-๑๑-
สัมผัสอ้อมกอดอุ่น ริมฝีปากที่ยังมีรสเลือดคละคลุ้งและรสเค็มของน้ำตา เด็กหนุ่มทิ้งกายลงในอ้อมแขนนั้น
ปล่อยให้สัมผัสของอีกคนทำให้ทุกอย่างหายไป ไม่เว้นแม้กระทั่งเปลวเพลิงโลกันต์ที่เผาไหม้เงาไม้จนราบ
เป็นหน้ากลอง
ไม่นานชายหนุ่มก็ละออกไป ดวงตาทั้งสองข้างมีหยดน้ำตาไหลอาบคละเคล้าไปด้วยฝุ่นเถ้าสีดำ แต่สองมือน้อยไม่ยอมปล่อยให้อีกคนไปไหน ร่างโปร่งยังคงเหนี่ยวรั้งอีกคนเอาไว้อย่างสุดกำลัง
อ้ายพี่แสนตา…ข้ารักท่าน
ข้ารักท่าน…
ข้ารักท่าน…
ข้า…..
“….วัง พันวัง”
“น้องพันวัง”
หลังเปลือกตาคือภาพดำมืดกับเปลวเพลิงสีส้มที่ลุกโชนไปทั่วทุกหนแห่งดั่งภาพหลอน ยามลืมตาขึ้นอีกครั้งกลับเป็นความสว่างไสวจนแสบตา เปลือกตาสีเข้มหลุบลงอีกครั้งหนึ่ง..หัวคิ้วขมวดขยับไปมา ก่อนจะค่อยปรือขึ้นเพื่อรับแสงตะวันนั้นใหม่อีกคราด้วยจับสัมผัสได้
ความรู้สึกปวดร้าวแล่นปราดวิ่งพล่านไปทั่วร่างกายจนไม่กล้าแม้จะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เขาหรี่ตาลง ผ่อนลมหายใจอ่อนเพื่อมองหาเจ้าของเสียงทุ้มที่พร่ำเรียกชื่อเขาอยู่จนถึงเมื่อครู่
“จ้าวพี่..โคจร…?”
เจ้าของนามยิ้มกว้างรับ ดวงหน้าคมมีร่องรอยความโล่งใจอยู่เต็มเปี่ยม ก่อนก้มลงมาประทับจูบปลอบที่หน้าผากเสียหนึ่งที
“เป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า?”
เด็กหนุ่มโคลงศีรษะช้าๆ ดวงตายังไม่ชินกับแสงสว่างนัก
“ที่นี่…?”
“เรือนของเจ้า” อีกฝ่ายตอบ
“พิจิตร”
…พิจิตร?
ร่างโปร่งหอบหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ ภาพความทรงจำอันเลวร้ายหวนย้อนกลับมาอย่างช้าๆในสมอง และเขาแทบจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย กระนั้นสัมผัสอุ่นที่ยังติดอยู่ที่ผิวกาย กับเสียงกรีดร้องที่ดังอยู่ในสมองก็ทำให้อะไรๆมันชัดเจนขึ้นมาได้โดยง่าย
นอกจากเรื่องเรือนที่อโยธยาโดนโจมตีจนมอดไหม้ เปลวไฟลุกท่วมไปทั่วทุกแผ่นไม้ กลิ่นคาวและเลือดที่ไหลซึมขึ้นมาตามผิวน้ำ ขบวนเรือของฝ่ายตรงข้ามที่มาเพิ่มเรื่อยๆไม่หยุดหย่อน…เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองมาถึงที่นี่ได้ยังไง
ด้วยซ้ำ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น…
เด็กหนุ่มเม้มปาก กลืนน้ำตาที่เกือบจะหยดนั้นลงไปเสีย
“ข้า…หลับไปแค่ไหนรึ?”
เสียงตอบที่แสนแหบแห้ง ลำคอเจ็บแปลบจนเหมือนจะแตกออกได้
“เพิ่งเช้าวันที่สองเท่านั้น” จ้าวหนุ่มตอบ มือใหญ่เกลี่ยลูบที่ข้างแก้ม “เจ้าสิรอตรงนี้ก่อน ข้าจักไปตามอ้ายแม่พิกุล
มาดูอาการ”
“..ขอรับ”
“พร้อมสำรับข้าวต้มสักมื้อ…เจ้าคงหิวสินะ”
“ขอบพระคุณขอรับ…จ้าวพี่โคจร”
อีกคนมองหน้าเขานิ่ง มือใหญ่ลูบที่หน้าผากลงมาถึงข้างแก้ม
“เจ้าปลอดภัยแล้ว..”
คำพูดนั้นเอ่ยปลอบ ก่อนร่างสูงจะดันตัวลุกขึ้น
“อยู่ที่นี่…เจ้าจะปลอดภัย พันวัง”
เจ้าของนามกลั้นใจอยู่นาน…จนกระทั่งอีกคนออกไปสักพักน้ำตาหยดหนึ่งถึงได้ไหลอาบแก้ม เขาค่อยๆยกมือที่ถลอกปอกเปิกเป็นรอยไหม้ทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาดู ถึงเขาจะไม่สามารถหาคำตอบของบาดแผลกว่าครึ่งหนึ่งของร่างกายได้ แต่สองมือข้างนี้…เขาจำได้…
ยามที่อ้ายพี่แสนตาถอดรูปกายดำลงน้ำ แปลงร่างเป็นจ้าวกุมภาขนาดมหึมา…ยอมให้ร่างกายใหญ่โตที่เปี่ยมไปด้วยบาดแผลนั่นเป็นเป้านิ่งให้โรมรันฟันแทง ทั้งหอกดาบอาวุธอาคมมากมากที่ทิ่มเข้าผิวหนังที่เคยแข็งแกร่ง แต่อ่อนแอลงเพียงแค่ในคราวนั้น…เรียกให้หยาดเลือดข้นซึมไหล หากจ้าวหนุ่มกลับกลั้นเสียงกรีดร้องไว้ไม่อ้อนวอนขอความเห็นใจ…เป็นเหยื่อ…ให้จระเข้น้อยใหญ่มีเวลามากพอจะหนีไป…
เท่าที่เขาจำได้ แน่นอนว่าตัวเองอยู่ข้างกายจ้าวไม่ได้หลบไปไหน หากแต่เสาเอกต้นหนึ่งที่ถูกเพลิงไหม้ไม่หมดลมเอนลงมาทับกาย….นั่นกลับเป็นภาพสุดท้ายที่เขาเห็น และตัวเองที่มาอยู่ที่พิจิตรนี่…ก็ดูราวกับว่าจะบอกอะไรได้มากมายแล้ว…
“อ้ายพี่แสนตา…”
เขาสะอื้นไห้จนตัวโยน รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทั้งร่าง..ไม่ว่าจะเป็นฝ่าเท้าสองข้าง แผ่นหลัง ลำคอ นิ้วมือ
มวนท้อง หว่างขา หรือแม้กระทั่ง…หัวใจ
“อ้ายพี่แสนตา…อ้ายพี่แสนตา…”
พันวังไม่รู้ว่าร้องไห้หนักขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เขาร้องจนเสียงแหบ ร้องจนราวกับว่าน้ำทุกหยดในร่างกาย
ได้ถูกใช้ไป
ร่างโปร่งนอนคุดคู้มุดตัวอยู่ในผ้าห่ม กดมือทั้งสองข้างที่ยังปวดแปลบลงที่กลางอก เฝ้าฟังเสียงหัวใจตัวเองกรีดร้องด้วยความทรมาน
…..ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…..ดวงใจข้า…จะไม่หวนคืนสู่ห้วงธารา….เพียงท่าน…เท่านั้น
พิธีศพของจ้าวแสนตาถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ รวมไปถึงสหัส ทองดี และจระเข้ตัวอื่นๆที่ต่อสู้ศึกนั้น
อย่างกล้าหาญ
ไม่มีศพ..ไม่มีร่างกายกลับมา เพียงแค่บวงสรวงสักการะพระแม่คงคาเหมือนเช่นพิธีปกติ และปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปกับสายน้ำ ทั้งข้าวของเครื่องใช้ ดอกไม้ธูปเทียน รวมไปถึงความทรงจำทั้งหลายเหล่านั้น…ทิ้งอดีตทุกอย่างลงให้กลายเป็นเพียงภาพเลือนราง
เรือนที่พิจิตรไม่ได้จัดงานศพบ่อยนัก..จึงเป็นภาพที่ไม่ได้ชินตาเท่าไหร่ พอคิดเช่นนั้นแล้วจ้าวโคจรก็นึกเสียใจ
ทุกครั้งที่ไม่ได้ไปช่วยเหลือเพื่อนรักด้วยตนเอง เคราะห์ร้ายครั้งนั้นทำให้พิธีไว้ทุกข์เงียบงัน..และความเศร้าก็ดูราวกับจะสามารถยืดเยื้อยาวนานไปได้นับปี
จระเข้ที่รอดจากอโยธยาก็ไม่ได้มากมายนัก และทั้งหมดยังคงอยู่ในสภาวะฟื้นตัว บางคนไม่อาจมีร่างกายที่สมบูรณ์เหมือนเดิมได้อีก...เช่นกัน พันวังก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น…
มันคือความเงียบ…ที่เงียบอยู่นานมากพอจะทำให้เสียงลมดูน่ากลัวขึ้นมาได้ ระยะห่างระหว่างพันวังกับอ้ายแม่พิกุลมีเพียงสายลมคั่น ดวงตาสีอำพันกลมโตไม่ได้รับรู้ถึงอะไรมากนัก กลับกันกับอีกคน…ที่ดูวิตกกังวลมากกว่า
ก่อนเขาจะเบือนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วรำพึงรำพัน
“จริงหรือขอรับ…?”
น้ำเสียงนั้นบอกไม่ได้ว่าคนพูดกำลังรู้สึกอย่างไร และคู่สนทนาก็ไม่อยากตอกย้ำ เลยทำเพียงพยักหน้ากลับไป
แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการไม่ใช่ความเงียบ เขาเม้มปาก แล้วถามย้ำอีกครั้ง
“…ข้า…ไม่สามารถมี ‘ลูก’ ได้…อย่างนั้นหรือขอรับ?”
“..บาดแผลที่ช่วงท้องเจ้านั้นสาหัสนัก”หญิงชราเอ่ย “ถ้าพิจตามที่เจ้าเล่า ไอ้เสาสุมเพลิงนั่นสร้งบาดแผลให้เจ้า
ไม่น้อย…กระนั้นจงมองโลกในแง่บวกไว้เสีย ช้าเร็วเจ้าก็ต้องทำหมัน มิเช่นนั้นต้องเผชิญกับฤดูผสมพันธุ์ที่แสนทรมานในทุกช่วงปี”
“อ่า…” พันวังพยักหน้าช้าๆ
“จริงดั่งที่ท่านว่า…”
“ปัญหาของเจ้าคงไม่ได้มีเพียงแค่นั้นเป็นแน่ จากนี้คงลำบากนัก เจ้าสิต้องเข็มแข็งไว้”
คนฟังยิ้มน้อยๆ
“วางใจเถอะอ้ายแม่พิกุล นั่นหาใช่สิ่งที่ข้ากังวลไม่”
“เด็กเอ๋ย…มาทางนี้สิ”
แขนผอมอ่อนแรงกางออก เรียกให้อีกคนเข้ามาแล้วลูบหลังปลอบ
ด้วยกับคนตรงหน้าที่เห็นกันมาตั้งแต่ตีนเท่าหอย แม้จะไม่ใช่คนร่าเริงมีอารมณ์ขันตลอดเวลา แต่พันวังก็เป็น
เด็กดีมาก คอยปรนนิบัติรับใช้ท่านจ้าวมาตั้งแต่ยังไม่รู้ภาษา แต่ก็มิเคยเห็นเศร้าซึมเช่นในตอนนี้ และแม่เฒ่าก็รู้เหตุผลข้อนั้นดี…จ้าวแสนตา…
เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กดีมากมาตลอด ซึ่งครั้งหนึ่งได้ทำตามสิ่งที่ตัวเองปรารถนาอย่างแท้จริง…เพียงครั้งเดียว
นั่นคือตอนที่ทุกตัวจะเดินทางกลับจากอโยธยา และเจ้าตัวกลับพูดขึ้นมาว่า ‘ไม่’
“ความรู้สึกนั้นเป็นเช่นไรรึ..” รอยยิ้มอ่อนทาบอยู่ที่ใบหน้า
“…ที่พวกมนุษย์เรียกว่า ‘ความรัก’น่ะ”
เด็กหนุ่มยิ้มออกมาได้สำเร็จ แล้วร้องหวือ
“อ้ายแม่พิกุล!”
“เอ้า เจ้าจะเขินกระไรเล่า…ชาวเราน้อยคนนักจะได้รู้จักกับความรู้สึกเช่นนั้นนะ”
พันวังหลุบตาคิดตาม สิ่งที่อีกคนพูดมานั้นเป็นความจริงทุกประการ…เพราะเขาเองก็เพิ่งเข้าใจเรื่องนั้นได้เพียงไม่นานเท่านั้น เวลาเพียงไม่นาน…ที่จบลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอายุขัยเป็นร้อยปี
“อบอุ่น…”เขาเอ่ยต่อ…เสียงเบา
“…และหอมหวานมากขอรับ…”
“รู้สึกดีใช่รึไม่?”
“ขอรับ” พันวังพยักหน้า หลุบตาลงเล็กน้อย
“แต่ข้ากลับ..ทุกข์มากเหลือเกิน..”
มือหุ้มกระดูกค่อยบรรจงลูบปลอบอีกคนช้าๆ
“เจ้าเป็นเด็กเข้มแข็ง…พันวัง”
“ข้าไม่อยากเข้มแข็งอีกแล้ว…”
“เด็กโง่”
“ข้าสงสัยนัก….”
เขาหลับตาลง รำพึงรำพัน…น่าแปลกใจที่ไม่มีน้ำตาออกมา
“เหตุใดสวรรค์ถึงให้เราเกิดมา เหตุใดจึงให้เราเผชิญความโศกาเช่นนี้…เราเป็นเพียงจระเข้ เรา…เราไม่ได้อยากมีความรู้สึกเฉกเช่นนี้มิใช่รึ? เพียงแหวกว่ายตามลำน้ำ ปกป้องพระแม่คงคา และสืบเผ่าพันธุ์ต่อไปเพียงแค่นั้นก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ?”
“พันวัง….”
“เจ็บเหลือเกิน…อ้ายแม่พิกุล ข้าสิเจ็บเหลือเกิน”
เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับไหล่ผอมแห้งของอีกคน เขาควรจะร้องไห้..แต่ไม่เลย เพียงเพราะน้ำตาเหล่านั้นได้เหือดแห้งไปหมดแล้ว
“ใยมนุษย์…จึงโหดร้ายเช่นนี้…?”
มันคือช่วงว่างให้สายลมอ่อนๆพัดผ่านมา
เด็กหนุ่มรู้ดีว่าคำถามนั้นคงไม่ได้คำตอบ และมันคือข้อสงสัย…ว่าทำไมพวกเขาตองมีร่างแปลงที่เสมือนมนุษย์เช่นนี้ด้วย ทำไมจ้าวรำไพถึงใช้ลูกแก้ววิเศษพวกนี้แปลงร่างเป็นมนุษย์…เป็น…สิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายเช่นนั้นด้วย
..เพียงเพราะอยากเป็นมนุษย์
..เพียงเพราะอยากสัมผัสความรู้สึกที่ทรมานเช่นนั้นอย่างนั้นรึ..?
ในทุกๆวันที่เขาทำได้เพียงนอนพักอยู่บนเตียง เขาเฝ้าคิดถึงใบหน้าของชายอันเป็นที่รักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฝ้าหาเหตุผลที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ทั้งความโหดเหี้ยมของมนุษย์ที่มองพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตอันตรายมาตลอด
…แต่เราก็มองพวกเขาไม่ต่างกัน…
จระเข้และหมออาคมรบรากันมานาน…นานมากพอที่จะเรียกว่าสงครามยืดเยื้อ ไม่ว่าจะสูญเสียไปมากมายเท่าไหร่ ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายนึงยอมลดราวาศอกต่อกัน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และจะเป็นเช่นนี้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดไป
แม้ว่าฝ่ายเราจะเพลี่ยงพล้ำด้วยจำนวนคน แต่ก็จัดว่าสูสีมาตลอดด้วยสายเลือดของ ‘จ้าว’ที่เข้มแข็ง พลังที่แข็งแกร่ง และสมรภูมิในน้ำที่ได้เปรียบนัก…
แต่จ้าวแสนตากลับอ่อนแอ
…เพียงแค่ในวาระนั้น…คมดาบเดียวที่แทงหัวใจของจ้าวได้….
อ้ายแม่พิกุลยังคงกอดปลอบเด็กหนุ่มต่อไปด้วยคิดว่าอีกคนคงกำลังหลั่งน้ำตาอยู่ หาได้รู้ไม่ว่าในดวงตาสีอำพันคู่นั้นมีเพียงเค้าลางของความแค้นที่กลบความโศกเสียใจไปเสียสิ้น
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่…”
หญิงชรากล่าวเสียงเครือนัก
“มิใช่ว่าข้าจักไม่เข้าใจเจ้า ชั่วดีเช่นไรเจ้าก็ต้องเดินหน้าต่อไป”
“ขอรับ” พันวังพยักหน้าช้าๆ
“ข้า…ต้องเดินหน้าต่อไป”
จากนี้อีกสักกี่สิบกี่ร้อยปี…ความแค้นนี้…ข้าต้องสะสางมันให้สำเร็จ….ไม่ว่าจะมนุษย์ แม่หญิงบุหลัน
หรือกระทั่ง…จ้าวพี่โคจร
จบภาค
ครั้งนั้น
วันเจ้าพระยายังสดใส
ยังมีจ้าวกุมภาเกรียงไกร
สถิตอยู่ใต้ห้วงชลธาร
เซซัดจากถิ่นฐานบ้านเกิด
หนีตะเลิดเปิดใจมิอาจหาญ
เจ้ามนุษย์ผู้ร้ายใจมาร
ผู้รุกรานทำร้ายใจตน
รอนแรมมาไกลถึงเมืองหลวง
ฝูงทั้งปวงล้มตายเป็นสายฝน
จ้าวยักษ์ใหญ่ตั้งคำในบัดดล
มันสักคนต้องได้..ชดใช้กรรม
################################################
-๑-
เปรี้ยง!
เสียงกัมปนาทฟาดลงมาดังลั่นจนทุกคนในห้องสะดุ้งเฮือก สายตาทุกคู่จับจ้องมองไปยังนอกหน้าต่าง..ฟ้าครึ้ม
เมฆหม่น ที่สำคัญที่สุดคือสายฝนที่ตกกระหน่ำอย่างหนักจนไม่ได้ลืมหูลืมตา…จนน่ากลัว
หญิงวัยกลางที่โต๊ะหน้าห้องมองลอดแว่นสายตายาวของหล่อนสบตากับนักศึกษาทุกคน ก่อนจะก้มมองนาฬิกา
ที่ทุกคนในที่นั้นรู้อยู่แล้วว่ามันเลยคาบมาเกือบๆสิบห้านาทีแล้ว
“นักศึกษา” เสียงเนิบนาบเอ่ยขึ้น
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
คำพูดแบบนั้นคงเหมือนเสียงสวรรค์จากฟากฟ้าในวันปกติ เพียงแต่วันนี้บรรยากาศไม่เป็นใจให้ใครสักคนได้เฮฮา..ปล่อยตอนนี้ก็ยังกลับบ้านไม่ได้อยู่ดี ขนาดเสียงเลื่อนเก้าอี้ยังถูกกลบด้วยเสียงฝนกระหน่ำด้านนอกเลย
แต่อย่างน้อยที่สุด..ผมก็ถอนหายใจออกมาได้สำเร็จ
..การเรียนในห้องแอร์เย็นๆวันที่ฟ้าสลัวๆแบบนี้มันไม่เป็นผลดีต่อสมองเลยสักนิด…หรือพูดให้ตรงกว่านี้
ก็คือ แม่ง สัสเอ้ย ง่วงฉิบหาย
อาจารย์ผู้สอนเก็บของเดินออกจากห้องไปก่อนเป็นคนแรก นั่นถึงเป็นสัญญาณให้พวกเราได้ขยับกายลุกจาก
ที่นั่งบ้าง แลคเชอร์นานติดกันสามชั่วโมงเต็มพาลให้ปวดหลัง เพราะเก้าอี้แลคเชอร์ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อให้หลับ ฟุบงีบ กินข้าว ตากผ้า หรือทำกิจกรรมใดๆนอกจาก...เรียนหนังสือ ซึ่งเอ่อ..ตามประสาครับ พวกเราทุกคนชอบเรียนมาก
“เฮ้ย เฮ้ย”
ผมสะกิดเรียกเพื่อนสนิทที่นอนหลับมาตั้งกะต้นคาบ
“ไอ้โป๊ย ตื่น ตื่นว้อย หมดคาบแล้ว”
แน่นอน เจ้าของนามแม่งไม่สะดุ้งสะเทือนหรอกครับ ซึ่งผมก็ชินแล้วล่ะ…เลยต้องโบกหัว ‘ผลัวะ’ ไปทีนึง
อย่างแรง เพื่อให้อย่างน้อยมันก็เงยหน้าขึ้นมาเคี้ยวน้ำลายตัวเองแจ๊บๆ…แล้ว…หลับต่อ
..เจริญจริงๆ..
ผมส่ายหัว หันมาเก็บข้าวของตัวเองบ้าง ซึ่งก็มีเยอะมากครับ สมุดเล่มนึงกับปากกาหนึ่งด้าม พับเก็บเหน็บไว้กับเอวก็เสร็จสิ้นกระบวนการแล้วล่ะ..
“ไกร ไกร”
เสียงใสเรียกผมจากด้านหลัง เป็นเสี้ยววินาทีก่อนผมจะลุกขึ้นยืนพอดี
ให้ตายเถอะ..หัวใจผมพองจนคับอกเลยตอนที่รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร
ดวงหน้าใสยื่นเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้ม ใกล้จนได้กลิ่นแชมพูอ่อนๆจากเรือนผมสีน้ำตาลเข้มนั่น ก่อนเธอจะยกมือประนมให้แล้วส่งดวงตากลมโตใสวิ้งนั่นเพื่อกราบอ้อนวอนผมในที
“แก้วยืมสมุดแลคเชอร์หน่อยได้มั้ยจ้ะ?”
“อา ได้สิ”
ผมหยิบมันอย่างรวดเร็วเอ่อ..เร็วไปหน่อยจนน่าขัน แหม ต่อหน้าดาวมหา’ลัยใครมันจะไปตั้งสติทันล่ะ ผมเองก็ผู้ชายคนนึงที่หวังจะเด็ดดอกฟ้าเหมือนกันนะ
เธอยิ้ม รับแลคเชอร์ผมไปราวกับมันเป็นของล้ำค่าที่สุด
“ขอบใจนะ”
..วิญญาณจะล่องลอยไปแล้วล่ะครับ..
“แก้วจดไม่ทันเหรอ?”
“ฮะๆ แก้วเผลอหลับไปช่วงนึงน่ะ”รอยยิ้มของเธอทำให้ผู้ชายมีบาดแผล “แล้ว’จารย์มาลัยบอกให้แก้วเขียนรายงานแก้คะแนนด้วยอ่ะ กังวลชะมัด”
“อ้าว แก้วไม่ผ่านมีนเหรอ?”
“อืม แหะๆ”
“วันหลังบอกเรานะ เราติวให้ได้”
“อะแฮ่ม ไอ้คุณเพื่อนครับ”
การกระแอมกระไอที่ฟังแล้วรู้เลยว่าเฟคนั่นเรียกให้พวกเราทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมอง
“…ปลุกกูขึ้นมาเพื่อฟังมึงจีบสาวเหรอฟะ? ไปเร็ว!”
“ไปห่าไรล่ะ ฝนตกยังกะเทกะละมัง”ผมโบ้ย
“รอให้ซาก่อนดิ”
โป๊ยหันไปมองตามผม แล้วทำปากเป็นรูปตัวโอ..มันเพิ่งเห็นมั้งครับว่าสภาพอากาศวันนี้ไม่ดี สมแล้วที่เป็นจอมเอ๋อโป๊ยเซียน…ผู้ที่ต่อให้ทั้งอาคารกำลังลุกไหม้แต่ถ้าไฟไม่ติดที่ตูดมันก็ไม่รู้เรื่อง
แต่ผมก็ลืมๆเพื่อนรัก แล้วหันไปยิ้มกับแก้วต่อ
“ไม่เข้าใจตรงไหนถามเราได้นะแก้ว”
“จ้ะ ไกรน่ารักจังเลย~หล่อแล้วยังใจดีอีกเนาะ~”
ไม่ต้องบอกใช่มั้ยครับ คนที่พูดไม่ใช่แก้วหรอก..เพื่อนรักสุดจะกวนอวัยวะเบื้องล่างของผมต่างหากที่ทำทีเป็นดัดเสียงพูด ซึ่งบอกเลยลีลาขนาดนี้…กระเทยจริงๆยังอายแทน
“ไหนมามะมาดจ๊วบที~ ม๊วฟ”
“จูบตีนกูไปก่อนก็แล้วกัน…”
“ว้อย ล้อเล่นว้อย! ไม่เห็นต้องยกขึ้นมาจริงๆจังๆเลย”
ผมหันไปมองแก้วอีกครั้ง เธอหัวเราะอยู่..และให้ตาย โลกทั้งใบหยุดหมุนตรงนั้นครับท่านผู้ชม!
ครับ เห็นลีลาการเอาใจสาวแบบนี้ก็ต้องขอแนะนำตัวกันสักหน่อย
ผม ‘เกรียงไกร’ ครับ..หรือที่เพื่อนๆก็เรียกกันสั้นๆแหละครับว่า ‘ไกร’(และมีฉายาว่า ‘เกรียนไกล’ แต่ไม่ได้เกรียนเหมือนฉายาหรอกนะครับ..แค่ทรงผมไถข้างเปิดเกรียนข้างหนึ่งของผมมันโดดเด่นมากก็เท่านั้นเอง..)เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
นี่ไอ้ ‘โป๊ยเซียน’ หนุ่มอารมณ์ดีขี้เล่นโคตรกวนประสาท จนผมชักสงสัยว่าเออ เป็นเพื่อนกับมันเข้าไปได้ยังไง..
ซึ่งเรื่องนั้นช่างมันก่อน ไอ้โป๊ยน่ะจบจากโรงเรียนเดียวกับ ‘แก้ว’ ดาวคณะและดาวมหา’ลัยคนสวยที่ผมหมายตา…แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไอ้โป๊ยแม่งก็เสือกไม่เหมาะจะเป็นสะพานให้ผมเดินข้ามไปเด็ดดอกฟ้า จนสุดท้ายก็ต้องใช้ลีลาเกี้ยวพาราสีที่สืบทอดมาในตระกูลนี่แหละเข้าสู้
…แต่ยอมรับว่าไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไหร่หรอก
“แก้ว พี่รอข้างล่างนะ..เดี๋ยวลงไปหาอาจารย์แปปนึง”
น่ะ..พูดยังไม่ทันขาดคำ…เดินมาพอดี…
ร่างสูงโปร่งชะโงกหน้าเข้ามาในห้องแลคเชอร์ของปีต่ำกว่า เพื่อร้องบอกราวต้องการจะเรียกความสนใจจากคน
ทั้งห้อง ซึ่งก็ได้ไปเต็มๆน่ะแหละครับ
“จ้ะ” เธอยิ้ม..ยิ้มหวานกว่าที่ยิ้มให้ผมเสียอีก
“เดี๋ยวแก้วลอกแลคเชอร์แปปนึง จะตามลงไปนะคะ”
..น่าเจ็บใจฉิบ..
หมอนั่นชื่อ ‘ทิวัน’ เอ่อ…ผมต้องแนะนำมั้ยว่านี่คือ ‘แฟนแก้ว’
และทุกครั้งที่เจอหน้ามันผมก็จะเผลอปล่อยเสียง‘จิ๊’ ออกไปอย่างช่วยไม่ได้
นายทิวัน…และผมขอเรียกมันสั้นๆละกันว่า‘ไอ้วัน’….แหม ชื่อไทยแท๊แท้ (ไม่ดูตัวเอง..) เป็นนักศึกษาปี4 รุ่นพี่ผมนี่เอง มันเป็นแฟนแก้ว (จะย้ำทำไม) เป็นจอมมารความสุขที่ทำลายหัวใจผู้ชายทั้งคณะ บอกตามตรงครับ..
คณะผมน่ะมีผู้หญิงไม่มากเท่าไหร่ แล้วผู้หญิงน่ารักระดับแก้วน่ะเค้าว่ากันว่าสิบปีจะมีสักคน..แต่ให้ตาย สุดท้ายก็โดนชายหนุ่มที่..เอ่อ..ยอมรับก็ได้ครับว่าหน้าตาดีนิดๆคาบไปกินจนได้
และที่ดูเหมือนจะให้อภัยไม่ได้มากที่สุดก็ตรงที่…เพื่อนผม รุ่นน้อง คนทั้งคณะต่างพากันยอมรับในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ แถมยังเปรียบเปรยสำเนียงโบราณว่านี่แหละคือ
‘กิ่งทองใบหยก’
ตรงไหนกันวะ..!?!
ผมมองเขาตาเขียวปั๊ด อีกฝ่ายเห็น…แล้วยักคิ้วให้ประหนึ่งผู้ชนะก็ไม่ปาน
“ไอ้…!”
..จะด่าก็ไม่ทันล่ะครับ แม่งผลุบหายออกจากห้องไปซะงั้น..!
เออ แม่งไม่มีใครสังเกตสักคนเลยเหรอครับว่า‘มัน’ แม่งกวนตีนแค่ไหน! เผลอๆจะมากกว่าไอ้โป๊ยเซียนนี่ซะอีก!
“มึงนี่ก็..อ้าปากได้ก็จะกัดเลยนะเว้ย”ไอ้โป๊ยหัวเราะ “ใส่ตะกร้อไว้ท่าจะดีกว่านะเนี่ย”
“พ่องสิ มึงดูมัน..”ผมสบถ
“กวนตีนฉิบ”
“พี่เค้ายังไม่ทันพูดอะไรเลย มึงก็หาเรื่องพี่เค้าตลอดอ่ะ”
“ดูแม่งยักคิ้วใส่กู”
“ยักคิ้วแล้วไงวะ มึงยักไม่ได้เรอะ นี่ไง”
แล้วไอ้โป๊ยก็ยื่นหน้าเข้ามายักคิ้วใส่ผมรัวๆเหมือนเป็นโรคชักกระตุกชนิดหนึ่ง จนผมต้องดันหน้ามันออก..แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะพรืดจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลังพอดี และการที่แก้วขำออกมานั้น ทำให้ผมรู้ตัว
“อ๊ะ ‘โทษทีครับ เราไม่น่าพูดจาไม่ดีกับแฟนแก้วใช่มั้ย?”
..กับผู้หญิงน่ะผมเป็นสุภาพบุรุษเสมอ..ใช่มั้ยล่ะ?
“ฮะๆ ไม่หรอกจ้ะ ตามสบายเถอะ” แก้วยิ้ม
“ไกรนี่ตลกดีนะ”
..ไกรนี่ตลกดีนะ..
..ไกรนี่ตลกดีนะ..
..ไกรนี่ตลกดีนะ..
เอาล่ะ วินาทีนั้นผมอยากจะไปหยิบวิกอัลโฟ่สีเขียวมาสวม ทาหน้าขาวทั้งหน้า ติดจมูกแดง แล้วเต้นแทปไปโยนลูกบอกห้าลูกไปรอบๆห้องเสียเหลือเกิน..
“เอานี่ เสร็จแล้ว”
แก้วพูดขึ้นขัดจังหวะที่ผมกำลังหาลูกบอล พร้อมยื่นสมุดแลคเชอร์คืนให้
“ขอบคุณมากจ้ะ เราไปก่อนนะ”
..เสียงท่อแปปที่ผุดจากเนินหญ้าสีเขียวขึ้นมาเปล่งเสียงร้องดังก้องไปว่า
‘หมดเวลาสนุกแล้วสิ~ หมดเวลาสนุกแล้วสิ~’ ดังอยู่ในหัวผมวนเวียนไปมา..
แล้วแก้วก็เดินจากไป…
….ไม่ต้องคิดตามครับ อีกฝ่ายไม่หันกลับมาหรอก
“เฮ้อ……”
“ถอนหายใจไรของมึงวะ”
“กูนี่มีโอกาสจะได้คุยกับแก้วแค่ตอนยืมแลคเชอร์รึไงวะ”
ผมเปรย คนฟังตบหัวผลัวะ
“มึงเอาจริงดิ แก้วมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วนะว้อย”
“โหยสัส กูไม่ได้จะแย่งแฟนเค้า แค่..อยากคุยกันให้นานกว่านี้” ผมละเมอ
“คนอะไรวะ งามยังกะนางฟ้า~”
“เออ เออ เออ”
“อะไรของมึงวะ มึงไม่เห็นว่าแก้วสวยรึไง?”
“ไม่นี่” มันไหวไหล่
“กูเห็นมาตั้งกะเด็ก”
ครับ ย้ำอีกครั้งว่าแก้วกะโป๊ยเซียนจบจากโรงเรียนเดียวกันมา หรือพูดให้ถูกก็คือเรียนที่เดียวกันตั้งกะสมัยประถมน่ะแหละ แต่โป๊ยก็บอกนะว่าไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับแก้วมากนัก โป๊ยเป็นคนประเภทไม่เข้าหาผู้หญิงครับ
แถมผู้หญิงเรียบร้อยจิ้มลิ้มแบบแก้วมันยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่…ซึ่งผมเข้าใจจุดนั้นนะ
“เออ แล้วมึงจะตั้งท่ากัดกับพี่วันเขาไปถึงไหนวะ?”
มันเริ่มบทสนทนาได้แย่มาก ผมเลยแยกเขี้ยวใส่
“ไม่ได้กัดว้อย สัส”
“เห็นแง่งใส่กันตั้งกะก่อนจะมาเป็นแฟนแก้วล่ะ”มันว่า “พอเค้าไปกันได้ดีกูก็นึกว่ามึงจะเลิก..เปล่าเลย ยังกัดอยู่อีก”
“ก็ดูมันกวนตีน”
“ตรงไหนฟะ? พี่วันเค้าขรึมจะตายห่า”
ผมเถียงไม่ออก
“ไม่รู้ว้อย ไม่ถูกชะตา”
..ก็ไม่ถูกชะตาจริงๆนั่นแหละ..
ผมสามารถยืดอกรับอย่างลูกผู้ชายได้เลยนะครับว่าโดยส่วนใหญ่นั้นผมเป็นคนหาเรื่อง‘มัน’ ก่อน..และเออ ยอมรับความผิดนั่นด้วยก็ได้! แต่ขอบอกเลยนะว่าอีกฝ่ายก็กวนประสาทไม่แพ้กันนั่นแหละ!
ทิวันเป็นผู้ชายขรึมๆครับ..ไม่ได้เงียบ ไม่ได้พูดน้อย ไม่ได้เก็บตัวหรืออะไร…เค้าแค่ เอ่อ..ขรึม ดูเป็นผู้ใหญ่…จะว่ายังไงดีล่ะ เพราะบุคลิกแบบนั้นแหละทำให้สาวๆในคณะ(ที่มีน้อยเหลือเกินพวกนั้น)พากันปลาบปลื้มยังกะอะไรดี
…ไม่ต้องเดาหรอกครับ ไม่เว้นแม้กระทั่งแก้ว
และให้ตายเถอะ! ต่อให้มัน ‘ขรึม’ แค่ไหน…เวลามองหน้าผมแม่งต้องยักคิ้วใส่เหมือนเยาะเย้ยทู๊กที!
…แบบนี้ไม่เรียกกวนส้นให้เรียกอะไร?
ระหว่างรอฝนหยุดพวกผมก็หยิบมือถือขึ้นมากดๆเหมือนที่ฮิตกิจกรรมนี้กันทั้งบ้านทั้งเมืองแหละครับ สไลด์หน้าเฟสบุ๊คเช็คข่าวไปสามรอบ กดไลค์อินสตราแกรมไปสามที ตอบไลน์เพื่อนไปสามคน สุดท้ายก็มาตายรัง
จะเปิดเกมเล่น..
…ก็มีสายเรียกเข้าพอดี
ตอนแรกผมมึนๆเบลอๆจะหลับอยู่ล่ะ อากาศยามเย็นฝนตกพรำๆมันน่านอนเป็นบ้าเลย แต่พอเห็นหน้าสายเรียกเข้าปุ๊บตาก็ตื่นปั๊บ วิญญาณไหลกลับเข้าร่างทันที
“ไอ้ฉิบหาย”
พอผมอุทาน โป๊ยก็ยื่นหน้ามา
“ใครโทรมาวะ?”
ผมมองชื่อที่ขึ้นหราอยู่ด้านหน้าจอ ถอนหายใจเป็นพันรอบก็ไม่พอแล้วล่ะมั้งครับงวดนี้…
“อาจารย์คง”
ผมบอกให้โป๊ยกลับไปก่อน แน่นอน..มันไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด แถมยังวิ่งฝ่าฝนกลับไปเสียอย่างงั้น
…นี่แหละ เพื่อนตาย…เพื่อนตายทั้งคนก็ยังไม่เหลียวหลังครับ
กว่าที่ระบบทดลองเป็นทาสจะจบสิ้นนั้นเวลาก็เกือบทุ่มนึงแล้ว ปกติแล้วเวลาทุ่มนึงที่คณะ/มหา’ลัยผมไม่ได้เงียบหรอกครับ แต่เพราะฝนมันตกกระมังหลายคนถึงได้รีบกลับไปก่อน นี่จะว่าไปตอนนี้ฝนก็ยังตกปรอยๆนะนี่…
แต่ไอ้บรรยากาศเย็นๆอึมครึมนี่ล่ะตัวดี…ทำให้ตึกเรียนเก่ากว่าเจ็ดสิบปีหลังนี้มันดูมีมนต์ขลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แสงสว่างจากไฟนีออนบริเวณโถงทุกชั้นไม่ได้สว่างนัก บางดวงก็ติดๆดับๆ เงามืดทำให้กำแพงที่เคยคุ้นอยู่ตอนกลางวันดูแตกต่างออกไป จนผมต้องรีบสาวเท้าลงบันไดเร็วๆ
ให้ตายเถอะ’จารย์คง..จะใช้งานอะไรกันนักหนาหว่า..
ให้ตายเถอะไอ้โป๊ย..จะรีบกลับอะไรนักหนาหว่า..
อ๊ะ
…ที่กล่าวโทษนี่ไม่ได้แปลว่าผมกลัวผีหรืออะไรเทือกนั้นหรอกนะครับ
อาจารย์คงเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาผมเองครับ..เอ่อ จะบอกเช่นนั้นก็ไม่เชิง..เพราะท่านไม่ใช่ที่ปรึกษาผมในนาม
น่ะครับ หมายถึง..ที่ปรึกษาในหลายๆด้าน แกสอนวรรณคดีควบตำแหน่งอาจารย์ผู้คุมขังนักศึกษา(อาจจะงงว่ามีตำแหน่งนี้ด้วยหรือ…) และไม่รู้เพราะอะไรถึงได้ถูกใจผมนักหนาถึงได้เรียกจัง…
แหม..จะพูดสองแง่สามง่ามแบบนั้นก็เห็นจะไม่ถูกสักทีเดียว ว่ากันตามตรงแล้วตลอดมาผมก็ได้’จารย์คงเนี่ยแหละครับช่วยชีวิต(เว่อร์ไป)ไว้ได้หลายครั้งหลายครา แล้วก็อย่างว่าครับ ชีวิตมหา’ลัย สนิทกับอาจารย์สักท่านไว้คุณจะได้บุญไปถึงชาติหน้า..เพราะงั้นเวลาโดนแกเรียกใช้งาน ผมถึงปฏิเสธไม่ได้อย่างนี้ยังไงล่ะ…
บันไดขั้นสุดท้ายโผล่มาหน้าโถงใหญ่ก่อนขึ้นอาคาร เสียงส้นรองเท้าหนังของผมเองกระทบกับพื้นแกรนิตดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะก้องไปกับกำแพงช้าๆ ผมไม่ได้ลงส้นหนักหรืออะไรหรอกครับ แค่ข้างล่างเงียบสนิท…เงียบมากกว่าห้องพักอาจารย์ที่ยังมีคนอยู่บ้างหลายเท่าทีเดียว
ห้องถ่ายเอกสารใต้ตัวตึกปิดสนิท ห้องนิทรรศการก็ปิดสนิท ขนาดไฟหน้าโถงลิฟท์ก็ยังปิดสนิท นอกจากไฟหรี่ๆกลางโถงแล้วก็แทบไม่มีแสงใดเล็ดลอดเข้ามา…แต่ก็ไม่ได้มืดขนาดที่ต้องการไฟฉายหรืออะไรนะ แต่บรรยากาศแบบนี้แม่งสยองกว่าเยอะ
วันนี้คนมันจะรีบกลับอะไรนักหนาวะครับ(คนมันกลัวว้อย)
แน่นอน ผมเชื่อว่าทุกที่มันต้องเคยมีตำนานผีสางนางไม้เหมือนกันหมดแหละครับ ที่จริง..ผมไม่ค่อยได้ฟังใครเค้าเล่ามาเท่าไหร่ ไม่เชื่อแต่ก็ไม่หลบหลู่นะครับ…แค่แบบ เออ ไม่ได้อยากรู้ อย่ามาเจอกับตัวกูกูขอร้อง…อะไรประมาณนั้นแหละ
ผมถอนหายใจ เดินออกไปสูดกลิ่นฝนจากๆที่หน้าคานูปปี…เสียงน้ำไหลลงมาตามรางน้ำฝนสู่บ่อปลาคาร์ฟดังเป็นเพื่อนผมอยู่แปปนึง แต่เมื่อยื่นมือออกไป เม็ดฝนเปาะแปะก็ยังคงตกกระทบผิวหนังอยู่
“ตกนานชะมัด ให้ตาย…..สิ…”
ฟืด!
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ‘สิ’ นั้น..เสียงอีกหนึ่งเสียงก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งโหยงกระโดดกอดเสาแทบไม่ทัน!...ไม่สิ ท่าทางอุบาทว์ชะมัด…เอาเป็นว่าผมผู้ซึ่งมีความหาญกล้าอยู่เต็มอกก็หันควับกลับไปมองที่มาของ
ต้นเสียงนั้น
…ไม่มีอะไร…
และเสียงก็เงียบหายไปราวกับว่าทุกอย่างของมันไม่เคยเกิดขึ้น…
อวัยวะภายในอกผมกำลังวาดลวดลายจ้ำบ๊ะอย่างเมามันตอนที่ผมก้าวขากลับเข้าไปในโถงอาคาร แน่นอนล่ะ..
ผมค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าหูผมไม่ได้ฝาด ขี้คร้านจะวิ่งหนีไปตอนนี้มันก็ปอดแหกสิ้นดี…หนุ่มหล่อมาดแมน
แฮนซั่มอย่างนี้จะวิ่งหนีได้ยังไง
ฟืด!
เฮือก..!
อีกครั้งที่ทำให้หัวใจแทบจะลงไปกองที่ตาตุ่ม แต่แน่นอนว่าผมเก็บมันขึ้นมาได้ทันก่อนจะปล่อยเสียงร้องทุเรศๆออกไป ต้องทำเป็นกล้าในเวลาที่ไม่มีใครชมแม่งเป็นอะไรที่ปัญญาอ่อนมาก และ..เอ่อ..ผมปัญญาอ่อนครับ
ผมจรดปลายเท้าดุจนินจากลับชาติมาเกิด..พยายามเงี่ยหูฟังต้นเสียงอีกครั้ง
..จะติดใจอะไรกับเสียงประหลาดๆแบบนั้นนักหนาวะไอ้เกรียงไกร..
ฟืด….
อีกครั้ง..แต่ครั้งนี้จังหวะของเสียงแตกต่างกันเล็กน้อย ผมขมวดคิ้ว..พยายามคิดถึงทุกเสียงที่ผมเคยได้ยินในโลกมาเปรียบเทียบกัน แต่อย่าหวังเลยครับ…บนโลกนี้จะมีสักกี่คนกันที่สังเกตได้หมดและจำมันได้ บ้าจริง ผมคิดว่าผมเป็นใครวะ..
และเพราะครั้งสุดท้ายนั่นเองทำให้ผมจับได้ว่าเสียงมาจากทางไหน ผมเดินตามเสียงไปถึงหน้าโถงลิฟท์..แสงหรี่ๆด้านหลังฉายมาให้เห็นเป็นเงาของผมบนพื้น…ดูเหมือนหนังอำมหิตสักเรื่องที่ผมต้องปิดตาตอนดูเลยแหะ
ไม่มีเสียงอะไรอีก..
..นั่นยิ่งน่าสงสัย..
ข้างโถงลิฟท์มีทางเดินแคบๆกว้างเมตรกว่าๆที่นำไปสู่ห้องน้ำเน่าๆสองห้อง แต่คนส่วนใหญ่ก็ใช้มุมอับสายตานี้ในการเก็บของ โต๊ะ กลองคณะ และสารพัดของที่คุณจะต้องมานั่งสงสัยอีกทีว่าไปขุดมากจากโบราณสถานไหนรึเปล่า และเสียง..ดังมาจากภายในนั้น
ผมชะโงกหน้าเข้าไป แล้วหรี่ตามอง..
..ไม่ไหวครับ…มันมืดเกินไป…
ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่ออยู่ในความมืดมันจะเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ และยิ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่เมื่อมันรกไปหมดแบบนี้..อารมณ์ว่าถ้าคุณเดินเข้าไปแล้วโดนฆ่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แม่งยังกะเป็นที่หลบซ่อนของฆาตรกรโรคจิต
นั่นแหละ…ผมไม่เดินเข้าไปแน่ๆครับ
ฟืด….
เสียงนั้นดังอีกครั้งหนึ่ง พร้อมๆกับอะไรบางอย่างในความมืดนั้นขยับไหว
และผมก็รู้ว่าเสียงฟืดๆนั่นเป็นเสียงของอะไรบางอย่างเสียดสีกับพื้น อะไรบางอย่างที่กำลังขยับอยู่ตรงนั้น…
ในความมืดนั่น…ขนาดของมันไม่ใช่แมว ไม่ใช่หมาตัวใหญ่ๆแน่
มันคือคน
…คำถามก็คือ…เขาทำอะไรอยู่คนเดียวในความมืดเช่นนี้…
ผมกลืนน้ำลาย ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ…นึกไม่ออกว่าตัวเองควรจะทำยังไงกันแน่ระหว่าง หนึ่ง..พุ่งเข้าไปอย่างฮีโร่เพื่อจับคนที่คาดการณ์ว่าจะเป็นขโมย สอง..เดินหนีไปเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สาม..โทรหาใครสักคนให้มาช่วย
ซึ่งผมเลือกข้อสามอย่างไม่ลังเล…..
แต่อะไรๆมันก็ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจหรอกครับ….
เพล้ง!
“เชรี้ย!”
มือถือผมเสือกลื่นหลุดมือตกกระแทกพื้นเสียงดังลั่น ก้องสะท้อนไปกับกำแพง..ตามมาด้วยเสียงโหยหวนประหนึ่งวัวคลอดลูกของผม
ส่วนสติน่ะเหรอ…หายวับไปกับเจ้าลูกรักที่นอนอยู่ที่พื้นนั่นน่ะแหละ!!
“เหยดเป็ดไอโฟนกรูว”
ร้องห่มร้องไห้ไว้อาลัยให้ลูกรักอยู่ประมาณสามนาทีเห็นจะได้ และสิ่งที่เรียกสติผมให้กลับมาว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ก็คือ ‘หมอนั่น’ น่ะแหละ..! อีกฝ่ายลนลานจนชนบันไดไม้ไผ่ล้มลงกับพื้นดังโครมคราม สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งชั้น ดูวินาศสันตะโรมากกว่าไอโฟนของผมลิบลับ…
พอเห็นหน้าจอยังติดดีไม่มีริ้วรอยผมก็งัดมันออกมา
…กลั้นใจอยู่เสี้ยววินาที..แล้วเปิดไฟฉายส่องเข้าไปทันที
“หยุด! อย่าขยับนะว้อย!”
ได้ผลชะงัด! อีกฝ่ายมุดตัวซ่อนอยู่หลัง..เอ่อ..อะไรบางอย่างที่ถูกคลุมผ้าไว้…ทันที แต่ไม่อาจหายไปจากสายตาอันเฉียบแหลมของผมได้หรอก
…ผมเห็นชุดนักศึกษาเต็มๆเลยล่ะครับ…
“ใครวะ ทำอะไรอยู่?”
ถ้ามันตอบแม่งก็โง่มากแล้วครับ เสือกทำตัวมีพิรุธสุดชีวิตขนาดนี้มันคงจะหันมาบอกผมหรอกว่า ‘เฮ้ ไงครับพี่
ผมเอง A ปีหนึ่งรหัสxxxxx กำลังตามหาสายฟ้าที่หายไปอยู่’…หรือจะยกตัวอย่างอะไรดีวะ ช่างแม่งล่ะกัน
และความที่รู้ว่าเป็นคนกันเองเนี่ยแหละ ผมก็เดินดุ่มๆเข้าไปประหนึ่งแบรด พิทท์พิชิตซอมบี้ฆ่าไม่ตายในเรื่องWWZ
…นี่ถ้าสาวๆอยู่ด้วยคงกรี๊ดกันตรึม…
ผมเดินเข้าไปใกล้พร้อมโทรศัพท์ฉายแสงในมือ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้..ผมก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วเพ่งหนัก อะไรบางอย่างบอกให้ผมรู้ว่ามันดู..ประหลาด…เอ่อ…สี…ลักษณะ…ของผิวหนังที่มัน……….
ผลัวะ!
แต่ยังไม่ทันจะตั้งข้อสังเกตไปมากกว่านี่หมอนั่นก็พุ่งเข้ามาด้วยความไวชนิดที่ตาเกือบมองไม่ทัน มือใหญ่..
และหยาบกร้าน..บีบข้อมือผมแน่นจนเผลอปล่อยไอโฟนลงบนพื้นอีกครั้ง(โธ่ลูกพ่อยังผ่อนไม่หมด!!) เขาเตะมันหลบวูบเข้าไปใต้กองผ้าให้แสงสุดท้ายแห่งความหวังผมมลายสิ้น
แน่นอน จังหวะนั่นเองที่ผมตกใจมากพอจะอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ แต่มืออีกข้างของเขาก็กดปิดปากผมไว้…และความรุนแรงนั้นทำให้ผมเซลงไปบนกองข้าวของอะไรสักอย่างโดยไม่ทันตั้งตัว ได้ยินเสียงอะไรแตกหักอยู่ใต้ตัวผม..อาจจะเป็นโมเดลไม้ของใครสักคน… แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน!
อิพ่อเอ้ย กูจะโดนฆ่ามั้ยเนี่ย…!
เบื้องหน้าของผมที่ยังไม่ชินกับความมืด…มีเพียงเงาตะคุ่มที่กำลังล็อคผมไว้ไม่ให้ขยับตัว
มือหนาใหญ่ที่ปิดปากผมอยู่แน่นและแรง..จนผมต้องใช้ทุกกระบวนท่าเพื่อหาอากาศให้ตัวเองได้หายใจ…ซึ่งอีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้ เขาถึงได้คลายแรงบีบออกนิดหน่อย
ผมได้กลิ่นน้ำ..กลิ่นของน้ำชื้นๆจากผิวแห้งๆนี่…และผมไม่ได้คิดไปเอง…
…สัมผัสของ ‘เกล็ด’….
…มันคือ…เกล็ดสีเขียว….
“ไกร”
เสียงทุ้มนั้นเอ่ยชื่อผมขึ้นมา มันฟังดูคุ้นหู…คุ้นจนผมต้องเบิกตาโพลง
แต่เขายังพูดต่อ
“สัญญานะ ถ้าปล่อย…แล้วจะไม่ส่งเสียงอะไร”
ผมมีทางเลือกอื่นมั้ยล่ะครับ..แหม
หลังจากเสี้ยววินาทีที่ใช้พิจารณาข้อเสนอนั้น..ผมก็พยักหน้าหงึก รู้สึกได้เลยว่าตาตัวเองแห้งจากการเบิกโพลงคาไว้ตั้งกะเมื่อกี้
และผมก็เป็นอิสระในไม่กี่วินาทีถัดมา
อีกฝ่ายถอยหลังไปพิงกำแพงอีกด้าน จังหวะนั้นสายตาผมเริ่มชินกับความมืดอย่างช้าๆ…มองเห็นดวงตาสีทอง
ลุกวาวในความมืด เห็นผิวหนังสีครีมเลื่อมเขียวที่แปลกตา..เห็นรอยเกล็ดจางๆบนผิวกายนั่น…
…เห็นเรียวคิ้วที่ยักทักทายผม..และกวนตีนเหมือนที่เขาเคยทำมาตลอด…
คอผมแห้งผาก สติด้านหนึ่งบอกให้ผมกรีดร้องอย่าไปรักษาสัญญา ส่วนอีกสติก็บอกผมว่าใจเย็นๆเรื่องนี้เรา
คุยกันได้
แต่ผมไม่เชื่อสติครับ ผมไม่เชื่อแม้กระทั่งสายตาตัวเองด้วยซ้ำ…
….เพราะกว่าจะเปล่งเสียงทักคำแรกออกไปได้แม่งก็กินเวลาหลายนาที…
“…..ไอ้วัน?”
ผมนึกโทษไอ้โป๊ยเซียน นึกโทษอาจารย์คง นึกโทษแก้ว นึกโทษทุกคนทุกสิ่งบนโลกที่ทำให้ผมมีวันนี้
…...วันที่แม่งเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล
แต่เอยแต่ใด
จ้าวกุมภีล์ผู้ใหญ่ยิ่งนักหนา
ได้ครอบครองแก้ววิเศษเรืองฤทธา
ด้วยเดชาเปลี่ยนกุมภาเป็นรูปคน
สีอำพันสุกใสเป็นนัยน์เนตร
ร่างวิเศษเสมอเหมือนไม่สับสน
สองมือห้านิ้วครบจบในตน
รูปโฉมงามล้นให้พ้นภัย
หากแต่ต้องแตะน้ำจึงหวนกลับ
กายแปลงลับลาสิ้นมิอาจไห้
ผิวกายอ่อนกลับเป็นเกล็ดมิดั่งใจ
ตระหนักไว้เราคือใคร..มิใช่ ‘คน’