ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 660|ตอบกลับ: 2

จ้าวธารา

[คัดลอกลิงก์]

โสด

   ศาสตราจารย์เอื้ออาทร
อาจารย์พิเศษ
คัดลอกมาครับ

-๑๑-
   สัมผัสอ้อมกอดอุ่น  ริมฝีปากที่ยังมีรสเลือดคละคลุ้งและรสเค็มของน้ำตา  เด็กหนุ่มทิ้งกายลงในอ้อมแขนนั้น  

ปล่อยให้สัมผัสของอีกคนทำให้ทุกอย่างหายไป  ไม่เว้นแม้กระทั่งเปลวเพลิงโลกันต์ที่เผาไหม้เงาไม้จนราบ

เป็นหน้ากลอง
   ไม่นานชายหนุ่มก็ละออกไป ดวงตาทั้งสองข้างมีหยดน้ำตาไหลอาบคละเคล้าไปด้วยฝุ่นเถ้าสีดำ แต่สองมือน้อยไม่ยอมปล่อยให้อีกคนไปไหน  ร่างโปร่งยังคงเหนี่ยวรั้งอีกคนเอาไว้อย่างสุดกำลัง
   อ้ายพี่แสนตา…
ข้ารักท่าน
   ข้ารักท่าน…

   ข้ารักท่าน…
   ข้า…..
   “….วัง  พันวัง”
   “น้องพันวัง”
   หลังเปลือกตาคือภาพดำมืดกับเปลวเพลิงสีส้มที่ลุกโชนไปทั่วทุกหนแห่งดั่งภาพหลอน ยามลืมตาขึ้นอีกครั้งกลับเป็นความสว่างไสวจนแสบตา  เปลือกตาสีเข้มหลุบลงอีกครั้งหนึ่ง..หัวคิ้วขมวดขยับไปมา  ก่อนจะค่อยปรือขึ้นเพื่อรับแสงตะวันนั้นใหม่อีกคราด้วยจับสัมผัสได้
   ความรู้สึกปวดร้าวแล่นปราดวิ่งพล่านไปทั่วร่างกายจนไม่กล้าแม้จะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เขาหรี่ตาลง  
ผ่อนลมหายใจอ่อนเพื่อมองหาเจ้าของเสียงทุ้มที่พร่ำเรียกชื่อเขาอยู่จนถึงเมื่อครู่
   “จ้าวพี่..โคจร…?”

   เจ้าของนามยิ้มกว้างรับ  ดวงหน้าคมมีร่องรอยความโล่งใจอยู่เต็มเปี่ยม  ก่อนก้มลงมาประทับจูบปลอบที่หน้าผากเสียหนึ่งที
   “เป็นเช่นไรบ้าง?  เจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า?”

   เด็กหนุ่มโคลงศีรษะช้าๆ  ดวงตายังไม่ชินกับแสงสว่างนัก

“ที่นี่…?”
   “เรือนของเจ้า” อีกฝ่ายตอบ

“พิจิตร”
   …พิจิตร?
   ร่างโปร่งหอบหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ ภาพความทรงจำอันเลวร้ายหวนย้อนกลับมาอย่างช้าๆในสมอง  และเขาแทบจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย  กระนั้นสัมผัสอุ่นที่ยังติดอยู่ที่ผิวกาย กับเสียงกรีดร้องที่ดังอยู่ในสมองก็ทำให้อะไรๆมันชัดเจนขึ้นมาได้โดยง่าย
   นอกจากเรื่องเรือนที่อโยธยาโดนโจมตีจนมอดไหม้ เปลวไฟลุกท่วมไปทั่วทุกแผ่นไม้  กลิ่นคาวและเลือดที่ไหลซึมขึ้นมาตามผิวน้ำ ขบวนเรือของฝ่ายตรงข้ามที่มาเพิ่มเรื่อยๆไม่หยุดหย่อน…เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองมาถึงที่นี่ได้ยังไง

ด้วยซ้ำ   แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น…
   เด็กหนุ่มเม้มปาก  กลืนน้ำตาที่เกือบจะหยดนั้นลงไปเสีย
   “ข้า…หลับไปแค่ไหนรึ?”

   เสียงตอบที่แสนแหบแห้ง  ลำคอเจ็บแปลบจนเหมือนจะแตกออกได้
   “เพิ่งเช้าวันที่สองเท่านั้น” จ้าวหนุ่มตอบ  มือใหญ่เกลี่ยลูบที่ข้างแก้ม “เจ้าสิรอตรงนี้ก่อน  ข้าจักไปตามอ้ายแม่พิกุล

มาดูอาการ
   “..ขอรับ”
   “พร้อมสำรับข้าวต้มสักมื้อ…เจ้าคงหิวสินะ”
   “ขอบพระคุณขอรับ…จ้าวพี่โคจร”
   อีกคนมองหน้าเขานิ่ง  มือใหญ่ลูบที่หน้าผากลงมาถึงข้างแก้ม
   “เจ้าปลอดภัยแล้ว..”

   คำพูดนั้นเอ่ยปลอบ  ก่อนร่างสูงจะดันตัวลุกขึ้น
   “อยู่ที่นี่…เจ้าจะปลอดภัย พันวัง”

   เจ้าของนามกลั้นใจอยู่นาน…จนกระทั่งอีกคนออกไปสักพักน้ำตาหยดหนึ่งถึงได้ไหลอาบแก้ม  เขาค่อยๆยกมือที่ถลอกปอกเปิกเป็นรอยไหม้ทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาดู ถึงเขาจะไม่สามารถหาคำตอบของบาดแผลกว่าครึ่งหนึ่งของร่างกายได้   แต่สองมือข้างนี้…เขาจำได้…
   ยามที่อ้ายพี่แสนตาถอดรูปกายดำลงน้ำ แปลงร่างเป็นจ้าวกุมภาขนาดมหึมา…ยอมให้ร่างกายใหญ่โตที่เปี่ยมไปด้วยบาดแผลนั่นเป็นเป้านิ่งให้โรมรันฟันแทง ทั้งหอกดาบอาวุธอาคมมากมากที่ทิ่มเข้าผิวหนังที่เคยแข็งแกร่ง แต่อ่อนแอลงเพียงแค่ในคราวนั้น…เรียกให้หยาดเลือดข้นซึมไหล หากจ้าวหนุ่มกลับกลั้นเสียงกรีดร้องไว้ไม่อ้อนวอนขอความเห็นใจ…เป็นเหยื่อ…ให้จระเข้น้อยใหญ่มีเวลามากพอจะหนีไป…
   เท่าที่เขาจำได้  แน่นอนว่าตัวเองอยู่ข้างกายจ้าวไม่ได้หลบไปไหน  หากแต่เสาเอกต้นหนึ่งที่ถูกเพลิงไหม้ไม่หมดลมเอนลงมาทับกาย….นั่นกลับเป็นภาพสุดท้ายที่เขาเห็น   และตัวเองที่มาอยู่ที่พิจิตรนี่…ก็ดูราวกับว่าจะบอกอะไรได้มากมายแล้ว…
   “อ้ายพี่แสนตา…”
   เขาสะอื้นไห้จนตัวโยน  รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทั้งร่าง..ไม่ว่าจะเป็นฝ่าเท้าสองข้าง  แผ่นหลัง  ลำคอ  นิ้วมือ

มวนท้อง  หว่างขา หรือแม้กระทั่ง…หัวใจ
   “อ้ายพี่แสนตา…อ้ายพี่แสนตา…”

   พันวังไม่รู้ว่าร้องไห้หนักขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เขาร้องจนเสียงแหบ  ร้องจนราวกับว่าน้ำทุกหยดในร่างกาย

ได้ถูกใช้ไป
   ร่างโปร่งนอนคุดคู้มุดตัวอยู่ในผ้าห่ม กดมือทั้งสองข้างที่ยังปวดแปลบลงที่กลางอก  เฝ้าฟังเสียงหัวใจตัวเองกรีดร้องด้วยความทรมาน

   …..ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…..ดวงใจข้า…จะไม่หวนคืนสู่ห้วงธารา….เพียงท่าน…
เท่านั้น
   พิธีศพของจ้าวแสนตาถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ รวมไปถึงสหัส  ทองดี และจระเข้ตัวอื่นๆที่ต่อสู้ศึกนั้น

อย่างกล้าหาญ
   ไม่มีศพ..ไม่มีร่างกายกลับมา เพียงแค่บวงสรวงสักการะพระแม่คงคาเหมือนเช่นพิธีปกติ  และปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปกับสายน้ำ  ทั้งข้าวของเครื่องใช้ ดอกไม้ธูปเทียน  รวมไปถึงความทรงจำทั้งหลายเหล่านั้น…ทิ้งอดีตทุกอย่างลงให้กลายเป็นเพียงภาพเลือนราง
   เรือนที่พิจิตรไม่ได้จัดงานศพบ่อยนัก..จึงเป็นภาพที่ไม่ได้ชินตาเท่าไหร่ พอคิดเช่นนั้นแล้วจ้าวโคจรก็นึกเสียใจ

ทุกครั้งที่ไม่ได้ไปช่วยเหลือเพื่อนรักด้วยตนเอง   เคราะห์ร้ายครั้งนั้นทำให้พิธีไว้ทุกข์เงียบงัน..และความเศร้าก็ดูราวกับจะสามารถยืดเยื้อยาวนานไปได้นับปี
   จระเข้ที่รอดจากอโยธยาก็ไม่ได้มากมายนัก และทั้งหมดยังคงอยู่ในสภาวะฟื้นตัว  บางคนไม่อาจมีร่างกายที่สมบูรณ์เหมือนเดิมได้อีก...เช่นกัน  พันวังก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น…

   มันคือความเงียบ…ที่เงียบอยู่นานมากพอจะทำให้เสียงลมดูน่ากลัวขึ้นมาได้ ระยะห่างระหว่างพันวังกับอ้ายแม่พิกุลมีเพียงสายลมคั่น ดวงตาสีอำพันกลมโตไม่ได้รับรู้ถึงอะไรมากนัก  กลับกันกับอีกคน…ที่ดูวิตกกังวลมากกว่า
   ก่อนเขาจะเบือนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
แล้วรำพึงรำพัน
   “จริงหรือขอรับ…?”

   น้ำเสียงนั้นบอกไม่ได้ว่าคนพูดกำลังรู้สึกอย่างไร และคู่สนทนาก็ไม่อยากตอกย้ำ  เลยทำเพียงพยักหน้ากลับไป
   แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการไม่ใช่ความเงียบ เขาเม้มปาก  
แล้วถามย้ำอีกครั้ง
   “…ข้า…ไม่สามารถมี ‘ลูก’ ได้…อย่างนั้นหรือขอรับ?”

   “..บาดแผลที่ช่วงท้องเจ้านั้นสาหัสนัก”หญิงชราเอ่ย “ถ้าพิจตามที่เจ้าเล่า ไอ้เสาสุมเพลิงนั่นสร้งบาดแผลให้เจ้า

ไม่น้อย…กระนั้นจงมองโลกในแง่บวกไว้เสีย ช้าเร็วเจ้าก็ต้องทำหมัน  มิเช่นนั้นต้องเผชิญกับฤดูผสมพันธุ์ที่แสนทรมานในทุกช่วงปี”
   “อ่า…” พันวังพยักหน้าช้าๆ

“จริงดั่งที่ท่านว่า…”
   “ปัญหาของเจ้าคงไม่ได้มีเพียงแค่นั้นเป็นแน่ จากนี้คงลำบากนัก  เจ้าสิต้องเข็มแข็งไว้”
   คนฟังยิ้มน้อยๆ

“วางใจเถอะอ้ายแม่พิกุล  นั่นหาใช่สิ่งที่ข้ากังวลไม่”
   “เด็กเอ๋ย…มาทางนี้สิ”

   แขนผอมอ่อนแรงกางออก  เรียกให้อีกคนเข้ามาแล้วลูบหลังปลอบ
   ด้วยกับคนตรงหน้าที่เห็นกันมาตั้งแต่ตีนเท่าหอย แม้จะไม่ใช่คนร่าเริงมีอารมณ์ขันตลอดเวลา  แต่พันวังก็เป็น

เด็กดีมาก  คอยปรนนิบัติรับใช้ท่านจ้าวมาตั้งแต่ยังไม่รู้ภาษา แต่ก็มิเคยเห็นเศร้าซึมเช่นในตอนนี้  และแม่เฒ่าก็รู้เหตุผลข้อนั้นดี…จ้าวแสนตา…
   เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กดีมากมาตลอด ซึ่งครั้งหนึ่งได้ทำตามสิ่งที่ตัวเองปรารถนาอย่างแท้จริง…เพียงครั้งเดียว  

นั่นคือตอนที่ทุกตัวจะเดินทางกลับจากอโยธยา  และเจ้าตัวกลับพูดขึ้นมาว่า ‘ไม่’
   “ความรู้สึกนั้นเป็นเช่นไรรึ..” รอยยิ้มอ่อนทาบอยู่ที่ใบหน้า

“…ที่พวกมนุษย์เรียกว่า ‘ความรัก’น่ะ”
   เด็กหนุ่มยิ้มออกมาได้สำเร็จ แล้วร้องหวือ

“อ้ายแม่พิกุล!”
   “เอ้า  เจ้าจะเขินกระไรเล่า…ชาวเราน้อยคนนักจะได้รู้จักกับความรู้สึกเช่นนั้นนะ”
   พันวังหลุบตาคิดตาม  สิ่งที่อีกคนพูดมานั้นเป็นความจริงทุกประการ…เพราะเขาเองก็เพิ่งเข้าใจเรื่องนั้นได้เพียงไม่นานเท่านั้น เวลาเพียงไม่นาน…ที่จบลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอายุขัยเป็นร้อยปี
   “อบอุ่น…”เขาเอ่ยต่อ…เสียงเบา

“…และหอมหวานมากขอรับ…”
   “รู้สึกดีใช่รึไม่?”
   “ขอรับ” พันวังพยักหน้า หลุบตาลงเล็กน้อย

“แต่ข้ากลับ..ทุกข์มากเหลือเกิน..”
   มือหุ้มกระดูกค่อยบรรจงลูบปลอบอีกคนช้าๆ

“เจ้าเป็นเด็กเข้มแข็ง…พันวัง”
   “ข้าไม่อยากเข้มแข็งอีกแล้ว…”
   “เด็กโง่”
   “ข้าสงสัยนัก….”
   เขาหลับตาลง  รำพึงรำพัน…น่าแปลกใจที่ไม่มีน้ำตาออกมา
   “เหตุใดสวรรค์ถึงให้เราเกิดมา เหตุใดจึงให้เราเผชิญความโศกาเช่นนี้…เราเป็นเพียงจระเข้ เรา…เราไม่ได้อยากมีความรู้สึกเฉกเช่นนี้มิใช่รึ? เพียงแหวกว่ายตามลำน้ำ  ปกป้องพระแม่คงคา และสืบเผ่าพันธุ์ต่อไปเพียงแค่นั้นก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ?”

   “พันวัง….”
   “เจ็บเหลือเกิน…อ้ายแม่พิกุล ข้าสิเจ็บเหลือเกิน”
   เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับไหล่ผอมแห้งของอีกคน เขาควรจะร้องไห้..แต่ไม่เลย  เพียงเพราะน้ำตาเหล่านั้นได้เหือดแห้งไปหมดแล้ว
   “ใยมนุษย์…จึงโหดร้ายเช่นนี้…?”

   มันคือช่วงว่างให้สายลมอ่อนๆพัดผ่านมา
   เด็กหนุ่มรู้ดีว่าคำถามนั้นคงไม่ได้คำตอบ และมันคือข้อสงสัย…ว่าทำไมพวกเขาตองมีร่างแปลงที่เสมือนมนุษย์เช่นนี้ด้วย ทำไมจ้าวรำไพถึงใช้ลูกแก้ววิเศษพวกนี้แปลงร่างเป็นมนุษย์…เป็น…
สิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายเช่นนั้นด้วย
   
..เพียงเพราะอยากเป็นมนุษย์
   ..เพียงเพราะอยากสัมผัสความรู้สึกที่ทรมานเช่นนั้นอย่างนั้นรึ..?

   ในทุกๆวันที่เขาทำได้เพียงนอนพักอยู่บนเตียง เขาเฝ้าคิดถึงใบหน้าของชายอันเป็นที่รักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฝ้าหาเหตุผลที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น  ทั้งความโหดเหี้ยมของมนุษย์ที่มองพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตอันตรายมาตลอด
   …แต่เราก็มองพวกเขาไม่ต่างกัน…

   จระเข้และหมออาคมรบรากันมานาน…นานมากพอที่จะเรียกว่าสงครามยืดเยื้อ  ไม่ว่าจะสูญเสียไปมากมายเท่าไหร่ ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายนึงยอมลดราวาศอกต่อกัน  ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และจะเป็นเช่นนี้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดไป
   แม้ว่าฝ่ายเราจะเพลี่ยงพล้ำด้วยจำนวนคน แต่ก็จัดว่าสูสีมาตลอดด้วยสายเลือดของ ‘จ้าว’ที่เข้มแข็ง  พลังที่แข็งแกร่ง และสมรภูมิในน้ำที่ได้เปรียบนัก…

   แต่จ้าวแสนตากลับอ่อนแอ
   …เพียงแค่ในวาระนั้น…คมดาบเดียวที่แทงหัวใจของจ้าวได้….

   อ้ายแม่พิกุลยังคงกอดปลอบเด็กหนุ่มต่อไปด้วยคิดว่าอีกคนคงกำลังหลั่งน้ำตาอยู่ หาได้รู้ไม่ว่าในดวงตาสีอำพันคู่นั้นมีเพียงเค้าลางของความแค้นที่กลบความโศกเสียใจไปเสียสิ้น
   “เจ้ายังมีชีวิตอยู่…”

   หญิงชรากล่าวเสียงเครือนัก
   “มิใช่ว่าข้าจักไม่เข้าใจเจ้า ชั่วดีเช่นไรเจ้าก็ต้องเดินหน้าต่อไป”

   “ขอรับ” พันวังพยักหน้าช้าๆ

“ข้า…ต้องเดินหน้าต่อไป”
   จากนี้อีกสักกี่สิบกี่ร้อยปี…ความแค้นนี้…ข้าต้องสะสางมันให้สำเร็จ….ไม่ว่าจะมนุษย์  แม่หญิงบุหลัน
   หรือกระทั่ง…จ้าวพี่โคจร

                                                                                  จบภาค


ครั้งนั้น
วันเจ้าพระยายังสดใส
ยังมีจ้าวกุมภาเกรียงไกร
สถิตอยู่ใต้ห้วงชลธาร
เซซัดจากถิ่นฐานบ้านเกิด
หนีตะเลิดเปิดใจมิอาจหาญ
เจ้ามนุษย์ผู้ร้ายใจมาร
ผู้รุกรานทำร้ายใจตน
รอนแรมมาไกลถึงเมืองหลวง
ฝูงทั้งปวงล้มตายเป็นสายฝน
จ้าวยักษ์ใหญ่ตั้งคำในบัดดล
มันสักคนต้องได้..ชดใช้กรรม

                                     ################################################
-๑-   

เปรี้ยง!
   เสียงกัมปนาทฟาดลงมาดังลั่นจนทุกคนในห้องสะดุ้งเฮือก สายตาทุกคู่จับจ้องมองไปยังนอกหน้าต่าง..ฟ้าครึ้ม

เมฆหม่น  ที่สำคัญที่สุดคือสายฝนที่ตกกระหน่ำอย่างหนักจนไม่ได้ลืมหูลืมตา…จนน่ากลัว
   หญิงวัยกลางที่โต๊ะหน้าห้องมองลอดแว่นสายตายาวของหล่อนสบตากับนักศึกษาทุกคน ก่อนจะก้มมองนาฬิกา

ที่ทุกคนในที่นั้นรู้อยู่แล้วว่ามันเลยคาบมาเกือบๆสิบห้านาทีแล้ว
   “นักศึกษา” เสียงเนิบนาบเอ่ยขึ้น

   “วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
   คำพูดแบบนั้นคงเหมือนเสียงสวรรค์จากฟากฟ้าในวันปกติ เพียงแต่วันนี้บรรยากาศไม่เป็นใจให้ใครสักคนได้เฮฮา..ปล่อยตอนนี้ก็ยังกลับบ้านไม่ได้อยู่ดี ขนาดเสียงเลื่อนเก้าอี้ยังถูกกลบด้วยเสียงฝนกระหน่ำด้านนอกเลย
   แต่อย่างน้อยที่สุด..ผมก็ถอนหายใจออกมาได้สำเร็จ

   ..การเรียนในห้องแอร์เย็นๆวันที่ฟ้าสลัวๆแบบนี้มันไม่เป็นผลดีต่อสมองเลยสักนิด…หรือพูดให้ตรงกว่านี้

ก็คือ  แม่ง สัสเอ้ย  ง่วงฉิบหาย
   อาจารย์ผู้สอนเก็บของเดินออกจากห้องไปก่อนเป็นคนแรก นั่นถึงเป็นสัญญาณให้พวกเราได้ขยับกายลุกจาก

ที่นั่งบ้าง  แลคเชอร์นานติดกันสามชั่วโมงเต็มพาลให้ปวดหลัง เพราะเก้าอี้แลคเชอร์ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อให้หลับ ฟุบงีบ  กินข้าว  ตากผ้า  หรือทำกิจกรรมใดๆนอกจาก...เรียนหนังสือ ซึ่งเอ่อ..ตามประสาครับ พวกเราทุกคนชอบเรียนมาก
   “เฮ้ย  เฮ้ย”

   ผมสะกิดเรียกเพื่อนสนิทที่นอนหลับมาตั้งกะต้นคาบ
   “ไอ้โป๊ย  ตื่น ตื่นว้อย  หมดคาบแล้ว”

   แน่นอน  เจ้าของนามแม่งไม่สะดุ้งสะเทือนหรอกครับ ซึ่งผมก็ชินแล้วล่ะ…เลยต้องโบกหัว ‘ผลัวะ’ ไปทีนึง

อย่างแรง  เพื่อให้อย่างน้อยมันก็เงยหน้าขึ้นมาเคี้ยวน้ำลายตัวเองแจ๊บๆ…แล้ว…หลับต่อ
   
..เจริญจริงๆ..
   ผมส่ายหัว  หันมาเก็บข้าวของตัวเองบ้าง ซึ่งก็มีเยอะมากครับ  สมุดเล่มนึงกับปากกาหนึ่งด้าม
พับเก็บเหน็บไว้กับเอวก็เสร็จสิ้นกระบวนการแล้วล่ะ..
   “ไกร  ไกร”

   เสียงใสเรียกผมจากด้านหลัง  เป็นเสี้ยววินาทีก่อนผมจะลุกขึ้นยืนพอดี
   
ให้ตายเถอะ..หัวใจผมพองจนคับอกเลยตอนที่รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร
   ดวงหน้าใสยื่นเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้ม ใกล้จนได้กลิ่นแชมพูอ่อนๆจากเรือนผมสีน้ำตาลเข้มนั่น  
ก่อนเธอจะยกมือประนมให้แล้วส่งดวงตากลมโตใสวิ้งนั่นเพื่อกราบอ้อนวอนผมในที
   “แก้วยืมสมุดแลคเชอร์หน่อยได้มั้ยจ้ะ?”

   “อา  ได้สิ”
   ผมหยิบมันอย่างรวดเร็วเอ่อ..เร็วไปหน่อยจนน่าขัน  แหม  ต่อหน้าดาวมหา’ลัยใครมันจะไปตั้งสติทันล่ะ ผมเองก็ผู้ชายคนนึงที่หวังจะเด็ดดอกฟ้าเหมือนกันนะ
   เธอยิ้ม  รับแลคเชอร์ผมไปราวกับมันเป็นของล้ำค่าที่สุด

“ขอบใจนะ”
   ..วิญญาณจะล่องลอยไปแล้วล่ะครับ..
   “แก้วจดไม่ทันเหรอ?”

   “ฮะๆ  แก้วเผลอหลับไปช่วงนึงน่ะ”รอยยิ้มของเธอทำให้ผู้ชายมีบาดแผล “แล้ว’จารย์มาลัยบอกให้แก้วเขียนรายงานแก้คะแนนด้วยอ่ะ  กังวลชะมัด”
   “อ้าว  แก้วไม่ผ่านมีนเหรอ?”
   “อืม  แหะๆ”
   “วันหลังบอกเรานะ  เราติวให้ได้”
   “อะแฮ่ม  ไอ้คุณเพื่อนครับ”
   
การกระแอมกระไอที่ฟังแล้วรู้เลยว่าเฟคนั่นเรียกให้พวกเราทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมอง
   “…ปลุกกูขึ้นมาเพื่อฟังมึงจีบสาวเหรอฟะ? ไปเร็ว!”

   “ไปห่าไรล่ะ  ฝนตกยังกะเทกะละมัง”ผมโบ้ย

   “รอให้ซาก่อนดิ”
   โป๊ยหันไปมองตามผม  แล้วทำปากเป็นรูปตัวโอ..มันเพิ่งเห็นมั้งครับว่าสภาพอากาศวันนี้ไม่ดี สมแล้วที่เป็นจอมเอ๋อโป๊ยเซียน…ผู้ที่ต่อให้ทั้งอาคารกำลังลุกไหม้แต่ถ้าไฟไม่ติดที่ตูดมันก็ไม่รู้เรื่อง
   แต่ผมก็ลืมๆเพื่อนรัก  
แล้วหันไปยิ้มกับแก้วต่อ
   “ไม่เข้าใจตรงไหนถามเราได้นะแก้ว”

   “จ้ะ  ไกรน่ารักจังเลย~หล่อแล้วยังใจดีอีกเนาะ~”
   ไม่ต้องบอกใช่มั้ยครับ  คนที่พูดไม่ใช่แก้วหรอก..เพื่อนรักสุดจะกวนอวัยวะเบื้องล่างของผมต่างหากที่ทำทีเป็นดัดเสียงพูด ซึ่งบอกเลยลีลาขนาดนี้…กระเทยจริงๆยังอายแทน
   “ไหนมามะมาดจ๊วบที~  ม๊วฟ”

   “จูบตีนกูไปก่อนก็แล้วกัน…”
   “ว้อย  ล้อเล่นว้อย! ไม่เห็นต้องยกขึ้นมาจริงๆจังๆเลย”
   ผมหันไปมองแก้วอีกครั้ง  เธอหัวเราะอยู่..และให้ตาย  
โลกทั้งใบหยุดหมุนตรงนั้นครับท่านผู้ชม!
   ครับ  
เห็นลีลาการเอาใจสาวแบบนี้ก็ต้องขอแนะนำตัวกันสักหน่อย
   ผม ‘เกรียงไกร’ ครับ..หรือที่เพื่อนๆก็เรียกกันสั้นๆแหละครับว่า ‘ไกร’(และมีฉายาว่า ‘เกรียนไกล’
แต่ไม่ได้เกรียนเหมือนฉายาหรอกนะครับ..แค่ทรงผมไถข้างเปิดเกรียนข้างหนึ่งของผมมันโดดเด่นมากก็เท่านั้นเอง..)เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
   นี่ไอ้ ‘โป๊ยเซียน’ หนุ่มอารมณ์ดีขี้เล่นโคตรกวนประสาท  จนผมชักสงสัยว่าเออ เป็นเพื่อนกับมันเข้าไปได้ยังไง..

ซึ่งเรื่องนั้นช่างมันก่อน  ไอ้โป๊ยน่ะจบจากโรงเรียนเดียวกับ ‘แก้ว’ ดาวคณะและดาวมหา’ลัยคนสวยที่ผมหมายตา…แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไอ้โป๊ยแม่งก็เสือกไม่เหมาะจะเป็นสะพานให้ผมเดินข้ามไปเด็ดดอกฟ้า จนสุดท้ายก็ต้องใช้ลีลาเกี้ยวพาราสีที่สืบทอดมาในตระกูลนี่แหละเข้าสู้
   …
แต่ยอมรับว่าไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไหร่หรอก
   “แก้ว  พี่รอข้างล่างนะ..เดี๋ยวลงไปหาอาจารย์แปปนึง”

   น่ะ..พูดยังไม่ทันขาดคำ…เดินมาพอดี…
   ร่างสูงโปร่งชะโงกหน้าเข้ามาในห้องแลคเชอร์ของปีต่ำกว่า เพื่อร้องบอกราวต้องการจะเรียกความสนใจจากคน

ทั้งห้อง  ซึ่งก็ได้ไปเต็มๆน่ะแหละครับ
   “จ้ะ” เธอยิ้ม..ยิ้มหวานกว่าที่ยิ้มให้ผมเสียอีก

“เดี๋ยวแก้วลอกแลคเชอร์แปปนึง  จะตามลงไปนะคะ”
   ..น่าเจ็บใจฉิบ..
   หมอนั่นชื่อ ‘ทิวัน’ เอ่อ…ผมต้องแนะนำมั้ยว่านี่คือ ‘แฟนแก้ว’

   และทุกครั้งที่เจอหน้ามันผมก็จะเผลอปล่อยเสียง‘จิ๊’
ออกไปอย่างช่วยไม่ได้
   นายทิวัน…และผมขอเรียกมันสั้นๆละกันว่า‘ไอ้วัน’….แหม  ชื่อไทยแท๊แท้ (ไม่ดูตัวเอง..)  เป็นนักศึกษาปี4 รุ่นพี่ผมนี่เอง  มันเป็นแฟนแก้ว (จะย้ำทำไม) เป็นจอมมารความสุขที่ทำลายหัวใจผู้ชายทั้งคณะ  บอกตามตรงครับ..

คณะผมน่ะมีผู้หญิงไม่มากเท่าไหร่  แล้วผู้หญิงน่ารักระดับแก้วน่ะเค้าว่ากันว่าสิบปีจะมีสักคน..แต่ให้ตาย สุดท้ายก็โดนชายหนุ่มที่..เอ่อ..ยอมรับก็ได้ครับว่าหน้าตาดีนิดๆคาบไปกินจนได้
   และที่ดูเหมือนจะให้อภัยไม่ได้มากที่สุดก็ตรงที่…เพื่อนผม  รุ่นน้อง  คนทั้งคณะต่างพากันยอมรับในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่  แถมยังเปรียบเปรยสำเนียงโบราณว่านี่แหละคือ

‘กิ่งทองใบหยก’
   ตรงไหนกันวะ..!?!
   ผมมองเขาตาเขียวปั๊ด  อีกฝ่ายเห็น…แล้วยักคิ้วให้ประหนึ่งผู้ชนะก็ไม่ปาน
   “ไอ้…!”

   ..จะด่าก็ไม่ทันล่ะครับ แม่งผลุบหายออกจากห้องไปซะงั้น..!
   เออ  แม่งไม่มีใครสังเกตสักคนเลยเหรอครับว่า‘มัน’ แม่งกวนตีนแค่ไหน!  
เผลอๆจะมากกว่าไอ้โป๊ยเซียนนี่ซะอีก!
   “มึงนี่ก็..อ้าปากได้ก็จะกัดเลยนะเว้ย”ไอ้โป๊ยหัวเราะ “ใส่ตะกร้อไว้ท่าจะดีกว่านะเนี่ย”

   “พ่องสิ  มึงดูมัน..”ผมสบถ

   “กวนตีนฉิบ”
   “พี่เค้ายังไม่ทันพูดอะไรเลย มึงก็หาเรื่องพี่เค้าตลอดอ่ะ”
   “ดูแม่งยักคิ้วใส่กู”
   “ยักคิ้วแล้วไงวะ  มึงยักไม่ได้เรอะ  นี่ไง”
   แล้วไอ้โป๊ยก็ยื่นหน้าเข้ามายักคิ้วใส่ผมรัวๆเหมือนเป็นโรคชักกระตุกชนิดหนึ่ง จนผมต้องดันหน้ามันออก..แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะพรืดจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลังพอดี  และการที่แก้วขำออกมานั้น  ทำให้ผมรู้ตัว
   “อ๊ะ  ‘โทษทีครับ เราไม่น่าพูดจาไม่ดีกับแฟนแก้วใช่มั้ย?”

   ..กับผู้หญิงน่ะผมเป็นสุภาพบุรุษเสมอ..ใช่มั้ยล่ะ?
   “ฮะๆ  ไม่หรอกจ้ะ ตามสบายเถอะ” แก้วยิ้ม

   “ไกรนี่ตลกดีนะ”
   ..ไกรนี่ตลกดีนะ..
   ..
ไกรนี่ตลกดีนะ..
   ..
ไกรนี่ตลกดีนะ..
   เอาล่ะ  วินาทีนั้นผมอยากจะไปหยิบวิกอัลโฟ่สีเขียวมาสวม ทาหน้าขาวทั้งหน้า  ติดจมูกแดง
แล้วเต้นแทปไปโยนลูกบอกห้าลูกไปรอบๆห้องเสียเหลือเกิน..
   “เอานี่  เสร็จแล้ว”

   แก้วพูดขึ้นขัดจังหวะที่ผมกำลังหาลูกบอล พร้อมยื่นสมุดแลคเชอร์คืนให้
   “ขอบคุณมากจ้ะ  เราไปก่อนนะ”

   ..เสียงท่อแปปที่ผุดจากเนินหญ้าสีเขียวขึ้นมาเปล่งเสียงร้องดังก้องไปว่า

‘หมดเวลาสนุกแล้วสิ~ หมดเวลาสนุกแล้วสิ~’ ดังอยู่ในหัวผมวนเวียนไปมา..
   แล้วแก้วก็เดินจากไป…

   ….ไม่ต้องคิดตามครับ  อีกฝ่ายไม่หันกลับมาหรอก
   “เฮ้อ……”

   “ถอนหายใจไรของมึงวะ”
   “กูนี่มีโอกาสจะได้คุยกับแก้วแค่ตอนยืมแลคเชอร์รึไงวะ”
   ผมเปรย  คนฟังตบหัวผลัวะ
   “มึงเอาจริงดิ  แก้วมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วนะว้อย”

   “โหยสัส  กูไม่ได้จะแย่งแฟนเค้า แค่..อยากคุยกันให้นานกว่านี้” ผมละเมอ

   “คนอะไรวะ งามยังกะนางฟ้า~”
   “เออ เออ เออ”
   “อะไรของมึงวะ  มึงไม่เห็นว่าแก้วสวยรึไง?”
   “ไม่นี่” มันไหวไหล่

   “กูเห็นมาตั้งกะเด็ก”
   ครับ  ย้ำอีกครั้งว่าแก้วกะโป๊ยเซียนจบจากโรงเรียนเดียวกันมา หรือพูดให้ถูกก็คือเรียนที่เดียวกันตั้งกะสมัยประถมน่ะแหละ แต่โป๊ยก็บอกนะว่าไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับแก้วมากนัก โป๊ยเป็นคนประเภทไม่เข้าหาผู้หญิงครับ  

แถมผู้หญิงเรียบร้อยจิ้มลิ้มแบบแก้วมันยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ซึ่งผมเข้าใจจุดนั้นนะ
   “เออ  แล้วมึงจะตั้งท่ากัดกับพี่วันเขาไปถึงไหนวะ?”

   มันเริ่มบทสนทนาได้แย่มาก  ผมเลยแยกเขี้ยวใส่
   “ไม่ได้กัดว้อย  สัส”

   “เห็นแง่งใส่กันตั้งกะก่อนจะมาเป็นแฟนแก้วล่ะ”มันว่า “พอเค้าไปกันได้ดีกูก็นึกว่ามึงจะเลิก..เปล่าเลย ยังกัดอยู่อีก”
   “ก็ดูมันกวนตีน”
   “ตรงไหนฟะ?  พี่วันเค้าขรึมจะตายห่า”
   ผมเถียงไม่ออก

   “ไม่รู้ว้อย ไม่ถูกชะตา”
   ..ก็ไม่ถูกชะตาจริงๆนั่นแหละ..
   ผมสามารถยืดอกรับอย่างลูกผู้ชายได้เลยนะครับว่าโดยส่วนใหญ่นั้นผมเป็นคนหาเรื่อง‘มัน’ ก่อน..และเออ  ยอมรับความผิดนั่นด้วยก็ได้!  
แต่ขอบอกเลยนะว่าอีกฝ่ายก็กวนประสาทไม่แพ้กันนั่นแหละ!
   ทิวันเป็นผู้ชายขรึมๆครับ..ไม่ได้เงียบ ไม่ได้พูดน้อย  ไม่ได้เก็บตัวหรืออะไร…เค้าแค่ เอ่อ..ขรึม  ดูเป็นผู้ใหญ่…จะว่ายังไงดีล่ะ  
เพราะบุคลิกแบบนั้นแหละทำให้สาวๆในคณะ(ที่มีน้อยเหลือเกินพวกนั้น)พากันปลาบปลื้มยังกะอะไรดี
   …ไม่ต้องเดาหรอกครับ  
ไม่เว้นแม้กระทั่งแก้ว
   และให้ตายเถอะ!  ต่อให้มัน ‘ขรึม’ แค่ไหน…
เวลามองหน้าผมแม่งต้องยักคิ้วใส่เหมือนเยาะเย้ยทู๊กที!
   …แบบนี้ไม่เรียกกวนส้นให้เรียกอะไร?

   ระหว่างรอฝนหยุดพวกผมก็หยิบมือถือขึ้นมากดๆเหมือนที่ฮิตกิจกรรมนี้กันทั้งบ้านทั้งเมืองแหละครับ สไลด์หน้าเฟสบุ๊คเช็คข่าวไปสามรอบ  กดไลค์อินสตราแกรมไปสามที ตอบไลน์เพื่อนไปสามคน  สุดท้ายก็มาตายรัง

จะเปิดเกมเล่น..
   …ก็มีสายเรียกเข้าพอดี
   ตอนแรกผมมึนๆเบลอๆจะหลับอยู่ล่ะ อากาศยามเย็นฝนตกพรำๆมันน่านอนเป็นบ้าเลย  แต่พอเห็นหน้าสายเรียกเข้าปุ๊บตาก็ตื่นปั๊บ  
วิญญาณไหลกลับเข้าร่างทันที
   “ไอ้ฉิบหาย”

   พอผมอุทาน  โป๊ยก็ยื่นหน้ามา

   “ใครโทรมาวะ?”
   ผมมองชื่อที่ขึ้นหราอยู่ด้านหน้าจอ ถอนหายใจเป็นพันรอบก็ไม่พอแล้วล่ะมั้งครับงวดนี้…
   “อาจารย์คง”

   ผมบอกให้โป๊ยกลับไปก่อน แน่นอน..มันไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด  แถมยังวิ่งฝ่าฝนกลับไปเสียอย่างงั้น
   …นี่แหละ  เพื่อนตาย…
เพื่อนตายทั้งคนก็ยังไม่เหลียวหลังครับ
   กว่าที่ระบบทดลองเป็นทาสจะจบสิ้นนั้นเวลาก็เกือบทุ่มนึงแล้ว ปกติแล้วเวลาทุ่มนึงที่คณะ/มหา’ลัยผมไม่ได้เงียบหรอกครับ แต่เพราะฝนมันตกกระมังหลายคนถึงได้รีบกลับไปก่อน  นี่จะว่าไปตอนนี้ฝนก็ยังตกปรอยๆนะนี่…

   แต่ไอ้บรรยากาศเย็นๆอึมครึมนี่ล่ะตัวดี…ทำให้ตึกเรียนเก่ากว่าเจ็ดสิบปีหลังนี้มันดูมีมนต์ขลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แสงสว่างจากไฟนีออนบริเวณโถงทุกชั้นไม่ได้สว่างนัก  บางดวงก็ติดๆดับๆ  เงามืดทำให้กำแพงที่เคยคุ้นอยู่ตอนกลางวันดูแตกต่างออกไป จนผมต้องรีบสาวเท้าลงบันไดเร็วๆ
   ให้ตายเถอะ’
จารย์คง..จะใช้งานอะไรกันนักหนาหว่า..
   
ให้ตายเถอะไอ้โป๊ย..จะรีบกลับอะไรนักหนาหว่า..
   
อ๊ะ
   …
ที่กล่าวโทษนี่ไม่ได้แปลว่าผมกลัวผีหรืออะไรเทือกนั้นหรอกนะครับ
   อาจารย์คงเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาผมเองครับ..เอ่อ จะบอกเช่นนั้นก็ไม่เชิง..เพราะท่านไม่ใช่ที่ปรึกษาผมในนาม

น่ะครับ  หมายถึง..ที่ปรึกษาในหลายๆด้าน แกสอนวรรณคดีควบตำแหน่งอาจารย์ผู้คุมขังนักศึกษา(อาจจะงงว่ามีตำแหน่งนี้ด้วยหรือ…) และไม่รู้เพราะอะไรถึงได้ถูกใจผมนักหนาถึงได้เรียกจัง…
   แหม..จะพูดสองแง่สามง่ามแบบนั้นก็เห็นจะไม่ถูกสักทีเดียว ว่ากันตามตรงแล้วตลอดมาผมก็ได้’จารย์คงเนี่ยแหละครับช่วยชีวิต(เว่อร์ไป)ไว้ได้หลายครั้งหลายครา แล้วก็อย่างว่าครับ  ชีวิตมหา’ลัย  สนิทกับอาจารย์สักท่านไว้คุณจะได้บุญไปถึงชาติหน้า..เพราะงั้นเวลาโดนแกเรียกใช้งาน ผมถึงปฏิเสธไม่ได้อย่างนี้ยังไงล่ะ…
   บันไดขั้นสุดท้ายโผล่มาหน้าโถงใหญ่ก่อนขึ้นอาคาร เสียงส้นรองเท้าหนังของผมเองกระทบกับพื้นแกรนิตดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะก้องไปกับกำแพงช้าๆ  ผมไม่ได้ลงส้นหนักหรืออะไรหรอกครับ แค่ข้างล่างเงียบสนิท…เงียบมากกว่าห้องพักอาจารย์ที่ยังมีคนอยู่บ้างหลายเท่าทีเดียว
   ห้องถ่ายเอกสารใต้ตัวตึกปิดสนิท ห้องนิทรรศการก็ปิดสนิท  ขนาดไฟหน้าโถงลิฟท์ก็ยังปิดสนิท นอกจากไฟหรี่ๆกลางโถงแล้วก็แทบไม่มีแสงใดเล็ดลอดเข้ามา…แต่ก็ไม่ได้มืดขนาดที่ต้องการไฟฉายหรืออะไรนะ  
แต่บรรยากาศแบบนี้แม่งสยองกว่าเยอะ
   
วันนี้คนมันจะรีบกลับอะไรนักหนาวะครับ(คนมันกลัวว้อย)
   แน่นอน  ผมเชื่อว่าทุกที่มันต้องเคยมีตำนานผีสางนางไม้เหมือนกันหมดแหละครับ ที่จริง..ผมไม่ค่อยได้ฟังใครเค้าเล่ามาเท่าไหร่  ไม่เชื่อแต่ก็ไม่หลบหลู่นะครับ…แค่แบบ  เออ  ไม่ได้อยากรู้  อย่ามาเจอกับตัวกูกูขอร้อง…อะไรประมาณนั้นแหละ

   ผมถอนหายใจ  เดินออกไปสูดกลิ่นฝนจากๆที่หน้าคานูปปี…เสียงน้ำไหลลงมาตามรางน้ำฝนสู่บ่อปลาคาร์ฟดังเป็นเพื่อนผมอยู่แปปนึง แต่เมื่อยื่นมือออกไป  เม็ดฝนเปาะแปะก็ยังคงตกกระทบผิวหนังอยู่
   “ตกนานชะมัด  ให้ตาย…..สิ…”

   ฟืด!
   ยังไม่ทันสิ้นเสียง ‘สิ’ นั้น..เสียงอีกหนึ่งเสียงก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งโหยงกระโดดกอดเสาแทบไม่ทัน!...ไม่สิ ท่าทางอุบาทว์ชะมัด…เอาเป็นว่าผมผู้ซึ่งมีความหาญกล้าอยู่เต็มอกก็หันควับกลับไปมองที่มาของ

ต้นเสียงนั้น
   …ไม่มีอะไร…

   และเสียงก็เงียบหายไปราวกับว่าทุกอย่างของมันไม่เคยเกิดขึ้น…
   อวัยวะภายในอกผมกำลังวาดลวดลายจ้ำบ๊ะอย่างเมามันตอนที่ผมก้าวขากลับเข้าไปในโถงอาคาร แน่นอนล่ะ..

ผมค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าหูผมไม่ได้ฝาด  ขี้คร้านจะวิ่งหนีไปตอนนี้มันก็ปอดแหกสิ้นดี…หนุ่มหล่อมาดแมน

แฮนซั่มอย่างนี้จะวิ่งหนีได้ยังไง
   ฟืด!
   
เฮือก..!
   อีกครั้งที่ทำให้หัวใจแทบจะลงไปกองที่ตาตุ่ม แต่แน่นอนว่าผมเก็บมันขึ้นมาได้ทันก่อนจะปล่อยเสียงร้องทุเรศๆออกไป ต้องทำเป็นกล้าในเวลาที่ไม่มีใครชมแม่งเป็นอะไรที่ปัญญาอ่อนมาก
และ..เอ่อ..ผมปัญญาอ่อนครับ
   
ผมจรดปลายเท้าดุจนินจากลับชาติมาเกิด..พยายามเงี่ยหูฟังต้นเสียงอีกครั้ง
   
..จะติดใจอะไรกับเสียงประหลาดๆแบบนั้นนักหนาวะไอ้เกรียงไกร..
   ฟืด….

   อีกครั้ง..แต่ครั้งนี้จังหวะของเสียงแตกต่างกันเล็กน้อย ผมขมวดคิ้ว..พยายามคิดถึงทุกเสียงที่ผมเคยได้ยินในโลกมาเปรียบเทียบกัน แต่อย่าหวังเลยครับ…บนโลกนี้จะมีสักกี่คนกันที่สังเกตได้หมดและจำมันได้ บ้าจริง  ผมคิดว่าผมเป็นใครวะ..
   และเพราะครั้งสุดท้ายนั่นเองทำให้ผมจับได้ว่าเสียงมาจากทางไหน ผมเดินตามเสียงไปถึงหน้าโถงลิฟท์..แสงหรี่ๆด้านหลังฉายมาให้เห็นเป็นเงาของผมบนพื้น…
ดูเหมือนหนังอำมหิตสักเรื่องที่ผมต้องปิดตาตอนดูเลยแหะ
   
ไม่มีเสียงอะไรอีก..
   
..นั่นยิ่งน่าสงสัย..
   ข้างโถงลิฟท์มีทางเดินแคบๆกว้างเมตรกว่าๆที่นำไปสู่ห้องน้ำเน่าๆสองห้อง แต่คนส่วนใหญ่ก็ใช้มุมอับสายตานี้ในการเก็บของ  โต๊ะ  กลองคณะ  และสารพัดของที่คุณจะต้องมานั่งสงสัยอีกทีว่าไปขุดมากจากโบราณสถานไหนรึเปล่า
และเสียง..ดังมาจากภายในนั้น
   ผมชะโงกหน้าเข้าไป  
แล้วหรี่ตามอง..
   ..ไม่ไหวครับ…มันมืดเกินไป…

   ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่ออยู่ในความมืดมันจะเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ และยิ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่เมื่อมันรกไปหมดแบบนี้..อารมณ์ว่าถ้าคุณเดินเข้าไปแล้วโดนฆ่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แม่งยังกะเป็นที่หลบซ่อนของฆาตรกรโรคจิต
   นั่นแหละ…
ผมไม่เดินเข้าไปแน่ๆครับ
   ฟืด….

   เสียงนั้นดังอีกครั้งหนึ่ง  พร้อมๆกับอะไรบางอย่างในความมืดนั้นขยับไหว
   และผมก็รู้ว่าเสียงฟืดๆนั่นเป็นเสียงของอะไรบางอย่างเสียดสีกับพื้น อะไรบางอย่างที่กำลังขยับอยู่ตรงนั้น…

ในความมืดนั่น…ขนาดของมันไม่ใช่แมว ไม่ใช่หมาตัวใหญ่ๆแน่
   
มันคือคน
   …คำถามก็คือ…เขาทำอะไรอยู่คนเดียวในความมืดเช่นนี้…

   ผมกลืนน้ำลาย  ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ…นึกไม่ออกว่าตัวเองควรจะทำยังไงกันแน่ระหว่าง  หนึ่ง..พุ่งเข้าไปอย่างฮีโร่เพื่อจับคนที่คาดการณ์ว่าจะเป็นขโมย สอง..เดินหนีไปเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  สาม..โทรหาใครสักคนให้มาช่วย
   ซึ่งผมเลือกข้อสามอย่างไม่ลังเล…..

   แต่อะไรๆมันก็ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจหรอกครับ….
   เพล้ง!
   “เชรี้ย!”

   มือถือผมเสือกลื่นหลุดมือตกกระแทกพื้นเสียงดังลั่น ก้องสะท้อนไปกับกำแพง..ตามมาด้วยเสียงโหยหวนประหนึ่งวัวคลอดลูกของผม
   ส่วนสติน่ะเหรอ…
หายวับไปกับเจ้าลูกรักที่นอนอยู่ที่พื้นนั่นน่ะแหละ!!
   “เหยดเป็ดไอโฟนกรูว”

   ร้องห่มร้องไห้ไว้อาลัยให้ลูกรักอยู่ประมาณสามนาทีเห็นจะได้ และสิ่งที่เรียกสติผมให้กลับมาว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ก็คือ ‘หมอนั่น’ น่ะแหละ..!  อีกฝ่ายลนลานจนชนบันไดไม้ไผ่ล้มลงกับพื้นดังโครมคราม สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งชั้น ดูวินาศสันตะโรมากกว่าไอโฟนของผมลิบลับ…
   พอเห็นหน้าจอยังติดดีไม่มีริ้วรอยผมก็งัดมันออกมา
   …
กลั้นใจอยู่เสี้ยววินาที..แล้วเปิดไฟฉายส่องเข้าไปทันที
   “หยุด!  อย่าขยับนะว้อย!”

   ได้ผลชะงัด!  อีกฝ่ายมุดตัวซ่อนอยู่หลัง..เอ่อ..อะไรบางอย่างที่ถูกคลุมผ้าไว้…ทันที  แต่ไม่อาจหายไปจากสายตาอันเฉียบแหลมของผมได้หรอก
  …ผมเห็นชุดนักศึกษาเต็มๆเลยล่ะครับ…

   “ใครวะ  ทำอะไรอยู่?”
   ถ้ามันตอบแม่งก็โง่มากแล้วครับ เสือกทำตัวมีพิรุธสุดชีวิตขนาดนี้มันคงจะหันมาบอกผมหรอกว่า ‘เฮ้  ไงครับพี่  

ผมเอง  A  ปีหนึ่งรหัสxxxxx  กำลังตามหาสายฟ้าที่หายไปอยู่’…หรือจะยกตัวอย่างอะไรดีวะ  ช่างแม่งล่ะกัน
   และความที่รู้ว่าเป็นคนกันเองเนี่ยแหละ ผมก็เดินดุ่มๆเข้าไปประหนึ่งแบรด  พิทท์พิชิตซอมบี้ฆ่าไม่ตายในเรื่องWWZ

   …นี่ถ้าสาวๆอยู่ด้วยคงกรี๊ดกันตรึม…
   ผมเดินเข้าไปใกล้พร้อมโทรศัพท์ฉายแสงในมือ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้..ผมก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วเพ่งหนัก  อะไรบางอย่างบอกให้ผมรู้ว่ามันดู..ประหลาด…เอ่อ…สี…ลักษณะ…ของผิวหนังที่มัน……….
   ผลัวะ!
   แต่ยังไม่ทันจะตั้งข้อสังเกตไปมากกว่านี่หมอนั่นก็พุ่งเข้ามาด้วยความไวชนิดที่ตาเกือบมองไม่ทัน มือใหญ่..

และหยาบกร้าน..บีบข้อมือผมแน่นจนเผลอปล่อยไอโฟนลงบนพื้นอีกครั้ง(โธ่ลูกพ่อยังผ่อนไม่หมด!!)  เขาเตะมันหลบวูบเข้าไปใต้กองผ้าให้แสงสุดท้ายแห่งความหวังผมมลายสิ้น
   แน่นอน  จังหวะนั่นเองที่ผมตกใจมากพอจะอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ แต่มืออีกข้างของเขาก็กดปิดปากผมไว้…และความรุนแรงนั้นทำให้ผมเซลงไปบนกองข้าวของอะไรสักอย่างโดยไม่ทันตั้งตัว ได้ยินเสียงอะไรแตกหักอยู่ใต้ตัวผม..อาจจะเป็นโมเดลไม้ของใครสักคน…
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน!
   อิพ่อเอ้ย  กูจะโดนฆ่ามั้ยเนี่ย…!

   เบื้องหน้าของผมที่ยังไม่ชินกับความมืด…มีเพียงเงาตะคุ่มที่กำลังล็อคผมไว้ไม่ให้ขยับตัว
   มือหนาใหญ่ที่ปิดปากผมอยู่แน่นและแรง..จนผมต้องใช้ทุกกระบวนท่าเพื่อหาอากาศให้ตัวเองได้หายใจ…ซึ่งอีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้  
เขาถึงได้คลายแรงบีบออกนิดหน่อย
   ผมได้กลิ่นน้ำ..กลิ่นของน้ำชื้นๆจากผิวแห้งๆนี่…และผมไม่ได้คิดไปเอง…

   …สัมผัสของ ‘เกล็ด’….
   …มันคือ…เกล็ดสีเขียว….
   “ไกร”
   เสียงทุ้มนั้นเอ่ยชื่อผมขึ้นมา มันฟังดูคุ้นหู…คุ้นจนผมต้องเบิกตาโพลง
   
แต่เขายังพูดต่อ
   “สัญญานะ  ถ้าปล่อย…แล้วจะไม่ส่งเสียงอะไร”

   ผมมีทางเลือกอื่นมั้ยล่ะครับ..แหม
   หลังจากเสี้ยววินาทีที่ใช้พิจารณาข้อเสนอนั้น..ผมก็พยักหน้าหงึก
รู้สึกได้เลยว่าตาตัวเองแห้งจากการเบิกโพลงคาไว้ตั้งกะเมื่อกี้
   
และผมก็เป็นอิสระในไม่กี่วินาทีถัดมา
   อีกฝ่ายถอยหลังไปพิงกำแพงอีกด้าน จังหวะนั้นสายตาผมเริ่มชินกับความมืดอย่างช้าๆ…มองเห็นดวงตาสีทอง

ลุกวาวในความมืด  เห็นผิวหนังสีครีมเลื่อมเขียวที่แปลกตา..เห็นรอยเกล็ดจางๆบนผิวกายนั่น…
   …เห็นเรียวคิ้วที่ยักทักทายผม..และกวนตีนเหมือนที่เขาเคยทำมาตลอด…
   คอผมแห้งผาก  สติด้านหนึ่งบอกให้ผมกรีดร้องอย่าไปรักษาสัญญา ส่วนอีกสติก็บอกผมว่าใจเย็นๆเรื่องนี้เรา

คุยกันได้
   แต่ผมไม่เชื่อสติครับ  ผมไม่เชื่อแม้กระทั่งสายตาตัวเองด้วยซ้ำ…
   ….เพราะกว่าจะเปล่งเสียงทักคำแรกออกไปได้แม่งก็กินเวลาหลายนาที…
   “…..ไอ้วัน?”
   ผมนึกโทษไอ้โป๊ยเซียน  นึกโทษอาจารย์คง  นึกโทษแก้ว  นึกโทษทุกคนทุกสิ่งบนโลกที่ทำให้ผมมีวันนี้
   …...วันที่แม่งเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล

แต่เอยแต่ใด
จ้าวกุมภีล์ผู้ใหญ่ยิ่งนักหนา
ได้ครอบครองแก้ววิเศษเรืองฤทธา
ด้วยเดชาเปลี่ยนกุมภาเป็นรูปคน
สีอำพันสุกใสเป็นนัยน์เนตร
ร่างวิเศษเสมอเหมือนไม่สับสน
สองมือห้านิ้วครบจบในตน
รูปโฉมงามล้นให้พ้นภัย
หากแต่ต้องแตะน้ำจึงหวนกลับ
กายแปลงลับลาสิ้นมิอาจไห้
ผิวกายอ่อนกลับเป็นเกล็ดมิดั่งใจ
ตระหนักไว้เราคือใคร..มิใช่ ‘คน’

-๒-
   ทั่ก ทั่ก ทั่ก
   ผมกำลังวิ่งลงจากบันได  รู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงผิดปกติ..แต่ไม่ใช่เพราะผมกำลังออกกำลังกายอยู่ ผมรู้ดี…

ว่านี่หมายถึงอะไร
   เมื่อผมกลับมาอีกครั้ง…อีกฝ่ายก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม…เหมือนกับว่าเขาแทบไม่ขยับตัวเลยสักนิดด้วยซ้ำตั้งแต่ที่ผม

วิ่งออกไป  พร้อมเงยหน้ามองผม…ด้วยนัยน์ตาสีเหลืองสดคู่นั้น
   ..มันโดดเด่น  ทำให้ใจเต้นแรง..แต่ผมพอรู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า

   ‘ความหวาดกลัว’แน่ๆ..
   สองมือยื่นเสื้อให้เขา  
อีกฝ่ายกระพริบตาพร้อมถามชัด
   “อะไร?”

   “ใส่ฮู้ดคลุมไว้สิวะ  โง่จริง” ผมด่า

   “สภาพแบบนี้จะออกไปพบใครที่ไหนรึไง?”
   เขาดูตกใจ  แต่ก็รับไว้..และขยับกายสวมมันตามที่ผมสั่ง
   
จากนั้นเราทั้งคู่ก็เงียบลงไป
   ผมตั้งคำถามเองและตอบคำถามเองอยู่ในใจประมาณล้านรอบเห็นจะได้แล้วตั้งแต่ที่ออกวิ่งขึ้นไปที่ล็อคเกอร์ตัวเองชั้นสาม และวิ่งลงมาหาเขาอีกรอบในเวลาไม่กี่นาที…คำตอบก็คือ…ว่างเปล่า  ใช่..เอ่อ…ผมก็อยากถามคำถามนะ

แต่สมองตอนนี้มันว่างเปล่าเกินกว่าจะคิดอะไรอื่นได้
   อยากให้ทวนความมั้ยครับ?
   เมื่อประมาณชั่วโมงก่อนผมยังช่วยงานอาจารย์คงอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องพักอาจารย์ ฝนตกตั้งแต่แลคเชอร์คาบสุดท้ายยังไม่ทันจบ..และตอนที่ผมกำลังจะกลับมันก็ยังไม่หยุดตก และก่อนผมจะกลับ…ก็มาเจอหมอนี่ ‘ซ่อนตัว’

อยู่ในซอกที่คนปกติแม่งไม่เข้ามาแน่ๆ
   ….แต่หมอนี่….ดูเหมือนจะ…เอ่อ…มีอะไรที่แตกต่างจากคนปกติไปนิดหน่อย….
   ….จัดเป็นกรณียกเว้นน่ะนะ…
   เมื่อสามชั่วโมงก่อน(ผมจะทวนเป็นตัวเลขทำไม? ถามจริงเหอะ!)  ผมยังเห็น ‘ทิวัน’ พูดคุยกับแฟนสาวของเขาอยู่ในห้องเรียนอยู่เลย หมอนั่นในตอนนั้นยังคงปกติดี…ถามว่าตรงไหนน่ะเหรอ? ให้ตายเถอะ  

   ‘คนปกติ’น่ะ.....ถ้าไม่เข้าใจก็ไปส่องกระจกซะไป๊!
   ผมสบกับนัยน์ตาสีทองนั่นอีกครั้งหนึ่ง เพราะรู้ว่าการมอง ‘ผิวหนัง’ ที่เปลี่ยนไปของเขามันเป็นเรื่องเสียมารยาทมากๆ…เหมือนกับการมองเอวของคนอ้วนน่ะแหละ หากร่างกายของเรามีอะไรบางอย่างที่ผิดแผกไปจากคนอื่น…

เขาก็ไม่อยากให้เรามองหรอกนะ
   …แต่ถ้าไม่บอก  พวกคุณก็ไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ?
   สรุปความสั้นๆได้ว่าผิวของเขามันออกสีเขียวนิดหน่อย…แล้วก็หยาบ..เป็นเกล็ดดหยาบๆ…และ…ผมรู้แค่นั้น…

มันอยู่ในความมืด  และเขาก็สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อฮู้ดของผมเพื่อหลบซ่อนมันอย่างดีซะด้วย
   “เอ่อ…”

   เราทั้งคู่ชะงักทันที  เมื่อเราพูดมันออกมาพร้อมกัน
   และเขาผายมือ…อย่างสุภาพบุรุษ…
กวนตีนชะมัด!
   ผมก็รับเอาไว้งั้นๆแหละ “นายก่อน”

   …สุภาพบุรุษกว่าใช่มั้ยล่ะ?
   ไอ้วันหลบตาผม

   “ไกรคงอยากถามอะไรสักอย่าง…”
   “ใช่”
   “ก็ถามมาสิ”
   “…ยังนึกไม่ออก” ผมตอบไปตามตรง

   “ถ้านึกออกจะถามแน่ๆ”
   “แล้วเมื่อกี้จะพูดอะไร?”
   ผมกรอกตา

   “เราจะถามว่า…นายป่วยรึเปล่า?”
   เขายิ้ม

   “ตลกดี”
   “…เอ่อ…เราว่านั่นไม่ใช่คำตอบนะ”
   “มองดูไม่รู้เหรอ?” เสียงนั้นดังขึ้นเล็กน้อย ถกคอเสื้อให้ผมเห็นผิวหนังเกล็ดๆของเขาใต้ร่มผ้า

   “ไม่ได้ป่วยหรอก  นี่เรียกว่า…ธรรมชาติ”
   “ธรรมชาติพ่อ…สิ”ผมย้อน
   “พ่อพี่ก็เป็น”

   เขาแทนตัวเองว่า

‘พี่’ …มันทำให้ผมชะงัก ตระหนักได้ว่าเขาแก่กว่า  และเหมือนตอนรับน้องเมื่อ3 – 4 ปีก่อนนั่นแหละ  

‘เข้าก่อนเป็นพี่  เข้าหลังเป็นน้อง เข้าพร้อมเป็นเพื่อน!’ …ชัดเจนยิ่งกว่าอะไร มันเป็นสัญญาณบอกให้ผมสุภาพลง

กว่านี้ยอมให้นิดหน่อยก็ได้ฟะ
   “แล้ว ‘พี่’ เป็นอะไร?”

   ตอกคำว่า ‘พี่’หนักๆกลับไปหวังจะให้รู้…แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ
   “โดนน้ำ” เขาไหวไหล่

   “มันก็คืนร่างของมัน”
   “ร่างอะไร?”
   “จระเข้”
   “หะ….”
   “ใครน่ะ!?!”
   เสียงแหบห้าวแผดก้องมาจากปากทางเดินทำเอาทั้งผมและเขาสะดุ้งด้วยกันทั้งคู่ ผมลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ..เหมือนๆกับที่เขาหันหน้าหนีทันทีที่แสงส่องเข้ามา
   “ผ..ผมเองครับ!”

   จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ผมเรียนรู้ว่าผมต้องลุกขึ้นแสดงตัว พี่ยามฉายไฟเข้ามาจนผมต้องหรี่ตา
   “เกรียงไกรปี 3 ครับพี่ยาม!”

   ผมภาวนาในใจ..หวังให้อีกฝ่ายจำผมได้ ซึ่งเขาก็ยอมลดแสงลง
   “แล้วอีกคนล่ะ?”

   “พ-พี่ทิวัน ปี 4 ครับพี่!”
   “ทำอะไรกันอยู่ในนั้นน่ะ”
   “หาของน่ะครับ” ลีลาพริ้วไหวดุจปลาไหลในโคลนตม

   “ผมเอางานโปรเจคเทอมที่แล้วมาเก็บไว้ในนี้…ไม่รู้ว่ามันต้องทำพอร์ทฯ…แต่ยังหาไม่เจอเลยครับพี่”
   “แล้วทำไมหากันมืดๆ”
   “ม-เมื่อกี้เอามือถือส่อง  แล้วมือถือผมมันดันตกหายไปไหนก็ไม่รู้อ่ะครับ..”
   ..พูดแล้วน้ำตาจะตกครับ  เพิ่งตระหนักได้ว่ายังไม่ได้มือถือคืนมาเลยนี่หว่าจ๊าดง่าวเอ้ย!
   คนฟังดูงงๆครับ  แต่ก็พยักหน้าเชื่อ  แล้วทำท่าจะเดินเข้ามา

   “ให้พี่ช่วยหามั้ย?”
   …กรี๊ด!…

   “ไม่ต้องครับพี่!”
   “ทำไมละ..มันมืดๆก็………”
   “หาเจอแล้วครับ!”
   อีกเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา  ทิวันชูไอโฟนลูกรักของผมให้พี่ยามดูเพียงแว่บเดียวก่อนจะเก็บลงไป (ในใจผมกำลัง

กู่ร้องทั้งน้ำตาว่า เย้ลูกพ่อเราพลัดพรากกันมาสิบนาทีเลยนะ!)….แล้วหน้าที่ของไอ้เวรตะไลนี่ก็หมดตรงนั้น
   ผมหันกลับมาอีกที  ยิ้มแหะๆ

   “ครับ หาเจอแล้ว….”
   “อ้อ  งั้นเรอะ”พี่ยามหน้าซื่อยังคงเชื่อ

   “งั้นพี่ไปล่ะ อย่ากลับให้มันดึกนักล่ะ  ต่อให้เป็นผู้ชายก็อันตราย”
   “ค้าบ”
   การยืนยิ้มแฉ่งหน้าบานเป็นจานกระด้งแบบนี้โคตรตลกและมีพิรุธมากครับ แต่ผู้มาเยือนแกก็ยอมเชื่อแล้วล่าถอยไปโดยดี  นี่ถ้าไม่ได้ร้อยกระบวนท่าของผมเราคงจบกันไปแล้ว!
   …
มีแค่ผมคนเดียวก็พอมั้งที่จะเจอเรื่องพิลึกพิลั่นแบบนี้ในคืนวันนี้!
   ผมยังคงยืนค้างท่าเดิมไว้จนกว่าเสียงฝีเท้าพี่แกจะหายไปนั่นแหละ
ถึงได้หันกลับมาถาม
   “แล้วเรา…จะทำยังไงต่อดี?”

   อีกฝ่ายเงยหน้า..ดูงุนงงกับคำถามนั้น
   …
แต่ก็ว่า
   “ไกรมีไดร์เป่าผมมั้ย?”

   ไดร์เป่าผม…ผู้ชายอย่างผมมีไว้เพื่อเซ็ตผมครับ
   แต่ขอบอกเลยว่าเห็นแบบนี้ก็ไม่ได้ใช้มันบ่อยๆหรอกนะ เก็บอยู่ในส่วนที่ลึกสุดของตู้เสื้อผ้าจนผมลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าเคยมีไอ้อุปกรณ์ไฟฟ้าเจ้าสำอางขนาดนี้อยู่ด้วยจนกระทั่งอีกฝ่ายถามหา…นั่นแหละ  
ถึงจำได้
   เคราะห์ดี…หอพักของผมอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยจนอาศัยความมืดใต้ตัวอาคารและร่มเงาไม้ก็พอจะเดินจ้ำๆ

ไปถึง  และอาศัยความรวดเร็วในการวิ่งขึ้นห้องที่อยู่ชั้น4ทางบันไดหนีไฟ…ไม่เสี่ยงกับลิฟท์หรอกครับในเวลาที่คนเข้าออกเยอะแบบนี้  แหม  จะให้บอกกับคนอื่นว่าเพื่อนผมโดนตะไคร้จับรึไงกันครับ…
   หลังจากเหตุการณ์ฉุกละฮุกเมื่อครู่…ทุกอย่างก็เหมือนจะเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งได้ในไม่ช้า  วิมานสวรรค์ที่มีชื่อว่า

ห้อง 407 (ห้องผมนั่นเอง)  ปกติแล้วผมจะเปิดเพลงทันทีที่เข้าห้องเพราะความเงียบมันทำให้เกิดมโนภาพแปลกๆ

แต่ครั้งนี้ไม่ครับ..ผมลืมไป
   
และถึงต่อให้เปิดไปก็ไม่ได้ยินสักเท่าไหร่หรอกตราบใดที่เสียงไดร์เป่าผมยังร้องวี้ๆอยู่แบบนี้
   
ผมถือโอกาสมองภาพตรงหน้าชัดๆอีกครั้งในที่ต้องแสง
   ผิวหนังของเขาเป็นเกล็ด…แต่ไม่ถึงกับเป็นพื้นผิวที่เด่นชัดอะไรมากนัก  ที่น่าจะเห็นมากที่สุดคือสีครีมเลื่อมเขียวซีดๆซึ่งเป็นสีของมันมากกว่า แม้จะมีบางส่วนที่สีอ่อนกว่าบ้างอย่างเช่น..เอ่อ..ท้องแขน..ล่ะมั้ง แต่ก็มีบางส่วนที่เข้มขึ้นมาอย่างตรงที่ผมคิดว่าเป็น ‘คิ้ว’ ของเขา   แต่แน่นอน..เรือนผมสีดำสนิทนั่นยังอยู่ดี ยังคงสลวยสวยประบ่า

น่าหมั่นไส้ล่ะเกิน
   อีกฝ่ายเหลือบสายตามามองผม  และยิ้มให้..ตอนที่ผิวหน้าของเขาค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นผิวหนังมนุษย์ธรรมดา

เป็นปาฏิหาริย์
   “ไม่เคยเห็นเหรอ?  จ้องใหญ่เชียว”
   ดูมันพูดเข้าครับ เหมือนกับว่าผมจะเดินออกจากห้องไปหามนุษย์กลายพันธุ์ได้ตามเซเว่นงั้นแหละ!
   “จะไปเห็นที่ไหนวะ..สิ่งมหัศจรรย์ที่ 8 ของโลกเลยนะว้อย!”

   “แล้วเธอจะรู้…ว่าโลกนี้มีอะไรมากกว่านี้อีกเยอะ”
   เขายิ้มอยู่..เหมือนมันเป็นเรื่องตลก แต่อะไรบางอย่างในดวงตานั่นบอกผมว่ามันไม่ใช่ ‘เรื่องตลก’ แบบนั้น  

การที่เขาเปลี่ยนกลับคืนเป็นเหมือนเดิมต่อหน้าผมก็เป็นเรื่องตลกเช่นกัน
   “ตาของนาย” ผมไม่ชอบความเงียบ

   “สีทอง”
   “ใช่” คู่สนทนารับคำ

   “กรรมพันธุ์น่ะ…จะว่าไปก็กรรมพันธุ์ทั้งหมดน่ะแหละ  ทั้งตัวเลย”
   …บทสนทนาแม่งดำเนินมาถึงจุดที่ยากที่สุดแล้วล่ะครับ…
   ผมลังเล..แต่ก็เพียงไม่นานนักหรอก มันถึงจุดที่ผมต้องถามแล้วล่ะครับ  ไม่งั้นไอ้ความอยากรู้อยากเห็นแม่งคงทำผมจุกอกตายอยู่ตรงนี้แน่ๆ
   “….นาย…เป็นตัวอะไร?”

   แม้จะเลือกใช้คำผิดไปบ้าง  แต่คนถูกถามก็ดูไม่สนใจกับคำปรามาสนั้น
   
แล้วตอบชัดถ้อยชัดคำ
   “จระเข้”

   …เหมือนเมื่อครู่เด่ะๆ
   คำตอบที่ทำเอาผมต้องกระพริบตาปริบๆ มองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า…พิจดูให้แน่ว่าไอ้บุรุษรูปงามตรงหน้าผมมันดูละม้ายคล้ายคลึงสัตว์เลื้อยคลานสปีชี่ส์นั้นตรงไหน และชัดเลย…สองมือสองขา  สองหูสองตา…
ไม่ต่างอะไรจากผมเลยสักนิด
   เวลาเหมือนจะผ่านไปนานมาก  
ทั้งๆที่แค่สองอึดใจไม่ขาดไม่เกิน
   “จระเข้?” ผมทวนคำ

   “จระเข้?”
   “ใช่”
   “จระเข้เนี่ยนะ?”
   “ใช่” เขาเลิกคิ้ว “ทำไมล่ะ?”
   “เป็นอะไรที่เท่ห์กว่านั้นหน่อยไม่ได้รึไง?”
   “…นี่เธอข้องใจตรงนั้นเรอะ?”
   “เปล่า” ผมพยายามควบคุมสติ

   “จระเข้น่ะมันเป็นสัตว์ที่…..เอ่อ…น่า…ขนลุก…
   เขาวางไดร์เป่าผมลงทันที

   “เรื่องนั้น…พี่ไม่เถียง”
   .. ‘พี่’ อีกแล้ว! ให้ตายเถอะ..!
   “ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” สุภาพเต็มที่ครับ

   “จระเข้คืออะไร? แล้วพี่เป็น ‘จระเข้’ เหรอ? นั่นหมายถึง..เอ่อ…จระเข้ทุกตัวทำได้แบบ…..”ผมมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

   “…ทำได้…แบบ…นี้…ด้วยรึเปล่า?”
   เขากรอกตา

   “ก็..ไม่เชิงนะ”
   “ยังไง?”
   “ขี้เกียจอธิบายจัง…”
   ….ผมบอกแล้วใช่มั้ยครับว่า ‘นายทิวัน’ นี่แม่งโคตรกวนประสาท!
   ผมอยากจะเงื้อหมัด  แต่ก็ข่มอารมณ์ให้ใจเย็นเอาไว้(และมันช่างลำบากเหลือเกินนน)  แต่ท่าทางหมอนี่จะรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมากระมัง
ถึงได้ยกมือห้ามผมแบบนั้น
   “ไม่ใช่แบบนั้น  คือ…พี่แค่ไม่เคยต้องมานั่งอธิบายให้ใครฟังมาก่อน”

   “ทำไมล่ะ?”
   “ก็ไกรเป็นคนแรกที่รู้เรื่องนี้นี่”
   ผมชะงัก

   “คนแรก?”
   “ใช่”
   “แล้วแก้วล่ะ?  ไม่…เอ่อ…แก้วไม่รู้เรื่องด้วยเหรอ?”
   เขายิ้ม

   “แก้วจะรู้ได้ไงล่ะ”
   “แก้วเป็นแฟนพี่นี่”
   “พี่ไม่ใช่แฟนแก้ว”
   ..ชะงักรอบที่…สามร้อยสิบแปดเห็นจะได้..
   อีกครั้งที่ผมมองตาเขียวปั๊ด

   “อย่ามาขี้จุ๊  คนเค้ารู้กันทั้งคณะว่าแก้วแฟนพี่”
   เขาไหวไหล่

   “ก็นะ  จะคิดงั้นก็ตามใจ”
   ..ไอ้กวนส้นนี่..
   “แล้วเห็นพี่บอกว่าพี่จะกลับกับแก้ว”

   “พี่ไม่ได้จะกลับกับแก้ว” เขาตอบ “แก้วยืมชีทเรียนเก่าๆของพี่  ก็เท่านั้น”
   ..ไอ้ขี้เก๊กนี่..!
   “เออ  เรื่องแก้วไว้ก่อน”ผมคิดว่าตัวเองใจเต้นตูมตามตอนคุยเรื่องผู้หญิงคนนี้ครับ และมันทำให้ผมไม่มีสมาธิเท่าไหร่

   “สรุปก็คือผมเป็นคนแรกที่รู้เรื่องนี้ใช่มั้ย?”
   “ใช่”
   “พี่อายุเท่าไหร่?”
   “22”
   “…เกิดมา 22 ปี…ความเสือกแตกกับผมคนเดียวเนี่ยนะ!?”
   “ใช่”
   “พี่เก็บความลับเก่งเนอะ”
   “งั้นมั้ง”
   “พี่วัน” ผมต้องฝึกเรียกให้ชินปาก

   “เวลาพี่ตอบคำถามเนี่ย…ช่วยตอบแบบ เอ่อ ประโยคยาวกว่านี้นิดนึงได้ปะ?  ผมจะได้ไม่ต้องมานั่งยิงคำถาม

ใส่แบบนี้
   “แล้วจะให้พี่ตอบว่าไงล่ะ?”
   ..ยังจะย้อน..

   “แค่อยากให้อธิบายว้อย!”
   “….พี่ไม่ใช่แฟนแก้ว  แต่อยู่ด้วยแล้วสบายใจดี..แก้วไม่เรื่องมากเหมือนผู้หญิงคนอื่น แล้วก็น่ารักด้วย”
   “ไม่ใช่คำถามนั้นเฟ้ย!”
   “แล้วคำถามไหน?”
   ผมกัดฟันกรอด

   “จระเข้ไง!”
   เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง  ขยับยิ้มมุมปาก..ยิ้มแบบที่ผมรับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าแม่งตั้งใจกวนส้นตีน!
   “แม่งเอ้ย!  ขออัดสักทีหนึ่งค่อยพูดก็ต่อก็แล้วกัน!”

   อีกฝ่ายยกมือห้ามทันทีที่เห็นผมลุกพรวดพราดพร้อมกำหมัดแน่น แต่ยังไม่วายกลั้นขำไว้อย่างสุดพลัง..เออ  

เอาเข้าไป  กวนประสาทเข้าไป!อย่าทำอีกนะมึง…พ่อจะถลกหนังมาทำกระเป๋า  เอาเนื้อมาทำลูกชิ้นให้หมด!
   …….ว่าแต่จะถลกได้จริงป่ะวะ?

   “ไกรรู้จักพวก…คาถาอาคมมั้ย?”
   ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยอม ‘เข้าเรื่อง’ ได้สักที  ผมเลยสงบข้อสงสัยไว้ตรงนั้น
   มือใหญ่ล้วงเข้าไปดึงสร้อยคอสีทองของตัวเองออกมา..สีทองน่ะครับ ผมยังไม่อาจฟันธงได้ว่านี่เป็นทองรูปพรรณแท้รึเปล่า…
แต่ใจความสำคัญอยู่ที่ผลึกแก้วใสขนาดเท่าลำนิ้วโป้งที่ห้อยอยู่เสียมากกว่า
   
..ภายในนั้นส่องแสงสีอำพันเรืองรอง..เดี๋ยวหรี่เดี๋ยวจ้าตลอดเวลา..
   
ผมขยับตัวเข้าไปมองใกล้ๆเขาอย่างลืมตัว
   “นี่อะไร?”

   “บอกจะให้พี่อธิบาย  แต่ถามเป็นเจ้าหนูจำไมเลยนะ”
   “บ๊ะ  ก็พูดเร็วๆเข้าสิครับ!”
   เขายิ้ม

   “ส่วนหนึ่งของลูกแก้ววิเศษ เป็น…สิ่งที่ทำให้ ‘เรา’มีรูปร่างเหมือนมนุษย์”
   คำพูดนั้นทำให้ผมนิ่งเงียบไป มันฟังดูตลก…แต่ผมรู้..สถานการณ์ตอนนั้นมันไม่ตลก
   “นานแสนนาน…นานเป็นร้อยเป็นพันปี”เขาเก็บมันเข้าไปในคอเสื้อ  และผมเพิ่งสังเกตว่าสีของไฟเรืองรองในนั้นมันช่างคล้ายกับไฟในดวงตาของเขาเหลือเกิน“บรรพบุรุษของพี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจระเข้  แต่มันก็นานมากแล้วล่ะ…พวกเราส่วนใหญ่ตอนนี้ไม่ใช่จระเข้สักทีเดียว เราอยู่กินเหมือนมนุษย์  ใช้ชีวิตเหมือนเป็นเช่นมนุษย์เป็นมนุษย์…

มานานมากแล้ว
   “พ่อแม่พี่ก็เหมือนกัน..งั้นเหรอ?”

   “ใช่”
   ผมขมวดคิ้ว

   “….มีมนุษย์..เอ่อ…จระเข้แบบพี่…อยู่เยอะรึเปล่า?”
   “ไม่มากหรอก” เขากรอกตา

   “เรา ‘เหลือ’ กันอยู่ไม่มาก”
   ผมติดใจคำตอบนั้น  แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป..ข้อมูลที่เพิ่งได้รับเริ่มทำกระบวนการวิเคราะห์อยู่ในสมอง มันมากมายจนเริ่มสับสน  แน่นอน..ถ้าเป็นคนปกติแม่งคงตกใจกรีดร้องสิ้นสติไปตั้งกะเหตุการณ์ในคณะแล้วล่ะ
   …เออ  สงสัยผมก็ไม่ได้ปกติเท่าไหร่มั้ง…

   “แล้วทำไมโดนน้ำถึงกลายร่างล่ะ?”
   “พวกมนต์คาถาน่ะ…มักจะมีจุดบกพร่องเสมอแหละ ในกรณีนี้ก็แค่กลับคืนร่างเดิม”
   “เป็น…จระเข้น่ะนะ?”
   “อา…ที่เห็นน่ะผิวก็เปลี่ยนไปใช่มั้ยล่ะ? นั่นน่ะแค่ ‘ฝนปรอยๆ’ นะ”เขายิ้ม..เหมือนเคย  ยิ้มแบบสุภาพบุรุษที่ทำให้ผมหน่ายล่ะเกิ๊นนน“ถ้าโดนจังๆนี่กลายร่างเต็มไปแล้ว  แบบนั้นที่มหา’ลัยวุ่นวายแน่”
   ผมนึกภาพออกเลย  เห็นจระเข้ตัวใหญ่ฟาดหัวฟาดหางอยู่กลางตึกคณะมันคงตลกพิลึก
   “แล้วก็ต้องทำให้แห้งน่ะนะ?”

   “ใช่”
   “แล้วเวลาอาบน้ำล่ะ?”
   “….ก็อาบในร่างจระเข้”
   “จริงเด่ะ!?!”
   “แล้วให้ทำไงล่ะ  พี่ก็เหม็นเหงื่อตัวเองเป็นนะ”
   “ขัดขี้ไคลล่ะ?”
   “ถามถึงรายละเอียดเลยเหรอ?”
   “คนมันอยากรู้….”
   อีกฝ่ายหลิ่วตา

   “ลองอาบให้พี่มั้ยล่ะ?”
   “ตลกมั้ย?” ผมชูกำปั้น

   “แค่นึกภาพก็สยองแล้ว! บรื๋อ อาบน้ำให้จระเข้เนี่ยนะ”
   “ทำไมล่ะ?”
   “ผมเคยไปฟาร์มจระเข้” ผมขมวดคิ้ว  พยายามทวนความทรงจำตอนเด็กๆ

   “ก็เห็นมีฉีดน้ำรดน้ำให้พวกจระเข้บ้างนะ เวลาร้อนๆไรงี้…เอ้อ  แล้วจระเข้พวกนั้นกลายร่างได้เหมือนพี่รึเปล่าอ่ะ?”
   “ไม่ได้หรอก  คนละเชื้อสายกันน่ะ”
   “แล้วพี่เคยคุยกับจระเข้ในสวนสัตว์บ้างมั้ย?”
   “พี่ไม่เคยไปสวนสัตว์”
   “จริงดิ!?!”
   เขาหัวเราะนิดหน่อย

   “มีคำถามอีกมั้ย?”
   ผมลังเล

   “มี”
   “อ่าฮะ”
   “คำถามเดียว”
   “ว่ามาเลย”
   วันนี้เป็นวันที่ประหลาดมากครับ ผมได้เจอกับ..เอ่อ..มนุษย์จระเข้ตัวเป็นๆครั้งแรก  คิดว่าคงไม่มีใครบังเอิญมีวันพิเศษแบบนี้นักหรอก…นี่ถ้าผมเริ่มจับมัดเขาแล้วเอาไปออกข่าวกะพี่ศรยุ-ปิ๊บ-นี่ผมคงดังไปรอบโลกแน่ๆ  และน่าแปลกที่ผมไม่แสดงสันดานเดิมออกมาอย่างนั้น ผมคงไม่อยากให้คนทั้งโลกตายจากอาการช็อค..แหม  เป็นพระเอกจริงๆ
   มีคำถามมากมายลอยละล่องอยู่ในสมองครับ ไม่ว่าใครก็คงต้องมีด้วยกันทั้งนั้นแหละ…และจะให้หยิบยกออกมาถามทั้งหมดแม่งก็ดูแบบ สู่รู้มาก  และผมไม่ได้มีความคิดที่จะถามซ่อกแซ่กจนสนิทกับอีกฝ่ายนักหรอก
บอกแล้วใช่มั้ยว่าผมเกลียดนายทิวัน..ในร่างคน..เป็นอย่างมาก
   ..ทั้งน่าหมั่นไส้  กวนส้นตีน  ขี้เก๊ก..เอ้อ  
แถมเรื่องนาลซิสต์มาอีกหนึ่ง
   ..แต่พระเจ้า…
ถ้าไม่ถามคำถามนี้ออกไปน่ะผมนอนไม่หลับแน่ๆครับ..
   ผมกลืนน้ำลาย  
รู้สึกมันเหนียวหนืดชอบกล
   “จระเข้เนี่ย….ออกลูกเป็นไข่ใช่มั้ย?”

ลูกเอย…
จงจำไว้ให้แม่นมั่น
แต่ก่อนนั้นเราเป็นใหญ่ในลำหนอง
เจ้าปลาเล็กปลาน้อยมิได้จอง
ถือศีลจับปกครองผองกุมภา
ครั้นมนุษย์มาเยือนแปดเปื้อนถิ่น
จากเคยมองรินรินอยู่แยกหล้า
ถือมีดดาบพายเรือรี่ตรงเข้ามา
ฟันเข่นฆ่าไล่ล่าเป็นอาจิณ
เพื่อนข้าตายพ้องข้าเจ็บใคร่ทนไหว
โผล่ขึ้นไปเอาคืนให้จบสิ้น
รบกันไปร้ายกันมาแค้นกลบกิน
ท้องวารินเจือแต่ง…แต้มแดงโคลน

มหาลัยซีเนียร์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
2573
Zenny
583
ออนไลน์
440 ชั่วโมง
โพสต์ 2015-3-26 16:24:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
30190
Zenny
21874
ออนไลน์
2288 ชั่วโมง
โพสต์ 2019-4-23 12:50:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2024-11-24 13:26 , Processed in 0.086106 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้