“ในสาครลึกกว้างทางวิถีแม้จะขว้างแววหางมยุรี ก็จมลงถึงที่แผ่นดินดาล อันน้ำนั้นสุขุมและเอียดอ่อนจึงชื่อสีทันดรอันใสสาร ประกอบหมู่มัจฉากุมภาพาล คชสารเงือกปลาและนาคินทร์ ผู้ใดข้ามนทีสีทันดร ก็ม้วยมรณ์เป็นเหยื่อแก่สัตว์สิ้นแสนมหาพญาครุฑยังเต็มบิน กว่าจะไปถึงถิ่นวิมานทอง” ผมอ่านบทบรรยายในหนังสือให้เขาฟังคุณเวณวัฒน์ขยับตัว เขาโอบแขนอ้อมไหล่มาแล้วก็ลูบตัวผมเบาๆ ตอนนี้ผมเห็นคุณเวณวัฒน์เป็นอีกคนเขาเป็นคนปกติ ไม่ได้ตาบอดหรือเป็นคนหลังงองุ้ม แต่เป็นคนที่ผมเห็นเขาซ่อนอยู่ในตัวของคุณเวณวัฒน์ที่ผมรู้จัก ผมปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนเขาออกแล้วก็ลูบฝ่ามือไปบนหน้าอกของเขาตอนนี้ไม่เหลือร่องรอยของผิวไหม้ไฟอยู่เลย ผมแนบหัวลงไปกับหัวไหล่ใหญ่แล้วก็สอดมือซ้ายไปโอวเอวของเขาเอาไว้ “ผมให้คำมั่นกับตัวเองเอาไว้ว่าถ้าคุณยังจำเรื่องราวในอดีตของตัวเองไม่ได้ ผมก็จะอยู่ในร่างที่ไหม้ไฟต่อไป” “แสดงว่าผมจำเรื่องของตัวเองในอดีตชาติได้แล้วเหรอครับ?” ผมหันหน้าเข้ามามองดูเขาจมูกแนบอยู่กับซอกแขน กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ โชยออกมา “ผมคิดว่าคุณจะจำเรื่องของธันวาได้ก่อนแต่นี่คุณย้อนไปถึงช่วงก่อนหน้านั้นอีก” “ผมฝันไปเท่านั้นเอง” “เป็นนิมิตของอดีตกาลที่ผ่านพ้นมานานแล้ว” “แล้วทำไมผมถึงฝันเห็นหิมพานต์กับมหานทีสีทันดรล่ะครับ?” “มันเป็นจุดที่คุณเจอผมครั้งแรกบนจาตุมหาราชิกาเชิงเขาสิเนรุผมรอคุณอยู่ที่นั่น” “แล้วบ้านคุณอยู่ไหนล่ะครับ?” “อยู่บนวิมานเวหาเป็นดงไม้ครึ้มเชิงผา เลยมหานทีสีทันดรออกไป” “ผู้ใดข้ามนทีสีทันดรก็ม้วยมรณ์เป็นเหยื่อแก่สัตว์สิ้น แสนมหาพญาครุฑยังเต็มบินกว่าจะไปถึงถิ่นวิมานทอง หมายความว่าไม่มีมนุษย์คนใดเดินไปทางสู่สวรรค์ด้วยเท้าเปล่าได้ใช่มั้ยครับนอกจากเจอป่าหิมพานต์แล้วยังเจอมหาสมุทรขวางไว้อีก เขาถึงบรรยายไว้ว่าใครข้ามสีทันดรก็ตายหมดขนาดครุฑยังบินข้ามยากลำบาก กว่าจะไปถึงวิมานตัวเอง” “ไม่มีอะไรยากถ้าหากใจปรารถนา” เขาพูดแล้วจูบลงบนหัวของผมเบาๆ “ผมอยากจะกอดคุณไว้แบบนี้ให้นานๆปล่อยให้เวลาผ่านไป ไม่อยากสนใจอะไรทั้งนั้น” ผมซุกหน้าลงกับเสื้อของเขาแล้วก็พูดออกมา “เราสองคนต้องเตรียมตัวเดินทางไปข้างหน้าด้วยกันผมจะไม่ปล่อยคุณเดินไปคนเดียวอีกแล้ว” “แต่คุณก็ไม่ได้ทิ้งผมไปไหนนี่ครับ?” ผมสงสัย “เวลาที่เดินไปจะดึงคุณไปจากผม คุณจะแก่ไปตามวงล้อเวลาที่หมุนไปทุกวินาที ส่วนผมจะยืนอยู่กับที่” “ก็คุณบอกว่าใช้มณีสีน้ำเงินได้ไม่ใช่เหรอครับ?” “ผมยังไม่เคยลองผมกลัวว่าจะทำอะไรพลาดไปเพราะยังไม่เคยมีใครเคยทำแบบนี้มาก่อน” “ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับคุณก็อยู่รอผมเกิดใหม่ เลี้ยงผมไว้ โตขึ้นเราก็รักกันเหมือนเดิม” “คุณอาจไม่ได้เกิดเป็นคนอีกยังไงชาตินี้ผมก็จะไม่ปล่อยคุณไปไหนคนเดียวอีกแล้ว” “ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยคุณเวณวัฒน์ครับ ไปกินข้าวข้างนอกกันนะ ไปหาอะไรเย็นๆ กินกันดีกว่า ผมเลี้ยงเอง” ผมติดกระดุมเสื้อเม็ดที่สองของเขากลับไปเหมือนเดิมผมจูงมือเขามาที่ร้านกาแฟและสั่งโกโก้เย็นกับน้ำผักปั่น เราสองคนจิบน้ำเย็นๆกันบนถนนที่มีผู้คนเดินไปมา คุณเวณวัฒน์นั่งยิ้มแล้วมองดูผมเงียบๆผมดูดโกโก้เย็นๆเข้าปาก สายตาก็มองดูเขา “ใส่เสื้อแบบนี้แล้วหล่อมาก” ผมพูดเบาๆเขายิ้มตอบกลับมา เราสองคนเดินออกมาจากร้านเดินดูของที่วางขายริมถนน ช่วงที่เดินเบียดกับคนอยู่นั้น ผมรู้สึกว่าข้างหน้ามีแกลลอรี่เมื่อมองเข้าไปข้างใน มีนิทรรศการแสดงภาพถ่ายอยู่ผมจูงมือคุณเวณวัฒน์เข้าไปดูข้างในทันที ข้างในนิทรรศการแยกออกเป็นสองส่วนส่วนแรกเป็นนิทรรศการภาพถ่าย ส่วนที่สองเป็นนิทรรศการภาพวาด ช่วงที่ผมเดินคล้องแขนอยู่กับคุณเวณวัฒน์นั้นผมได้มาหยุดยืนอยู่หน้าภาพถ่ายรางวัลชนะเลิศอันดับสามเมื่ออ่านชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลแล้วก็รู้สึกคุ้นตา “ของพี่เอง” เสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ “พี่เป้” ผมหันไปยิ้มพี่เป้มองผมกับคุณเวณวัฒน์ด้วยแววตาแสดงความสงสัย “ดีใจด้วยนะครับภาพได้รางวัล” ผมหันไปทางพี่เป้ที่กำลังมองคุณเวณวัฒน์อยู่ “อ้อเออ พอดีส่งหลายภาพ เก็บๆมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง” พี่เป้หันมาตอบผม “ขอตัวก่อนนะครับเดี๋ยวจะไปดูข้างในต่อ” ผมบอกพี่เป้แล้วก็เดินออกมาจากตรงนั้น “กูเห็นจริงๆนะน้องหมอฟันเดินอยู่กับใครไม่รู้”ไอ้เป้พูดเหมือนกำลังตื่นเต้น “แล้วไงเขาจะไปเดินกับเพื่อนเขาบ้างไม่ได้หรือไง” ผมส่ายหัวกับท่าทีโอเว่อร์แอคติ้งของมัน “เดินจับแขนกันมาแบบนั้นน่ะนะเพื่อนห่าไรวะ” “หน้าตาเป็นไง?” ผมวางงานลงตรงหน้าแล้วหันมามองไอ้เป้อย่างจริงจัง “หน้าตาโคตรดีหุ่นดี ทุกอย่างแม่งสมบูรณ์แบบ ตัวสูงกว่าน้องหมอฟันซักสิบเซนต์ได้ดูเป็นผู้ใหญ่หน่อย ดูท่าแฟนมึงติดมาก เห็นเดินจับมือไม่ปล่อยเลย” “พ่อเขามั้ง” “พ่อบ้าไรวะยังไม่แก่โว้ยมิท นี่กูพูดจริงๆนะ กูเห็นแล้วกลุ้มในแทนมึงเลยเพื่อน” “ไหนมึงบอกว่าเป็นผู้ใหญ่ไงวะ” ผมชักสงสัย “ก็ท่าทางเขาดูเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแต่ไม่ได้แก่ขนาดเป็นพ่อ กูว่าอายุน่าจะซักยี่สิบแปดไม่เกินสามสิบ” ไอ้เป้พูดหอบๆแล้วก็คว้าแก้วน้ำของผมไปดื่ม มันเงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางและสีหน้าที่ดีขึ้น “วันนี้วันหยุดกูก็มัวแต่ทำงาน ไม่ได้โทรหาเขาเลย แล้วไหนมึงเล่ามาซิว่าผู้ชายคนที่ตานจูงมือมีลักษณะท่าทางยังไง” ผมถามต่อ ไอ้เป้ดูดน้ำจนแห้งเหลือแต่น้ำแข็งเสียงดังออกมานอกแก้ว “หล่อว่ะโคตรหล่อ ตัวสูงๆ รูปร่างดีเหมือนคนออกกำลังกาย ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นเปิดกระดุมกางเกงผ้าขายาว รองเท้าสีน้ำตาล นาฬิกา...” “พอๆ” ผมส่ายหัว“ใครวะกูไม่เห็นเคยเจอ” ไอ้เป้นิ่งไปนาน จู่ๆมันก็พูดขึ้นมาแบบจริงจังผิดกับนิสัยปกติของมัน “กูพูดจริงๆนะมิทคราวนี้มึงเจอคู่แข่งที่น่ากลัวสุดๆ ลักษณะท่าทางเป็นผู้ใหญ่แบบนั้นน้องหมอฟันเขาคงชอบว่ะ กูเห็นเกาะกันแจเหมือนเด็กติดพ่อ กูว่านะทางที่ดีมึงรีบรวบหัวรวบหางเอาคนของมึงไว้ก่อน ไม่งั้นมึงได้เสียน้องไปจริงๆแน่” “กูไม่เชื่อว่าตานจะรักคนที่เพิ่งรู้จักกันตานไม่ใช่คนโง่หรือคนใจร้อน”ผมทิ้งงานทั้งหมดลงแล้วเอาสมองทั้งหมดมาคิดเรื่องตาน ผมกดโทรศัพท์ไปหานักสืบที่เคยติดต่อเอาไว้ทันที “เรื่องนายเวณวัฒน์ที่ผมให้ทำไปถึงไหนแล้ว?” ผมพูดผ่านสปีกเกอร์ ไอ้เป้เงี่ยหูเข้ามาฟังใกล้ๆด้วย “ได้ชื่อที่อยู่ เบอร์ติดต่อแล้วครับ”เสียงตอบกลับมา “แล้วข้อมูลอื่นล่ะ?” ผมถาม “อาชีพอิสระครับไม่ได้ทำอะไรถาวร บางปีก็เล่นหุ้น ซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซื้อหุ้นสายการบิน โรงแรมรัฐวิสาหกิจ บางปีก็ให้ทุนเด็กเรียนต่อ สร้างวัดบางปีก็เล่นดนตรีหาเงินเข้าโครงการหมาแมวจรจัด บางปีก็เป็นนักท่องเที่ยวเดินทางไปที่ต่างๆ” “ทรัพย์สินมีอยู่เท่าไหร่?” ผมถาม “เงินสดในธนาคารถูกปกปิดครับแต่ผมสืบจากหลักฐานการเข้าซื้อหุ้นสายการบิน คำนวณคร่าวๆน่าจะเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆ นะครับ” “ประวัติการเจ็บป่วยมีมั้ย?” “ไม่เคยนอนโรงพยาบาลเลยครับมีแค่ประวัติตอนตรวจสุขภาพก่อนออกนอกประเทศประวัติบอกว่าร่างกายแข็งแรงและสมบูรณ์ดี” “ไปสืบเรื่องค้าขายกับฟอกเงินด้วยถ้าได้หลักฐานมาจะมีรางวัลพิเศษให้”ผมพูดลงไปแล้วก็ปิดสายสนทนา ไอ้เป้อ้าปากค้างอยู่ตรงหน้าผม “เป็นอะไรของมึง?” “รวยโคตร” ไอ้เป้พูด “ประวัติน่าสงสัยอยู่ดีๆจะรวยขึ้นมาได้ยังไง เป็นใครมาจากไหนก็ไม่มีประวัติอยู่ดีๆก็มีชื่อในทะเบียนราษฎร์คนเดียว ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีครอบครัว” “พ่อแม่ตายทิ้งมรดกไว้มั้ง” “กูไม่เชื่อหรอกอย่างน้อยๆ ต้องมีต้นทุนมาบ้าง คนอายุไม่ถึงสามสิบแต่มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้านยังไงก็เป็นไปไม่ได้” “แต่ถึงเขาจะทำอะไรที่มันนอกกฎหมายมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมึง ที่เกี่ยวกับมึงมีแค่เรื่องของน้องหมอฟันแล้วกูว่าน้องเขาก็เทใจไปฝั่งนู้นเกินครึ่งแล้วนะเพื่อน” “กูไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกของของกู กูไม่ยอมยกให้ใคร !” “แต่น้องเขาไม่ใช่ของไม่ใช่เกมกีฬา มึงจะมาเห็นน้องเขาเป็นของที่ต้องแย่งไปมาไม่ได้นะเพื่อน” “กูไม่เคยเห็นเขาเป็นสิ่งของกูแค่เปรียบเทียบเฉยๆ กูไม่ได้อยากเอาชนะเพราะสนุก แต่กูรักน้องจริงๆกูรักตานคนเดียว” “เออใจเย็นน่ามันต้องมีทางออก” ผมกลับมาที่บ้านใจจริงอยากจะโทรหาแล้วถามให้รู้เรื่องไปซะแต่ยิ่งได้ฟังที่ไอ้เป้พูดเรื่องบุคลิกของผู้ชายคนนั้นผมยิ่งต้องระวังตัว ตานชอบผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่กว่าผมไม่ควรโทรไปคุยเรื่องนี้ให้ตานรำคาญใจ ผมเข้ามานั่งรับลมเย็นๆบนเก้าอี้ในห้องโถงของบ้านคุณป้า บนตั่งยาวใกล้ๆผมเห็นป้ากำลังอ่านหนังสือเก่าอยู่อย่างสบายอารมณ์ “อ่านอะไรครับ?” ผมส่งเสียงไปถามป้าลดหนังสือลงจากระดับสายตาแล้วหันมายิ้ม “ครุฑา” “อะไรครับครุดทา?” “ครุฑาคือหนังสือเกี่ยวกับครุฑ บรรยายประวัติและที่มาที่ไปของครุฑ” “มิทเพิ่งรู้ว่าป้าชอบอ่านนิทาน” ผมยิ้มเป็นยิ้มที่ไม่เป็นธรรมนักเพราะกำลังกลุ้มใจอยู่ “ไม่ใช่นิทานสนุกๆที่อ่านให้เด็กฟังหรอกนะลูก” ป้าผมเว้นจังหวะเอาไว้พอให้คนฟังสงสัย “แล้วมันมีอะไรน่าสนใจล่ะครับครุฑก็อยู่ส่วนครุฑ คนก็อยู่ส่วนคน” “ใครจะรู้บางทีครุฑก็อาจเดินลงมาปะปนอยู่กับคนโยที่มิทไม่ทันสังเกตก็ได้” “ป้าก็พูดซะเกินจริงครุฑมาเดินคนก็แตกตื่นหมดสิครับ ทั้งปีกทั้งปากเป็นเอกลักษณ์ขนาดนั้น” ผมหัวเราะขณะที่ป้าผมนิ่งไป “ครุฑชั้นสูงนั้นสามารถเนรมิตกายเป็นมนุษย์ได้ หรือร่างที่แท้จริงอาจจะไม่ได้เป็นนกเหมือนที่เราเข้าใจกัน” “อะไรกันครับมิทงงไปหมดแล้ว นอกจากครุฑบินลงมาเดินกับคนได้แล้ว ยังมีแบ่งชนชั้นครุฑด้วยเหรอครับ?” “ครุฑทั่วไปกับครุฑชั้นสูงนั้นต่างกันครุฑทั่วไปอาจเกิดจากไข่หรือท้องมารดา หรือเกิดขึ้นมาจากขี้เถ้าไฟแต่ครุฑชั้นสูงนั้นเกิดขึ้นมาเป็นผุด คนเรียกการเกิดแบบนี้ว่า เกิดแบบโอปปาติกะครุฑพวกนี้มีร่างกายสีทองสุกสว่าง มากด้วยสติปัญญาและพลังอำนาจ มีสภาวะทิพย์เช่นเดียวกับเทวดาบนสวรรค์” “แล้วครุฑที่มิทเห็นอยู่บนธนาคารล่ะครับ?” ผมถามป้า “เป็นครุฑในจินตนาการของมนุษย์ส่วนครุฑจริงนั้นมีหลายรูปลักษณ์ เป็นนกเต็มตัวก็มี เป็นนกครึ่งคนครึ่งก็มี หรือเป็นเทวดาผุดผ่องปราศจากเครื่องประดับสัตว์ บางครั้งก็มีปีกออกมาใช้สำหรับบิน” “เหมือนเทวดาฝรั่ง” ผมพูด “ใช่เหมือนเทวดาของฝรั่ง” "ถ้ามิทอยากฆ่าครุฑจะต้องทำยังไงบ้างครับ?" ผมได้รับโทรศัพท์จากไอ้เอกว่านัทไม่สบายนอนตาค้างอยู่ในห้องนอน ไอ้เอกเอาข้าวไปแขวนไว้ตั้งแต่เช้าพอมันกลับมาจากซ้อมบาสฯตอนค่ำ ข้าวยังห้อยอยู่ที่เดิมเคาะห้องก็ไม่มีคนขานรับ ไอ้เอกตามคนมาไขประตูห้องแล้วก็เจอนัทนอนตาค้างอยู่บนโซฟามีผ้าห่มผืนบางๆคลุมตัวอยู่ นัทเพ้อจนฟังไม่รู้เรื่องไอ้เอกอุ้มนัทมาส่งที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าคนไข้ความดันลดต่ำจนอันตรายประสาทตึงเครียด ร่างกายต้องการพักผ่อนแต่สมองสั่งไม่ให้นอน เป็นอาการที่แปลกมากเหมือนนัทสั่งตัวเองไม่ให้นอนทั้งที่ร่างกายอ่อนเพลียหนักผมไม่รู้ว่านัทเป็นอะไรกันแน่ ตอนนี้ผมยังไม่ได้โทรบอกพ่อของนัท ได้แต่มาเฝ้าดูอาการอยู่ที่ห้องไอซียู หมอสั่งน้ำเกลือให้นัทเร่งด่วนน้ำเกลือแร่กับน้ำตาลกลูโคสไหลผ่านเข้าร่างกาย หมอพยายามให้ยานอนหลับแต่นัทปัดทิ้ง เสียงหมอกับพยาบาลดังเล็ดลอดออกมาจากห้องผู้ป่วยวิกฤตพยาบาลวิ่งออกมาตามบุรุษพยาบาลไปช่วยมัดคนไข้ พยาบาลที่วิ่งออกมาบอกว่านัทปัดเข็มหักเพราะหมอพยายามฉีดยาคลายเครียดลงไปให้ดูเหมือนว่านัทกำลังต่อต้านการพักผ่อนของตัวเองเต็มที่ “ผมเป็นพี่ชายคนไข้ครับให้ผมไปกล่อมน้องผมได้มั้ยครับ !”ผมเรียกพยาบาลไว้ก่อนที่เธอจะวิ่งออกไปตามบุรุษพยาบาล ผมเข้ามาเปลี่ยนชุด สวมหมวกและล้างมือก่อนเข้าไปในเขตห้องไอซียูผมให้ไอ้เอกนั่งรออยู่ข้างนอก พอเข้าไปถึง ผมเห็นนัทร้องไห้ ตาแดงจัดขอบตาดำเหมือนคนไม่ได้นอนมาหลายวัน “นัท!!” ผมร้องออกไปอย่างคนตกใจนัทดูโทรมมาก “ให้น้ำเกลือไปแล้วตอนนี้หมอผสมยานอนหลับไปในน้ำเกลือแล้ว แต่คนไข้กล่อมตัวเองไม่ให้หลับไม่รู้เพราะอะไร หมอจะฉีดยาบำรุงให้ก็ไม่ยอม ปัดทิ้งท่าเดียว คุณรู้มั้ยว่าคนไข้เจออะไรมาทำไมถึงกลัวขนาดนี้?” คุณหมอผู้หญิงวัยประมาณแม่ของผมถามขึ้นมาผมก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง อันที่จริงนัทก็มีอาการแปลกๆตั้งแต่ออกไปจากห้องของผมแล้วแต่ผมก็ไม่ได้เอะใจเพราะคิดว่านัทแค่เมาเหล้า “ไม่ทราบครับแต่ว่าวันก่อนมีงานเลี้ยงวันเกิด น้องผมคงกินเหล้าเข้าไป” ผมตอบพร้อมกับเหลือบมองนัทที่ตาตั้งมองเพดาน “นัทให้หมอฉีดยาให้นะ แล้วหลับซะ”ผมเข้าไปแตะแขนของน้อง นัทส่ายหัวเหมือนฟังผมรู้เรื่องนัทร้องไห้แล้วยกมือไหว้ “กลัวแล้วอย่าทำผมเลย กลัวแล้ว” “นัทเป็นอะไร ใครทำอะไร” ผมรู้สึกงงไปหมดไม่รู้นัทเป็นอะไรกันแน่ “จุดธูปขอขมาเขาซะสิไม่งั้นก็นอนไม่ได้ เขาเอาถึงตายเชียว” เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาผมกับหมอหันไปมองเตียงข้างๆ มีแม่ชีแก่ๆ นอนอยู่ หมอรีบเรียกพยาบาลเข้ามาดูคนไข้ติดเชื้อในกระแสเลือดอยู่ดีๆ แม่ชีที่ป่วยหนักก็พูดขึ้นมาได้ “หนุ่มเอาธูปให้น้องจุดขอขมาเขาซะ เร็วเข้า” แม่ชีพูดขึ้นมาอีกและผมรู้สึกว่าแม่พูดคนนั้นพูดกับผม “ยังไงกันครับแม่ชีน้องผมไปทำอะไรใครไว้ เขาถึงจะเอาตาย?” “น้องหนุ่มไปลบหลู่เขาเขาส่งผีมาหลอก นอนไปก็เจอเขาเหยียบ นอนไปก็เจอบีบคอหายใจไม่ออก นอนไม่ได้เลยนอนไม่ได้ ต้องจุดธูปขอขมาเขาก่อน” ผมไม่มีทางเลือกอื่นเลย นัทตาค้างไม่ยอมหลับแม้จะโดนวางยาไปกับสายน้ำเกลือ ผมขอหมอกับพยาบาลจุดธูปก้านเล็กๆควันลอยขึ้นพอที่จะไม่รบกวนคนไข้หนักคนอื่น “นัทขอโทษคนที่นัทไปล่วงเกินเขานะ”ผมรวมมือนัทขึ้นมาจับก้านธูปผมช่วยประคองเอาไว้เพราะนัทแทบไม่มีแรง “ขอขมาเขาซะหนูเขาจะได้ไม่เอาเรื่อง” เสียงแม่ชีดังมานัทร้องไห้ขึ้นมาแล้วก็พึมพำขอโทษ ควันธูปลอยวนอยู่เหนือหัวเตียงของนัทแล้วก็สลายไปในอากาศ นัทนอนหลับไปแล้ว และแม่ชีหมดลมหายใจไปเป็นเรื่องแปลกประหลาดจนพยาบาลเอาไปคุยกันเหมือนแม่ชีเองก็ใกล้จะสิ้นใจไปก่อนหน้านั้นแล้ว นี่คงอาศัยลมหายใจสุดท้ายมาช่วยน้องผมผมยกมือไหว้ศพของแม่ชีที่มีคนมาพันร่างเอาไว้ด้วยผ้าขาว นัทนอนหายใจสม่ำเสมอ หมอบอกว่าดูอาการอีกครึ่งวันถ้าดีขึ้นก็ไปนอนพักในห้องพักฟื้นได้ ผมออกมาเจอไอ้เอกที่นั่งรออยู่หน้าห้องมันนั่งรออยู่เงียบๆคนเดียว “ดีขึ้นแล้วขอบใจว่ะเพื่อน ถ้าไม่ได้มึงป่านนี้นัทคงแย่” ผมตบหลังเพื่อนเบาๆมันหันมายักไหล่แล้วก็พูดตอบ “กูเอาโจ๊กไปแขวนไว้ตอนเช้ากลับมาตอนค่ำเห็นมึงบอกว่ายังไม่ออกจากห้องกูเลยไปดู” “กูโทรไปก็ไม่รับนึกว่าออกไปข้างนอก ยังดีที่มึงไปดูให้” ผมพูดตอบ ไอ้เอกก้มมองพื้นสีขาวๆ แล้วก็พูดกับผมเบาๆ “กูรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอะไรน้องมึงบ้างเรื่องคืนนั้นกูทำผิดไปจริงๆ ไม่รู้เป็นบ้าอะไรขึ้นมา” ไอ้เอกทำหน้าสำนึกผิด “เอาน่าถ้าผิดก็ผิดด้วยกันสามคนนั่นแหละ กู มึง ไอ้โอม เล่นนัทมันไปคนสองรอบ” “เรื่องระยำแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับกูเลย” ไอ้เอกถอนหายใจแล้วขยี้หัวตัวเอง ความจริงไอ้เอกเป็นคนที่ใช้ได้เลยมันไม่ค่อยมีเรื่องกับใคร เป็นคนใจเย็น เวลาใครเดือดร้อนมันก็เต็มใจช่วย “ก็ระยำกันหมดล่ะวะเป็นห่าไรกูก็ไม่รู้ รู้แต่คืนนั้นมันเงี่ยนชิบหาย กูแข็งจนปวด น้ำแม่งเยิ้มไปหมด” ผมบ่นแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้โทรบอกพ่อกับแม่ของนัท ผ่านมาจนถึงตอนเย็นนัทถูกย้ายออกมาที่ห้องพักบนหอคนไข้พักฟื้นทั่วไป พ่อกับแม่ของนัทถามผมนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ติดใจเอาเรื่องอะไรบอกแค่ว่านัทคงเครียดเรื่องเรียนกับเรื่องเพื่อน เพราะช่วงที่ไปออกค่ายนัทก็เครียดแล้วก็มีแผลกลับมาบ้าน มาครั้งนี้ก็เจอเรื่องแปลกๆอีกคงเพราะนัทเครียดแล้วหาทางระบายออกมาไม่ได้ อัตราการเต้นของหัวใจของนัทดีขึ้นแล้วความดันเริ่มเข้ามาอยู่ในเกณฑ์ปกติ นัทรู้สึกตัวเป็นระยะแต่พอลืมตาได้ไม่นานก็หลับไปด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ หมอบอกว่าให้ยานอนหลับและยาคลายเครียดไปบวกกับคนไข้ร่างกายอ่อนเพลียเลยนอนยาว คงตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเช้าของพรุ่งนี้ ผมขับรถไปเอาเสือผ้าของนัทมาเตรียมไว้ให้เปลี่ยนวันพรุ่งนี้พ่อของนัทให้แม่อยู่เฝ้า พ่อของนัทซึ่งเป็นอาแท้ๆของผมถามผมเรื่องเพื่อนและการเรียนของนัท แล้วก็ฝากผมดูแลน้องด้วย ผมขึ้นมาเอาเสื้อผ้าในตู้ช่วงที่กำลังจัดกระเป๋า ผมก็เจอขวดน้ำประหลาดนั่นอีกครั้งนึงนัทสะสมไอ้น้ำประหลาดไว้หลายขวด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำนี่หรือเปล่าที่ทำให้นัทเพ้อจนตาค้างเข้าโรงพยาบาล ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ของมงคล ผมโยนมันทิ้งไปในถังขยะเสียงขวดแก้วกระทบกับถังโลหะแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หูผมแว่วอีกครั้งมันเป็นเสียงช้างร้องมาไกลๆ ขนผมลุกชันบรรยากาศคืนวันนั้นหวนกลับเข้ามาในความรู้สึก คืนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไปถึงจุดสุดยอดจริงๆน้ำในตัวเหมือนมันพุ่งออกไปจนหมด แขนขาหน้าท้องผ่อนคลายเหมือนปุยนุ่น
|