จ้าวธารา
ขอโทดน๊ะครับ มาคราวนี้ ผมขอเริ่มนิยายเรื่องใหม่เลยน๊ะครับ อย่าลืมติดตามน๊ะครับคัดลอกมาครับผม
ช่วงปฐมบท
“พันวัง…”
มือซูบซีดจนหนังติดกระดูกยื่นออกมาด้านข้าง กระสีดำเข้มกระจายอยู่ทั่วผิวหนังเหี่ยวย่นราวกับปานสูบชีวิต
ที่เหลือน้อยลงไปทุกทีเจ้าของนามขยับตัวเข้าใกล้ตั่งเตียงสีแดงคล้ำลายรักสีทองดูหม่นหมองลงไปยามแสงตะวันนอกหน้าต่างดับมืดพร้อมๆกับเมฆฝนขนาดใหญ่ที่ปกคลุมท้องฟ้า บันดาลให้ทุกสรรพสิ่งใต้หล้ากลายเป็นสีดำหมอง
“พัน…วัง….”
สุรเสียงแหบทุ้มเอื้อนเอ่ยออกมาอีกคราหนึ่ง ครั้งนี้คนฟังรีบฉวยมืออ่อนแรงนั้นไว้ได้ทัน
“ข้าอยู่ตรงนี้..” น้ำเสียงนั้น..แทบจะเรียกได้ว่าไร้ความรู้สึกใดๆ
“..เจ้าพ่อ..”
ผู้เป็นบิดาไร้เรี่ยงแรงแม้แต่จะเปิดเปลือกตา หูฟ้าฟางยินถ้อยคำเช่นนั้นกลับแสนพร่าเลือน..แต่สัมผัสอุ่นๆที่ตัวเองยังพอรับรู้ได้ว่าบุตรชายคนเดียวของตนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้ริมฝีปากคล้ำเข้มหยักยกขึ้นมา
“พันวัง…” แหบแห้งเหมือนทรายที่แห้งผาก
“…เจ้า…ยังจำได้อยู่รึไม่…?”
“อะไรรึขอรับ?”
“หน้าที่ของเจ้า…แค่ก!”
ครั้งหนึ่งกระแอมกระไอจนตัวโยน ร่างผมซูบแทบจะหักไปพร้อมๆกับอาการโคลงอย่ารุนแรงนั่นเด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย..แต่ก็ขืนตัวเองไม่ให้เผลอผลันไถลไปไหนไกล
นายรับใช้รีบช้อนกระโถนเหล็กนิลขึ้นรับหมากเลือดที่อาเจียนออกมาครั้งหนึ่ง ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ..ไม่มีใครเปล่งเสียงใดไม่แม้แต่เสียงลมหายใจ
…ด้วยวาระหนึ่งในผู้ครองเรือนคนสำคัญใกล้วายชีวี ดวงหน้าสวยพยักรับคำขานนั้นและเอื้อนเอ่ยวลีต่อไปด้วยเป็นสิ่งที่ถูกบังคับให้ท่องจำจนขึ้นใจมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์
“รับใช้จ้าว..”คำสอนนั้นช่างขมขื่น
“..ตราบเท่าชีวิต”
กัมปนาทหนึ่งแล่นผ่านฟ้าส่งเสียงดังกระหึ่มจนคบไฟที่จุดไว้ไหววูบดวงตาสีทองอ่อนเหลือกลืมขึ้นมองใบหน้าของบุตรชายคนเล็ก แต่ภายในไม่ได้ฉายภาพใดๆแม้นพยายามเพ่งมองแค่ไหนแต่ก็เห็นเพียงสีขาวโพลน
“หน้าที่เรา…”
มือที่แทบจะสิ้นเรี่ยวแรงนั้นยื่นมาแปะที่แผ่นอกแบนราบ สั่นพร่าจนสะเทือนมาถึงภายใน
..ราวกับปฏิญาณที่กรีดลึกลงในเนื้อดวงใจ
“…จำไว้…ให้มั่น…”
...นั่นเป็น…สิ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้…จากเมื่อหลายปีก่อน…
หนึ่งชีวิตหวนกลับสู่พื้นผืน
หนึ่งดวงใจหวนคืนสู่สายธาร
ป ฐ ม บ ท ¬• จ้ า ว ธ า ร า
-๑-
“น้องพันวัง!”
ดวงหน้าหวานเหลือบสายตาขึ้นไปตามเสียงเรียกจากบนเรือนหนึ่งครั้งและเมื่อสบกับดวงตาสีอำพันระริกระรี้
ของคนเบื้องบนพลันให้นึกคลางใจกับรอยยิ้มทะเล้นที่ฉายชัดลงมาจนจับพิรุธได้
คนถูกเรียกผ่อนลมหายใจ
“จ้าวพี่โคจรจะเล่นสนุกอะไรอีกรึขอรับ?”
“มาทางนี้เถิด” จ้าวบ้านหนุ่มระบายยิ้มกว้าง ยังมิวายกวักมือเรียกพัลวัน
“อ้ายแสนตาจะถึงอีกมิช้านานเจ้ากับข้าต้องรีบเตรียมตัว”
คนฟังเลิกคิ้วทวนคำขึ้นมาทันที
“เตรียมตัว?”
“อย่ามัวแต่ถามเช่นนั้นอยู่เลย ขึ้นเรือนมาก่อนเถอะน่า”
“แต่..แต่ข้ามีเรื่องต้องทำอีกมาก”หนุ่มน้อยกล่าวตอบพยักเพยิดมาทางกระจาดปลาตากแห้งในอ้อมแขน
“ขบวนอ้ายพี่แสนตาจะถึงอีกมิช้านานดั่งคำจ้าวพี่ว่า เช่นนั้นงานครัวยิ่งหนักนักมิมีเวลาเที่ยวเล่นกับท่านอยู่ดอก”
คู่สนทนาเบ้ปากเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ที่ไม่ว่าใครจะมองก็นึกขันกันเสียทุกตัว
มีหลายเหตุผลที่ว่าคือไม่ว่าใครในบ้านเป็นอันต้องหาว่าเขาคึกคะนองเกินกว่าเหตุทุกครั้งไป ก็จริงครึ่งหนึ่งที่ ‘โคจร’ ผู้ครองเรือนหนุ่มอาจจะมีกิริยาที่ดูไม่น่าเคารพเท่าไหร่ไปบ้าง จ้าวหนุ่มอารมณ์ดีที่ขยันหยอดหยอกล้อ
และแสนขี้เล่นแต่ถึงขนาดเที่ยวเล่นไปทั่วมิรู้จักเวล่ำเวลาสักที่ไหน
“เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นเล่าข้ามิได้เล่นสักหน่อย”
“ท่านไปเตรียมตัวเทอดทำเช่นนี้อีกมินานอ้ายอินทรต้องดุข้าแน่”
“ผู้ใดกล้าดุน้องข้า” ชายหนุ่มยืดอกขึ้นแกล้งชี้มือไปรอบๆลานอย่างคาดโทษ
“ข้าจักเฆี่ยนเสียให้เข็ด”
พันวังถอนหายใจระหว่างที่คนอื่นในบริเวณหัวเราะคิกคักไปตามประสากิริยาหยอกเย้าเช่นนี้ช่างน่าหมั่นไส้นัก
“รังแกข้าเช่นนี้สนุกมากงั้นรึ?”
“เอาเถอะน่า” อีกครั้งที่ต้องกวักมือเรียก พร้อมรอยยิ้มทะเล้นเริงร่าจนเกินพอดี
“ข้าบอกให้เจ้าขึ้นมาก็ขึ้นมาเทอดอย่าให้ต้องลงไปอุ้มขึ้นมาเหมือนครั้งที่แล้ว….”
“อ้ายพี่โคจร!”
“จะหน้าแดงทำไมกันเล่าคนเขาก็รู้ทั่วบ้านทั่วเมืองกันหมดแล้วว่าเจ้ากับข้าน่ะ….”
“หุบปากบัดเดี๋ยวนี้!” เสียงแหบหวานประกาศกล่าวรีบกุลีกุจอวางกระจาดลงบนแคร่หนึ่งใกล้ตัว
“ปากท่านคู่ควรกับตีนข้ามิแคล้วนับหนึ่งถึงสิบได้โดนดีแน่”
“เฮ้ยอะไรกันเล่ายอดรัก หยอกเล่นแค่นี้ต้องถึงมือถึงตีนเชียวหรือ”
“ถ้ามิคิดหนีเดี๋ยวนี้ก็จงเตรียมรับมือไว้เลยขอรับ!”
ร่างผอมบางสะบัดเท้าเตรียมก้าวขึ้นบันได ในขณะที่เสียงหัวเราะทุ้มแหบยังดังไปทั่วทั้งเรือนแม้ว่าจะเดินไปที่แห่งใดก็มีอันต้องหลบตาแก้มระเรื่อขึ้นทุกครั้งไป ไอ้ความจริงที่ว่าเราชาว ‘จระเข้’ คลาดแคลนเพศเมียนั่นมันก็ใช่
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศกับใครต่อใครเสียหน่อยว่าเป็น ‘นายบำเรอ’ !
…ถึงทุกคนเขาจะรู้กันแล้วอย่างที่อีกคนว่าก็เถอะ…
ไม่นานเท้าบอบบางก็ลากตัวเองขึ้นมาจนกระไดขั้นสุดท้ายได้สำเร็จ ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆชานเรือนอย่างมุ่งมั่น..ไม่เห็นคนกวนประสาทแม้แต่เงา เพียงเสียงหัวเราะคิกคักก็ยังดังลอยมาตามลมคล้ายเพิ่งจากไปได้ไม่นาน
และยังไม่ทันจะเอ่ยปากถามใคร หนึ่งบ่าวก็ชี้ไปที่เรือนใหญ่ด้านในสุด
“จ้าวโคจรกลับห้องไปแล้วขอรับ”
“กลับห้อง?”
คนฟังขมวดคิ้วก่อนถอนหายใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกมาด้วยให้รู้แล้วรู้รอด
…วางแผนเล่นตลกอันใดอีกเล่าจ้าวพี่โคจร!?
ใจหนึ่งก็หงุดหงิดจนแทบเป็นบ้า…ส่วนอีกใจกลับหวั่นไหวรุนแรงกับกิริยาชวนให้คิดไปเองของนายเหนือหัวซะเหลือเกิน ก็จริงที่ตนเป็นหนึ่งในขบวนแห่นายบำเรอของท่านจ้าวที่ว่า แต่ก็อดคิดไปเองมิได้ว่าอีกฝ่ายท่าทางจะเอ็นดูเขามากที่สุด…ด้วยอยู่กันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจนแทบไม่มีช่วงเวลาใดที่ไม่เห็นหน้าค่าตาอีกคนเสียด้วยซ้ำ
ผู้เป็นนายใช้กิริยาวาจาเช่นนี้เพื่อซื้อใจบ่าว..เป็นเช่นนี้มาช้านานตั้งแต่ครั้งโบราณกาล
…แต่ใจเจ้ากรรมกลับไม่เคยชินกับมันสักครั้ง
“จ้าวพี่!”
ประตูไม้สักเปิดผางเข้าไปในห้องอย่างอุกอาจ ด้วยแรงผลักชนิดที่ว่าต่อให้สวมกลอนไว้ก็เป็นอันต้องพังกระจุย
คนถูกเรียกเบือนดวงเนตรคมเข้มมาสบก่อนสาวเท้าตรงจากโต๊ะทำงานมาหา
ร่างผอมบางชะงักครู่หนึ่ง
“..ทำ...อะไรอยู่รึขอรับ?”
เจ้านายหนุ่มขยับยิ้มหวานมือหนาคลี่หอบผ้าในอ้อมแขนออกเป็นสไบผืนหนึ่ง
“ของขวัญให้น้อง”
อีกคนรับมาหน้าเก้อ
“นี่มันชุดอิสตรีมิใช่รึ?”
“เจ้าหน้าหวานสวมเช่นใดก็ขึ้นทั้งนั้น”
“ไม่สนุกนะเจ้าพี่ทุกวันนี้คนเขาก็ลือว่าข้าเป็นหญิงแฝงตัวมาทั้งสิ้นยังจะ…”
“เขาจะคิดเช่นไรก็เรื่องของเขา เจ้าทำตามข้า”
คนฟังกัดริมฝีปากเชิดหน้าขึ้น
“ใช่สิข้าเป็นเพียงบ่าว..ตามสนุกนายจ้าวเท่านั้น”
“แน่นอนแต่มิได้สนุกอย่างเดียวดอก”ดวงหน้าคมเข้มยักคิ้วให้รอยยิ้มไม่ได้จางหายไปจากใบหน้า
“ยินว่าอ้ายแสนตาพานางหนึ่งตามติดมาด้วยข้ามิเชื่อดอกว่าสตรีนางนั้นจะดีเลิศกว่าเจ้าไป หอบสิ่งนี้ไปแต่งตัวเสียให้เรียบร้อยรอเห็นใบหน้าตื่นตาตกใจของอ้ายแสนตาก็แล้วกัน”
แรกทีเดียวหนุ่มน้อยคิดจะขัดขืนการตัดสินใจเช่นนั้นเสียหน่อย แต่บริบทกลับทำให้ต้องเลิกคิ้ว
“เมียของอ้ายแสนตา?”
“ได้ยินว่ากำลังจะเป็นเช่นนั้น”
ดวงตากลมโตเป็นประกาย “เช่นนั้นจะแก่งแย่งกับอ้ายพี่หญิงไปทำไมรึเมื่ออ้ายพี่แสนตามีงานมงคล เราต่างหาก
ที่ต้องแสดงความยินดีด้วย”
คนฟังย่นจมูก
“ไม่มีทางอ้ายแสนตาน่ะรึจะได้ดีไปกว่าข้า”
“ทำเป็นพูดดียินว่าสั่งให้เตรียมแต่อาหารโปรดของอ้ายพี่มิใช่รึ?”
อีกฝ่ายไหวไหล่ไม่ตอบคำค่อนแคะนั้น
คนตัวเล็กกว่าหัวเราะคิก “เอาเถิดท่านประสงค์สิ่งไหนข้าจะขัดได้รึไร”
“ให้อ้ายนั่นเก้อไปเลยนะ”
“หากออกมาไม่งดงามเหมือนแม่หญิงทั่วไปก็อย่ากล่าวโทษเพียงข้าละกัน!”
“อย่าลบหลู่สายตาข้าสิสีชบาอ่อนเช่นนี้แหละเหมาะกับผิวเจ้าที่สุด” ชายหนุ่มยักคิ้วหลิ่วตาให้ตามวิสัย
“แล้วข้าก็เตรียมเครื่องมุกงามไว้ให้พร้อมแล้วด้วย”
“จ้าวพี่อยากเอาชนะขนาดนั้นเลยรึ!?”
เมื่อได้เห็นดวงตากลมโตเบิกค้างอย่างตกใจ อีกคนกลับพ่นหัวเราะออกมาเสียหน่อยไอ้เครื่องมุกที่ว่านั่นก็หาได้ใช่สิ่งมีค่ามากมายอะไรไม่ เพียงแค่ริมฝั่งแม่น้ำจะหาเครื่องประดับเช่นนั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่เห็นเหตุที่ต้องตื่นอกตกใจขนาดนั้น
“มิใช่ดอก”
ปลายนิ้วข้างหนึ่งแตะลงบนคางเนียน เชยขึ้นให้ดวงตาสีอำพันสองคู่สบกัน
“…สิ่งที่ข้าประสงค์….มีค่ามากมายกว่านั้นเยอะ….”
ก่อนบรรจงแตะริมฝีปากลงมาต้องกันอย่างเบาบาง…แต่หอมหวานยิ่งกว่าขนมใดๆทั้งมวล
บทบรรเลงขลุ่ยผิวดังมาจากหัวน้ำครั้งหนึ่ง เร่งให้บรรดาบ่าวรับใช้ต้องวิ่งกันจ้าละหวั่นด้วยเตรียมตัวยังมิทันจะเตรียมการ อารัมภบทแรกจบลงด้วยเสียงกลองทัดกระหึ่มตามลำธารสะเทือนกิ่งไม้และแผ่นน้ำให้ไหวหวั่นคลอตามกันไป
บรรดาจระเข้ตัวเล็กตัวน้อยผุดดวงตาขึ้นมาเหลือบมอง ผู้ครองแก้วแปลงกายกุลีกุจอมารอรับจ้าวจระเข้ต่างเมืองที่ท่าน้ำใหญ่ การมาเยือนครั้งนี้ไม่เป็นเพียงการพบเจอระหว่างเพื่อนบ้านเท่านั้น ทั้งยังประกาศข่าวลือเรื่องงานมงคลระหว่างจ้าวหนึ่งกับเพศเมียตัวสำคัญที่หาแทบไม่ได้แล้วอีกด้วย ซึ่งถึงแม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ..
ชาวบ้านก็ลือร่ำกันทั้งคุ้งไม่นานขบวนเรือพายก็เลียบแหวกน้ำมาเทียบจอดสมใจ..
หนึ่งบุรุษเจ้าของผิวเข้มจัดและดวงตาคมดุก้าวขึ้นมายืนที่ท่าน้ำ อาภรณ์แพรบางสีขาวปักดิ้นทองคลุมไว้เพียงบนบ่าแหวกผิวเนื้อช่วงอกลงมาถึงหน้าท้องอุดมกล้ามเนื้อดูแข็งแกร่งและแก่กร้านอยู่ในที..เขาสอดส่ายดวงตาสีอำพัน
มองไปรอบๆคล้ายกับการทบทวนความทรงจำเมื่อครั้งอดีตมากกว่าแค่วางอำนาจ
บรรดาบ่าวรับใช้ทุกผู้ต่างพากันทิ้งตัวนั่งพับเพียบเป็นคลื่นตามกันออกไปทำความเคารพ หลายคนเล็งเห็นว่าจ้าวตนนี้มีบรรยากาศผิดแผกไปจากนายเหนือหัวของตนอยู่มิใช่น้อย ทั้งความเคร่งขรึมที่แฝงอยู่ใต้รอยยิ้มจางๆนั่นก็ด้วย
ทั้งดวงตาร้อนแรงที่พร้อมจะแผดเผาผู้มองนั่นก็อีกช่างแตกต่างจากจ้าวโคจรจอมทะเล้นร่าเริงของตนเสียจริง
“อ้ายแสนตา”
เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นมาก่อนบุรุษร่างสูงโปร่งนาม ‘จ้าวโคจร’ จักก้าวเท้ามารับอาคันตุกะตรงหน้าเจ้าบ้านฝั่งนี้เองก็ดูน่าเกรงขามมิใช่น้อยเมื่อฉลององค์เสียเต็มยศ แม้ผิวกายจะขาวและดูเยาว์วัยกว่าถ้าไม่นับเรื่องรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เจ้ากลกับกระแสเสียงช่างกระเซ้าเช่นนั้น ก็ต้องยอมรับว่าดวงหน้ารูปสลักนั้นหล่อเหลาคมคายไม่แพ้กันทีเดียว
“อ้ายโคจร” เสียงแหบกร่นปนหัวเราะ
“ช่วงอาทิตย์นี้รบกวนด้วยล่ะ”
“ไม่เจอกันนาน…” ชายหนุ่มชี้มาที่แผ่นอกตัวเอง เป็นเชิงอธิบายถึงรอยแผลเป็นที่กลางอกอีกคนด้วย
“ท่าทางเมืองใต้คงจะรบราฆ่าฟันกันน่าดู”
“วุ่นไม่ได้หยุดเลยล่ะ”
“ฟังดูน่าสนุกนะ”
“สนุกกับผีสิ!พวกหมอจระเข้เริ่มเล่นงานหัวเมืองเล็กเมืองน้อยเจ้าเองก็ระวังตัวไว้ให้ดีเถิด”
“แถบนี้ไม่มีหมอจระเข้มาป่วนให้กวนใจดอก”นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เมืองพิจิตรดูเหมือนจะอยู่เหนือกว่านครที่อยู่
ต่ำลงไป
“เล็กๆน้อยๆนั่นข้าปกครองได้แต่หากมีสิ่งใดให้เมืองเหนือช่วยโปรดบอก”
“ไม่เป็นไรดอกคนของข้าก็เข้มแข็งพอดู”
“ข้ารู้หึ ตอนเด็กๆข้าเคยรบชนะเจ้าเสียเมื่อไหร่กัน”
ชายหนุ่มลอบยิ้มเงยหน้ามองเงาไม้เบื้องบน
“..ที่นี่เปลี่ยนไปนะ”
“กาลเปลี่ยน…สิ่งใดย่อมเปลี่ยนตาม”อีกคนรำพันเลื่อนลอย
“ได้ข่าวน้องพันตรา…ข้าเสียใจด้วยนะ”
“หนึ่งชีวิตหวนกลับสู้พื้นผืน..” แสนตาไหวไหล่..แม้จะดูไม่ใส่ใจแต่ดวงตาคู่นั้นไม่ใช่เลย
“…หนึ่งวิญญาณหวนคืนสู่สายธาร”
อีกคนยิ้ม
“ได้ยินว่าท่านมีข่าวดี”
“แน่นอนไว้คืนพรุ่งนี้ข้าจะประกาศอย่างเป็นทางการอีกที”
“นางนั้นช่างโชคดีนัก”
“ข้าโชคดีกว่าที่ได้เจอนาง”
“จะว่าไป…ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาตั้งแต่ตอนที่ท่านขุนเสียสินะ”
“นั่นสินะ…เอ๊ะ ว่าแต่…” อาคันตุกะผิวเข้มปราดมองไปรอบๆ
“เจ้าพันวังตัวเล็กนั่นล่ะ?ไม่เห็นออกมาต้อนรับข้า”
คนฟังลอบยิ้มบางราวกับรอคำถามนี้มาแสนนานแล้วก่อนจะผายมือไปด้านหลังเชื้อเชิญให้อีกคนก้าวเท้าออกมาเผชิญหน้า
ร่างโปร่งบางขยับตัวโผล่จากด้านหลังของอีกคนอย่างเก้อเขิน ผิวขาวจัดรับกับสไบสีชมพูอ่อนที่พันเกลี่ยไหล่มนปรกลงมายังช่วงแขนเนียนนุ่ม ผ้าถุงสีม่วงเข้มรับกับเอวบอบบางและสะโพกกลมลงมาถึงข้อเท้าที่คล้องกำไลทองไว้ข้างหนึ่ง สร้อยมุกสีนวลคล้องลำคองามระหงขับให้ดวงหน้าดูสวยหวานขึ้นทันตา
ริมฝีปากแต้มสีอุทัยเผยอขึ้นเล็กน้อยราวต้องการจะพูดทักทายอะไรสักอย่าง แต่ก็ปิดลงฉับเมื่อพบว่าสรรพเสียงใดๆมีเพียงลมหวิววาบเท่านั้น
ดวงตากลมโตหลุบลงต่ำใช่หวั่นไหวกับดวงตาที่แทบลุกเป็นไฟของคนมองเสียเมื่อไหร่ในเมื่อเกิดมาเพิ่งเคยนุ่งชุดสตรีเต็มยศแบบนี้เป็นครั้งแรกหนำซ้ำบรรดาคนมองยังถึงกับอ้าปากค้างเช่นนั้นจะให้เอาหน้าไปไว้ไหน
สุดท้ายเลยต้องก้มหน้างุดๆยื่นมือออกไปดึงชายเสื้อของจ้าวพี่ตัวเองเสียหนึ่งที
..มันแย่ตรงที่..จ้าวโคจรไม่ได้พูดอะไรสักคำ!
….แถมยังขำออกมาหนึ่งครั้งซะอีก!
“…น้องพันวัง?”
คำนั้นหลุดออกมาจากปากอ้ายพี่แสนตา เจ้าของนามอ้อมแอ้ม..แต่ก็พยักหน้าไป
ก่อนลมหายใจหัวเราะหึจะหลุดออกมาครั้งหนึ่ง
“ให้ตาย…จำได้ว่าตอนเล็กๆยังแก้ผ้าวิ่งไปทั่วเรือน โตขึ้นมากลับเป็นสาวไปซะได้”
“ไม่ใช่สักหน่อยอ้ายพี่แสนตา” ดวงแก้มขึ้นสีจัดขึ้นมา
“เพราะจ้าวพี่โคจรบังคับข้าต่างหากเล่า”
คนถูกกล่าวหาผิวปากหวือ
“แต่ก็เหมาะมิใช่รึ?ขอบคุณข้าหน่อยสิ”
“ท่านสิต้องขอบคุณข้า…บอกว่าอยากเห็นสีหน้าประหลาดใจของอ้ายพี่แสนตามิใช่รึก็ได้ยลไปแล้วมิใช่รึไรเห็นทีข้าจะได้เวลาเปลี่ยนกลับแล้ว”
“เฮ้ยใช่ยามนี้ซะเมื่อไหร่กัน เจ้าสิต้องอยู่สภาพนี้ไปจน…..ตะวันขึ้นอีกคราโน่น”
คนฟังเลิกคิ้ว
“ท่านว่ากระไรนะ?”
ชายหนุ่มสองคนสบตากันก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาทั้งคู่
“นี่เจ้ายังไม่ได้บอกน้องพันวังหรอกรึ?”
“จะให้ข้าเริ่มบอกจากสิ่งใดดีล่ะ”
“พอถึงเวลาจะไม่หวั่นกลัวจนตัวขดเรอะ?”
“ถึงตอนนั้นค่อยหาทางแก้กันไปน่า”
“อะไร?” เด็กหนุ่มถลึงตา
“พวกท่านพูดเรื่องอะไรกัน?วางแผนอะไรกันอยู่งั้นรึ?”
น้ำคำไร้เดียงสานั้นทำให้จ้าวทั้งสองไม่อาจกลั้นขำได้อยู่ ยิ่งเห็นท่าทางลนลานของเจ้าตัวยิ่งนึกสนุกนักอดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปหยิกแก้มแดงอย่างเอ็นดูแล้วเปลี่ยนเรื่องไป
“ขึ้นเรือนก่อนสิเดินทางมาเสียไกลคงเหน็ดเหนื่อยน้ำท่าอาหารพร้อมรับรองพวกเจ้าไว้หมดแล้ว”
ชายหนุ่มวาดแขนโอบไหล่เพื่อนรัก พาเดินนำขึ้นเรือนไปเสียก่อน
“รวมถึง..เรื่องคืนนี้ด้วย”
-๒-
ผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินแก่ประดับด้วยดิ้นเงินระยิบระย้อยร้อยเรียงกันเป็นท้องนภา หนึ่งเพชรน้ำงามส่องแสงสีนวลสว่างแต่งแต้มผืนฟ้ากว้างโดดเด่น แสงจันทร์สาดลงมาไล้ตามกิ่งก้านของต้นไม้ใบหญ้าที่ปกคลุมหนาครึ้ม ไร้เสียงหึ่งหากินของแมลงเล็กแมงน้อยยามฤดูกาลเคลื่อนเข้าสู่หน้าหนาว กลางคืนที่ยาวนานกว่ากลางวันกับบรรยากาศยามราตรีที่แสนเงียบสงัดสงัด…จริงๆแล้วก็ไม่สงัดเท่าไหร่
“ว่าอะไรนะ!?!”
หนึ่งเสียงที่แทบจะตะโกนก้องออกมาจากห้องหับด้านในสุดชองเรือนหมู่ขนาดใหญ่ ถ้าไม่ติดว่าหนึ่งหนุ่มรีบยกมือแตะที่ริมฝีปากเสียก่อน มิแคล้วบรรดาจระเข้น้อยใหญ่คงได้ลุกฮือขึ้นมาเป็นแน่
บุรุษผิวขาวกลับยกมือกุมท้องกลั้นหัวเราะ ผิดกับบุรุษผิวดำที่หันไปเอ็ด
“ข้าบอกแล้วบอกเจ้าแล้วว่าให้บอกน้องพันวังเสียก่อน ดูสิ..ท่าทางตื่นตกใจหมด”
“ฮะๆๆก็..ก็ข้าไม่คิดว่าจะแหกปากเสียงดังขนาดนี้นี่”
“ยังจะเล่นตลกไม่โวยวายฟูมฟายวิ่งออกจากห้องก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“รึเจ้าจะยกเลิก?”
อาคันตุกะจากแดนไกลส่ายหน้า
“ไม่มีทาง”
“นั่นประไรจะสมยอมหรือขืนใจบทสรุปมันก็ไม่ต่างกันนัก”
“เจ้านี้ชักจะวิปลาสถึงข้าจะเป็นเช่นนี้ก็ไม่เคยคิดจะบังคับใครสักหน่อย”
“แล้วเจ้าจะทำยังไง?”
“โอ้โลมจนจะเอ่ยปากขอก็ไม่หนักหนากระไรนัก”
“ฮ่าๆๆเจ้าพูดถูกใจนัก งั้นข้าจะให้เจ้าก่อน”
“อือหื้อท้าวโคจรผู้ยิง่ใหญ่เอ่ยปากอนุญาต มีหรือข้าจะไม่สนอง”
“แน่นอนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้นนี่นา”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกับผีสีขอรับ!?!”
หลังจากเงียบไปนานเสียงทุ้มหวานก็ตัดสินใจแหกปากตีฆ้องร้องออกมาอีกสักรอบหนึ่ง
พวงแก้มใสขึ้นสีจัดจนแดงก่ำไหล่บอบบางสั่นสะท้านด้วยสะกดกลั้นอารมณ์โกรธแต่ก็ไม่สามารถกระทำการ
อุกอาจอันใดได้อีกนอกจากตะเบ็งเสียงลั่น
“ท่านทั้งสองจะเล่นตลกอันใดมิทราบ ริคิดอกุศลข้าจักรีบบึ่งไปเบิกนายรับใช้มาสนองเรียกถวายงานเป็นสิบเป็นร้อยก็ตามแต่ใจจ้าวหากมิคิดพิสดารอะไรเช่นนี้คงจะมีบ่าวยอมสนุกด้วยอยู่บ้างกระมัง”
ร่างสูงโปร่งตีเข้าฉาดรีบอธิบายการ
“พิสดารเช่นไรรึ?คิดจะเล่นกันสามคนมันประหลาดสักที่ไหนข้าเองก็เคยลิ้มลองระเบียบนั้นมามิใช่น้อย…หรือจะบอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้ก็ไม่ใช่”
“แต่นี่มันกับ ‘ตัวข้า’..!”
โคจรผิวปากหวือ
“ตัวเจ้าที่เป็นของข้า”
“…ขอรับ!บ่าวเป็นของนาย!”คนตัวเล็กร้องตอบอย่างเหลือทน
“แต่ไม่ใช่ว่าข้าจะยอมรับ..เรื่องบัดสีเช่นนี้”
“มันจะต่างกับเราสองแค่ไหนกันเล่า”นายหนุ่มยังคงเถียงรอยยิ้มกว้างไม่ได้เลือนหายไปจากใบหน้า
“นี่ก็เริ่มเข้าฤดูแล้วภายในมันร้อนรุ่มอาการออกไปเสียหมด…อ้ายแสนตาก็มาได้ฤกษ์นักข้าก็แค่จะเอาใจตามประสาเจ้าบ้านที่ดี…”
“อ้าวบัดซบคิดจะมาโยนขี้กันซะนี่”คนถูกกล่าวหาอ้าปากเหวอ
“ดูก่อนน้องพันวัง เห็นก็รู้ว่าไอ้ที่จะทำกันเนี่ยเป็นอุบายไอ้หน้าซื่อใจคดนี้ล้วนๆ ข้าหาได้เกี่ยวไม่”
“ชะ! กล้าพูดฤๅจะบอกว่าไม่ได้เฝ้ารอเวลานี้มาช้านาน”
“…ก็ไม่ปฏิเสธ”
“นั่นประไรล่ะ”
แสนตาลูบหน้าด้วยความเป็นคนตรงไปตรงมาจึงไม่กล้าพูดปด..แม้แต่ในเรื่องยิบย่อยเช่นนี้
“ตั้งแต่ได้ความว่าน้องพันวังถวายงานให้อ้ายโคจร..ข้าสินึกแค้นใจนัก หากตอนเด็กๆบังคับพาตัวกลับอยุธยาเสียรู้รอดคงจะดีไปนี่ต้องรอชาติกว่าจะได้เห็นใจข้าบ้างจะเป็นไร”
คนฟังอ้าปากค้างอยากจะบริภาสถามออกไปบ้างว่า…แล้วใจข้าล่ะว้อย!?
“ฮ่าๆอ้ายแสนตานี่พูดถูกใจแท้ รับประกันว่าได้ลองแล้วจะลืมไม่ลง…ดูสิ”
มือใหญ่เอื้อมมารั้งข้อมือเล็กให้เดินเข้าหา คนถูกกระทำแม้อยากฝืนตัวออกแค่ไหนก็ได้แต่สงบใจปล่อยให้สายตาคมคายสองคู่เล้าโลมจนหูแดงฉ่า..แม้ว่าตนยังคงสวมผ้าผ่อนเสียเต็มยศอยู่ก็ตาม
“…งามเช่นนี้จะเอาที่ใดมาเทียบเคียงได้เล่า มิวายจะลืมแม่หญิงยอดรักได้กลับมาหาน้องพันวังของข้าเสีย
ทุกเดือนแรม”
แสนตากร่นหัวเราะ
“แล้วจะรอช้าอยู่ไรล่ะ?”
“ชะ!?!...ช้าก่อนขอรับ!”
ร่างบอบบางขืนตัวออกมาก่อนสองมือน้อยพยายามกระชับอาภรณ์ตัวเองไว้แน่น
“หากประสงค์นักข้าจะไปเรียกบ่าวมาเพิ่ม คืนนี้จะให้ถวายงานทั้งคู่คงไม่ไหวสะกดกลั้นอารมณ์แบบที่มนุษย์พึงกระทำสักประเดี๋ยวหนึ่งแล้วข้าจะรีบ….”
แต่ไอ้คู่สนทนาทั้งสองมันฟังที่ไหน พากันตบเข่าฉาดกันอีกครั้ง..แล้วระเบิดหัวเราะลั่นเป็นลูกคู่
“ลีลาพลิกแพลงนั่นแยบยลนัก”
“แต่อย่ามัวถ่วงเวลาอยู่เลย..เจ้าหนีไม่พ้นดอก”
“นี่ข้าสองอุตส่าห์หว่านล้อมเสียตั้งนาน เจ้าคิดว่าจะปล่อยไปง่ายๆรึไร?”
“มาทางนี้เทอดน้องพันวัง”
เจ้าของผิวกายคล้ำเข้มลุกขึ้น รั้งเอวบางเข้าหาจนดวงหน้าซุกอยู่แค่อกแล้วจับเชยคางมนขึ้นให้สบตา
“ข้าเองอ้ายพี่แสนตาของเจ้า หาใช่ใครที่ไหนไม่”
น้ำคำหวานล้ำปะทะลงมากลางดวงจิต คนฟังช้อนดวงตากลมโตขึ้นสบ..ประกายไหววูบสะท้อนอยู่ในตา
คู่ตรงข้ามพลันให้รู้สึกอึดอัดคล้ายหายใจไม่ออก จึงทำได้แค่อ้อมแอ้ม
“….อ้ายพี่….”
“หรือเจ้ารังเกียจข้า”
“ข-ข้าไม่บังอาจ….” คนตัวเล็กกว่าก้มหัวงุดๆ
“เพียงแค่…เอ้อพวกไร้ยางอายเช่นพวกท่านคงไม่เข้าใจ”
“เอ้าปากคอเลาะร้ายเช่นนี้ เอาอะไรอุดเสียทีจะดีไหม”
“อย่าแทรกให้เสียเรื่องสิอ้ายโคจร ถ้ายังแกล้งน้องพันวังของข้าอีก…จักได้หอบกลับไปที่เรือนแขกเสียรู้แล้วรู้รอด”
“เอ้าไอ้นี่…”
แสนตาเลิกสนใจเสียงโวยวายด้านหลัง ก้มหน้าลงมาแนบหน้าผากกับอีกคนตรงหน้าด้วยไม่รู้ว่าจะสื่อคำพูดทั้งหมดที่มีออกไปยังไงนอกจากผ่านทางสายตา แม้นจะรู้ดีว่า ‘บ่าวรับใช้’ ตรงหน้าไม่ใช่ของๆตนก็ตาม
พันวังพันตรา
นายรับใช้ฝาแฝดที่แยกกันรับใช้สองดินแดนตั้งแต่ยังไม่ลืมตา ถวายการรับใช้กับตระกูลจ้าวมาตั้งแต่สมัย
บรรพบุรุษจงรักภักดียิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด…ยิ่งไปกว่านั้นสองฝาแฝดยังบริสุทธิ์งดงามยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวง
จนกระทั่งครั้งหนึ่งเมื่อยี่สิบสี่คืนก่อน ที่พันตรายอดรักถูกพรากชีวิตไปด้วยมนุษย์ใจอำมหิตนับแต่นั้นก็ไม่มีสิ่งใดเยียวยาหัวใจจ้าวได้อีกและคงจะเป็นจิตวิทยาบำบัดของจ้าวเหนือหัวที่ตัดสินใจร่วม‘แบ่งปัน’ แฝดน้องเพื่อชดเชยความโศกในครั้งนั้น
พันวังรับรู้เพียงข่าวสารของอ้ายพันตราพี่ชาย เพียงแค่ไม่เคยนึกเสียใจกับหนึ่งที่แม้แต่พูดคุยก็ยังไม่เคยคนนั้น
แม้จะร่วมไข่ใบเดียวกันมาก็ตาม
…เพียงจ้าวแสนตาตรงหน้า ที่คุ้นชินกันมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย
ไม่แตกต่างจากจ้าวโคจรผู้เป็นนายสักนิด…
“หากเจ้าปฏิเสธ…”
เสียงทุ้มแหบกระซิบเบา
“…ดวงใจนี้…คงร่ำไห้ไปหลายเพลา…”
…มันคงจะดีกว่านี้ถ้าไอ้เจ้าบ้านไม่ส่งเสียงวี๊ดวิ้วผิวปากจากด้านหลัง
“อ้ายโคจร” แสนตาฮึดฮัดขัดใจ
“จะเล่นอะไรก็ดูกาละดูเทศะกับเขาบ้าง”
แต่อีกตัวกลับไม่ได้ใส่ใจนัก
“ดูเจ้าสิพันวัง แค่คำหวานสองคำจากอ้ายแสนตา..แทบจะอายม้วนต้วนพร้อมพลีกายให้อยู่แล้ว จะมาพิรี้พิไรเล่นตัวอยู่ทำซากอะไร”
“โรแมนติก”พันวังว่าแก้มแดงซ่าน
“คนอย่างจ้าวพี่คงไม่เคยได้ยินคำนี้”
“แล้วจำเป็นต้องเรียนรู้ศัพท์ฝรั่งเช่นนั้นรึ?”
“มีความรู้รอบตัวไว้ย่อมดีกว่าอ้ายโคจร อย่างน้อยก็เอาเวลาไปเรียนรู้หาใช่จิกกัดบทรักของคนอื่นเช่นนี้ ให้ตายสิ”
“ใช่ขอรับอ้ายพี่แสนตากล่าวได้ถูกต้องที่สุด”
คนฟังผิวปากหวือไม่ยี่หระกับสารพัดคำบ่นนั่น แล้วยื่นมือไปหา
“พันวัง”
“ขอรับ?”
“มาทางนี้สิ”
“…”
“พันวัง…”
..มีหรือที่จะทนกับน้ำเสียงออดอ้อนเช่นนั้นได้
เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจก่อนจะผละจากอกกว้างไปหาอีกคน
ร่างสูงกว่านั่งเกยอยู่บนเตียง รั้งมือให้ร่างบอบบางกว่าเข้าไปในอ้อมกอดแล้วขืนจุมพิตเสียเต็มฟอดที่ริมฝีปาก..
เก็บเกี่ยวความหอมหวานขณะค่อยปลดอาภรณ์น้อยชิ้นพวกนั้นออก
“อ…”
ไร้การขัดขืนไม่ได้สิ้นเรี่ยวแรงอย่างที่ตัวเองเคยคิด
เมื่อร่างสูงใหญ่อ้อมมาประคองที่ด้านหลัง รั้งใบหน้าของตนให้ผละออกมารับรสจูบแปลกใหม่อีกครั้งจากคน
ต่างถิ่นกลิ่นเปลือกไม้ป่าแตกต่างจากที่เคยคุ้นลอยมาแตะจมูก พาลให้เผลอหลับตาอย่างเผลอไผลและกว่าจะรู้ตัว..เรือนร่างขาวเนียนก็เปลือยกายอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
หนึ่งคนคอยหยอกล้อที่ยอดอกสองข้าง ส่วนอีกหนึ่งก็ตามประคองบดเบียดริมฝีปากลงมาไม่ได้ว่างเว้น เพียงคนเดียวก็ทำเอาสติแทบหลุดลอยอยู่แล้ว..บัดนี้เปลี่ยนเป็นสอง แม้จะควบคุมอะไรก็ทำไม่ได้สักนิดความหฤหรรษ์ที่พุ่งพล่านเต็มอกจนผิวบอบบางขึ้นสีระเรื่อตามจุดต่างๆอย่างเสียมิได้
บุรุษผิวเข้มละริมฝีปากออกหลุบมองใต้ร่างราวนี่เป็นงานศิลปะชิ้นเอก..แล้วหันไปขยับยิ้มให้เจ้าบ้านที่ดูภาคภูมิใจเสียยิ่งกว่าเจ้าตัวซะอีก
“ยอดเยี่ยมใช่มั้ยล่ะ?”
นั่นเป็นคำพูดที่ลอยมาจากที่ไกลแสนไกล บุคคลที่สามปรือตามองอ่อนรู้สึกถึงพลังงานในร่างกายที่เริ่มหดหายไปทุกครั้งที่มืออุ่นร้อนลูบคลำไปทั่วตัว
“ยังไม่รู้หรอก…”
อ้ายแสนตากล่าวโน้มใบหน้าลงมาประทับริมฝีปากอีกครั้ง
“นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง…”
พวกเขาตื่นสาย
…และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะอะไร
จ้าวโคจรสั่งให้เด็กรับใช้เตรียมสำรับอาหารสำหรับมื้อเช้ามาบริการถึงที่ห้อง นับว่าเป็นการสะดวกนักสำหรับจอมขี้เกียจทั้งสองที่บิดตัวลุกขึ้นมาบริโภคเสียงดังไม่ได้เกรงใจจนไอ้คนที่เหนื่อยที่สุดต้องแว้งขึ้นมาเอ็ดแล้วเอ็ดอีก
…ซึ่งพันวันคาดการณ์ผิด…การแสดงตนว่ารู้สึกตัวแล้วทำให้ชายหนุ่มวัยกำลังคึกสองคนถึงกับละมือจากอาหารมาจัดการเขาใหม่ ดังนั้นครั้งต่อไปต่อให้ต้องเอาอะไรมาอุดหูก็ต้องทำล่ะ
ก๊อกๆๆ
ตกสายในที่สุดเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
แม้จะขัดใจแต่จ้าวโคจรผู้แสนดี(..)ก็คว้าผ้าขาวม้าแถวนั้นนุ่งออกไปเปิดกลอนอย่างเสียมิได้ ด้วยรู้ตัวว่าเวลาก็ผ่านมานานนับแล้วจะมัวแต่รื่นเริงอยู่ก็คงไม่ใช่
“ว่ากระไรรึอ้ายอินทร?”
บ่าวผู้สูงวัยโค้งศีรษะ “ด้านล่างมีชนมวยกันขอรับ”
คนฟังเบือนนัยน์ตาหันไปสบกับสหายรักที่ยังนอนเกยอยู่บนเตียง อ้ายแสนตาก็ได้ยินเช่นกันจึงพยักหน้าเออๆออๆรับคำไป
“เดี๋ยวพวกข้าลงไป” โคจรว่า หลิ่วตายิ้มกะล่อน
“เตรียมตัวได้เลยลงพนันฝ่ายเราสักกี่เบี้ยก็เอา จักได้รู้ว่ากำลังจระเข้พิจิตรไม่ได้แพ้อโยธยา”
“แล้วข้าจะรอชม” แสนตาว่ามาจากด้านหลังฉาก ร่างสูงใหญ่คว้าผ้าขาวม้าอีกผืนนุ่งลงจากเตียง
“งั้นฝากไปเตรียมคนของข้าเอาเจ้าน้องสหัสลงเสีย ต่อกี่เบี้ยเราก็สู้”
“ชิชะนี่เพิ่งนัดแรกยังจะมา..”
“ก็เจ้าท้ามาก่อนแล้วจะให้ข้าทำเช่นไรเล่า”
“ข้าหวังเพียงลองเชิงท่านเท่านั้นแล”
“อย่ามาพูดปดมดเท็จ”
“แต่ก่อนอื่น…มีเรื่องด่วนขอรับ”
อ้ายอินทรยกมือห้ามด้วยอยู่มานานจนพอรู้ว่าจ้าวทั้งสองผู้เลื่องชื่อนั้นแม้จะสนิทกันมากด้วยรุ่นราวคราวคล้าย
แต่ถ้าอยู่ด้วยกันนานๆเป็นอันต้องปะทะฝีปากให้คนฟังเหนื่อยหน่ายกันเสียทุกครั้งไป
…ว่าแล้วก็นึกสงสารเจ้าน้องพันวัง ท่าทางจะรับศึกหนักทั้งร่างกายและประสาทหูมิรู้จะทนฟังคำเถียงพวกนั้นได้อีกสักกี่น้ำ…
“แล้วท่านจ้าวจะทำเช่นไร…กับแม่หญิงบุหลันเล่าขอรับ?”
“โอ๊ะ”
นั่นเป็นคำอุทานของอ้ายแสนตา ที่ยกมือลูบหน้าอย่างเสียมิได้
“…ลืมไปเสียสนิท”
สหายหนุ่มถึงกับผงะ
“นี่เจ้าลืมกระทั่งว่าที่เมียงั้นเรอะ”
“จะว่าแต่ข้าก็มิได้เจ้าสิเชื้อเชิญน้องพันวังมาหาข้าเอง”
“นั่นประไรข้าเห็นลางว่าอ้ายแม่หญิงนั่นคงได้หัวเน่ามิช้านาน”
“ปากเจ้านี่มัน..”
“ฮ่าๆๆ”
“อย่าเพิ่งนอกเรื่องสิขอรับข้างนอกพาลวุ่นวายกันไปเสียหมด”
อ้ายอินทรแทรกขึ้นอย่างจัดใจ
“บัดนี้เรือนเรามีเพียงอ้ายแม่พิกุลเท่านั้นที่ยังเป็นเพศเมีย แต่ก็แก่จนใกล้จะเป็นโบราณวัตถุพอมีแม่หญิงมาเค้าหน่อยพวกบ่าวไพร่ต่างพากันระริกระรี้กันเสียใหญ่ ต่อให้เป็นว่าที่ชายาจ้าวก็เถิด…ข้าเองยังมิรู้จะคุมความห่ามบรรดาหนุ่มๆนั่นได้อีกสักกี่น้ำ”
“ช่างบังอาจเสียจริงเจ้าพวกนี้!” โคจรเผลอตวาดกร้าว
“ก็รู้อยู่เต็มอกว่าแม่หญิงนั่นเป็นของอ้ายแสนตาเพื่อนรักข้า จักกล้าคิดเกินเลยได้อย่างไรน่าจับมาเฆี่ยนตีเสียให้---”
“ช้าก่อนอ้ายโคจร”
อีกคนกลับยกมือห้าม
“ข้าสิพอเข้าใจหัวอกเจ้าชายฉกรรจ์พวกนั้น อย่างไรเสียแม่หญิงบุหลันก็มีหัวใจตราบที่ยังมิได้ประกาศกล้าว่านางเป็นของข้า นางนั้นยังไร้พันธะหากคิดจะแก้เรื่องนี้คงต้องรีบชี้แจงเรื่องหมั้นหมายโดยเร็ว”
“แหม..” ทว่าอ้ายโคจรกลับยังส่งน้ำเสียงทะเล่นกลับ
“ใจกว้างแท้สมเป็นอ้ายพี่แสนตาแห่ง--“
“หุบปากซะไอ้เวรนี่”
“ฮ่าๆๆ”
“อ้ายอินทรจงนำความไปแจ้งยังอ้ายแม่พิกุล”แสนตาหันกลับมาคุยกับหัวหน้าบ่าวรับใช้
“ตระเตรียมมาลัยดอกไม้หอมไว้พร้อมเมื่อลงชนจึ่งให้อ้ายแม่หญิงบุหลันโยนถวายจักได้รู้ไปเลยว่าผู้ใดเป็นของผู้ใด”
“ขอรับ”
“ประเดี๋ยวก่อนอ้ายแสนตา” คนฟังอีกคนยกมือขออนุญาต
“หากเจ้าจะลงชนนั่นหมายความว่า……”
“ใช่”
อาคันตุกะรูปงามยกยิ้มที่มุมปาก เบือนดวงตาหันไปสบกับสหายรัก
“เจ้าสิต้องประลองกับข้า”
กว่าที่พันวังจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็เริ่มต้นเวลาบ่าย
และที่เขาตื่นไม่ใช่เพราะได้นอนพักผ่อนเพียงพอหรอกนะ เพียงเพราะกระเพาะเจ้ากรรมมันดันร้องครวญครางยังกับเมฆครึ้มลอยก่อกวน สุดท้ายก็ต้องจำใจเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมาท้าแสงตะวันจนได้
“อะ” ใครคนหนึ่งร้องขึ้น
“ข้าทำให้ท่านตื่นรึขอรับ?”
ไม่ใช่ใครที่ไหนเจ้าน้องเล็กสุดท้องของตระกูลแม่พิกุล อ้ายกล้า ซึ่งปัจจุบันยังอายุไม่ถึงสิบขวบดีเป็นบ่าวอายุน้อยที่สุดจึงไม่ค่อยได้รับผิดชอบงานอะไรสักเท่าไหร่ แต่เพราะอ้ายกล้าเป็นคนเดียวในบ้านที่อายุน้อยกว่าเขาดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเอ็นดูเด็กชายคนนี้ไม่น้อยทีเดียว
แม้นรู้ว่าอีกไม่เกิน 3 – 4 ปีข้างหน้า อ้ายกล้าคงต้องเข้าพิธีถวายตัวเป็นหนึ่งในนายกำนัลของท่านจ้าวใหญ่ และเมื่อถึงเวลานั้นคนที่ความคิดเกินเลยกับนายเหนือหัวอย่างเขาคงมองหน้าน้องชายคนนี้ไม่ติดไปพักใหญ่ๆเลยกระมัง
“มิใช่ดอก” พันวังว่า
“ข้าหิวน่ะ”
“ให้ข้าไปเตรียมสำรับอาหารให้ไหมขอรับ?”
“เดี๋ยวข้าออกไปเองก็ได้ช่วยส่งผ้ามาทีสิ”
อีกคนกระพริบตา
“อ้ายพี่ไหวรึ?ยินว่าเมื่อคืนรับศึกหนักไม่น้อย”
“….เป็นเด็กเป็นเล็กทำเป็นสู่รู้นัก”
“เอ้าข้าแค่ยินเขาลือกันมา”
“เขาไหน?”
“ใครเขาก็รู้กันหมด”
“ข้าได้ยินเสียงโห่ร้อง…”
เด็กหนุ่มยกมือขยี้ตาเปลี่ยนเรื่อง ไอ้น้ำคำใสซื่อด้วยคนพูดไม่เข้าใจเรื่องอย่างว่าเหมือนเขาเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วแบบนี้นี่แหละที่ทำให้ยิ่งเขินอายนัก พร้อมเงี่ยหูฟังเสียงเอ็ดตะโรที่ดังแว่วจากด้านนอกหน้าต่าง..ซึ่งชวนสงสัยตั้งแต่ตอนที่เขายังหลับตาอยู่แล้ว
“มีเหตุอันใดเกิดขึ้นรึ?”
เด็กชายตัวเล็กหัวเราะคิกคัก เอ่ยตอบพร้อมอธิบายเสียเสร็จสรรพ
“ชนมวยกันสิขอรับครานี้จ้าวแสนตาท้าทายท่านจ้าวด้วยตัวเองบรรดาบ่าวน้อยใหญ่ครึกครื้นกันใหญ่ ออกลงเบี้ยกันเสียสนุก….อ้ายพี่พันวังสนใจบ้างรึไม่เล่าขอรับ”
คนฟังกระพริบตาปริบๆ
“จ้าวพี่โคจรกับอ้ายพี่แสนตาน่ะนะ?”
“ขอรับ”
“ไม่ต้องเสียเวลาตรึกตรอง” พันวังหัวเราะร่วนจนปวดท้องรีบคว้าเศษเบี้ยบนโต๊ะข้างเตียงโยนส่งให้อีกคนรับไว้โดนพลัน
“นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน..จ้าวพี่เคยเอาชนะอ้ายพี่แสนตาได้เสียที่ไหน ข้าลงข้างจ้าวต่างแดนฝากบอกอ้ายพี่อินทรเดี๋ยวข้าจักตามลงไป”
“ขอรับว่าแต่…”
“ว่ากระไรรึ?”
“อ้ายพี่พันวังไหวแน่รึขอรับ?”
คนฟังลูบหน้าทันที
“เจ้าคิดว่ากำลังพูดกับใครอยู่รึ?ไปเอาความไปแจ้งเสียข้าจะแต่งตัวแล้ว”
“ขอร้าบ”
เด็กชายหัวเราะร่วนทิ้งท้ายอีกครั้ง เล่นเอาคนเป็นพี่อยากจะหยิบอะไรมาปาหัวมันเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำได้เพียงฮึดฮัดอยู่บนเตียงแล้วใช้เวลาร่วมชั่วโมงเพื่อลากสังขารลงมาแต่งเนื้อแต่งตัวเสียเรียบร้อยมิดชิด อย่าได้หวังให้ใครต่อใครได้เห็นรอยรักที่ฝากฝังไว้นี่เลยที่จริงแล้วเขาก็ใช่ว่าจะชอบใจกับสถานภาพที่เป็นเช่นนี้..
…การเป็นของเล่นของใครไม่ใช่เรื่องสนุกเลย แม้นว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นถึง ‘จ้าวชีวิต’ของตนเองก็ตาม
เหตุเพราผิวกายที่ยังตึงแน่นสมวัย ดวงหน้าหวานด้วยยังไม่แตกเนื้อหนุ่มดีนักกับช่วงอายุที่เพิ่งผ่านพ้นคำว่าเด็กชายมาได้ไม่นานนั่นเองจ้าวพี่โคจรของเขาถึงได้หลงใหลกว่าบ่าวอื่น หากผ่านไปอีกสักยี่สิบสามสิบปี..เค้าความเยาว์วัยนี้คงจะเริ่มจางลงไป หรืออย่างน้อยร่างกายก็อาจจะสูงใหญ่ขึ้นผิวกร้านคล้ำขึ้นหนวดเคราขึ้นเป็นตอชวนจั๊กจี้
ทั้งขาเนียนละเอียดที่จ้าวพี่ชอบประทับจูบนี้ก็อาจจะเต็มไปด้วย..หรือขนหน้าแข็งดกครึ้มก็ได้…….
…..แค่คิดก็สยองแล้ว
พวกบ่าวทั้งหลายพออายุขึ้นเลขสามหลักก็ถูกไล่ออกไปทำงานจิปาถะแล้ว แม้ที่ผ่านมาจ้าวพี่จะไม่เคยเฉดหัวใครเพราะยังหนุ่มยังแน่น แต่ก็ไม่เคยจะเห็นแลตามองพวกกล้ามบึกๆถึกถึนพวกนั้นสักนิด
พันวังยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่
แล้วถอนหายใจก่อนจะเดินลากขาออกจากเรือนใหญ่เป็นก้าวแรกของวัน
เสียงผู้คนโห่ร้องเอ็ดตะโรกันสนั่นจากชานด้านล่าง เปี่ยมไปด้วยความเมามันระคนหวาดเสียวดังยิ่งกว่ายามหมัดลุ่นๆกระแทกผิวกายเสียอีก
นี่เป็นกิจกรรมของเพศผู้…ในอดีตคือการประลองเพื่อชิงว่าใครเป็นหัวหมู่แต่ปัจจุบันเป็นเพียงความสนุกสนานและการพนัน แน่นอนว่ากิจกรรมป่าเถื่อนที่ว่าไม่ได้แวะเวียนผ่านมาให้ชมบ่อยครั้งนัก ด้วยไม่มีจ้าวใดอยากให้คนในปกครองสู้รบกันเองซ้ำยังรู้กันเป็นปกติว่าเลือดจ้าวที่เข้มข้นเท่านั้นที่ไม่มีสิ่งใดฟันแทงหรือทำร้ายได้
แต่การสู้กันระหว่างจระเข้ธรรมดานั้นแตกต่างออกไป ด้วยกายทิพย์ที่สามารถเรียนรู้วิชาของมนุษย์จริงๆได้ทำให้การชกมวยนี้เมามันนัก ผิวกายแข็งแกร่งของจระเข้ที่ซัดกันเองแทบไม่สะเทือนการต่อสู้จึงดุเดือดและยาวนาน
กว่านัก…เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่เด็กหนุ่มจะตื่นเต้นกับความบันเทิงเหล่านั้น
“อ้ายสหัสอย่าให้แพ้เขา อย่าให้เสียเกียรติเชียวนะ!”
“ลุยมันสู้มัน”
“เอิ้ว!”
“เอิ้ว!”
เสียงโห่ร่างตะโกนดังไปทั่วทั้งลานสลับกับยามเนื้อกระทบเนื้อดังปั๊กพลั่กผลัวะ เจ้าของร่างผอมบางตรงไปเกาะราวระเบียงชะโงกหน้ามองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจากที่ยืนดูระดับพิเศษ ยืนมองสถานการณ์เหล่านั้นด้วยความตื่นเต้นนัก
หนึ่งคืออ้ายพี่สหัส
อีกหนึ่งคืออ้ายพี่รดิน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามวยคู่นี้น่าลุ้นมากแค่ไหน เพียงแต่ละคนต่างเป็นมือขวาของท่านจ้าวทั้งสองด้วยกันทั้งสิ้น และถึงแม้จะเป็นการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะวัดเอาแพ้เอาชนะหรือกระไรเพื่อความบันเทิงกันเป็นเสียส่วนใหญ่จนอดที่จะส่งเสียงโหวกเหวกตามไปด้วยมิได้
นั่นประไร…อ้ายพี่แสนตากับจ้าวพี่โคจรนั่งอยู่ใต้คุ้มศาลา ปรบมือโห่ร้องแสดงอาการไม่ต่างอะไรกับจระเข้ตนอื่นๆสักนิด
“เอามันลุยมัน”
“อ้ายรดินฝีมือเจ้าหดไปขนาดไหนรึ อย่ายอมสิวะ”
พันวังรอบยิ้มที่มุมปากขยับขาวิ่งทั่กๆลงจากบันไดตรงไปหาไม่ลืมที่จะแอบย่องไปออกบทวิเคราะห์จากด้านหลัง
“ฝ่ายเราช่างเพลี่ยงพล้ำนักจะอ้างเหตุอ้ายพี่รดินเพิ่งบาดเจ็บจากไล่ควายคราวก่อนคงไม่ได้ ยินดีด้วยอ้ายพี่
แสนตามื้อนี้ท่าทางจะกินจุใจ กลับไปคงซื้อที่นาได้อีกหลายไร่ทีเดียว”
คำทักนั้นทำให้จระเข้หนุ่มทั้งสองหันควับไปมอง หนึ่งหัวเราะร่วนส่วนอีกหนึ่งปั่นปึ่งหน้างอเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่มีผิด
“บ๊ะ”
ท้าวโคจรขมวดคิ้วรีบรั้งคนปากมากเข้ามานั่งเกยตัก
“เจ้าสิอยู่ข้างผู้ใดกันแน่?”
“ถ้าเลือกได้ข้าก็อยากอยู่ข้างผู้ชนะนะขอรับ”คนฟังหัวเราะคิกคัก
“เสียแต่เลือกมิได้เนี่ยสิ”
นายเหนือหัวขมวดคิ้วหมุ่น
“ดูสิมิทันไรออกอาการเสียแล้ว…คงคิดว่าข้าน้อยใจไม่เป็นกระมัง”
“โถจ้าวพี่ท่านจักรู้ว่าข้าเพียงเย้าแหย่..คิดจริงจังเสียที่ไหน”
อ้ายแสนตาหยุดหัวเราะพลันแทรกขึ้น
“แต่ข้าจริงจังนะ”
บุรุษผิวขาวแยกเขี้ยวใส่
“ข้าไม่ให้ว้อย”
“งั้นข้าจะขโมยไป”
“อ้ายแสนตา…นี่เอ็งชักปากดีเกินไปแล้ว กลับไปหาแม่หญิงของเอ็งไปชิ้วชิ้ว”
“จริงสิ”
เด็กหนุ่มประมือเข้าหากันราวเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนมองไปรอบๆ
“ข้าสิยังมิเห็นอ้ายพี่หญิง…นางไปอยู่ไหนเสียล่ะ?”
“ประเดี๋ยวก็มา” ชายหนุ่มร่างใหญ่หรี่ตามอง อดที่จะหยิกแก้มหมั่นเขี้ยวไม่ได้ “ให้อ้ายแม่พิกุลไปเตรียมมาลัย
เปิดศึกสุดท้ายข้ากับจ้าวพี่โคจรของเจ้าน้องพันวัง…เจ้าสิเลือกข้างใด?”
“ไม่เห็นต้องถามข้างอ้ายพี่แน่นอนอยู่แล้ว”
“พันวัง!”
“ฮะๆๆ”
“ดูสิได้ทีแกล้งข้ายกใหญ่”ไรฟันขาวขบลงมากัดไหล่มน
“โอ๊ย! เจ็บนะ”
“เจ็บสิดีเจ็บจะได้จำ”
คนถูกกระทำขมวดคิ้วหน้าบึ้ง
“งั้นข้าไปอยู่กับอ้ายพี่แสนตาเสียดีกว่าใจกว้างกว่ากันเยอะ”
“ดีหากเลือกทางนั้นจะได้ปล้ำเสียตรงนี้…ให้มันรู้ไปเลยว่าเจ้าเป็นของผู้ใด”
“จ้าวพี่!”
“ถ้าดื้ออีกข้าจักมิแค่ขู่ภาคปฏิบัติน่าจะเห็นผลกว่า”
“จ้าวพี่โคจร!”
“ว่ากระไร?หากจะเรียกชื่อข้าเสียเต็มยศเช่นนั้นมิลองครางเรียกดูเล่า”
“จ้าวพี่โคจร!”
เจ้าของนามยกมือแคะหูส่งรอยยิ้มทะเล้น
“รู้แล้วว่ารักข้าไม่เห็นต้องเรียกเสียงลั่นขนาดนั้นก็ได้”
คู่สนทนาหน้าเหวอโดยพลันผิวกายขาวก็ขึ้นสีแดงจนไม่รู้ว่าจะแดงไปถึงไหนต่อไหนแถมไอ้คนข้างๆที่ควรจะพึ่งพาได้กลับระเบิดหัวเราะเสียลั่นนี่แหละมิตรภาพลูกผู้ชายต่อหน้ากัดกันแค่ไหน..สุดท้ายมันก็ให้ท้ายกันอยู่ดี
“พอเลยขอรับ!” เด็กหนุ่มดันตัวออกจนสุดแขน
“ดูสิอ้ายพี่รดินจักตายแหล่มิตายแหล่อยู่แล้ว ยังจะมามัวหยอกล้อข้าอยู่ได้ถ้าคิดว่าโผล่มาหาจะรุมหัวรังแกข้าเช่นนี้..รู้งี้บึ่งไปช่วยงานครัวเสียจะดีกว่า”
“เอ้าจะรีบไปไหนเล่า ยกหน้าถึงทีข้ากับอ้ายแสนตาแล้วนะ”
“เรื่องของจ้าวพี่สิขอรับ”
“ถ้าเจ้าไม่อยู่แล้วมาลัยของข้าใครจะเป็นคนโยนกันเล่า”
พันวังชะงักกับคำพูดนั้นเบือนนัยน์ตากลมโตหันไปสบ
อีกคนยักคิ้วให้รีบอธิบายต่อ
“ดูสิอ้ายแสนตาก็มีอ้ายแม่หญิงบุหลันอะไรนั่นโยนมาลัยให้แล้ว ข้านึกอิจฉานัก..เลยบอกอ้ายแม่พิกุลร้อยมาลัยเพิ่มอีกสักพวง เพียงจะรอเจ้าหนุ่มน้ำใจงามคนไหนจะมาโยนให้ข้าหรือจะให้พวงมะลิเป็นหม้ายก็ตามใจเจ้า”
…ดูสิ…ทั้งคำพูดคำจา น้ำเสียงท่าทางเช่นนั้น …มันยากเหลือเกินที่จะไม่ให้ตนคิดเป็นอื่น
คนตัวเล็กกว่าเม้มปากรู้สึกถึงความร้อนที่วิ่งขึ้นมาผะผ่าวบนใบหน้าด้วยรู้ว่าอีกคนก็เอาใจเขามาเช่นนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วแต่ก็รู้อีกว่าที่พูดจาหวานละไมเช่นนั้นมันเรียกว่า ‘สันดานคนเจ้าชู้’ ...หาใช่ความรู้สึกที่แท้จริงไม่
…กระนั้นก็อดจะตื่นเต้นตามมิได้
“ท่านจ้าวขอรับ”
พลันเสียงทักก็ดังขึ้นจากด้านหลังอีกครั้ง เรียกให้คนทั้งสามหันไปมอง
อ้ายอินทรเกาแก้มเก้อเขินท่าทางจะยืนรอจังหวะรายงานมาสักพักแล้ว
“มาลัยเตรียมพร้อมแล้วขอรับหากมิรีบตีระฆังหยุดมวยคู่นั้นไม่อ้ายรดินก็อ้ายสหัสนี่แหละจะหมดแรงกันไปเสียก่อน จะเริ่มคู่เอกเลยรึไม่ขอรับ?”
“เอาสิ” จ้าวโคจรหัวเราะในลำคอ
“จักรอช้าอยู่ใยล่ะ”
สิ้นสุรเสียงรับสั่งจ้าวแสนตาจึ่งได้หยิบท่อนไม้มาตีระฆังเล็กข้างตัวเหง่งหง่างเป็นอันยุติยกมวยคู่นั้นเสียงโห่ร้องอย่างเสียดายดังขึ้นจากทั่วทั้งวง แต่ก็ด้วยรู้กันว่าความสนุกต่อไปสิกำลังจะเริ่ม
“เอ้าน้องพันวัง..จะนั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เล่า”
อ้ายแสนตาหัวเราะลั่นพยักเพยิดขึ้นไปบนชานเรือน
“มิรีบไปเตรียมตัวโยนมาลัยสิได้เห็นจ้าวโคจรแหกปากร้อง ‘อุแว๊’ เป็นแน่เอ้า! รีบไป!”
คนถูกสั่งอดจะยิ้มไม่ได้เลยรีบดันตัวลุกขึ้น
ส่วนคนถูกด่าถึงกลับอ้าปากพะงาบๆ “ปากคอเจ้านี่ช่างน่าเอาตีนยันเสียจริงอ้ายแสนตา…ให้ตายเถอะ”
“จ้าวพี่โคจร”
“หืม?”
เด็กหนุ่มอ้อมแอ้มเอ่ยเสียงเบา
“…ขอบคุณ…นะขอรับ”
และคนฟังได้ยินเต็มหู
ชายหนุ่มระบายยิ้มกว้างยีเรือนผมสีขนกาของอีกคนอย่างเอ็นดูแล้วลุกขึ้นยืนตามหยิบผ้ามาพันที่มือ
เตรียมมวยระหว่างที่ใจกลางของลานกำลังเก็บกวาดศึกในคราที่แล้ว
ร่างโปร่งสัมผัสได้ถึงหัวใจตัวเองที่เต้นระรัวยิ่งนัก…เพียงแค่อีกคนสัมผัสกายเขาอย่างอ่อนโยนเช่นนั้นก็ทำให้ข้างในร้อนผะผ่าว บางทีอาจจะมากกว่าความตื่นเต้นที่ได้เชียร์มวยพวกนั้นก็เป็นได้ และถึงแม้จะรู้ดีว่าควรจะระงับหักห้ามใจก็ใช่จะทำได้ในทันที
พันวังสูดลมหายใจเข้าลึกๆเตรียมตัวจะขึ้นเรือนไปรับมาลัยจากอ้ายแม่พิกุลที่ว่า
…แต่กลับต้องชะงักเสียก่อน เมื่อจระเข้แทบทุกตนในนั้น…เงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนเฉกเช่นกัน
ที่ปลายของจุดรวมสายตา…มีใครบางคนยืนค้ำอยู่บนหัวกระไดขึ้นแรกเคียงคู่กับอ้ายแม่พิกุลที่พวกเขาเห็นกันจนชินชานั่นเอง
..เธอยืนอยู่ตรงนั้น
ร่างอรชรในชุดกระโจงอกสีเลือดนกและผ้าถุงสีน้ำตาลรับกับเรือนร่างเต็มอิ่มในรูปแบบของสตรีเพศโตเต็มวัย
ที่พวกเขาไม่ได้เห็นกันเสียนานเรือนผมสีขนกายาวกล่อมสะโพกตรงเกลี่ยลงมาที่ข้างแก้มกลมทั้งสองข้างดูน่ารักน่าทะนุถนอม แม้ผิวกายจะไม่ได้ขาวสว่างแต่ก็เป็นสีน้ำผึ้งที่ต้องแสงตะวันอ่อนๆกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ ทั้งกลีบปากอวบอิ่มสีกุหลาบก็ดูเย้ายวน…จนลืมหายใจไปชั่วขณะและเมื่อนางช้อนดวงตาหวานล้ำคู่นั้นมองมา….
“แม่หญิงของข้า”
คำนั้นอ้ายแสนตาทักขึ้นมาก่อน เรียกสติให้คนตัวเล็กหลุดจากภวังค์มนต์สะกด
เด็กหนุ่มคิดว่าตัวเองหน้าแดง อาจเป็นเพราะสัญชาติญาณเพศผู้ที่ยังอยู่ข้างในลึกๆแต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าคำชมเต็มหัวเขาไม่รู้ว่าคำว่า‘สวย’ นี่หมายถึงสิ่งใดด้วยเติบโตท่ามกลางหมู่ผู้ชายมากมายแต่ก็ต้องยอมรับจริงๆว่านางช่างเปี่ยมไปด้วยสเน่ห์เหลือเกิน
จนอดไม่ได้ที่จะหันไปสะกิดอย่างใคร่รู้
“จ้าวพี่ๆนั่นน่ะรึอ้ายพี่หญิงของอ้ายพี่แสน----”
ไม่มีเสียงตอบรับ ..หรือพูดให้ถูกก็คือ…อีกคนแทบไม่รู้สึกตัวเลยเสียมากกว่า
เมื่อเงยหน้ามองถึงได้รู้ว่าร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ๆตนนั้นแทบจะแข็งเป็นหิน ดวงตาคู่คมทอดมองออกไปยังด้านบนของชานอย่างไม่วางตา ทั้งรอยยิ้มจางๆที่ฉาบอยู่บนใบหน้ารูปสลักคล้ายกับว่า…เวลา…ได้หยุดอยู่ตรงนั้น
มันทำให้พันวังชะงัก มือที่เหนี่ยวแขนอีกคนถึงค่อยปล่อยลงอย่างช้าๆ
…ดั่งดอกไม้แรกแย้ม…ที่ผุดขึ้นมากลางดวงตาสีอำพันคู่นั้น …และหนามแหลมคม…ที่บาดลึกอยู่ในดวงใจดวงนี้
ขอบคุณครับ นิยายยาวๆจริงๆ จะคอยติดตามนะครับ{:5_126:}{:5_126:} ขอบคุณครับ {:5_135:} ขอบคุณครับ ขอบคุณคร้าบบ ขอบคุณครับ
ขอบคุณคับ สนุกมากมายครับ แนวแฟนตาซีนี่ชอบเลย ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาดครับ เขียนได้ดีมาก อ่านเพลินเลยครับขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]