(เรื่องสั้น) Fly me to the Moon # จดหมายถึงดวงดาว -ฉบับที่สุดท้าย
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Boylove เมื่อ 2014-3-28 15:41ถึง... คนที่รักฉัน
ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน... ทำไมนายปล่อยให้เราเหงานานจังเลย หรือนายกำลังมีความสุขอยู่กับคนอื่น?
ทำไมเราสองคนใช้เวลาในการที่จะเจอกัน รู้จักกัน และรักกัน “นานจัง” ทั้งๆ ที่เรารอมาตั้งหลายปี หรือมันเป็นการรอคอยที่ไม่มีจุดหมาย?
แต่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เราก็จะรอต่อไป รอจนกว่าเรากับนายจะรู้จักกัน และรักกันในที่สุด คงไม่น่าจะนานไปกว่านี้หรอกใช่ไหม
10 กว่าปีที่ผ่านมาของชีวิตเรา เรารู้ว่ายังไม่เจอคนที่ใช่ หรืออาจจะเจอแล้ว? และใครหละ?
ตอนนี้เราก็คงได้แต่ภาวนาให้นายเดินทางมาพบเราเร็วๆ เราจะได้หายเหงาเสียที
เราจะรอต่อไป
จาก... คนที่รักนาย
ฉบับที่หนึ่ง
เมื่อ นั่งคิดกลับไปถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว บางคนอาจจะนั่งคิดถึงเพื่อนๆ อาจจะนั่งร้องไห้ อาจจะนั่งคิดเสียดายหลายๆ อย่าง แต่สำหรับผมแล้ว มันมีแต่รอยยิ้มเท่านั้นที่ปรากฏบนใบหน้าของผม ทั้งในโลกความจริงและความฝัน...
ย้อนไปเมื่อตอนที่ผมอายุ 14 ผมจำได้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีให้กับเพื่อนหนึ่งคน เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่ประถม และตอนนั้นผมอยู่ ม.2 มันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ
อ้อ.... ผมขอแนะนำตัวก่อนแล้วกันครับ ผมชื่อ แบงก์ มีคนบอกว่าชื่อผมตลกดี แต่ผมชอบชื่อนี้นะ อย่างน้อยก็มีอยู่หนึ่งคนหละที่บอกว่า “มันเพราะดี” ผมเป็นเด็กผู้ชายธรรมดา หน้าตาปกติ ไม่ถึงกับขี้เหร่ สูงกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน ส่วนคนที่ผมจะพูดถึงนี้ ชื่อ กาย ตอนประถมเราสองคนจะค่อนข้างสนิทกัน แม้จะอยู่คนละกลุ่มก็ตาม เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาเช่นเดียวกับผม ต่างกันเพียง “น่ารักเป็นบ้า” ขาวๆ ตัวเล็กๆ (หมายถึงผอมนะ) ความสูงไล่เลี่ยกับผม แต่ก็ต่างจากผมอย่างเห็นได้ชัด (ผมสูงกว่า) พอขึ้นมัธยมเราก็ยังคงอยู่ห้องเดียวกัน แต่ก็ยังคงอยู่คนละกลุ่มเหมือนเดิม ในช่วงนี้แหละที่ผมกับกายจะห่างๆ กัน เพราะต่างก็เจอเพื่อนใหม่ ทำให้คุยกันน้อยลง พอขึ้น ม.2 ผมเลยคิดว่า ต้องทำอะไรซักอย่างที่ผมกับกายจะกลับมาสนิทกันอีกครั้ง (ตอนนั้นยังไม่มีความรู้สึกรักนะ) เราก็หาวิธีต่างๆ แต่ก็ไม่สำเร็จซักที
ช่วง ม.2 นี่เองที่ผมเริ่มเห็นเพื่อนๆ มีอาการเพ้อหาความรัก หลายคนมีอาการตกหลุมรักคนอื่นๆ มากมาย ผมก็ได้แต่งงๆ ว่าพวกเพื่อนๆ เป็นบ้าอะไร ง่ายๆ ผมยังอ่อนต่อโลกในเรื่องของความรักมากๆ เพื่อนที่มีอาการแบบนี้เลยบอกผมว่า “ไม่เจอกับตัวเองไม่รู้หรอก” ผมก็ได้แต่คิดว่า ถ้าเกิดผมมีความรู้สึกอยากรักใคร ผมคงไม่บ้าบอแบบนี้แน่นอน แต่อนาคตใครจะรู้หละ
ขึ้นเทอมสองของ ม.2 ผมเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆ จู่โจม จนเกือบตั้งตัวไม่ทัน ผมได้แต่คิดเอาเองว่า มันคงไม่มีอะไร แต่มีแรงขับเคลื่อนอยู่อันหนึ่งคือ ผมต้องมีที่นั่งติดกับกายให้ได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยเวทมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา เพี้ยง 55+ ผมเลยเสนอกับอาจารย์ที่ปรึกษา (แบบว่าเส้นใหญ่อ๊ะครับ) ว่า จับสลากนั่งโต๊ะดีกว่า และห้ามคู่เดิมนั่งด้วยกันด้วย และผมก็อาสาทำสลากเอง แน่นอนผมต้องเป็นคนจับรองสุดท้าย และกายต้องจับเป็นคนสุดท้าย 55+ ไม่มีใครสงสัยซะด้วยสิครับ หุหุ เป็นไปตามแผนแล้วครับ
“ขี้โกงนี่หว่า...” คำแรกที่มันทักผม หลังจากที่มันจับสลากเสร็จและเดินมานั่งลงข้างๆ ผม
“อะไรๆ” เหอๆ ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“มึงอยากนั่งกับกูมึงก็บอกกูเด๊ ทำเป็นแผนสูง ไอ้เชี่ย...” แหง่ะ โดนจับได้แล้ว แต่คนอย่างไอ้แบงก์ซะอย่าง เก๊กไว้ๆ
“ใคร.... ใครอยากนั่งกับมึง ไอ้เชี่ย ขี้ตู่นิมึง”
“งั้นกูจะแลก...” ว่าแล้วมันก็หันหลังกลับ
“ไม่ต้อง... เออๆๆๆ กูยอมแพ้แล้ว” สาบานได้ครับว่าผมเห็นมันยิ้มครับ
“เก๊กอยู่ ได้ไอ้ห่า...” ผมก็ได้แต่ฟุบลงกับโต๊ะด้วยความเขินครับ 555+ แหม เป็นใครๆ ก็เขินแหละครับ ก็ดันโดนคนที่เราอยากนั่งด้วยจับได้นี่หน่า
“แล้วนั่นมึงจะไปไหนอะ” ผมถามมันด้วยความสงสัย ที่เห็นมันเดินออกไปนอกห้อง
“เรื่อง ของกู...” แต่มันก็ยิ้มนะครับ ผมก็เลยไม่สนใจมันต่อ แต่กลับมาสนใจกับความเจี๊ยวจ๊าวของเพื่อนๆ มากกว่า หนวกหูเป็นบ้าเลย ให้ตายสิ...
“อาการแบบนี้เขาเรียกว่ารักจ๊ะ...” เสียงหวานใสของกูรูผู้รู้รอบเรื่องความรักเอ่ยขึ้น หลังจากผมนำความในใจไประบายให้หล่อนฟัง...
“แล้ว นี่แกไปตกหลุมรักสาวคนไหนเหรอจ๊ะ แหมๆๆๆๆ หน้าตาดีว่าไปอย่างนะจ๊ะ” เออ... อย่าให้กูหล่อบ้างแล้วกันนะมึง กูจะกวักมือเรียกมันฟันให้เข็ดทั้งผู้หญิงผู้ชายเลย ฮึ...
“ถ้าเป็น ผู้หญิงกูคงไม่ลำบากใจหรอกไอ้เจน...” อย่าแปลกใจนะครับที่ผมพูดไม่เพราะกับผู้หญิง แบบว่าผมไม่เคยมองมันเป็นผู้หญิงเลยนะครับ 55+ มันห้าวซะขนาดนั้นนะ
“ต๊าย.... นี่แกอย่าบอกนะไอ้แบงก์ ว่าแกปิ๊งไอ้กะ..” ผมต้องปิดปากมันก่อนที่มันจะพูดจบ อะไรซะอีก ก็เสียงมันนะ แปดหลอดซะขนาดนั้น
“ไอ้เจน... มึงจะพูดให้คนแม่งรู้หมดเหรอว่ะว่ากูชอบ... ผู้ชาย” ผมพูดคำสุดท้ายอย่างเบาๆ
“55+” มันหัวเราะได้น่าถีบมากมาย ถ้าไม่นึกว่าเป็นผู้หญิง มีต่อยแน่ๆ
“หัวเราะอะไรเสียงดังจังเลยนะ เจน...” เหอๆ ไม่ต้องหันไปดูผมก็รู้ครับว่าเป็นใคร
“อุ๊ย... พูดถึงปุ๊บก็มาปั๊บตายยากจริงๆ นะกาย” มันพูดพลางทำตัวให้เรียบร้อยแต่ดูขัดๆ ครับ
“พูดถึงเราเหรอ... มึงนินทาอะไรกูให้เจนฟังวะไอ้เชี่ยแบงก์” มาถึงก็สรรเสริญกูเลยนะมึง
“...” ไม่มีอะไรหลุดออกจากปากครับ แบบว่ามันมัวสั่นๆ อยู่ พูดไม่ออก
“ไม่มีอะไรหรอกกาย แบงก์มันเพียงบอกว่า...” ผมเอามือไปปิดปากให้เจนไว้ครับ ไอ้นี่ปล่อยไม่ได้เลย
“เดี๋ยวเจอกันบนห้องนะ กูพาไอ้นี่ไปกินยาก่อน”
“พูดไม่เพราะกับผู้หญิงนะมึง” ไม่ทันได้พูดอะไรแล้วครับ ต้องลากไอ้เจนไปให้ห่างจากโรงอาหารก่อน
“อี๊... ไอ้แบงก์ แก มือแกเค็มมากๆ เลยนะ ชิ ไม่บอกเขาจะรู้เหรอไงย่ะ” มันพูดไปเช็ดปากมันไปครับ
“เออน่า... มันไม่ใช่ตอนนี้ เกิดกูพูดไปแล้วโดนกำปั้นมันกลับมา มึงจะวาไงวะ”
“เออว่ะ จริงด้วย...” คิดเป็นด้วยอีนี่...
“เอาเหอะๆ มีจำไว้นะอีเจน มึงห้ามปากสว่าง ไม่งั้น มึงตายแน่”
“ต๊าย.... แกกล้าทำเพื่อนผู้อ่อนหวานและน่ารักอย่างฉันได้เหรอจ๊ะ” น่าถีบมากกว่า
“ถ้ามึงน่ารักจริง กูจีบมึงไปนานแล้ว... อีวอก”
“ไอ้ แบงก์ มึงตายยยยยยย.....” แล้วมันก็วิ่งไล่เตะผมครับ โดยที่ไม่ทันสังเกตว่า มีใครคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ผม เฮ้อ.... แล้วจะรอดไหมเนี่ย… ฉบับที่สอง
เช้า วันอันสดใสของหลายวันต่อมา ผมกับกายก็ยังคงนั่งติดกันอย่างมีความสุข เหอๆ มีแต่ไอ้เจนเท่านั้นแหล่ะครับที่แซวผม ผมก็เฉยๆ ไม่กระโตกกระตาก แบบว่าเดี๋ยวไก่ตื่นนะครับ แหะๆ
“นี่ไอ้แบงก์ มึงตั้งใจเรียนหน่อยดิว่ะ” กายหันมาพูดกับผมเบาๆ ครับ
“อือๆ...” แบบว่ามันเขินอะครับ ^//^ นั่งด้วยกันมาอาทิตย์กว่าแล้ว ยังไม่ชินเลย T^T
ผมตั้งใจเรียนไปได้ซักพัก ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในสมองอันปราดเปรื่องของผม ผมได้แต่ยิ้มครับ หึหึ ยิ้มแบบมีความสุขซะด้วย ^O^
“ยิ้มได้หื่นมากนะมึง” กายหันมากระซิบกับผมอีกครั้ง ผมหันไปมองหน้ามันแล้วก็ยิ้มแบบดูดีที่สุด ฮ่าฮ่า
“...” ผมยื่นมือข้างซ้าย (ผมนั่งด้านขวาครับ) ของผมไปจับมือข้างขวาของมัน ซึ่งตอนนั้นผมจำได้ว่ามือมันวางไว้บนหน้าขาของมันเอง ผมดึงมือมันลงไปจับใต้โต๊ะ เพื่อกันคนอื่นมองเห็น มือซ้ายจับมือขวามัน แต่หน้าผมมองไปที่กระดาน ผมแอบเหล่ไปมองมันเห็นมันหน้าแดงๆ แต่ก็ยังมองที่กระดานเหมือนกับผม ผมเลยบีบมือมันเล่น (มือประสานกันอยู่) มันก็บีบตอบ ผมรู้สึกว่าไม่อยากให้เวลาผ่านไปเลย อยากอยู่ตรงนั้นนานๆ แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยเพราะเลิกเรียนชั่วโมงนั้นแล้ว ผมกับกายต่างก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนต่างก็เขินใส่กัน เฮ้อ... มีความสุขจริงๆ โว้ย ^#^
“จับ มือกูซะมือกูชุ่มเหงื่อเลยนะมึง” แล้วหลังจากนั้นเราทั้งสองก็ต่างกันจับมือใต้โต๊ะกันแทบทุกครั้งที่มีโอกาส เรื่อยๆ มา เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดสำหรับผมทีเดียวก็ว่าได้ครับ...
ผม กับกายนั่งติดกันไปจนขึ้น ม.3 และเราก็ยังคงจับมือกันใต้โต๊ะเช่นทุกๆ ครั้ง และอีกอย่างหนึ่ง ตั้งแต่ผมนั่งติดกับกายตอน ม.2 นั้น ผมก็อาสาปั่นจักรยานไปรับไปส่งกายมาโรงเรียนและกลับบ้านทุกวัน แม้ผมจะไม่เคยบอกมันตรงๆ ว่าผมชอบมัน แต่ผมเชื่อว่ามันรู้เองได้ การกระทำต่างๆ ของผมมันบอกเป็นนัยๆ อยู่แล้ว จนมาช่วงหนึ่งของ ม.3 เทอมสอง เทอมสุดท้ายของการเรียนมัธยมต้น ผมเริ่มเรียนหนักขึ้นเพื่อทำเกรดดีๆ จึงไม่ค่อยมีเวลาไปรับไปส่งกายเหมือนเคย...
“เอาเหอะ กูเข้าใจมึง ดีซะอีก กูจะได้มีเวลาหาแฟน อยู่กับมึงแล้วเฉาเป็นบ้า”
“เออ... ระวังปากมึงไว้ดีๆ” ผมพูดไปอย่างนั้นแหละครับ ผมไม่กล้าทำอะไรมันหรอก รักซะขนาดนั้นนี่นา
หลัง จากนั้นประมาณเกือบสองเดือน จำได้ว่าเป็นกลางๆ เดือนมกราคม ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาเรียนวิชาลูกเสือ ผมกับกายก็อยู่หมู่เดียวกัน ก็นั่งทำงานไป ผมรองหัวหน้าหมู่เลยเป็นคนทำซะส่วนใหญ่ ตอนนั้นผมเห็นกายมันนั่งเหม่อๆ แต่ก็ยิ้มไปด้วย ผมเห็นแบบนั้นแล้วก็ยิ้มครับ แบบว่า ตอนที่มันดูเอ๋อๆ เนี่ยน่ารักมากๆ...
“ดู ไอ้กายดิวะ แม่ง สงสัยมันจะจีบ จัน ห้อง 3 ติดหวะ ดูมันดิ ฮ่าฮ่า” เพื่อนคนหนึ่งในหมู่ผมพูดขึ้น ผมสะอึกเลยครับ กายมันไปจีบตอนไหน ทำไมผมไม่รู้เลยหวะเนี่ย ผมมองมันด้วยสายตาของความกระจ่าง แต่มันทำท่าทางไม่สนใจผมเลย
“...” ผมยื่นกระดาษแผนงานให้เพื่อนคนอื่นทำต่อ ไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้นครับตอนนี้
“เฮ้ย... ไอ้แบงก์ มึงไม่ทำก็ไม่มีใครทำได้นะเว้ย”
“กูเบื่อ เชี่ย พวกมึงก็ทำเองดิ...” ผมพูดพลางทำตาขวางๆ ไปทางกาย
“แกเป็นอะไรหวะแบงก์ นะๆๆ ถือว่าสุดหล่อขอร้องนะ”
“ไม่ กูไม่มีอารมณ์ทำ โจทย์ข้อนี้กูไม่รู้ กูโง่ เข้าใจไหม” ผมเน้นคำว่าโง่ครับ เพราะขณะนั้นผมเชื่อแล้วว่ามีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องกายเป็นคนสุด ท้าย ความรู้สึกน้อยใจมันจุกอก ทำอะไรไม่ได้แล้วครับ ความรู้สึกมันตื้อๆ รู้สึกแต่ว่า “กูโง่อยู่คนเดียว” นั่งด้วยกันแท้ๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมรู้ว่าตัวเองคิดไปคนเดียว แต่ไม่คิดว่ามันจะทำกับผมได้ขนาดนี้
“โง่-เอี้ย-อะไรวะ ในกลุ่มนี้มึงถนัดงานด้านนี้ทีสุด”
“ก็ ถนัดคนเดียวไง โง่คนเดียว บื้ออยู่คนเดียว” ตอนนี้เพื่อนๆ เริ่มมองหน้าผมไม่ติดแล้ว มันคงรู้แล้วว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร ส่วนตัวต้นเหตุนะเหรอ นั่งก้มหน้าอยู่ตรงข้ามผมครับ
“อาจารย์ครับ ผมขออนุญาตครับ” ผมไม่ทันให้อาจารย์อนุญาตก็เดินออกจากตรงนั้นทันที ผมกลัวว่าความอ่อนแอมันจะเอ่อทะลักออกมา ผมเลี่ยงไปห้องน้ำเพื่อไปล้างคราบน้ำตา ผมไม่อยากให้ใครเห็นว่าผมอ่อนแอ
“เลิกๆๆๆ มึงเลิกร้องไห้ได้แล้ว ตลอดเวลามึงคิดเองฝ่ายเดียว มึงจะคาดหวังอะไรวะ” ผมได้แต่ร้องไห้กับล้างหน้าไป แต่ตาผมดิ แดงก่ำเลยครับ
“โธ่ เว้ย.....” ผมตะโกนพร้อมกับชกกระจก ไม่น่าเชื่อครับ กระจกไม่เป็นอะไร แต่มือผมเลือดอาบเลยครับ (กระจกแม่งไรวะทนเป็นบ้า ชกตั้งหลายที)
“มึงเป็นอะไรแบงก์...” เสียงกายดึงขึ้น
“มือ...”
“ไม่ต้องยุ่ง...” ผมพูดพลางเดินออกจากห้องน้ำ
“เดี๋ยวก่อน”
“กูบอก ไม่ต้องมายุ่ง...” ผมตะโกนออกมาพร้อมกับเหวี่ยงหมัดไปลอยๆ แต่ครับ แต่มันกลับไปวางแหมะบนแก้มใสๆ ของกายอย่างเหมาะเจาะ เป็นรอยเด่นขึ้นมาทันทีครับ พร้อมกับลงไปกองอยู่บนพื้น
“กาย...” ผมอุทานออกมา ก่อนที่จะเดินเข้าไปดูมัน...
“สงบ ลงได้ยัง...” มันพูดออกมาประโยคเดียวเท่านั้นแหละครับ ผมปล่อยโฮออกมาทันที ผมนี่มันอารมณ์ร้อนเกินไป น่าจะถามให้มันรู้เรื่องก่อน ทำให้กายมันต้องมาเจ็บตัวแบบนี้...
“เจ็บไหม” ผมถามมันพร้อมกับเอามือไปลูบแก้มมัน บริเวณที่โดนผมชก
“แค่นี้ไม่เจ็บหรอก แต่มันเจ็บตรงนี้มากกว่า” มันพูดพลางดึงมือผมลงไปที่หน้าอกของมัน
“เจ็บตรงที่มึงไม่ยอมฟังกูเลย กูเจ็บมากเลยนะ มึงไม่ฟังกูเลย” แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา
“เอ้อ... แล้วมือมึงหละ” มันพูดออกมาทั้งน้ำตา
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวไปให้อาจารย์ห้องพยาบาลทำให้”
“เช็ดน้ำตาซะ” ผมพูดพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้มัน
“งั้นเดี๋ยวกูไปขออนุญาตอาจารย์ประจำกองก่อนแล้วกัน”
“อือ...”
“รอ กูตรงนี้นะ” กายพูดก่อนที่จะวิ่งออกไป และตรงไปยังกองลูกเสือ ซึ่งตอนนี้กำลังเรียกรวมเพื่อทำกิจกรรม ซักพักกายมันก็วิ่งกลับมา พร้อมกับพาผมไปห้องพยาบาล
“ทำกันเองนะ เดี๋ยวครูไปปิดกองก่อน”
“เลือดร้อนจังนะมึงนี่ เจ็บไหมเนี่ย”
“โอ๊ย... เชี่ย กูแสบนะมึง” ก่อนที่มันจะทำแผลให้ผม และเอาผ้าก๊อตพันเอาไว้
“แล้วปากมึงหละ เป็นไง” ผมพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปแตะตรงมุมปากมัน
“โอ๊ย...” มันร้องออกมาเบาๆ
“อ้าปาก เดี๋ยวกูดูให้...” ผมพูด พร้อมกับเอานิ้วชี้ข้างที่ไม่เจ็บเข้าไปแตะแผลในปากมัน
“ไม่ใหญ่มาก แต่มึงคงกินน้ำพริกไม่ได้ไปหลายวัน 55+”
“มึง ต้องรับผิดชอบ โอ๊ย...” ผมคงจับแรงไปหน่อย ผมเลยหันไปมองหน้ามัน ตาของเราทั้งสองเลยสบกัน สงสัยมันจะมองผมนานแล้วหละ ชั่วขณะนั้นไม่รู้อะไรเข้าสิงผม ผมเอานิ้วออกจากปากมัน แล้วค่อยๆ เลื่อนหน้าเข้าไปหากาย พร้อมกับประกบปากมันทันที กายชะงักนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ผมสำรวจปากกายด้วยลิ้นอยู่นานพอควร จนกายเป็นฝ่ายผลักผมออก
“สำรวจพอยัง” มันพูด หน้ากายขณะนั้นแดงจัดเลยครับ แดงไปจนถึงหูเลยทีเดียวก็ว่าได้
“กูขอโทษ...” แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันอีกจนกระทั่งอาจารย์ประจำห้องพยาบาลกลับมา
“วันนี้ กูไปส่งมึงได้ไหม ส่วนเรื่องนั้นไม่ต้องพูดหรอก มันผ่านไปแล้ว กูไม่อยากรู้แล้ว” มันชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา เย็นวันนั้นผมจึงไปส่งมันที่บ้านอีกหนึ่งวัน วันนี้มีความสุขโว้ย จูบแรกๆๆๆๆๆๆ...
เช้า วันอันสดใสของหลายวันต่อมา ผมกับกายก็ยังคงนั่งติดกันอย่างมีความสุข เหอๆ มีแต่ไอ้เจนเท่านั้นแหล่ะครับที่แซวผม ผมก็เฉยๆ ไม่กระโตกกระตาก แบบว่าเดี๋ยวไก่ตื่นนะครับ แหะๆ
“นี่ไอ้แบงก์ มึงตั้งใจเรียนหน่อยดิว่ะ” กายหันมาพูดกับผมเบาๆ ครับ
“อือๆ...” แบบว่ามันเขินอะครับ ^//^ นั่งด้วยกันมาอาทิตย์กว่าแล้ว ยังไม่ชินเลย T^T
ผมตั้งใจเรียนไปได้ซักพัก ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในสมองอันปราดเปรื่องของผม ผมได้แต่ยิ้มครับ หึหึ ยิ้มแบบมีความสุขซะด้วย ^O^
“ยิ้มได้หื่นมากนะมึง” กายหันมากระซิบกับผมอีกครั้ง ผมหันไปมองหน้ามันแล้วก็ยิ้มแบบดูดีที่สุด ฮ่าฮ่า
“...” ผมยื่นมือข้างซ้าย (ผมนั่งด้านขวาครับ) ของผมไปจับมือข้างขวาของมัน ซึ่งตอนนั้นผมจำได้ว่ามือมันวางไว้บนหน้าขาของมันเอง ผมดึงมือมันลงไปจับใต้โต๊ะ เพื่อกันคนอื่นมองเห็น มือซ้ายจับมือขวามัน แต่หน้าผมมองไปที่กระดาน ผมแอบเหล่ไปมองมันเห็นมันหน้าแดงๆ แต่ก็ยังมองที่กระดานเหมือนกับผม ผมเลยบีบมือมันเล่น (มือประสานกันอยู่) มันก็บีบตอบ ผมรู้สึกว่าไม่อยากให้เวลาผ่านไปเลย อยากอยู่ตรงนั้นนานๆ แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยเพราะเลิกเรียนชั่วโมงนั้นแล้ว ผมกับกายต่างก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนต่างก็เขินใส่กัน เฮ้อ... มีความสุขจริงๆ โว้ย ^#^
“จับ มือกูซะมือกูชุ่มเหงื่อเลยนะมึง” แล้วหลังจากนั้นเราทั้งสองก็ต่างกันจับมือใต้โต๊ะกันแทบทุกครั้งที่มีโอกาส เรื่อยๆ มา เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดสำหรับผมทีเดียวก็ว่าได้ครับ...
ผม กับกายนั่งติดกันไปจนขึ้น ม.3 และเราก็ยังคงจับมือกันใต้โต๊ะเช่นทุกๆ ครั้ง และอีกอย่างหนึ่ง ตั้งแต่ผมนั่งติดกับกายตอน ม.2 นั้น ผมก็อาสาปั่นจักรยานไปรับไปส่งกายมาโรงเรียนและกลับบ้านทุกวัน แม้ผมจะไม่เคยบอกมันตรงๆ ว่าผมชอบมัน แต่ผมเชื่อว่ามันรู้เองได้ การกระทำต่างๆ ของผมมันบอกเป็นนัยๆ อยู่แล้ว จนมาช่วงหนึ่งของ ม.3 เทอมสอง เทอมสุดท้ายของการเรียนมัธยมต้น ผมเริ่มเรียนหนักขึ้นเพื่อทำเกรดดีๆ จึงไม่ค่อยมีเวลาไปรับไปส่งกายเหมือนเคย...
“เอาเหอะ กูเข้าใจมึง ดีซะอีก กูจะได้มีเวลาหาแฟน อยู่กับมึงแล้วเฉาเป็นบ้า”
“เออ... ระวังปากมึงไว้ดีๆ” ผมพูดไปอย่างนั้นแหละครับ ผมไม่กล้าทำอะไรมันหรอก รักซะขนาดนั้นนี่นา
หลัง จากนั้นประมาณเกือบสองเดือน จำได้ว่าเป็นกลางๆ เดือนมกราคม ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาเรียนวิชาลูกเสือ ผมกับกายก็อยู่หมู่เดียวกัน ก็นั่งทำงานไป ผมรองหัวหน้าหมู่เลยเป็นคนทำซะส่วนใหญ่ ตอนนั้นผมเห็นกายมันนั่งเหม่อๆ แต่ก็ยิ้มไปด้วย ผมเห็นแบบนั้นแล้วก็ยิ้มครับ แบบว่า ตอนที่มันดูเอ๋อๆ เนี่ยน่ารักมากๆ...
“ดู ไอ้กายดิวะ แม่ง สงสัยมันจะจีบ จัน ห้อง 3 ติดหวะ ดูมันดิ ฮ่าฮ่า” เพื่อนคนหนึ่งในหมู่ผมพูดขึ้น ผมสะอึกเลยครับ กายมันไปจีบตอนไหน ทำไมผมไม่รู้เลยหวะเนี่ย ผมมองมันด้วยสายตาของความกระจ่าง แต่มันทำท่าทางไม่สนใจผมเลย
“...” ผมยื่นกระดาษแผนงานให้เพื่อนคนอื่นทำต่อ ไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้นครับตอนนี้
“เฮ้ย... ไอ้แบงก์ มึงไม่ทำก็ไม่มีใครทำได้นะเว้ย”
“กูเบื่อ เชี่ย พวกมึงก็ทำเองดิ...” ผมพูดพลางทำตาขวางๆ ไปทางกาย
“แกเป็นอะไรหวะแบงก์ นะๆๆ ถือว่าสุดหล่อขอร้องนะ”
“ไม่ กูไม่มีอารมณ์ทำ โจทย์ข้อนี้กูไม่รู้ กูโง่ เข้าใจไหม” ผมเน้นคำว่าโง่ครับ เพราะขณะนั้นผมเชื่อแล้วว่ามีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องกายเป็นคนสุด ท้าย ความรู้สึกน้อยใจมันจุกอก ทำอะไรไม่ได้แล้วครับ ความรู้สึกมันตื้อๆ รู้สึกแต่ว่า “กูโง่อยู่คนเดียว” นั่งด้วยกันแท้ๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมรู้ว่าตัวเองคิดไปคนเดียว แต่ไม่คิดว่ามันจะทำกับผมได้ขนาดนี้
“โง่-เอี้ย-อะไรวะ ในกลุ่มนี้มึงถนัดงานด้านนี้ทีสุด”
“ก็ ถนัดคนเดียวไง โง่คนเดียว บื้ออยู่คนเดียว” ตอนนี้เพื่อนๆ เริ่มมองหน้าผมไม่ติดแล้ว มันคงรู้แล้วว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร ส่วนตัวต้นเหตุนะเหรอ นั่งก้มหน้าอยู่ตรงข้ามผมครับ
“อาจารย์ครับ ผมขออนุญาตครับ” ผมไม่ทันให้อาจารย์อนุญาตก็เดินออกจากตรงนั้นทันที ผมกลัวว่าความอ่อนแอมันจะเอ่อทะลักออกมา ผมเลี่ยงไปห้องน้ำเพื่อไปล้างคราบน้ำตา ผมไม่อยากให้ใครเห็นว่าผมอ่อนแอ
“เลิกๆๆๆ มึงเลิกร้องไห้ได้แล้ว ตลอดเวลามึงคิดเองฝ่ายเดียว มึงจะคาดหวังอะไรวะ” ผมได้แต่ร้องไห้กับล้างหน้าไป แต่ตาผมดิ แดงก่ำเลยครับ
“โธ่ เว้ย.....” ผมตะโกนพร้อมกับชกกระจก ไม่น่าเชื่อครับ กระจกไม่เป็นอะไร แต่มือผมเลือดอาบเลยครับ (กระจกแม่งไรวะทนเป็นบ้า ชกตั้งหลายที)
“มึงเป็นอะไรแบงก์...” เสียงกายดึงขึ้น
“มือ...”
“ไม่ต้องยุ่ง...” ผมพูดพลางเดินออกจากห้องน้ำ
“เดี๋ยวก่อน”
“กูบอก ไม่ต้องมายุ่ง...” ผมตะโกนออกมาพร้อมกับเหวี่ยงหมัดไปลอยๆ แต่ครับ แต่มันกลับไปวางแหมะบนแก้มใสๆ ของกายอย่างเหมาะเจาะ เป็นรอยเด่นขึ้นมาทันทีครับ พร้อมกับลงไปกองอยู่บนพื้น
“กาย...” ผมอุทานออกมา ก่อนที่จะเดินเข้าไปดูมัน...
“สงบ ลงได้ยัง...” มันพูดออกมาประโยคเดียวเท่านั้นแหละครับ ผมปล่อยโฮออกมาทันที ผมนี่มันอารมณ์ร้อนเกินไป น่าจะถามให้มันรู้เรื่องก่อน ทำให้กายมันต้องมาเจ็บตัวแบบนี้...
“เจ็บไหม” ผมถามมันพร้อมกับเอามือไปลูบแก้มมัน บริเวณที่โดนผมชก
“แค่นี้ไม่เจ็บหรอก แต่มันเจ็บตรงนี้มากกว่า” มันพูดพลางดึงมือผมลงไปที่หน้าอกของมัน
“เจ็บตรงที่มึงไม่ยอมฟังกูเลย กูเจ็บมากเลยนะ มึงไม่ฟังกูเลย” แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา
“เอ้อ... แล้วมือมึงหละ” มันพูดออกมาทั้งน้ำตา
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวไปให้อาจารย์ห้องพยาบาลทำให้”
“เช็ดน้ำตาซะ” ผมพูดพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้มัน
“งั้นเดี๋ยวกูไปขออนุญาตอาจารย์ประจำกองก่อนแล้วกัน”
“อือ...”
“รอ กูตรงนี้นะ” กายพูดก่อนที่จะวิ่งออกไป และตรงไปยังกองลูกเสือ ซึ่งตอนนี้กำลังเรียกรวมเพื่อทำกิจกรรม ซักพักกายมันก็วิ่งกลับมา พร้อมกับพาผมไปห้องพยาบาล
“ทำกันเองนะ เดี๋ยวครูไปปิดกองก่อน”
“เลือดร้อนจังนะมึงนี่ เจ็บไหมเนี่ย”
“โอ๊ย... เชี่ย กูแสบนะมึง” ก่อนที่มันจะทำแผลให้ผม และเอาผ้าก๊อตพันเอาไว้
“แล้วปากมึงหละ เป็นไง” ผมพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปแตะตรงมุมปากมัน
“โอ๊ย...” มันร้องออกมาเบาๆ
“อ้าปาก เดี๋ยวกูดูให้...” ผมพูด พร้อมกับเอานิ้วชี้ข้างที่ไม่เจ็บเข้าไปแตะแผลในปากมัน
“ไม่ใหญ่มาก แต่มึงคงกินน้ำพริกไม่ได้ไปหลายวัน 55+”
“มึง ต้องรับผิดชอบ โอ๊ย...” ผมคงจับแรงไปหน่อย ผมเลยหันไปมองหน้ามัน ตาของเราทั้งสองเลยสบกัน สงสัยมันจะมองผมนานแล้วหละ ชั่วขณะนั้นไม่รู้อะไรเข้าสิงผม ผมเอานิ้วออกจากปากมัน แล้วค่อยๆ เลื่อนหน้าเข้าไปหากาย พร้อมกับประกบปากมันทันที กายชะงักนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ผมสำรวจปากกายด้วยลิ้นอยู่นานพอควร จนกายเป็นฝ่ายผลักผมออก
“สำรวจพอยัง” มันพูด หน้ากายขณะนั้นแดงจัดเลยครับ แดงไปจนถึงหูเลยทีเดียวก็ว่าได้
“กูขอโทษ...” แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันอีกจนกระทั่งอาจารย์ประจำห้องพยาบาลกลับมา
“วันนี้ กูไปส่งมึงได้ไหม ส่วนเรื่องนั้นไม่ต้องพูดหรอก มันผ่านไปแล้ว กูไม่อยากรู้แล้ว” มันชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา เย็นวันนั้นผมจึงไปส่งมันที่บ้านอีกหนึ่งวัน วันนี้มีความสุขโว้ย จูบแรกๆๆๆๆๆๆ... จบเรื่องมั้ยอ่ะคับ
หรือว่ามีต่อเรื่อยๆ ขอบคุนคราบ ดีมากมายคราบ ขอขอบคุณมากๆนะครับผม ขอบคุนค้าบ ขอบคุณมากคับ... ขอบคุณครับ ขอบคุณนะคับ เยี่ยมที่สุดเลยคับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับผม " If i could have only one thing in this world."
" It is heppiness."
"And that happiness is you." ขอบคุณ
ครับ ขอบคุณครับบบบบบบ^^ ขอบคุณครับ ^^ขอบคุณครับบบบ ขอบคุณที่แบ่งปัน นะน ะ ขอบคุณที่แต่งให่อ่านนะครับ!!! {:5_135:} เอามาลงอีกนะ
หน้า:
[1]
2