะไม่มีวันนั้นหรอก” ทีมพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“มั่นใจขนาดนั้นเชียว”

“มั่นใจสิ เพราะนับตั้งแต่วันนี้ ทีมจะค่อยๆ ทำให้บีรักทีมมากขึ้นและมากขึ้น”

“ยังไงเหรอ” ผมแกล้งถามอย่างท้าทาย

แทนคำตอบทีมค่อยๆพลิกตัวผมให้หันหน้าเข้าหาเขาในขณะที่สายตากำลังจ้องมองมาที่ผมเหมือนจะสะกดให้ผมหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น
จากนั้นเขาค่อยๆ
โน้มตัวเอาริมฝีปากคู่งามนั้นลงมาประทับบนเรียวปากของผมอย่างแผ่วเบา แล้วจึงค่อยๆ
สอดลิ้นอุ่นเข้ามาดูดดุนกับลิ้นของผมไว้จนผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังค่อยๆ
จูบผมหนักหน่วงขึ้นท่ามกลางอ้อมกอดที่ยังรัดรึงผมเอาไว้จนแทบจะทำให้เราหลอมละลายรวมเป็นคนๆเดียวกัน

ในชีวิตของผม...ทีมได้เข้ามาทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่า “ครั้งแรก” ในหลายๆ เรื่อง

และ “จูบแรก” ในวันนั้นก็เป็นเหตุการณ์ที่ผมต้องประทับไว้ในความทรงจำอย่างไม่รู้ลืม

แต่หากการจูบผมในครั้งนี้คือสิ่งที่ทีมเชื่อว่าจะทำให้ผมค่อยๆรักเขามากขึ้นและมากขึ้น ...เขาก็กำลังคิดผิด

เพราะ “จูบแรก” ที่ผมได้รับในวันนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผมรักเขามากขึ้นเท่านั้น

หากแต่มันยังทำให้ผม “รักเขาหมดทั้งตัวและหัวใจ” รวมทั้งยังรู้ตัวเองด้วยว่า

ทีมได้เป็น “เจ้าของ” หัวใจของผมแล้วอย่างสมบูรณ์

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:54:01

---------------------------------------------------------

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 12 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย
กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว

-------------------------------------------------------

ถึงแม้ตอนนี้ผมจะรู้ตัวเองแล้วว่าได้รักผู้ชายคนนี้อย่างเต็มหัวใจแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าทีม
ผมก็ยังแสร้งสงวนท่าทีและเก็บงำความรู้สึกของตัวเองเอาไว้และพยายามแสดงว่าทีมนั้นยังอยู่ในขั้น “กำลังพิจารณา” เท่านั้น

ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผมยังหวังให้เขาเปลี่ยนแปลงนิสัยมาอ่อนโยนและสุภาพกับผมมากขึ้น
เพราะยังไงเสียนี่ก็คือลักษณะนิสัยของผู้ชายที่ผมใฝ่ฝันมาตลอด

ในความคิดของผม
นิสัยตรงไปตรงมาและโผงผางของทีมนั้นเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของความสัมพันธ์ ของเราเพราะมีหลายครั้งที่เราต้องมาทะเลาะกันก็เพราะความอารมณ์ร้อนและ วู่วามของเขา
ผมจึงอดคิดไม่ได้ว่าผมคงจะมีความสุขมากขึ้นถ้าเขาจะเปลี่ยนมาสุภาพอ่อนโยนกับผมให้มากกว่านี้

น่าเสียดายที่ผมไม่เคยพยายามที่จะยอมรับความเป็นตัวตนของเขาเลย
ทั้งๆที่ความเป็นจริงมันอาจจะไม่ได้กระทบกับความสัมพันธ์ของเรามากมายอย่างที่คิด
แต่เพราะความที่ผมอยากจะให้ผู้ชายคนนี้เป็นเหมือนผู้ชายในอุดมคติ
ผมจึงพยายามบังคับให้เขาเปลี่ยนตัวเองโดยมองข้ามความเป็นจริงที่ว่า “ไม่ว่าเขาจะมีนิสัยอย่างไร เขาก็เป็นผู้ชายที่รักผมมากที่สุด”

และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือในขณะที่ผมบังคับให้เขาเปลี่ยนตัวเองมากมายเพื่อผม
แต่ผมกลับไม่เคยคิดจะเปลี่ยนนิสัยแย่ๆ ของตัวเองเพื่อเขาเลย

อย่างไรก็ดีแม้ผมกับทีมจะมีบางจุดที่ดูเหมือนจะยังไม่ลงตัว
แต่วันเวลาที่ผ่านไปก็ทำให้ความสัมพันธ์ของเราแนบแน่นขึ้น
ทีมยังคงโทรศัพท์มาพูดคุยกับผมอย่างสม่ำเสมอจนเสมือนเป็นสิ่งที่เขาต้องทำเป็นกิจวัตรก่อนเข้านอน
และคืนนี้เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นผมจึงค่อยๆเดินไปรับสายอย่างไม่กระตือรือร้นเพราะรู้ดีว่าคนที่โทร.
มาคือใคร

“ฮัลโหล”

“นอนหรือยัง กอล์ฟโทร. มากวนบีหรือเปล่า”

เสียงของกอล์ฟจากปลายสายทำให้ผมอดตกใจไม่ได้ เนื่องจากกอล์ฟไม่เคยโทร.
มาคุยกับผมที่บ้านมาก่อน

“ยัง .....ยังหรอก กอล์ฟ...มีอะไรหรือเปล่า” ผมตอบกลับไปหลังจากรวบรวมสติได้

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้สึกว่าเราไม่ได้คุยกันนานแล้ว” ผมจับน้ำเสียงเครียดของเขาจากคำตอบนี้ได้

“อย่าพยายามเลย กอล์ฟโกหกไม่เก่งหรอก” ผมตัดสินใจคาดคั้นไปตรงๆ

“ คือ...กอล์ฟมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย แล้วไม่รู้จะปรึกษาใคร
พอดีนึกถึงบีขึ้นมา”

“เรื่องแก้วเหรอ”

“ถ้าไม่รู้จักบีมาก่อน กอล์ฟคงคิดว่าบีเป็นหมอดูแน่ๆ” เขาแกล้งแหย่ผมเล่นอย่างเป็นกันเอง

“ทำไมล่ะ” ผมพูดพลางหัวเราะ

“ก็คงมีแต่บีล่ะมั้ง ที่กอล์ฟไม่มีวันโกหกสำเร็จ
แล้วก็คงมีแต่บีเหมือนกันที่รู้ใจกอล์ฟที่สุด”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ผมรีบถามเขาไปตรงๆเพราะรู้สึกว่าคำพูดของเขาเมื่อกี้กำลังทำให้ผมเขิน

“ไม่รู้สิ เหมือนช่วงนี้เรามีปัญหากันบ่อย ทะเลาะกันมากขึ้น”

“แหมเป็นแฟนกัน จะทะเลาะกันบ้างก็ไม่เห็นแปลกเลย”

ผมพูดจากใจจริงเมื่อนึกถึงว่าผมกับทีมเองก็ทะเลาะกันเกือบทุกวัน

“แต่กอล์ฟไม่เข้าใจแก้วเขาเลยจริงๆนะ ดูเหมือนยิ่งคบกันนานเข้า
เหมือนเราจะยิ่งเข้ากันไม่ได้”

“บีว่าถ้าทั้งกอล์ฟกับแก้วพยายามปรับตัวเข้าหากัน
หรือลองยอมรับความเป็นตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้น มันก็อาจจะทำให้อะไรๆดีขึ้นนะ”

ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเพิ่งพูดประโยคนี้ออกไปทั้งๆที่ผมเองก็ไม่เคยคิดจะทำเลย

“อย่างงั้นเหรอ .......”

หลังจากวันนั้นดูเหมือนผมได้กลายเป็นที่ปรึกษาหัวใจประจำตัวกอล์ฟไปเสียแล้ว
เพราะว่าในวันต่อๆมา เขาก็เริ่มโทร.
มาปรึกษาผมเรื่องความรักของเขาบ่อยขึ้นจนผมต้องจัดตารางเวลาให้เขาโทร.
มาหาผมตอนทุ่มตรง โดยให้เหตุผลว่าช่วงดึกๆ ผมต้องอ่านหนังสือ

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ผมกลัวว่าหากกอล์ฟโทร.
มาดึกกว่านั้นจะทำให้ทีมซึ่งมักจะโทร.มาหาผมราว 2 - 3 ทุ่มจะเริ่มสงสัยว่าทำไมโทร.
มาแล้วสายของผมจึงไม่ว่าง
ผมยังคงให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์อย่างลับๆ
กับกอล์ฟมาอีกหลายวันโดยที่ทีมไม่รู้และไม่ระแคะระคายเลย
จนช่วงหลังกอล์ฟเริ่มโทร. มาหาผมทุกวันแต่เขากลับคุยกับผมในเรื่องของแก้ว
หรือความรักของเขาน้อยลงเรื่อยๆ แต่หันมาชวนผมคุยเรื่องอื่นๆแทน

....จนกระทั่ง

“บี .....กอล์ฟเลิกกับแก้วแล้วนะ”

“อะไรนะ” ความจริงนี้ทำให้ผมตกใจมากทีเดียว

“ไม่ต้องทำเสียงตกใจขนาดนั้นก็ได้”

“ เอ่อ เสียใจด้วยนะ
บีคงเป็นคนให้คำปรึกษาที่แย่มาก”

“ไม่เกี่ยวกับบีหรอก
กอล์ฟรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเราคงไปกันไม่รอด”

“แล้วกอล์ฟเสียใจมากหรือเปล่า” ผมถามด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ

“แปลกนะ กอล์ฟไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากนักหรอก
สงสัยกอล์ฟอาจจะไม่ได้ชอบแก้วเขามากอย่างที่คิด หรือไม่กอล์ฟก็คงทำใจได้มานานแล้ว”

น้ำเสียงของเขาเป็นปกติจนผมออกจะเชื่อว่าเขาคงไม่เป็นไรจริงๆ

“แล้วกอล์ฟจะทำไงต่อ จะไม่ลองปรับความเข้าใจกันใหม่เหรอ” ผมยังหวังว่าเขาน่าจะให้โอกาสแก้วกับตัวเองอีกครั้ง

“คงไม่ดีกว่า มันเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ”

“แต่...บีว่า...”

ผมยังไม่ละความพยายามที่จะเป็นกาวใจให้กับคนทั้งคู่
แต่กอล์ฟก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ บีคิดว่าไงถ้ากอล์ฟจะลองหาแฟนใหม่ เป็นใครสักคนที่กอล์ฟชอบเขาจริงๆน่ะ”

“ก็...ก็ดีสิ...ถ้าเป็นคนที่กอล์ฟชอบ แล้วยิ่งถ้าเขาชอบกอล์ฟด้วย
ก็จะยิ่งดีใหญ่เลย” ผมตอบไปพลางอดคิดไม่ได้ว่าคนๆนั้นคือใคร

“อืม ถ้าเป็นเมื่อก่อน กอล์ฟคิดว่าเขาก็คงชอบกอล์ฟเหมือนกัน
แต่ตอนนี้กอล์ฟชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขาจะยังชอบกอล์ฟอยู่หรือเปล่า
ในเมื่อกอล์ฟเป็นคนขอให้เขาเลิกชอบกอล์ฟเอง กอล์ฟคงทำผิดมากใช่มั้ย”

“เอ่อ....ไม่รู้สิ”

ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทั้งๆที่ในใจผมกำลังนึกถึงว่า
ครั้งนึง...ผมนี่ล่ะคือคนที่กอล์ฟมาขอให้เลิกชอบเขา
รวมทั้งอดนึกถึงประโยคที่ทีมเคยพูดกับผมไว้ไม่ได้

“ผู้ชายน่ะนะ เขาไม่มามัวเสียเวลาทำดีกับคนที่เขาไม่ชอบหรอก”

แล้วทีมยังบอกผมอีกว่า

“แค่เห็นแววตาตอนที่มันมองบี ทีมก็รู้แล้วว่ามันคิดอะไรอยู่ .........ถึงมันจะไม่รู้ตัวเอง แต่ผู้ชายด้วยกันน่ะดูออก
ไม่งั้นทีมคงไม่ต้องตามหึงมันให้เหนื่อยหรอก”

นึกถึงตรงนี้ความคิดของผมก็เตลิดไปถึงไหนต่อไหน

“บี...บี...ฟังกอล์ฟอยู่หรือเปล่า” เสียงเรียกของกอล์ฟทำให้ผมตื่นจากภวังค์

“ใจลอยไปไหนเนี้ย” กอล์ฟแกล้งพูดกระเซ้าผม

“เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก” ผมพยายามแก้ตัว

ในวันนั้นหลังจากที่พูดคุยกันเรื่องที่กอล์ฟเลิกกับแก้วแล้ว
เราก็ยังคุยกันต่อในเรื่องอื่นๆอีกนานมาก

นานจนผมลืมเวลาเคอร์ฟิวที่ทีมจะต้องโทร. มาหาผม
และนั่นเองทำให้หลังจากที่ผมวางหูจากกอล์ฟลง
เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทันทีพร้อมกับเสียงเกรี้ยวกราดของทีม

“คุยกับใครอยู่เนี้ย ทีมกดมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ สายไม่ว่างเลย”

“บีปล่าวคุยกับใครสักหน่อย
แต่เดี๋ยวจะไปถามแม่ให้มั้ยล่ะว่าแม่คุยกับใครตั้งนานสองนาน
จะบอกแม่ให้ด้วยว่าทีมอยากรู้”

ผมรีบพูดคำแก้ตัวที่นึกเอาไว้แล้วระหว่างที่คุยอยู่กับกอล์ฟ

“จะบ้าหรือไง ไม่ต้องหรอก ก็ทีมนึกว่าบีแอบไปคุยกับใครลับหลังทีมเสียอีก”

“ก็บอกว่าไม่มี ก็ไม่มีสิ”

ผมรู้สึกโล่งอกที่สามารถเอาตัวรอดในคืนนี้ไปได้เพราะดูเหมือนทีมจะเชื่อคำโกหกของผมอย่างสนิทใจ
แม้จะรู้สึกไม่ดีที่ต้องพูดปดกับทีมแต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่ว่า “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดความจริงอาจตายได้” ผมก็เลยตัดสินใจโกหกเขาไปดีกว่า เพราะผมรู้ดีว่าถ้าหากผมบอกความจริงไป.....
อะไรจะเกิดขึ้น

แม้ในเช้าวันต่อมาผมจะแสร้งทำทีเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นและคิดว่าผมคงเอาตัวรอดจากวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ไปได้

แต่ ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่ยอมให้อภัยกับการพูดโกหกของผมเมื่อคืนทำให้ระหว่างทาง ที่ผมกับทีมกำลังเดินไปห้องสมุดนั้นก็ได้พบกับกอล์ฟเข้าโดยบังเอิญ

“จะไปห้องสมุดกันเหรอ” กอล์ฟเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา

“ใช่ ”

ทีมตอบกลับไปแบบห้วนๆ แล้วก็รีบคว้ามือผมเพื่อเดินต่อไป
แต่ประโยคต่อมาของกอล์ฟทำให้เขาต้องหยุดชะงัก

“ บี...ขอบใจมากนะสำหรับเรื่องเมื่อคืน กอล์ฟรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

คำพูดของกอล์ฟประโยคนี้ทำให้หัวใจของผมแทบหยุดเต้น

“อะไรนะ เมื่อคืนบีไปทำอะไรให้นะ” ทีมหันไปจ้องตากอล์ฟอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ

“ไม่มีอะไรหรอก...คือเรา..” ผมพยายามจะช่วยชีวิตตัวเองในเฮือกสุดท้าย
แต่ทีมกลับหันมาตวาดผม

“ทีมถามไอ้กอล์ฟมัน ไม่ได้ถามบี ตกลงว่าไง บีเค้าไปทำอะไรให้มึง”

“ทำไมต้องไปตวาดบีด้วยเล่า มันไม่มีอะไรนี่ ก็แค่กูเลิกกับแก้ว
เมื่อคืนกูก็เลยโทร.ไประบายกับบี มันก็แค่นั้น”

“เมื่อคืนมึง โทร. หาบีเหรอ กี่โมง”

“ก็สัก 2 – 3 ทุ่ม ทำไม...มึงจะซีเรียสอะไรนักหนา”

สิ้นคำตอบนี้ของกอล์ฟ...ผมรู้ได้โดยทันทีว่าชีวิตของผมคงจบสิ้นลงแค่นี้
และยิ่งเมื่อได้เห็นแววตาผิดหวังเหมือนโดนทรยศหักหลังอย่างรุนแรงของทีม
ผมก็ยิ่งเจ็บปวด แต่ไม่ทันที่ผมจะพูดแก้ตัวอะไรออกมา ทีมก็รีบเดินออกไปเสียก่อน

“กอล์ฟพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า” สีหน้ากอล์ฟเริ่มเป็นกังวล

“ปล่าว ไม่มีอะไรหรอก ขอโทษนะ”

พูดจบผมก็รีบวิ่งตามทีมออกไปจนไปเจอเขายืนอยู่ที่ระเบียงอาคารเรียนที่เชื่อมต่อไปห้องสมุดได้

“ทีม ให้บีอธิบายนะ”

“อธิบายเหรอ บีจะอธิบาย หรือจะโกหกอะไรทีมอีก”

“บีไม่ได้ตั้งใจจะโกหกทีมเลยนะ แต่ถ้าบีบอกความจริงกับทีมไปเมื่อคืน
ทีมก็คงโกรธมาก แล้วความสัมพันธ์ของเราก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก
บีผิดเหรอที่จะพยายามรักษาความรู้สึกที่ดีของเราเอาไว้”

“พยายามรักษาความรู้สึกที่ดีของเราเหรอ ฟังดูดีนี่ คิดว่าทีมโง่
คิดว่าทีมเป็นควายหรือไง” พูดจบเขาก็กระชากข้อมือของผมขึ้นไปบีบไว้แน่น

“บีเจ็บนะทีม ปล่อยนะ”

“ยังมีอะไรอีกมั้ยที่บีโกหกทีม ยังมีอะไรอีกมั้ยที่ทีมไม่รู้ นอกจากแอบโทรคุยกัน
บีกับมันยังแอบไปทำอะไรกันอีก”

ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งบีบมือผมแน่นขึ้น จนผมพยายามสะบัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด

“ทีมจะบ้าไปแล้วหรือไง ปล่อยมือบีนะ บีเจ็บ”

“บอกมาสิว่านานแค่ไหนแล้ว
นานแค่ไหนแล้วที่ทีมต้องโง่เป็นควายให้บีกับมันสวมเขาให้อย่างนี้ แล้วลับหลังทีม
บีไปทำอะไรกับไอ้ชู้ชาติชั่วนั่นอีกบ้าง ”

ผมไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะความโกรธ
หรือเพราะต้องการจะหลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่ทีมเอามามือมาบีบแขนผมไว้อย่างนี้
ทำให้ผมระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

“ใช่ บีกับกอล์ฟแอบคุย แอบคบกันมาตั้งนานแล้ว แล้วจะทำไม”

“เพี๊ยะ”

สิ้นเสียงที่ดังขึ้น ผมค่อยๆ
เอามือขึ้นลูบแก้มที่เพิ่งถูกตบอย่างเจ็บปวดจนเริ่มชาข้างนั้นโดยไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะทำอย่างนี้กับผมได้

จริงอยู่ที่ว่าทีมเป็นคนโมโหร้าย
แต่ที่ผ่านมาเขาก็มักแสดงความก้าวร้าวทางคำพูดและท่าทางเท่านั้น
แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาถึงขนาดลงไม้ลงมือกับผม

ในขณะที่ผมยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงนั้น
ทีมเองก็มีสีหน้าตื่นตกใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปไม่แพ้กัน
ผมเห็นเขาทำท่าทีลังเลอยู่พักนึงก่อนที่จะตัดสินใจวิ่งออกไปแล้วทิ้งผมให้ยืนอยู่อย่างเจ็บปวดทั้งกายและใจ

เป็นความเจ็บปวดที่ผมอดคิดไม่ได้ว่า....

.....ทำให้ผม …“ตาสว่าง”....ขึ้น

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:54:41

----------------------------------------------------------

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 13 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย
กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว

-------------------------------------------------------

หลังจากตั้งสติได้ ผมก็รีบเดินกลับไปที่ห้องเพื่อเก็บกระเป๋า
แต่ในระหว่างทางผมกลับไปเจอกับบาสเข้าโดยบังเอิญ

“เอ้าไอ้ทีมไปไหนล่ะ ทำไมปล่อยให้เมียมาเดินคนเดียวแบบนี้เนี้ย”

เขาเริ่มต้นแซวผมเหมือนทุกครั้งแต่เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้จนเห็นหน้าผมชัดๆ
ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

“แก้มบีไปโดนอะไรมา ทำไมแดงอย่างนั้นล่ะ”

ผมไม่รู้ว่าเขารู้ตัวหรือไม่ถึงพฤติกรรมต่อมาของตัวเอง
เมื่อเขารีบก้าวเข้ามาหาผมพลางเอาจะเอามือมาจับแก้มผมไว้ด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
จนเมื่อผมถอยออกมาด้วยความตกใจเขาจึงหยุดการกระทำนั้นไว้

“ปล่าวหรอก พอดีเราวิ่งไม่ระวังน่ะ ก็เลยไปชนมุมตึกเข้า” ผมโกหกออกไปอย่างอดรู้สึกแปลกใจต่อท่าทีของเขาไม่ได้

“แล้วเจ็บมากหรือเปล่า ไปหาหมอมั้ย เดี๋ยวบาสไปเป็นเพื่อน”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเดียวก็หายแล้ว บาสจะไปไหนก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงเราหรอก”

พูดจบผมก็รีบเดินหลบออกมาอย่างไม่เข้าใจท่าทีและพฤติกรรมของนายคนนี้เอาเสียเลย
โดยเฉพาะสีหน้าและคำพูดเป็นห่วงเป็นใยจนเกินเหตุเมื่อครู่
พลางทำให้ผมอดนึกไปถึงตอนที่เขาพยายามช่วยเหลือผมเมื่อตอนเข้าค่ายลูกเสือด้วยไม่ได้

แต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็เลิกสนใจเรื่องของบาสอีก เพราะเรื่องระหว่างผม
กับทีมก็กลับมารบกวนจิตใจผมอีกครั้ง

การที่ทีมกล้าตบหน้าผมนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน
แม้ผมเองจะมีส่วนผิดที่ไปโกหกแถมยังพูดท้าทายเขาว่าผมกับกอล์ฟแอบคบกันมานานแล้ว
แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธผมมากแค่ไหน เขาก็ไม่น่าจะทำร้ายผมได้ถึงขนาดนี้

ถ้า “ทีม” เป็นแค่เพื่อนธรรมดา หรือเป็นคนอื่นที่ผมรู้จัก
การถูกตบหน้าในครั้งนี้อาจจะทำให้ผมไม่เจ็บปวดมากมายนัก
แต่การถูกทำร้ายจากผู้ชายที่เรารักนั้นมันสุดจะทนจริงๆ

สิ่งที่แปลกอย่างนึงหลังเหตุการณ์นั้นก็คือ ทีมไม่ได้ติดต่อผมมาอีกเลย
ทันทีที่เขาตบหน้าผมเขาก็เดินจากไปโดยไม่มีแม้แต่คำขอโทษ
แถมในตอนนี้ที่เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืนแล้ว
ผมก็ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงโทรศัพท์จากเขา

จนกระทั่งผมกลับไปโรงเรียนในตอนเช้า
เขาก็ไม่ได้เข้ามาทักหรือมาพูดคุยกับผมสักนิด

แม้ผมจะรู้สึกได้ว่าเขาแอบมองผมอยู่ตลอดเวลา
แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงไม่กล้าเข้ามาพูดกับผมตรงๆ

ทั้งๆที่ถ้าเขาเข้ามาพูดแค่คำว่า “ขอโทษ” คำเดียว
ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาก็อาจจะดีขึ้นกว่านี้

นอกจากนั้นเรื่องที่ผมไม่คาดคิดอีกประการที่เกิดขึ้นก็คือ แทนที่จะเป็นทีม
คนที่เป็นฝ่ายเข้ามาหาและมาขอโทษผมกลับเป็นกอล์ฟ

“กอล์ฟขอโทษนะ เมื่อวานกอล์ฟทำเรื่องยุ่งหรือเปล่า”

กอล์ฟเริ่มต้นสนทนาหลังจากที่ชวนผมมากินไอติมด้วยกันหลังเลิกเรียน

“ปล่าวนี่ ทำไมเหรอ” ผมทำเป็นไม่รู้เรื่อง

“ไม่รู้สิ กอล์ฟเห็นคุยกันอยู่ดีๆ ไอ้ทีมมันก็ฉุนเฉียวออกไป
แถมบียังวิ่งตามมันไปอีก กอล์ฟก็เลยไม่แน่ใจว่ามีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”

“เปล่าหรอก กอล์ฟอย่าไปสนใจเลย ไม่มีอะไรหรอก”

“เหรอ อืม งั้นก็ดีแล้ว..............เอ่อคือ.....คือ” กอล์ฟทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่ากอล์ฟ มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆได้เลยนะ
ไหนว่าไว้ใจให้บีเป็นที่ปรึกษาไง ... เรื่องแก้วอีกเหรอ” ผมพยายามเดา

“เปล่า ไม่เกี่ยวกับแก้วหรอก เกี่ยวกับบีนั่นแหละ”

“เกี่ยวกับบีเหรอ ? ”

“คือว่า.........บีจะมาเป็นแฟนของกอล์ฟได้มั้ย”

“อะไรนะ” ผมไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยิน

“อาจจะดูเหมือนกอล์ฟเอาแต่ใจตัวเอง วันก่อนเพิ่งขอให้บีเลิกชอบกอล์ฟไปหมาดๆ
แต่วันนี้กอล์ฟกลับมาขอความรักเสียแล้ว แต่ว่ากอล์ฟไม่อยากหลอกตัวเองอีก”

“เอ่อ..คือ”

“กอล์ฟทำให้บีลำบากใจหรือเปล่า”

“อ๋อ...ปล่าวหรอก...เปล่า...เพียงแต่กอล์ฟเคยบอกว่ากอล์ฟไม่ใช่เกย์ไม่ใช่เหรอ
แล้วกอล์ฟจะมาชอบผู้ชายอย่างบีได้ยังไง”

“กอล์ฟก็ไม่เคยคิดว่าบีเป็นผู้ชายนี่”

“แต่....แต่ว่า....” ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าความรู้สึกไม่แน่ใจตัวเองนี้คืออะไร

“หรือว่าบีมีคนอื่นอยู่แล้ว ?”

คำถามนี้ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่ตั้งใจ
ขณะที่อดคิดไม่ได้ว่าเขาแกล้งไม่รู้ หรือไม่รู้จริงๆถึงความสัมพันธ์ของผมกับทีม

“ทีมสินะ ทีมกับบีคงไม่ได้เป็นแค่เพื่อนสนิทกัน”

“ชะ ชะ ...ใช่” ผมตอบเสียงอ่อยอย่างยอมรับ

“นั่นสิ กอล์ฟคิดไว้อยู่แล้ว.......แล้วมันเป็นแฟนที่ดีหรือเปล่า
มันทำให้บีมีความสุขมั้ย”

ถ้าคำถามนี้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้สัก 2 – 3 วันผมคงให้คำตอบกับกอล์ฟไปได้
แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานผมก็ชักไม่แน่ใจ

เมื่อเห็นท่าทีอึกอักของผมกอล์ฟจึงพูดต่อว่า

“กอล์ฟอาจจะเหมือนเป็นคนเลวที่กำลังพยายามแย่งแฟนเพื่อน
แต่กอล์ฟไม่อยากโกหกตัวเองอีกแล้วกอล์ฟมั่นใจว่ากอล์ฟจะทำให้บีมีความสุขมากกว่าไอ้ทีมมันได้
ให้โอกาสกอล์ฟนะ”

แม้กอล์ฟจะไม่พูดออกมาจากปาก
แต่ด้วยลักษณะนิสัยของกอล์ฟที่ผมชื่นชอบมานานก็ทำให้ผมแน่ใจและรู้อยู่แล้ว ว่าเขาย่อมทำให้ผมมีความสุขได้แน่ๆ ...แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงยังลังเลใจอยู่ดี

“กอล์ฟไม่เร่งรัดเอาคำตอบหรอก บีกลับไปคิดแล้วค่อยมาให้คำตอบกอล์ฟวันหลังก็ได้”

หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน ผมก็เอาแต่หมุกตัวอยู่ในห้องอย่างใช้ความคิด
และทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในช่วง 2 – 3 วันที่ผ่านมา

อันที่จริงผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าผมไม่น่าจะต้องมานั่งเครียดอย่างนี้เลยเพราะหากต้องเลือกระหว่างทีมกับกอล์ฟนั้น
คำตอบมันง่ายนิดเดียวและผมควรจะให้คำตอบเขาไปตั้งแต่ที่คุยกันแล้ว เพราะ...

กอล์ฟ เป็นผู้ชายที่ผมแอบชอบมาตั้งแต่ชั้นประถม
แม้หน้าตาจะไม่หล่อเหลาแบบทีมแต่ก็มีผิวแทนและหน้าตาแบบไทย ๆ
ซึ่งเป็นสเป๊คของผมมากกว่า
นอกจากนั้นเขายังเป็นนักฟุตบอลที่มีความเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว
ในขณะที่กลับมีความเป็นสุภาพบุรุษ และอ่อนโยน
ซึ่งตรงกับคุณลักษณะของผู้ชายที่ผมต้องการทุกอย่าง

ในขณะที่ทีม แม้จะมีหน้าตาหล่อเหลาระดับนายแบบ
แต่จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ชอบคนที่สมบูรณ์แบบจนดูเหมือนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อแบบเขามากนัก
ที่สำคัญ....นิสัยโมโหร้าย และ ป่าเถื่อนของเขานั้นมันเกินจะทนจริงๆ
ความรู้สึกหน้าชาจากการโดนตบเมื่อวันก่อนก็เป็นหลักฐานอย่างดี

แต่...แม้จะมีจุดเปรียบเทียบที่ชัดเจนขนาดนี้
ผมก็ยังไม่สามารถตัดใจไปทางหนึ่งทางใดได้
อาจจะเป็นเพราะตัวทีมเองที่ไม่ว่าเขาจะมีนิสัยยังไง
แต่ความรักที่เขามีให้ผมอย่างมากมายในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นมันทำให้ผมลำบากใจจริงๆ

แล้วผมจะทำยังไงดี ?

ในขณะที่ผมกำลังนั่งเครียดอยู่กับความคิดของตัวเองนั้น
เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

“เข้ามาได้เลยครับแม่ บีไม่ได้ล็อคประตูหรอก”

แต่ แทนที่จะเป็นแม่ คนที่ค่อยๆเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของผมกลับเป็น “ทีม” ซึ่งนั่นก็ไม่ทำให้ผมแปลกใจนักเพราะช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ทีมได้เป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัวที่เข้านอกออกในบ้านนี้ได้อย่างสะดวกอยู่แล้ว

“บี...บีหายเจ็บ หายโกรธทีมหรือยัง” ทีมค่อยๆพูดขึ้นมาอย่างคนสำนึกผิด

“หาย ไม่หายแล้วทำไมล่ะ” ผมตอบไปห้วนๆ

“ทีม ขอโทษนะ ทีมไม่ตั้งใจจริงๆ” พูดจบเขาก็หันแก้มด้านขวาของตัวเองมาทางผม

“ตบทีมสิ จะตบกี่ทีก็ได้ ตบจนกว่าบีจะหายโกรธ หรือจะเอาเท้าเหยียบหน้าทีมก็ได้
หรือ....จะทำอะไรกับทีมก็ได้ อะไรก็ได้ที่ทำให้บีหายโกรธ”

เมื่อเห็นผมเอาแต่ยืนนิ่ง ทีมก็รีบเข้ามาคว้ามือผมแล้วยกมันขึ้นไปตบหน้าตัวเอง

“ตบสิ ตบแรงๆ เลย กี่ทีก็ได้จนกว่าบีจะพอใจ”

“พอเถอะ พอสักที ทีม” ผมรีบสะบัดมือจากเขา “บีว่าเรื่องของเราน่าจะ จ...”

“เดี๋ยว...เดี๋ยวนะ อย่าเพิ่งพูด .......เอาล่ะถ้าบียังไม่หายโกรธ
วันหลังทีมค่อยกลับมาใหม่ก็ได้ จริงๆ แล้วตั้งแต่เมื่อวาน ทีมอยากจะโทร.หา
อยากจะมาขอโทษบีใจจะขาด แต่ทีมกลัวว่าถ้าบียังโกรธทีมอยู่ บีอาจจะพาลขอเลิกกับทีม
ทีมทนไม่ได้หรอกนะ ถ้าวันนี้บียังโกรธทีมอยู่ งั้นทีมจะมาใหม่วันหลังก็แล้วกัน”

ทีมทำท่าจะหันหลังกลับแต่ผมร้องเรียกเขาไว้

“ทีม.... บีขอร้อง เราหยุดหลอกตัวเองกันเถอะ จะวันนี้ หรือวันไหน
ความจริงมันก็ไม่เปลี่ยนไปหรอก..... ทีมรู้หรือเปล่าว่าตั้งแต่เราคบกันมา
เราทะเลาะกันมากี่ครั้ง”

“ไม่รู้สิ ทีมมันความจำไม่ดี”

“มันไม่เกี่ยวกับความจำหรอก
แต่ที่ทีมจำไม่ได้เพราะว่าเราทะเลาะกันจนนับครั้งไม่ถ้วนต่างหาก”

“แล้วยังไงล่ะ”

“มันก็หมายถึงว่าที่จริง เราอาจจะเข้ากันไม่ได้เลย”

“บี....” เขาเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน

“วันนี้บีเพิ่งไปเจอกอล์ฟมา”

“อะไรนะ” ผมรู้สึกได้ว่าเขาพยายามกดน้ำเสียงตัวเองไว้

“เขามาขอเป็นแฟนกับบี”

หลังผมพูดจบทีมก็อดแสดงอาการเกรี้ยวกราดออกมาไม่ได้

“ขอเป็นแฟนกับบี ทั้งๆที่มันรู้ว่าบีเป็นของทีมงั้นเหรอ”

“ทีม...บีไม่ใช่สิ่งของนะ ที่ใครจะมาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของได้ บีมีความคิด
บีมีจิตใจ แล้วก็เจ็บปวดได้เวลาโดนตบ”

ดูเหมือนคำเสียดสีนี้จะทำให้ทีมมีสีหน้าสลดลงในที่สุด

“บีก็เลยตอบตกลงไปกับมัน แล้วก็จะมาขอเลิกกับทีมอย่างนั้นเหรอ”

“เปล่า บียังไม่ตัดสินใจ บีแค่อยากจะขอทวงสัญญาที่ทีมเคยให้ไว้กับบี”

“สัญญา ?”

“ใช่ ที่ทีมเคยบอกว่า ถ้าทีมเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ ถ้าทีมทำร้ายบีอีก
ทีมก็จะปล่อยบีไปโดยไม่รั้งไว้”

ทีมค่อยๆแสดงสีหน้าว่าเขาเริ่มนึกออกในสิ่งที่เขาเคยพูดเอาไว้

เป็นคำสัญญาที่ออกมาจากปากของเขาขณะที่กำลังกอดผมอยู่ในอ้อมแขนที่บ้านหลังนี้นี่เอง

“ไม่ต้องห่วงหรอก บีไม่เอาเปรียบทีมหรอก บีขอแค่คืนนี้ คืนเดียวเท่านั้น
แล้วพรุ่งนี้ทุกคนก็จะได้คำตอบ”

ทีมเอาแต่ยืนนิ่งอย่างยอมรับชะตากรรมที่กำลังเกิดขึ้น ก่อนจะพูดออกมาว่า

“ตกลง ไม่ว่าบีจะตัดสินใจยังไง ทีมก็จะยอมรับการตัดสินใจนั้น
แต่ทีมอยากให้บีรู้ว่า ไม่ว่าสิ่งที่ทีมทำลงไป มันจะผิดสักแค่ไหน
ทีมก็ไม่ได้ตั้งใจเลย ทีมเสียใจแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดกว่าบีเป็นสิบเท่า
เป็นร้อยเท่า......... ถ้าบีจะลงโทษทีมด้วยการจะทิ้งทีมไป
ก็มาเอาชีวิตทีมไปเลยดีกว่า เพราะถ้าต้องสูญเสียบีไป
ทีมก็คงไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายทั้งเป็น”

คืนนั้นหลังจากที่ทีมกลับออกไป ดูเหมือนคำพูดของเขาจะทำให้ผมยิ่งคิดหนักมากขึ้น

ในเวลานี้ผมรู้สึกได้อย่างเดียวว่าผมไม่อยากจะตัดสินใจเลือกใครเลยเพราะไม่ว่าผมจะเลือกทางหนึ่งทางใด
ผมก็ต้องทำร้ายคนที่ผมรักทั้งสิ้น

แต่ หากผมจะปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไปกว่านี้ ผมก็คงเห็นแก่ตัวมากที่ทำให้เราทั้ง 3 คนต่างตกอยู่ในความทุกข์เพราะความลังเลใจของผมคนเดียว
ดังนั้นอย่างไรเสียคืนนี้ผมก็ต้องตัดสินใจให้ได้เด็ดขาด

ในที่สุดหลังจากที่ผมเอาแต่นอนนิ่งอย่างใช้ความคิดมาอย่างยาวนาน
ผมก็ตัดสินใจได้ในที่สุด
พร้อมบอกกับตัวเองว่านี่คือเส้นทางที่ผมได้ตัดสินใจเลือกแล้ว
ผมจะไม่เสียใจ
และจะเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่หันหลังกลับมามองอดีตอีก

แม้จะสามารถเลือกทางเดินให้ตัวเองได้แล้ว แต่ในขณะที่ผมค่อยๆ
ปิดตาลงเพื่อจะบังคับตัวเองให้หลับนั้น
ผมก็อดรู้สึกหดหู่ใจพร้อมรำพึงกับตัวเองออกมาเบาๆ ไม่ได้ว่า

“ขอโทษนะทีม บีเสียใจ...เสียใจจริงๆ”

MOOHUN โพสต์ 2010-9-30 20:55:01

----------------------------------------------------------

.............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....( 14 )

ความรักของผมเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในชีวิต
รักครั้งแรกของผมมาเร็วเกินไป….แต่รักครั้งสุดท้าย
กลับมาสายเกินกว่าผมจะรู้ตัว

-------------------------------------------------------

หลังจากตื่นนอนในตอนเช้าอย่างงัวเงีย ผมรู้สึกไม่ค่อยสดชื่นนัก
อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนผมเข้านอนค่อนข้างดึกรวมทั้งมีเรื่องให้คิดตลอดทั้งคืน

เมื่อนึกถึงตรงนี้ผมอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าในขณะที่ผมรู้สึกตัวขึ้นมาราวๆ เช้ามืด
ผมรู้สึกเหมือนหมอนมันเปียก ๆ แต่ด้วยความงัวเงียทำให้ผมหลับต่อไปในที่สุด
และพอตื่นขึ้นมาตอน 7 โมงเช้า
รอยเปียกบนหมอนที่ผมเคยรู้สึกนั้นก็ได้แห้งสนิทไปเสียแล้ว

“นี่ ผมร้องไห้ขณะที่กำลังนอนหลับเหรอ ?”

ผมพยายามสลัดความคิดนี้ทิ้งไปพร้อมกับบอกตัวเองว่า ผมต้องหยุดลังเล
และนับจากวันนี้ผมจะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองให้ได้

“ผมจะเดินไปข้างหน้า และจะไม่หันหลังกลับมามองอดีตอีก”

ถ้าหากผมยังลังเลใจ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่จบสิ้น มันก็จะไม่เป็นผลดีกับใครเลย
ไม่ว่าจะเป็นผม กอล์ฟ หรือแม้กระทั่งทีม

ผมจึงตัดสินใจรีบอาบน้ำ แต่งตัว
และไปโรงเรียนโดยพยายามไม่นำเรื่องนี้เข้ามาในหัวสมองอีก

แต่ในเช้าวันนั้นเมื่อผมไปถึงโรงเรียน ผมก็พบว่าทีมมาถึงก่อนแล้ว
ทั้งๆที่เขาไม่เคยมาโรงเรียนเช้าขนาดนี้

“ทำไมวันนี้ มาเร็วจัง” ผมเริ่มทักทีมอย่างรู้สึกกระอักกระอ่วนในใจ

“นอนไม่ค่อยหลับ”

เขา ตอบมาสั้นๆ ทำให้ผมอดมองไปที่ตาแดงๆของเขาไม่ได้ บางทีเขาอาจจะไม่ใช่แค่ “นอนไม่ค่อยหลับ” แต่ผมคิดว่าเขาอาจจะไม่ได้นอนมาเลยตลอดทั้งคืน

“บีตัดสินใจหรือยัง”

เขาถามออกมาตรง ๆ ซึ่งไม่ทำให้ผมตกใจมากนัก
เพราะผู้ชายคนนี้มักจะพูดหรือถามในสิ่งที่เขาคิดอย่างตรงไปตรงมาเสมอ
ไม่เคยต้องอ้อมค้อม หรือมีพิธีรีตอง

“เอาไว้ตอนเย็นได้มั้ย หลังเลิกเรียนไง”

ทั้งๆที่ผมมีคำตอบอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่อาจทำร้ายจิตใจของเขาในตอนนี้ได้

“จะทรมานทีมเหรอ”

“เปล่า บีแค่ยังตัดสินใจไม่เด็ดขาด”

ผมแกล้งโกหกออกไป ทั้งๆที่ในใจมีคำตอบแล้ว

“ ตกลงนะ เดี๋ยวตอนเย็นเราค่อยคุยเรื่องนี้กันนะ”

ผมรีบตัดบทเพราะรู้ตัวว่าไม่อาจยืนอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ได้อีกต่อไป

ทุกครั้งที่ผมมองไปที่ตาเศร้าๆ ของเขาในวันนี้ ผมก็รู้สึกปวดร้าวเหมือนใจจะขาด

หลังจากได้พูดคุยกับทีมในช่วงเช้า
เขาก็หายไปโดยไม่กลับเข้ามาในห้องเรียนอีกเลยตลอดทั้งวัน

การหายไปของทีมทำให้เพื่อนๆ หลายคนอดมาถามผมไม่ได้ว่าเขาหายไปไหน
ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ได้
เพราะในตอนนี้ผมเองก็กำลังสงสัยเช่นกันว่าเขาโดดเรียนไปหลบอยู่ที่ไหน

แม้ผมจะไม่รู้ว่าทีมอยู่ที่ไหน แต่ผมก็พอคาดเดาถึงเหตุผลที่เขาหายตัวไปได้
เพราะผมเองถึงแม้จะนั่งเรียนอยู่ในห้องตลอดเวลา
ผมก็แทบไม่รู้เลยว่าวันนี้ผมได้เรียนอะไรไปบ้าง
ดังนั้นถึงจะนั่งเรียนอยู่ในห้องหรือไม่ ผลที่ได้ก็ไม่ต่างกัน

จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาเลิกเรียนผมจึงรีบเดินไปร้านไอติมซึ่งผมได้นัดหมายกับกอล์ฟไว้ตั้งแต่ตอนเที่ยง

“นั่งสิ บี จะสั่งรสอะไร วานิลลาหรือเปล่า ”

“ใช่ ”

ผมตอบไปอย่างยิ้มๆ พลางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะจดจำทุกอย่างที่ผมชอบได้หมดเลยหรือ

“วันนี้กอล์ฟขอเป็นเจ้ามือนะ”

“ไม่ต้องหรอก”

“น่า กอล์ฟขอเลี้ยงนะ กอล์ฟไม่เคยเลี้ยงไอติมบีเลยนี่”

“ตามใจ บีกินจุนะ”

“เหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน กอล์ฟว่าบีกินยังกะแมวดม”

เป็นอีกครั้งที่กอล์ฟทำให้ผมรู้สึกว่า.....ความเป็นเพื่อนกว่า 5 ปีของเรา
มันไม่ได้สูญเปล่าไปเลยเพราะเขาสามารถจดจำทุกแง่มุมที่เกี่ยวกับผมได้

“อืม หรือบีจะกินน้ำอะไรด้วยมั้ย เดี๋ยวกอล์ฟไปซื้อให้ดีกว่า เอ...
หรือว่าจะเอาไส้กรอกลูกชิ้นด้วยมั้ย หรือ.......” กอล์ฟผุดลุกผุดนั่งอย่างลุกลี้ลุกลน

“กอล์ฟ....นั่งลงเถอะ บีไม่เอาอะไรแล้ว”

ผมเรียกกอล์ฟอย่างเตือนสติเพราะรู้สึกว่าเขาพยายามทำตัวให้วุ่นเพื่อกลบอาการตื่นเต้นของตัวเอง

“เรื่องที่กอล์ฟถามบีเมื่อวันก่อน บีตัดสินใจได้แล้วนะ”

“จริงเหรอ ดีจังที่กอล์ฟไม่ต้องรอนาน ไม่งั้นกอล์ฟคงบ้าไปก่อนแน่ๆ”

“อืม...สรุปว่าบี............”

หลังจากที่ให้คำตอบกับกอล์ฟไปแล้ว
ผมก็เดินออกมาด้วยความโล่งอกที่เรื่องรักสามเส้าบ้าๆนี่จะได้จบลงเสียที

“บี...ขอบใจนะ กอล์ฟจะพยายามทำให้ดีที่สุด”

“บีเชื่อว่ากอล์ฟต้องทำได้”

“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้กอล์ฟเดินไปส่ง”

“ไปเป็นไรหรอก แค่เดินไปรอรถกลับบ้านแค่นี้เอง ไม่มีใครมาทำอะไรบีหรอก”

“ว่าแต่บีก็อย่างเผลอไปทำอะไรชาวบ้านเขาล่ะ”

“ถ้าจะทำ สงสัยกอล์ฟนั่นแหละจะโดนเป็นคนแรก แถมจะโดนไม่ใช่น้อยด้วย”

หลังคำพูดของผม
พวกเราก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนานจนผมรู้สึกได้ถึงมิตรภาพใหม่ที่จะเริ่มต้นนับตั้งแต่วันนี้

หลังจากแยกกับกอล์ฟ ผมค่อยๆ เดินมาที่ประตูทางออกโรงเรียนอย่างใช้ความคิด
พลางอดนึกถึงวันที่กอล์ฟมาขอให้ผมเลิกชอบเขาไม่ได้
แม้วันนี้สภาพแวดล้อมหลายอย่างของที่นี่จะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย
แต่สถานะและความรู้สึกของผมในวันนี้และวันก่อนนั้น ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ดีเมื่อผมเดินมาใกล้ประตูทางออก ผมก็เห็น
ทีม..มายืนรอผมดังเช่นเมื่อวันก่อนแต่วันนี้ผมยินดีเดินตามไปคุยกับเขาโดยไม่อิดออด

“วันนี้หายไปไหนมาทั้งวัน ทั้งเพื่อน ทั้งอาจารย์ถามหากันใหญ่เลยนะ”

ผมเริ่มบทสนทนาหลังจากที่เราปลีกตัวมาคุยกันที่สวนป่าของโรงเรียน

“สรุปว่าไง....สรุปว่าบีเลือกใคร”

ทีมถามกลับมาเหมือนกับไม่ได้ยินคำถามของผม จริงสินะ สำหรับผู้ชายคนนี้
เขาไม่ต้องการพิธีรีตอง ไม่ต้องการบทเกริ่นนำ
ไม่ต้องการการอ้อมค้อมเพื่อรักษามารยาท อะไรที่เขาอยากรู้
เขาก็จะไม่เสียเวลามัวคุยเรื่องอื่น

“ทีม...บีขอโทษนะ บีเสียใจจริงๆ..”

ทันทีที่ผมพูดจบ ทีมก็ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งพลางยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้พักนึง
ก่อนจะพูดออกมาว่า

“ช่างมันเถอะ บีคิดถูกแล้วล่ะ ไอ้กอล์ฟมันคงทำให้บีมีความสุขได้แน่ ไม่เหมือนทีม
คนอย่างทีมมัน........”

พูดถึงตรงนี้เสียงของทีมก็ขาดช่วงไปเฉยๆ กลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้นมาแทนที่

นี่คงเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ผู้ชายคนนี้ต้องมาเสียน้ำตาต่อหน้าผม

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว บีจะกลับบ้านแล้วนะ”

“................”

เมื่อเห็นทีมเอาแต่นิ่งเงียบผมจึงพูดออกไปอีกครั้ง

“บีจะกลับบ้านแล้วนะ ได้ยินหรือเปล่า”

“จะกลับก็กลับไปสิ มาเซ้าซี้ทีมทำไม” ทีมตอบกลับมาทั้งน้ำตา

“เป็นผู้ชายประสาอะไรกัน แฟนจะกลับบ้านน่ะ ไม่คิดจะเดินไปส่งหน่อยเหรอ”

“อะไรนะ” ทีมลุกขึ้นยืนแล้วถามผมอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“บีบอกว่า
บีจะกลับบ้านแล้ว เป็นแฟนกันก็ต้องเดินไปส่งหน่อยสิ ...... เฮ้อ
ทำไมบีต้องเลือกผู้ชายที่ทั้งงี่เง่า ทั้งเจ้าน้ำตาอย่างทีมเป็นแฟนด้วยเนี้ย”

สิ้นประโยคนี้ของผม
ทีมเอาแต่ยืนนิ่งจ้องมองผมด้วยสายตาที่ผมก็บอกไม่ถูกว่าเขากำลังคิดอะไรกันแน่
แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมา
ผมก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไปซบอกแล้วกอดเขาไว้
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ทีมมักจะเป็นฝ่ายแสดงความรักต่อผม
แต่วันนี้ผมขอเป็นคนเดินเข้าสู่อ้อมกอดของเขาเพื่อจะได้ซึบซับความอบอุ่นจากผู้ชายที่ผมรักมากที่สุดคนนี้

ยิ่งได้มาอยู่ในอ้อมแขนของทีม
ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าการเปลี่ยนการตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายของผมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เพราะตอนนี้ผมรู้ใจตัวเองดีแล้วว่า.....สิ่งที่ผมต้องการที่สุดในชีวิตก็คือการได้อยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้

“ขอบใจนะบี ขอบใจมาก ทีมสัญญา ทีมจะทำทุกอย่างเพื่อให้บีมีความสุขมากที่สุด”

“ไม่ต้องหรอก ทีมไม่ต้องทำอะไรเพื่อบีอีก.....แค่กอดบีไว้แน่นๆ ก็พอ....”

natrukna โพสต์ 2011-1-15 03:13:15

อืม
คราฟ
เรื่องความรักมันเป็นสิ่งไม่แน่นอน

normai โพสต์ 2011-1-19 16:53:24

ขอขอบคุณมากๆนะครับผม

333333 โพสต์ 2011-1-24 09:02:05

ขอบคุงมากมากคับ:loveliness::loveliness:

OosepiaoO โพสต์ 2011-1-25 09:03:34

ขอบคุณมากๆ ครับ

save7111 โพสต์ 2011-1-26 23:39:08

ขอบคุณครับ
หน้า: [1] 2 3
ดูในรูปแบบกติ: .............ขอให้รักเรานั้นนิรันดร….....