เราสองคนกินข้าวด้วยกันแล้วคุยเรื่องเรียนและเรื่องงานที่อาจารย์สั่งนกน้อยดูดน้ำที่พนักงานยกมาให้แล้วก็กางการบ้านออกผมมองหน้าจอแล้วก็พยักหน้าไปตามที่นกน้อยพูด เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าเราถึงแยกย้ายกัน “เจอกันพรุ่งนี้นะ” นกน้อยโบกมือ “กลับบ้านดีๆนะ” “แล้วตานจะไปไหนต่อ?” “เอาของไปส่งเอารอยยิ้มไปฝาก” “ไวไฟซะไม่มี” นกน้อยทำหน้างอและจมูกย่น “นกน้อย!!!” ผมอ้าปากเหวอแล้วทำตาโต “ก็มันจริงนี่นาทีพี่มิทไม่เห็นตานทำแบบนี้เลย” “เหอะน่า” ผมได้น้ำหอมขวดที่สามมา คนขายห่อของขวัญให้ผมเลือกกระดาษลายนกตัวอ้วนๆ ที่กำลังร้องเพลง มันดูน่ารักสดใสดี ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้ยังไม่ถึงบ่ายสามมีเวลาอีกมากมายก่อนกลับบ้านผมจะเป็นเมลแมนเอาของไปส่งที่บ้านคุณเวณวัฒน์ด้วยตัวเอง ผมกดโทรศัพท์หาเจ้าของบ้านดงไม้ครั้งนี้คงไม่เหมือนครั้งก่อนที่หาประตูบ้านไม่เจอ “ขอสายคุณเวณวัฒน์ทิชากรครับ” ผมแกล้งพูดลงไปในสายจริงๆ บ้านหลังนี้มีคนอยู่แค่คนเดียว “พูดอยู่ครับ” “เดี๋ยวจะมีบุรุษไปรษณีย์เอาของไปส่งช่วยเปิดประตูรับด้วยนะครับ” “ได้ครับ” เสียงเขาตอบกลับมา “แค่นี้นะครับ” “ครับ” เสียงที่ผมคุ้นเคยดังกลับมาเป็นเสียงที่เพราะมากกว่าเสียงใครๆ ผมนั่งรถใต้ดินเข้ามาถึงสถานีที่ใกล้บ้านเขามากที่สุดจากนั้นก็เดินเท้าไปอีกประมาณห้าร้อยเมตร หมาแมวแถวนั้นมันจำผมได้หมดแล้ววันนี้เจ้าบูลเทอเรียหน้าด่างมันแกว่งหางเข้ามาทักทายผมด้วยผมยิ้มให้มันแล้วเดินเข้าไปจนสุดซอย ประตูไม้สีน้ำตาลตั้งเด่นอยู่ตรงหน้าผมเดินเข้าไปผลักมันออกเบาๆ ประตูเปิดรับผมแล้วก็ปิดเองผมยืนมองเจ้าด่างจากด้านในของประตูบ้าน มันแกว่งหางแล้วก็ดมไปมาแถวประตูซักพักก็เดินกลับออกไป ตอนนี้ประตูคงมองจากข้างนอกไม่เห็นแล้ว ยังไม่ทันที่ผมจะเดินเข้ามาถึงดงไม้ครึ้มอีกาตัวใหญ่ก็บินโผเข้ามาเกาะ มันจิกหูผมเบาๆผมล้วงเข้าไปเอาเมล็ดข้าวโพดออกมาให้มัน ผมวางเมล็ดข้าวโพดไว้ในบ้านนกต้องเขย่งตัวขึ้นไปหน่อย อีการ้องดีใจ มันกระโดดขึ้นแล้วก็บินไปบนบ้านไม้ของมัน บ้านของคุณเวณวัฒน์ไม่มีตัวล็อกประตูมีแต่กระจกหนาๆ ที่ต้องใช้มือผลักเข้าไป ผมเดินเข้าไปในบ้านแล้วก็ไปนั่งรอที่โซฟา คุณเวณวัฒน์เดินออกมาจากห้องครัวในมือเขามีแก้วที่มีน้ำสีส้มจัดมาด้วย มันเหมือนมีแสงตะวันสดๆ อยู่ในนั้น “อะไรครับ?” “ผลไม้ของหิมพานต์” “ทำไมมันเรืองแสงขนาดนี้ล่ะครับ?” “ลองชิมสิทำให้ร่างกายปลอดโปร่ง” คุณเวณวัฒน์ยื่นแก้วมาให้ผม เมื่อน้ำเย็นๆไหลผ่านเข้าไปในท้องมันทำให้ผมเย็นวาบและรู้สึกถึงความสดชื่น ความร้อนจากการเดินทาง เรื่องเครียดต่างๆหายไปจนหมด ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนคนหลับไปแล้วตื่นนอนใหม่ไม่มีอาการเพลียอยู่เลย “มีในตู้เย็นเหรอครับ?” ผมถามหลังจากดื่มมันจนหมดผลไม้ปั่นนี้อร่อยจริงๆ น้ำปั่นแพงๆในห้างสู้ไม่ได้เลย “ผมไปเก็บมาเมื่อคืน” “ไปเก็บมา...เมื่อคืน?” ผมทวนด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความอัศจรรย์ใจ“ไปหิมพานต์น่ะเหรอครับ?” คุณเวณวัฒน์พยักหน้าช้าๆ “อยากไปบ้างจัง” ผมยิ้มเขายื่นนิ้วมาเช็ดเกล็ดที่มาจากเนื้อผลไม้ตรงปากผมออกเบาๆ “ถ้ามีจิตแข็งกว่านี้ก็ไปได้” เขายิ้ม “ตอนนี้ผมจิตยังอ่อนเหรอครับ?” “ไม่ใช่แต่จิตยังไม่มั่นคงพอ เวลาเจอเรื่องเหนือธรรมชาติแล้วจะตกใจ” “อะไรบ้างล่ะครับที่ว่าเหนือธรรมชาติ?” “กินนรกินรี คนธรรพ์ วิทยาธร ยักษ์ อสูรหิมพานต์ต่างๆ” “ผมอยากเจอคุณกินรี” ผมยิ้มร่า “ทำไม?” เขาทำท่าสนใจ “เขาสวยดี” “สวยแต่รูป” เขายิ้ม “อ้าวทำไมล่ะ” “ทุกอย่างในหิมพานต์ล้วนเหมือนเมืองมนุษย์ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งกว่า” “แล้วเชิงเขาสิเนรุมีเทวดามั้ยครับ?” ผมชอบจริงๆเวลาเขาเล่าเรื่องบนสวรรค์ให้ฟัง “มีแต่เป็นเทวดาบารมีน้อย เป็นรุกขเทวดาบ้าง เป็นพระภูมิเป็นเทวดาที่ทำหน้าที่เฝ้าสิ่งของ” “แล้วเทวดาบารมีมากๆเขาไปอยู่ที่ไหนกันล่ะครับ?” “อยู่บนชั้นดาวดึงส์อยู่สูงกว่าเชิงเขาขึ้นไปอีกไกล”เขาพูด “ทำไมครุฑไม่ไปอยู่บนดาวดึงส์บ้างล่ะครับครุฑมีอำนาจมากกว่าเทวดาบนดาวดึงส์ซะอีก?” ผมซักต่อ “ครุฑเป็นสัตว์ไม่ใช่เทพบุตร” เขายิ้มแล้วลูบหัวผมไปมา“คุณเป็นเทพบุตรผมเป็นสัตว์ เราสองคนอยู่คนละชั้นกัน” “เป็นสัตว์ครึ่งเดียวเองแถมยังเป็นอมตะ ไม่เจ็บป่วย ไม่แก่ ไม่ตาย มีฤทธิ์มาก” ผมพูดยาว “จะได้ประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรัก” เขาต่อจนจบ ผมจับมือเขาที่ค้างอยู่บนหัวของผมมือของเขาใหญ่และอุ่น ผมประสานมือเล็กกว่าของผมเข้ากับมือของเขามันให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด “เราจะไม่จากกันไปไหนอีกเราจะจำกันไปในทุกชาติ” ผมพูดออกมาเองเหมือนมีการบันทึกประโยคพวกนี้เอาไว้ในสมอง “ความทรงจำเริ่มกลับมาแล้ว” เขายิ้ม “อ้อเกือบลืมผมเอาของมาฝาก” ผมเปิดกระเป๋าแล้วหยิบกล่องของขวัญออกมายื่นให้เขาคุณเวณวัฒน์มองดูลายนกน้อยบนกล่อง เขาดูไม่เหมือนคนตาบอดเลยซักนิดผมต้องทดสอบเขาตอนเผลอ ดูว่าเขาจะพลาดหรือเปล่า “ลายน่ารักมั้ยครับผมเลือกเองเลยนะ” “ผมมองไม่เห็น” เขาตอบเป็นอย่างที่ผมคาดไว้ เขาไม่พลาด “เป็นลายนกน้อยร้องเพลงแต่ปีกมันเล็กมาก เล็กมากๆจนบินไม่ขึ้น” “นกกีวี?” เขาถาม “ไม่ใช่กีวีครับนกอะไรไม่รู้” “อธิบายมาให้ผมฟังสิ” “โถ่มันเป็นนกการ์ตูน ถึงคุณรู้จักนกทุกชนิดแต่ก็ไม่รู้หรอกว่านกตัวนี้คือนกอะไรคนทำเขาไม่ได้กำหนดว่ามันเป็นนกสายพันธุ์ไหน” ผมช่วยเขาแกะน้ำหอมออกมาจนเสร็จคุณเวณวัฒน์ยกขึ้นดมดูทันที เขาคงได้กลิ่นทันทีที่เปิดกล่อง “น้ำหอมครับ” “ทำไมคิดว่าผมเหมาะกับกลิ่นนี้?” ก็คุณดูอบอุ่น...อธิบายไม่ถูกแต่ได้กลิ่นแล้วใช่ ชอบมั้ยครับ” “ผมชอบทุกอย่างที่คุณทำให้ชอบทุกอย่างที่คุณหาให้” เขาตอบด้วยเสียงนุ่มๆเช่นเคยผมฉีดน้ำหอมที่ต้นคอของเขาหนึ่งครั้ง “ได้กลิ่นแล้วอยากเอาหน้าเข้าไปซุก” ผมพูดเบาๆพอให้ตัวเองได้ยิน “คุณเวณวัฒน์” ผมเรียกเขาเบาๆเขาหันมามองผมทันที “ถ้าผมโตกว่านี้พาผมไปเที่ยวหิมพานต์หน่อยได้มั้ย”ผมถาม “คงไม่ดี” “อ้าว” ผมอ้าปากค้าง “เดี๋ยวพวกนั้นได้กลิ่นคุณแล้วจะเข้ามาตอม” เขาตอบ “โถ่ตอมมันใช้กับไอ้นั่น” ผมถอนหาย “อะไร?” “ของเสีย” ผมหัวเราะ “เครื่องหอมก็มีผึ้งมาตอมคราวที่คุณเป็นเทพบุตร ผมต้องอยู่ใกล้ๆคุณ เพราะคนธรรพ์ชอบมาอยู่ใกล้ๆเทพบุตรกลิ่นตัวคุณมันผิดไปจากเทวดาชั้นล่างที่เชิงเขา” “แล้วคนธรรพ์บินฉกเทพบุตรไปได้มั้ยครับ?” “ไม่ได้บารมีไม่ถึง” “นี่เหรอที่เรียกว่าตอมถ้าเป็นเมืองมนุษย์เขาเรียกว่าซุ่ม”ผมยิ้ม เรื่องเล่าของคุณเวณวัฒน์น่าตื่นเต้นเสมอแต่หลังจากฟังเรื่องสนุกๆ อยู่ดีๆ ผมก็มีความรู้สึกอยากทำอะไรให้คนอื่น “ผม...อยากทำบุญแต่ไม่รู้ว่าอยากทำให้ใคร”ผมพูดกับเขา “การทำบุญบางทีก็ไม่ต้องจำกัดปลายทาง”เขาจับตัวผมให้เอนหลังไปกับโซฟาคุณเวณวัฒน์ใช้ฝ่ามืออุ่นๆแตะหน้าผากผมเบาๆ ภาพงูตัวนั้นนอนหนาวสั่น เป็นภาพที่น่าสงสารเขาไม่มีหาง มีแค่หัวกับลำตัวตอนกลาง น้ำตาผมไหลออกมาเอง ผมรู้สึกสงสารคุณเมธ “จิตยังไม่แข็งต่อไปต้องฝึกจิตให้มีกำแพงกั้น ไม่งั้นคนไม่หวังดีจะทำร้ายเอาได้” “แต่คุณเมธกำลังลำบาก” ผมลืมตาขึ้นมาทันทีที่ภาพเลือนหายไป “คุณต้องทำบุญให้เขา” เราสองคนออกมาจากบ้านวันนี้คุณเวณวัฒน์จะไปที่วัดกับผมด้วย ผมมองดูนกหลายๆสีบินเข้ามารุมล้อมเขามันเป็นภาพที่น่าประทับใจจริงๆ บางตัวก็บินมาจับที่ไหล่ของผม เป็นนกสีสันสดใสมีครบเกือบทุกสีในสายรุ้ง “ผมอยากเลี้ยงนกบ้างอยากมีสวนนกเหมือนที่นี่”ผมเปรยออกมา เหมือนผมพูดกับตัวเองมากกว่านกพวกนี้ทำให้ผมเคลิ้มไป “ที่นี่ก็คือบ้านคุณ” เขายิ้ม “แต่ตอนนี้ผมไม่ได้มาที่นี่ทุกวันถ้าผมมาทุกวันคงมีความสุขมาก ผมเห็นนกแล้วก็เหมือนเห็นคุณ ที่บ้านผมก็มีนกแต่เป็นนกสีน้ำตาล มันบินมากินน้ำในอ่างแล้วก็บินไป ไม่บินมาให้เล่นเหมือนนกพวกนี้” คุณเวณวัฒน์พยักหน้าเหมือนเข้าใจที่ผมพูดเขาก้มลงไปดูในดงไม้แล้วก็หยิบเอาก้อนแดงๆ มาให้ผม มันเหมือนถั่วแดงเม็ดใหญ่ๆ ขนาดประมาณลูกปิงปองแต่มันแบน ลักษณะมันเหมือนถั่วแดงยักษ์ไม่มีผิด “นี่มันถั่วนี่ครับไม่ใช่นก” “เอานี่ไปปลูกลงดินแล้วก็รดน้ำ” เขาตอบ “แล้วนกก็งอกขึ้นมาเหรอครับ?” ผมทำตาโตชักอยากเห็นนกงอกขึ้นมาจริงๆ ตอนนี้เลย คุณเวณวัฒน์ไม่ได้ตอบผมเขาอมยิ้มแล้วก็เดินนำผมออกมาจากบ้าน กลิ่นน้ำหอมที่ผมฉีดส่งกลิ่นตามลมมามันเป็นกลิ่นที่เหมาะกับเขาจริงๆ เขาเปิดประตูบ้าน เราสองคนเดินออกมาจากประตูไม้บานใหญ่ผมมองประตูได้ครู่เดียว อยู่ๆ มันก็หายไปในอากาศ “คราวหน้าถ้าคุณมาก็เดินเข้ามาได้เลยประตูมันจะออกมาให้คุณเห็นเอง”เขาบอก “ตั้งระบบอัตโนมัติไว้แล้วเหรอครับทันสมัยจริง” ผมพยักหน้า เราสองคนเดินออกมาจากซอย ผมจับมือเขาไว้ ทำหน้าที่เป็นตาแทนเขาช่วงที่เราเดินผ่านบ้านคน หมากับแมวมันแกว่งหางรับแต่ไม่กล้าเข้ามาใกล้ แมวมันร้องครางแล้วก็ลงนอนบิดตัวไปมาบนพื้นส่วนหมาก็แกว่งหางเหมือนดีใจแต่ไม่ได้เดินเข้ามาใกล้ เจ้าของบ้านเดินออกมาหน้าบ้าน ผมตั้งใจจะทักแต่ได้ยินเสียงเขาพูดขึ้นมาซะก่อน “เป็นอะไรกันลูกกระดิกหางเหมือนมีคนเดินผ่าน”เจ้าของบ้านที่เป็นผู้หญิงในชุดเสื้อชมพูพูดขึ้นมาผมเห็นเขาชะเง้อคอมองดูบนถนน “ไม่เห็นมีใครเลย” ผู้หญิงในชุดชมพูพูดต่อผมรู้สึกว่าเธอมองไม่เห็นผมกับคุณเวณวัฒน์ “เหมือนมนุษย์ล่องหนเลย” ผมครางเบาๆด้วยความทึ่ง เราสองคนนั่งรถไฟใต้ดินมาจนถึงสถานีใกล้ๆ วัด ผมซื้อเครื่องสังฆทานกับยาในชุดปฐมพยาบาลมาสองชุดส่วนคุณเวณวัฒน์ซื้อผ้าอาบน้ำฝนกับหนังสือหลายเล่ม เราสองคนจ่ายเงินจากโทรศัพท์ที่แตะกับตัวสแกน สถานที่ที่เราเดินเข้ามาเป็นวัดที่ผมคุ้นเคยเพราะอยู่ใกล้กับที่ทำงานของแม่โชคดีของเราที่วันนี้หลวงตาว่างจากการทำวัตรเย็นพอดี “อ้าวโยมหายไปนานเลย” หลวงตาทักผมยกมือไหว้หลวงตาแล้ววางถังสังฆทานลงไปข้างหน้าหลวงตานั่งอยู่บนที่นั่งไม้ใต้ร่มจิก “เปิดเทอมแล้วครับหลวงตาเลยไม่ได้มาหาแม่นี่คุณเวณวัฒน์ครับ มาทำบุญด้วย”ผมแนะนำคุณเวณวัฒน์หลวงตาหรี่ตามองดูคุณเวณวัฒน์แล้วก็โยกหน้าไปมาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “เกิดมาเจ็ดสิบกว่าปีบวชมาก็หกสิบพรรษา เพิ่งมีโอกาสเจอตัวจริงครั้งแรก” “นมัสการ” คุณเวณวัฒน์พูดแล้วยื่นผ้าอาบน้ำให้หลวงตาหลวงตารับของแล้วก็ให้พร จากนั้นก็มองเราสองคน “ดีแล้วบุญจะได้เสมอกัน เดินไปไหนด้วยกัน ไม่ต้องแยกจากกัน” “ถ้าทำบุญเสมอกันจะได้ไปภพภูมิเดียวกันใช่มั้ยครับหลวงตา” ผมถาม “ต้องมีบุญบารมีเสมอกันทำบุญเสมอกัน บวกกันแล้วเท่ากันถึงจะไปที่ที่เดียวกัน” หลวงตาตอบ “ก็เหมือนเงินฝากในธนาคารแต่ว่าผมจะรู้ได้ยังไงครับ ว่าของเก่ามีเท่าไหร่ ของใหม่ทำไปเท่าไหร่แบบนี้ถ้าผมทำบุญเกินหน้าเขาไปจะทำไงล่ะครับหลวงตา” “อธิบายยากเอาเป็นว่า ถ้าปรารถนาไปที่เดียวกัน หากทำบุญด้วยกัน เสมอกันบุญเก่าใกล้กันก็ได้ไปที่เดียวกัน” “ถ้าทำบุญเกินล่ะครับจะเลยไปถึงชั้นดุสิตหรือเปล่า คือผมไม่อยากไปครับ” ผมถาม หลวงตาส่ายหัวแล้วหัวเราะ “ต้องบำเพ็ญบุญบารมีมาหลายชาติถึงจะไปชั้นดุสิตได้พวกเทพบุตรเทพธิดาบารมีน้อยๆไปชั้นดาวดึงส์ก็พอแล้ว” “ยากจริงพอทำน้อยก็ไปตกอยู่ชั้นจาตุฯ”ผมพูดอ้อมแอ้มเบาๆ พอให้ได้ยินคนเดียวแต่หลวงตาประสาทไวจนฟังผมรู้เรื่อง “จะไปชั้นจาตุฯต้องเป็นพวกพิเศษเป็นกึ่งสัตว์กึ่งภูติหรือมีบุญเอื้อให้ไปอยู่ที่นั่นส่วนโยมมีผู้ใหญ่บนชั้นดาวดึงส์อุปการะอยู่ไม่ใช่หรือ?” “ไม่รู้สิครับยังนึกไม่ออก” ผมยิ้ม “ว่างๆก็มานั่งเจริญสมาธิกับหลวงตาสิไปนั่งในสวนเงียบๆ ศีลมาสมาธิพร้อมปัญญาก็เกิด ภาพกาลเก่าผุดขึ้นมาเหมือนภาพในโทรทัศน์ย่อได้ ขยายได้ เลื่อนไปมาบังคับเร็วช้าได้ตามใจเรา” “โอ้โห” ผมร้อง “ขัดข้องหรือเปล่าโยม?” ประโยคหลังนี้หลวงตาหันไปถามคุณเวณวัฒน์เขาส่ายหัวกลับมาแล้วนั่งฟังนิ่งๆ “ว่าแต่โยมจะแตกดับได้อย่างมนุษย์หรือสภาพโยมมันเป็นอมตะ” “พอดีมีมณีสีน้ำเงินติดตัวเขามาจากครั้งก่อนครับ” คุณเวณวัฒน์ตอบ “แล้วรู้วิธีใช้มันแล้วหรือ?” หลวงตาถามต่อผมประสานมือไว้กับตักแล้วนั่งฟังหลวงตากับคุณเวณวัฒน์คุยกัน “ก็พอศึกษามาบ้างแต่ยังไม่เคยลองจริงๆ เพราะมณีมีอยู่ชิ้นเดียว” หลวงตาฟังตามนั้นก็พยักหน้า “อ้าวลูกลิงมาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”เสียงคุ้นๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลังแม่ผมเดินมากับป้าแป๊ด ตอนนี้เป็นช่วงโพล้เพล้แล้ว “ก็มารอแม่จ๋าน่ะสิวันนี้เห็นบอกว่าจะมาหาหลวงตา”ผมหันไปยิ้มให้แม่แม่หรี่ตามองคุณเวณวัฒน์ผ่านความมืดสลัว “แม่ผมเองครับ” ผมหันไปพูดกับคุณเวณวัฒน์ทันทีที่เขาลุกขึ้นยืน ไฟใต้ต้นไม้ก็สว่างขึ้น ความมืดสลัวหายไป แม่ผมย่อตัวลงแล้วยกมือไหว้คุณเวณวัฒน์เหมือนเด็กไหว้ผู้ใหญ่หลวงตาไม่แปลกใจอะไรนัก ตอนนี้คนที่ทำหน้างุนงงมากที่สุดคือป้าแป๊ดป้าแป๊ดหันมองแม่กับคุณเวณวัฒน์สลับกัน “เคยเจอกันมาก่อนหรือโยม?” หลวงตาทักแม่ “เอ๊ะ” แม่ผมร้องตกใจมือแม่ยังค้างอยู่บนหน้าอก คุณเวณวัฒน์พยักหน้าให้แม่ผมแทนการรับไหว้ “เคยเจอกันตอนผมยังไม่เกิดครับหลวงตา” ผมตอบแทนแม่ “ใครกันนะตาน” แม่ผมถามอีกครั้ง “คุณเวณวัฒน์ทิชากรครับ ที่ตานเคยเล่าให้แม่จ๋าฟังไง” แม่ผมนิ่งไปแล้วก็พยักหน้า “เป็นนักดนตรีใช่มั้ยคะ?” แม่ผมถาม “สมัครเล่นครับ” “แล้วงานหลักล่ะคะทำงานอะไรอยู่?” “หลายอย่างครับบรรยายไม่หมด” แม่ผมทำหน้าสงสัยแต่ก็ไม่ได้ซักถามต่อแม่ประเคนของให้หลวงตาแล้วก็ขอตัวกลับ คุณเวณวัฒน์พูดกับผมเบาๆว่า “งั้นเราก็แยกกันตรงนี้” “ทำไมต้องพูดว่าแยกกันด้วยล่ะครับความหมายไม่ดีเลย” “งั้นเรา...” เขานิ่งไปเหมือนคิดหาคำพูด“งั้นค่อยเจอกันใหม่พรุ่งนี้” “ตกลงครับ” ผมยิ้มแล้วแกว่งแขนเขาไปมาผมรู้สึกว่าวันนี้อารมณ์แจ่มใสมากกว่าทุกวัน ผมกับแม่แยกกับป้าแป๊ดและคุณเวณวัฒน์ที่หน้าวัด ตลอดทางที่เรานั่งรถไฟกลับบ้าน แม่ก็ซักผมตลอด “อะไรกันห๊ะเซี้ยวจริง ไปจับมือถือแขนผู้ชายในวัด” แม่ผมพูด “จับแขนผู้ชายแปลกตรงไหนจับแขนผู้หญิงในวัดสิแปลก”ผมตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มละมุนละไม “เอาใหญ่แล้วนะถ้าพ่อจ๋ารู้เข้าจะทำไงเนี่ย” “ก็ช่างพ่อจ๋าสิแม่จ๋าไม่ว่าอะไรก็พอ” ผมขมุบขมิบปากทำเป็นไม่สนใจ “ถ้าพ่อจ๋าเห็นต้องเอ็ดแน่พ่อจ๋ากลัวเขาจะมาหลอกเราน่ะรู้มั้ย?” “โถ่แม่จ๋าบ้านเขาหลังใหญ่กว่าบ้านเราอีก เงินเขาก็มีเยอะแยะ ใช้ไปทั้งชาติก็ไม่หมดเขาไม่ได้มาหลอกลูกของแม่หรอกน่า” “เอาอะไรมาพูดตาก็บอด หลังก็งอเหมือนกุ้ง จะเอาเวลาที่ไหนไปทำมาหากินแล้วเห็นว่าเป็นนักดนตรีไม่ใช่เหรอ จะเอาเงินที่ไหนมาเต็มบ้าน” “เขาเล่นเพื่อการกุศลน่ะแม่เงินเขามีเยอะแยะไป เพชรพลอยเต็มบ้าน บ้านสูงสิบชั้น สูงลิบเท่าต้นไม้เลย” ผมยกมือขึ้นบรรยายความสูงของบ้านคุณเวณวัฒน์ “แล้วเขาไม่ได้ตาบอดหลังค่อมนะแม่จ๋า” ผมพูดต่อ “ก็เห็นอยู่ว่าตาบอดหลังก็เป็นกุ้ง” “แม่จำตอนที่นางรจนาเสี่ยงพวงมาลัยได้มั้ย?” ผมถามแม่ “จำได้ถามทำไมฮึ?” “ก็นางรจนาเห็นตัวจริงของเงาะน่ะสิผมก็เห็นตัวจริงของเขา ตัวจริงเขาหล่อจะตาย รูปหล่อกว่าพี่เงาะของรจนาอีก” “เพ้อเจ้อ” แม่ผมยีหัวผมเล่น “แม่น่ะไม่มีตาวิเศษ เมื่อกี้ก็ไม่ถามหลวงตาล่ะว่าร่างจริงเขาเป็นอะไร” “เป็นอะไร?” “ไม่บอกเอาเป็นว่า เขาไม่ได้มาหลอกตานละกัน เขาเป็นคนดี เราสองคนรักกัน” “ตายๆแก่แดดใหญ่แล้วลูกฉัน ไปบอกตกลงเป็นแฟนกันง่ายๆได้ยังไง เดี๋ยวรูดกิ่งมะยมฟาดเลยคอยดู” “หืมเขารักกันมานานแล้วเหอะแม่จ๋า” “กี่วันกี่เดือนเชียว” แม่ผมส่ายหัว “นานมากนานก่อนแม่เกิด นานก่อนยายเกิด นานจนจำไม่ได้ เรารักกันมานานมากแล้ว” “เพ้อเจ้อ” แม่ย่นจมูก “ไม่เชื่อก็ไปถามหลวงตาแม่จ๋านี่นิสัยเป็นเด็ก พูดยากๆ”ผมส่ายหัวบ้าง เราสองแม่ลูกกลับมาถึงบ้าน พ่อผมยังมาไม่ถึงตอนแม่โทรไป พ่อยังอยู่ที่คลินิก วันนี้คนไข้เยอะจนขยายเวลาไปถึงสี่ทุ่ม ม่บอกว่าจะเข้าไปทำกับข้าวผมยืนนิ่งอยู่กับที่แล้วพูดขึ้นมา “ขอเวลาซักครู่นะครับคนสวยเดี๋ยวลูกชายไปปลูกต้นไม้ก่อน”ผมล้วงๆควักๆเมล็ดถั่วยักษ์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นเมล็ดถั่วที่คุณเวณวัฒน์ให้มาเมื่อตอนเย็น “มาปลูกต้นไม้อะไรตอนนี้?” “เอาน่าแม่จ๋าไปหุงข้าวเลย เดี๋ยวตานเข้าไปช่วยทำกับข้าว” ผมออกแรงดันแม่เข้าไปในบ้านพร้อมๆกับที่เจ้าเงินร้องเงี้ยวๆออกมาจากช่องใต้ประตู “ให้ปลาทูเจ้าเงินด้วยนะแม่จ๋า” ผมพูดไล่หลังแม่แล้วก็เดินหาที่เหมาะๆผมเลือกได้ที่ว่างหลังบ้าน เมื่อหมายตาที่ว่างได้แล้วผมก็เอาพลั่วเล็กๆมาขุดดินออก ดินบ้านผมสีดำดีเพราะพ่อซื้อมาเทไว้ปลูกหญ้าญี่ปุ่นก่อนหน้าเมื่อขุดไปลึกประมาณนึงมันจะเป็นชั้นดินเหนียว ผมจูบเมล็ดถั่วยักษ์ลงไปเบาๆ จากนั้นก็หย่อนลงไปในหลุมอย่างเบามือผมใช้พลั่วมือกลบดินจากนั้นก็รดน้ำด้วยสายยางจนชุ่ม เจ้าเงินเดินเจ้ามาหาผมมันเดินสำรวจบนดินชุ่มน้ำไปมา “หืยยยปากเหม็นปากทูเชียว” ผมทักเจ้าเงินมันเป็นแมวสีเทาออกเงินตามชื่อแสงจันทร์เหลืองนวลส่องขนมันจนเป็นประกายขึ้นมาในยามค่ำ ผมอุ้มเจ้าเงินขึ้นมาแล้วก็รอต้นไม้ยักษ์งอกจากดิน “หนึ่งสอง สาม สี่ ห้า หก ............................. เจ็ดร้อย” ผมหยุดหายใจหลังจากนับเลขมายาวนาน “ทำไมไม่งอกออกมาล่ะ” ผมร้องเจ้าเงินก็ร้องเหมียวๆ ช่วยท่องคาถาเร่งโตไปด้วย การรอคอยของเราสิ้นสุดลงเมื่อ . . . .
|