นัทตื่นขึ้นมาช่วงสายของอีกวันดูนัทนอนไปอย่างเต็มอิ่มจริงๆ ถึงตาจะยังมีขอบดำๆอยู่บ้างแต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าดีขึ้นมาก ไอ้เอกหิ้วโจ๊กมาหลายถุงมันมาถึงแต่เช้าจนผมรู้สึกประหลาดใจ ปกติแล้ว วันหยุดแบบนี้ มันจะตื่นเที่ยงๆ “มาแต่เช้าเลยมึง” ผมเปิดประตูทักมันไอ้เอกเดินเข้ามายกมือไหว้แม่ของนัทแล้วก็วางโจ๊กเอาไว้บนโต๊ะ “เอาโจ๊กมาฝากครับยังร้อนอยู่เลย” “ลุกขึ้นมากินข้าวซะหน่อยซิพี่เขาซื้อโจ๊กมาให้” แม่ของนัทเรียกลูกชายขึ้นมากินข้าวนัทยันตัวขึ้นมา แต่หน้าตายังบึ้งตึงอยู่ “ไม่กินโจ๊ก!” นัททำหน้าขยะแขยงโจ๊กของไอ้เอก “เดี๋ยวผมไปซื้อข้าวต้มให้ก็ได้ครับ” ไอ้เอกพูด “ไม่ต้องๆ” แม่ของนัทโบกมือไม่ให้ไอ้เอกเดินออกไปซื้อข้าวต้ม“มีอะไรก็กินอันนั้นแหละเสียนิสัยใหญ่แล้ว” ผมไม่คุ้นเคยกับแม่ของนัทมาก่อน แต่จากที่ดูแม่ของนัทเป็นคนเข้มงวด ไม่ได้เอาใจนัทจนเสียคนเหมือนอาของผม “น้องนัทลุกขึ้นมากินข้าว เดี๋ยวพยาบาลเอายามาให้จะได้ไม่ต้องรอ” แม่ของนัทพูด “ไม่กิน!!!” “เอ๊ะ!!!” แม่ของนัททำตาเขียว “นัทจะกินอะไรเดี๋ยวพี่ออกไปซื้อให้” ผมใช้ไม้อ่อนกับน้องดูเหมือนคนป่วยจะต้องการคนเอาใจ “พี่โมทพี่โมทโทรตามพี่มิทให้นัทหน่อย นัทอยากเจอพี่มิท บอกว่านัทป่วยนอนอยู่ที่โรงพยาบาล” นัทหันมาบอกผม “มิทไหน?” แม่ของนัทถามผม “เพื่อนผมเองครับคุณอา” ผมตอบ “โทรตามพี่มิทเดี๋ยวนี้เลย” เสียงรอบนี้เหมือนคำสั่งมากกว่าคำขอร้อง “เรื่องมากจริงน้องนัทกินข้าวก่อน เดี๋ยวค่อยให้พี่โมทโทรตามให้” “เดี๋ยวนัทกินโจ๊กก่อนเดี๋ยวพี่โทรตามมิทให้” ผมพยายามประณีประนอมที่สุดสุดท้ายนัทก็ยอมกินข้าวโดยดี ไอ้เอกขยับตัว เหมือนมันรู้สึกว่าเป็นส่วนเกิน “กูกลับก่อนละกันเดี๋ยวเย็นๆกูมาใหม่ อยากได้อะไรก็บอกละกัน เดี๋ยวหิ้วมาให้” ไอ้เอกพูดกับผมสองคน “เออขอบใจว่ะเพื่อน” ผมตบไหล่มันแล้วไปส่งมันที่หน้าห้อง นัทตักโจ๊กกินได้สองสามคำก็หน้าแหย “โจ๊กข้างถนนไปซื้อมาได้ยังไง ใครมันจะกินลง”นัทพยายามจะคายทิ้งแต่โดนแม่ยกฝ่ามือเหมือนจะตี “เสียมารยาทใหญ่แล้วนะแม่สอนทำไมไม่จำ พี่เขาอุตส่าห์หิ้วมาให้ ร้อนก็ร้อน” ผมแกะโจ๊กไอ้เอกมากิน รสชาติมันใช้ได้ทีเดียวนี่ดีที่ไอ้เอกมันกลับไปก่อน ไม่งั้นคงได้เสียความรู้สึกที่น้องผมบ่นแน่ “ถ้าป๊าอยู่นะไม่ให้นัทกินของแบบนี้หรอก สะอาดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ของถูกๆข้างถนน ถ้าป๊าอยู่ก็ต้องสั่งเชฟที่ห้อวครัวทำมาให้” นัทบ่นอยู่บนเตียง “ก็เพราะป๊าเอาใจแบบนี้น่ะสิถึงได้เสียคน” แม่ของนัทดุผมเห็นแม่เอากระดาษไปเช็ดปากลูกชายที่เบ้ไปมา “ไหนล่ะพี่มิทโทรตามหรือยังพี่โมท?” “ให้พี่เขากินข้าวก่อนสิคนกินข้าวอยู่ไปรบกวนได้ยังไงน้องนัท!” แม่ของนัทดุลูกชายตัวเองอีกรอบ “โทรเดี๋ยวนี้แหละ” ผมวางช้อนลงแล้วก็ออกมายืนอยู่หน้าห้องผมต่อสายไปหามิท สัญญาณดังไปไม่นานก็มีเสียงตอบกลับมา “สวัสดีครับ” เสียงมิทดังตอบมา “เออมิทกูเอง โมท” ผมพูด “อ้าวว่าไง?” “เอ่อมีเรื่องให้ช่วยว่ะ” ผมพยายามเรียบเรียงคำพูด “มีอะไรให้กูช่วยพูดมาสิ” “น้องกูป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล มึงช่วยมาเยี่ยมหน่อยได้มั้ย คือน้องกู...อยากเจอมึง” “น้องนัทเค้ก?” มิทถามผม “อะไรวะนัทเค้ก?” ผมสงสัย “เออไม่มีอะไร สรุปคือน้องนัทป่วยใช่มั้ย?” “เออรบกวนหน่อยนะ ตื่นมาแล้วเรียกหามึงคนเดียวเลย” ผมรู้สึกเกรงใจมิทมันจริงๆ “ไม่เป็นไรกูออกมาเที่ยวกับป้าพอดี โรงพยาบาลอะไร ห้องอะไร เดี๋ยวกูเข้าไปเยี่ยม” ผมบอกชื่อโรงพยาบาลกับเลขห้องให้มิทไปจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้อง “ว่าไงพี่มิทจะมามั้ยพี่โมท?” นัทรีบถามผมทันที “เดี๋ยวมา” ผมตอบ นัทพยายามจัดเสื้อผ้าตัวเองแล้วก็ร้องขอกระจกจากแม่ แม่ของนัทคงสงสัยว่ามิทคือใครทำไมถึงมีความสำคัญกับลูกชายตัวเอง แต่ก็ได้แค่ทำหน้าสงสัยเพราะยังไม่ได้โอกาสถามผม เมื่อวานรีบลงไปหน่อย ไม่ทันแก้ กลัวเนตหมด มิทหิ้วกระเช้าผลไม้เข้ามาเยี่ยมน้องผมที่เดินมากับมิทเป็นผู้หญิงในชุดแปลกตา มิทแนะนำ บอกว่าเป็นป้า แม่ของนัทย่อตัวลงไหว้ป้าของมิทเพราะรู้จักผ่านหนังสือและข่าวแวดวงสังคม นัทเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำผมเข้าไปช่วยถือสายน้ำเกลือ ทันทีที่นัทเห็นมิทก็ทำท่าเหมือนจะเข้าไปกอด “พี่มิทนัทไม่สบาย กินข้าวไม่ค่อยลงเลย”นัททำเสียงอ้อน “พี่เอาผลไม้มาเยี่ยมแล้วพี่แนะนำป้าของพี่ให้รู้จัก นี่เจ้าหญิงโสรยา ป้าของพี่เอง” มิทแนะนำป้าให้นัทรู้จักทันทีที่มิทถอยตัวที่บังป้าออกมา ตอนที่นัทเจอกับป้าของมิทตรงๆนัทแทบลงไปก้นจ้ำเบ้ากับพื้น “แม่มดแกเป็นแม่มด!!!” นัทมองป้าของมิทแล้วร้องขึ้นมาแม่ของนัทหน้าเสียลงทันที “ออกไปนะห้องนี้มีพระ” นัทชี้มือไปที่หัวเตียง “นี่ป้าของพี่ไม่ใช่แม่มด!!!” มิททำเสียงไม่พอใจป้าของมิทยิ้มอารมณ์ดีแล้วโบกมือตรงหน้าหลานชาย “ไม่เป็นไรคนป่วยก็แบบนี้แหละ คงยังมีไข้อยู่”ป้าของมิทยิ้มแล้วหัวเราะโชคดีที่มากที่ท่านไม่โกรธนัท แม่ของนัทรีบยกมือไหว้แทนลูกตัวเองทันที “กราบขออภัยนะคะ” “มันเป็นแม่มดนะแม่มันให้ผีมาบีบคอนัท” นัทร้องไห้ “ป้าพี่ไม่ใช่แม่มด!!!” มิทวางตะกร้าลงกับโต๊ะรับแขกแล้วคว้ามือป้ามิทหันมาทางผมแล้วก็พูด “เดี๋ยวกลับก่อนละกัน” มิทพูดกับผมแล้วก็หันไปพูดกับแม่ของนัท “กลับก่อนนะครับ” แม่ของนัทแทบจะก้มลงไปกราบขอโทษป้าของมิทบรรยากาศสับสนอลหม่านเกิดขึ้นอีกครั้งในห้องทันทีที่มิทกับป้ากลับออกไป “มันนั่นแหละมันส่งผีมาบีบคอนัท มันเลี้ยงผีไว้เต็มบ้านเลยนะแม่ มันหวงหลานชายมันกลัวว่าจะมาติดใจนัทจนไม่ยอมกลับบ้าน” “นี่ถ้าไม่ป่วยแบบนี้แม่จะตีให้นะ พูดอะไรแบบนั้น เหมือนคนที่ไม่มีพ่อแม่สั่งสอนยังดีที่ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ถือสาเอาความนะ” แม่ของนัทส่ายหัวแล้วรีบเรียกพยาบาลมาดู ผมพยายามเรียบเรียงข้อมูลในหัว ตอนนี้ผมสับสนไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมว่านัทต้องไปทำอะไรกับมิทแน่ แล้วผลนั้นมันเกิดผิดพลาดขึ้นมา “เออนัทตอนพี่ไปเก็บเสื้อผ้ามาให้ พอดีพี่เหยียบขวดแก้วใส่น้ำแตก พี่เลยทิ้งไปหมดแล้วนะ” ผมบอกนัทไปตรงๆ “ขวดน้ำอะไรพี่โมท?” นัทหันมาถามผมหลังสงบสติอารมณ์ลงได้ “น้ำที่อยู่ในขวดแก้วเล็กๆพี่เหยียบมันแตกเลยทิ้งไปหมดเลย” “อะไรนะนัทวางไว้บนโต๊ะ พี่โมทไปเหยียบได้ไง กว่านัทจะหามาได้ ต้องไปไกลถึงบนดอย ตอนนี้แม่หมอก็...” นัทรู้ตัวว่าพูดมากเกินไป “อะไรกัน?” แม่ของนัทสงสัย “ไม่มีอะไรแม่พี่โมทเขาทำของของนัทแตก”นัทพูดเสียงเบาลง “แตกไปก็หาใหม่ดีแล้วที่พี่เขาไม่โดนแก้วบาด ของแบบนั้นจะเอามาไว้ในห้องทำไมกันนะแม่สอนไม่รู้กี่ครั้ง บอกให้เก็บห้องให้เป็นระเบียบ” “โอ๊ยแม่นัทขี้เกียจจะฟังแล้วนะ บ่นอยู่ได้”นัททำเสียงฮึดฮัดแล้วก็กอดหมอนหันออกไปทางหน้าต่าง ครู่เดียวเสียงนัทก็ดังข้ามมาหาผมที่นั่งอยู่บนโซฟา “โทรหาพี่มิทบอกให้มาเยี่ยมนัทด้วย แล้วไม่ต้องพาป้ามา” นัทสั่งสั้นๆ “จะมาอีกหรือเปล่าไม่รู้ดูมิทไม่ชอบให้ใครไปเรียกป้าเขาแบบนั้น” ผมรู้สึกไม่ชอบใจที่น้องของไอ้โมทมาพูดจากับป้าผมแบบนั้นผมไม่ใช่คนพูดเพราะเหมือนผู้ดีก็จริง แต่ผมก็รู้ว่าควรพูดกับคนที่แก่กว่ายังไง ป้าบอกให้ผมใจเย็นป้าบอกว่านัทอาจฝันร้ายแล้วปะติดปะต่อเรื่องไปเองผมพาป้ามาส่งที่บ้านแล้วก็พักดื่มน้ำก่อนจะเตรียมตัวออกไปหาตานที่บ้าน “จะไปไหนต่อล่ะไม่อยู่กินข้าวเย็นกับป้าก่อน?”ป้าผมทักขึ้นมาแล้วก็เรียกคนเข้ามารับของที่ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าไปเก็บ “จะไปหาตานที่บ้านครับถ้าตานว่างก็จะพามากินข้าวด้วย ยังไงก่อนสามโมงมิทจะโทรบอกอีกทีครับ” “ดีเหมือนกันบอกน้องว่าป้าคิดถึงนะ ป้าเจอหนังสือเกี่ยวกับครุฑในกล่อง จะให้น้องดู” “ตานสนใจเรื่องครุฑด้วยเหรอครับ?” ผมสงสัย “กระตือรือร้นเชียวล่ะซักป้าเหมือนเด็กเล็กๆ เลย สงสัยจะชอบจริงๆ” “ตานนี่เหรอครับชอบวรรณคดีไทย ชอบนิทาน?”ผมรู้สึกแปลกใจ ผมมาหาตานที่บ้าน เจอแต่คุณอาผู้หญิงที่กำลังเตรียมตัวออกจากบ้านไปช่วยพ่อของตานที่คลินิกแมวของตานเดินคลอเคลียขาอาผู้หญิงอยู่ที่หน้าบ้าน “ตานออกไปหาเพื่อนเพิ่งออกไปก่อนหน้ามิทนี่เอง ตามออกไปก็น่าจะทันนะ ลองโทรตามดู” “ครับเดี๋ยวมิทตามไปดูน้องให้นะครับ” “ฝากด้วยนะเดี๋ยวอากับอาผู้ชายจะกลับช่วงค่ำๆ” ผมกำลังจะเดินเลยหน้าบ้านไปแต่สายตาหันไปเจอกับต้นไม้สูงที่ยื่นกิ่งก้านออกมาจากสนามหลังบ้านซะก่อน ผมรู้สึกว่า ครั้งที่แล้วที่ผมมานอนที่บ้านนี้ผมยังไม่เจอต้นไม้ต้นนี้เลย หรือผมไม่ทันสังเกตก็ไม่รู้ ผมเดินออกไปที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินมือที่ว่างอยู่ก็กดโทรศัพท์หาตาน “ตานพี่เองครับ” “พี่มิทมีอะไรครับ?” “เย็นนี้ไปกินข้าวที่บ้านป้าพี่นะพ่อกับแม่พี่ก็จะไปด้วย” ผมชวนตาน “พอดีมีธุระครับพรุ่งนี้ได้มั้ยครับ?” ตานตอบกลับมา “วันนี้ตานจะไปไหนครับ?” ผมถามต่อ “ไป... ไปทำธุระครับ” “ที่ไหนครับ?” ผมถามต่อ “ที่บ้าน... บ้านดงไม้ครับ” ตานตอบ ข้อดีของตานคือ เขาไม่โกหก แม้จะลำบากใจแต่ตานก็จะพูดความจริง “ไปที่นั่นอีกทำไมกันครับ!” ผมเผลอทำเสียงไม่พอใจตานนิ่งไป ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติ “พี่หมายความว่าไปที่นั่นทำไมครับ มีธุระอะไรกัน พี่พอช่วยได้มั้ย พอดีวันนี้พี่ว่างครับ” ผมเรียบเรียงคำพูดใหม่ให้ฟังดูอ่อนลง “มีเรื่องคุยกันครับพอดีผมเอาหนังสือไปทิ้งไว้ให้เขาอธิบายให้ฟัง” ตานตอบกลับมา “พูดถึงหนังสือก็ดีแล้วพี่มีข่าวดีมาบอก” ผมพูดแล้วก็พยายามกดหาจุดที่ตานยืนอยู่ตานยืนอยู่บนขบวนรถไฟก่อนหน้าผมสองนาที ถ้าผมตามก็คงทันแน่นอน “หนังสืออะไรครับ?” ตานถาม “หนังสือเกี่ยวกับครุฑครับป้าพี่เพิ่งค้นเจอในห้อง” ตานทำเสียงตื่นเต้นเหมือนคนดีใจตอนพบของล้ำค่า “งั้นพรุ่งนี้ผมเข้าไปครับแต่วันนี้ไปไม่ได้” “งั้นวันนี้ให้พี่ไปด้วยนะครับพี่อยากเจอคุณเวณวัฒน์ ทิชากร เพื่อน ของ ตาน” ผมย้ำประโยคหลังชัดๆ “ผมรอไม่ได้ครับพอดีไม่อยากให้เขารอ” ตานรีบปฏิเสธ “ไม่ต้องรอพี่ครับพี่กำลังตามไป เดี๋ยวก็เจอ” “พี่มิทตามผมทำไมครับ?” “พอดีพี่ไปหาตานที่บ้านแล้วเจอแม่ของตานแม่สั่งให้พี่มาดูแลตานครับ ท่านบอกว่าเป็นห่วง” “แม่...ฝากพี่มิทมาดูแลผม?” “ครับ” ผมตอบรับผมเห็นจุดสีแดงที่แทนตัวตานเคลื่อนที่ ตานเดินเร็วเข้าไปในซอยใกล้สถานีที่ลง ผมวิ่งออกมาจากขบวนรถที่จอดนิ่งยังไงตานก็วิ่งไปได้ไม่ไกล ผมมั่นใจว่าผมตามตานทันแน่นอน ตานเลี้ยวเข้าซอยไป ผมรีบวิ่งตามไปทันที วันนี้ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าบ้านของนายเวณวัฒน์ ตั้งอยู่ตรงไหน นักสืบที่ว่าเก่งๆยังตามหาบ้านของเขาไม่เจอทั้งที่มีเลขที่บ้านอยู่ในมือ ผมรู้สึกว่าพี่มิทตามมาเร็วมากพี่มิทวิ่งเร็วสมกับเป็นนักกีฬา ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อผมดังตามข้างหลังผมวิ่งเร็วๆ อยากจะไปให้ถึงประตูบ้านของคุณเวณวัฒน์ให้เร็วที่สุด ผมมั่นใจว่า ถ้าผมวิ่งไปถึงประตูบ้านตอนนั้นพี่มิทจะหาผมไม่เจอ ผมเลี้ยวเข้ามาในซอย กำลังวิ่งไปหาประตูบ้านแต่สุดท้ายก็ไม่ทัน มีมือมาดึงผมไว้ซะก่อน .... ขอบคุณครับ ถ้าไม่ติดแอดมินรีพลายให้กำลังใจกันด้วยนะ มืออุ่นๆ ที่ยื่นเข้ามาจับผมคือมือของคุณเวณวัฒน์และยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร พี่มิทก็วิ่งพ้นโค้งเข้ามาพอดีคุณเวณวัฒน์ดึงผมเข้ามาหลบอยู่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้านหลังที่มีแมวพี่มิทที่ยืนอยู่กลางแดดกำลังหันซ้ายหันขวาและมองไปรอบๆ คุณเวณวัฒน์ล้วงมือเข้ามาในกระเป๋ากางเกงของผมเขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วก็กดปิด พี่มิทเดินเข้ามาตรงหน้าประตูบ้านหมาที่นอนอยู่ใต้รถยนต์เห่าเสียงดังพี่มิทยืนห่างจากผมไปเพียงแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น แต่ไม่มีวี่แววว่าเขาจะเห็นผมเลย “เห็นผู้ชายวัยรุ่นเดินผ่านมาทางนี้บ้างมั้ยครับ?” พี่มิทถามเจ้าของบ้านที่กำลังลากสายยางออกมารดน้ำดอกไม้หน้าบ้าน ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของบ้านวางสายยางลงแล้วก็เดินออกมา“ไม่เห็นค่ะไม่มีใครมาแถวนี้เลยนอกจากคุณ ไม่งั้นหมามันคงเห่าแล้ว” “เป็นไปไม่ได้ต้องมีคนวิ่งเข้ามาแถวนี้ ผมจับสัญญาณดาวเทียมได้ที่นี่” พี่มิทพูดแล้วก็เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ในมือ ท่าทางฉงนปรากฏอยู่ชั่วอึดใจ “สัญญาณหายไปแล้ว” พี่มิทพยายามกดต่อสายเข้ามาหาผมสุดท้ายก็ถอดใจ “ผู้ชายอายุประมาณสิบแปดตัวเตี้ยกว่าผมซักครึ่งฝ่ามือ”พี่มิทถามอีกครั้ง “ไม่มีใครมาจริงๆค่ะบ้านนี้หลังสุดท้ายของซอยแล้ว บ้านเลขที่ 110 ถ้าเลยบ้านนี้ไปก็ติดคลองแล้วค่ะคุณมาผิดซอยหรือเปล่าคะ?” “ไม่ผิดครับผมทันเห็นหลังไวๆ มั่นใจว่าต้องเดินเข้ามาที่นี่” พี่มิทดูมั่นใจมากอาจจะเพราะเขาตามหลังผมมาติดๆ “ถ้ามาจริงหมาแมวคงไม่นิ่งแบบนี้หรอกค่ะ หรืออาจจะมาแล้ว แล้วก็เดินออกไปแล้วก็ได้” “แต่ซอยนี้เป็นซอยตันไม่ใช่เหรอครับถ้าเดินกลับออกไปผมก็ต้องเห็นสิ คนไม่ใช่อากาศจะหายตัวไปได้ยังไง” พี่มิทดูหงุดหงิดใจเล็กน้อย ระหว่างนั้น เจ้าแมวมันเดินเข้ามามันคงได้กลิ่นผมหรือคุณเวณวัฒน์เข้า แมวไม่เห็นแต่มันได้กลิ่นชัดเจนกว่าจมูกของมนุษย์ คุณเวณวัฒน์ชี้ไปที่แมวมันเงยหน้าขึ้นแล้วทำจมูกโบกไปมาในอากาศ พี่มิทเหลือบสายตามาทางแมวพอดี ผมใจหายวาบโชคดีที่เขาไม่สงสัยอะไร “ผมคงเข้าใจผิดไปเองขอโทษที่มารบกวนนะครับ” พี่มิทพยักหน้าเป็นเชิงขอโทษแล้วก็หันหลังกลับ คุณเวณวัฒน์จูงมือผมเดินไปที่ประตูบ้านครั้งนี้ผมรู้สึกเสียใจที่ทำให้พี่มิทรู้สึกเป็นห่วง ถ้าผมเจอแบบพี่มิทบ้าง ผมคงจะรู้สึกแบบเดียวกันพี่มิทเป็นคนดี แต่จังหวะและเวลาของผมกับเขาไม่ตรงกันต่อไปถ้าหากผมปล่อยให้เขารู้สึกกับผมแบบนี้ ไม่นานคงต้องเกิดเรื่องผิดใจกันแน่ “มนุษย์ควรทำใจรับกับความผิดหวัง ไม่มีใครเกิดมาแล้วสมหวังในทุกเรื่องแม้แต่เทวดานางฟ้าบนสวรรค์ก็ตาม” “ผมเห็นตาของพี่มิทแล้วใจตกไปอยู่กับพื้นผมมันแย่จริงๆ” ผมถอนหายใจออกมาจังหวะเดียวกับที่คุณเวณวัฒน์ผลักประตูของบ้านเลขที่111เข้าไป เขาปลอบใจผมด้วยคำถามที่ดึงเอาเรื่องเมื่อวานออกมา “ต้นไม้ขึ้นมาหรือเปล่าแล้วได้นกหรือยัง?” คุณเวณวัฒน์ถาม “ขึ้นมาแล้วครับเหมือนในนิทานเลย แล้วก็มีนกแก้วหลายๆสีเกาะอยู่เต็มเลยแต่ผมไม่รู้ว่านกแก้วพันธุ์อะไร” “นกแขกเต้า” เขาตอบผมเลิกคิ้วแล้วทำตาโตทันที “นกแขกเต้า?” “ในตระกูลนกแก้ว” “ผมได้ยินบ่อยๆในนิทานชาดกกับนิทานพื้นบ้าน” เราสองคนเข้าไปในบ้าน ผมไปนั่งเอนบนโซฟายาวเขาเดินเข้าไปในครัวแล้วก็หยิบน้ำออกมาให้ผมดื่ม “จำอะไรได้เพิ่มขึ้นบ้างหรือเปล่า?” เขาถาม ผมรับขวดน้ำเข้ามานาบที่ต้นคอคลายร้อนจากนั้นก็ส่ายหน้า พอลืมตาขึ้นมาอีกทีคุณเวณวัฒน์ก็กลับมาตาบอดและหลังงอเหมือนเดิม “อ้าวกลับมาเป็นแบบนี้อีกแล้ว”ผมสงสัย “ก็คุณจำอะไรไม่ได้” เขาตอบ “คุณต้องเปลี่ยนกลับไปกลับมาบ่อยๆเหรอ?” “เปล่ามันเปลี่ยนเอง ผมจะกลับมาเป็นแบบเดิม เมื่อคุณระลึกชาติได้สมบูรณ์” “เอาเถอะจะแบบไหนคุณก็คือคนเดิม” ผมพูดแล้วก็บิดฝาขวดน้ำออก“ดื่มมั้ย?” ผมถาม เขาส่ายหัวแล้วก็ตอบว่า “ผมเอามาขวดเดียว” “ขวดเดียวก็แบ่งกันได้” ผทบิดฝาออกแล้วก็รินน้ำในใส่ปากผมดื่มไปได้หนึ่งส่วนสามขวด จากนั้นก็ยื่นให้เขา พอเขายื่นมือมารับ ผมก็วางขวดไว้บนโต๊ะกระจก ผมเข้าไปนั่งตัก จากนั้นก็ส่งปากเข้าไปประกบ ผมดันเขาลงนอนแล้วก็กรอกน้ำในปากตัวเองลงไป ผมเห็นคอของเขาเคลื่อนไหวเป็นลูกน้ำในปากผมไหลลงไปในท้องของเขาเรียบร้อย แต่ริมฝีปากอุ่นๆยังคงประกบติดกัน ผมสัมผัสใบหูของเขาเบาๆ ลิ้นอุ่นๆเชื่อมเข้าหากันเหมือนกำลังสร้างความคุ้นเคย เราใช้ลิ้นจับกันแทนมือ รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปเป็นผู้ชายอีกคนเป็นผู้ชายที่มีดวงตาเป็นประกาย คิ้วและจมูกได้รูป ผมถอนริมฝีปากออกมาแล้วยิ้ม “สวัสดีครับคุณครุฑ” ผมหัวเราะเขากลืนน้ำลายลงคอตัวเอง จากนั้นก็พลิกขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้ เขาใช้ฝ่ามือร้อนๆ ซุกเข้าไปในขอบกางเกงฝ่ามือขนานไปกับผิวของผม เป็นเนินสะโพกกลมๆเขาสอดมือไปใต้กางเกงในแล้วก็ลูบไปมาเบาๆ เขาก้มลงมาจูบผมอีกครั้งคราวนี้ผมเห็นตาเขาชัดเจน ผมจับชายเสื้อของเขาแล้วก็ดึงขึ้นคุณเวณวัฒน์อยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน ผมโอบขาขึ้นไปรัดตัวเขาไว้จากนั้นก็...... คุณเวณวัฒน์ดันตัวออก เขาลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างๆโซฟาสายตาเขามองมาทางผมเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “คุณ...ยังเด็ก” “แล้วคุณจูบผมทำไม?” ผมนอนนิ่งๆพยายามกลั้นอาการหัวเราะเอาไว้ “ผลไม้ยังไม่สุกไม่ควรรีบเด็ดจากขั้ว” “งั้นนอนกอดกันเฉยๆก็ได้ผมอยากกอดคุณ มันอุ่นดี” ผมชูมือทั้งสองข้างไปหาเขาแต่คุณเวณวัฒน์เดินนั่งลงบนเบาะนุ่มๆใกล้กับผม เขายกขวดน้ำขึ้นมาดื่มแล้วก็ส่ายหัว “ทำไม?” ผมตั้งคำถาม “คุณกำลังทดสอบผม” “ผมเปล่า” ผมส่ายหัว “ผมไม่ได้ใจแข็งได้ตลอดบางที ผมอาจจะเผลอทำอะไรคุณเข้า” “งั้นผมคงจะมาที่นี่ไม่ได้บ่อยๆจากนี้ไป อาจจะมาเดือนละครั้ง”ผมพูดแล้วถอนหายใจตาข้างขวาแอบลอบสังเกตอาการของเขา คุณเวณวัฒน์หันมามองผมแล้วก็นิ่งไป “... ผมอยากให้คุณมาที่นี่ทุกวันผมชอบอยู่กับคุณ” เขาตอบ “ผมไม่เคยมีแฟนผมก็อยากรู้ว่าคนเป็นแฟนกันเขาทำกันแบบไหน” “ตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรถึงขั้นนั้น ผมไม่ใช่ผู้บรรลุธรรมที่ตัดเรื่องเสพกามอารมณ์ไปได้ผมยังอยู่ในโลกของโลกีย์ อย่าทำให้ผมรู้สึกผิดกับคุณเลย”
|