“คุณพูดเหมือนผมเป็นเด็กเล็กๆ” “คุณยังเด็กมากถ้าเทียบกับอายุของผมผมไม่อยากให้คุณหมดความรู้สึกสนุกสนานตามวัยของคุณไปก่อนถึงเวลาอันควร” “ผมไม่เข้าใจ” “ถ้าผมทำอะไรคุณไปช่วงเวลาหลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของเราจะเปลี่ยนไปด้วย บางที...” “บางที?” ผมจ้องหน้าเขาแล้วถาม “บางทีผมอาจจะไม่ยอมให้คุณไปไหนอีกเลย ผมอยากให้คุณอยู่ใกล้ๆตัวเราอาจจะใช้เวลาหลายๆชั่วโมงไปกับ...” “การร่วมเพศ” ผมพูดต่อให้จนจบแล้วหัวเราะ“ผมแค่อยากรู้ว่าคุณจะทำยังไงเวลาผมทำแบบนั้นกับคุณ คุณจะนิ่งเหมือนรูปปั้นหรือจะดุผม” “ผมไม่นิ่งเป็นรูปปั้นแล้วก็ไม่ดุคุณ” เขาตอบ “บางทีคุณก็เหมือนพ่อของผมบางทีคุณก็เหมือนคนรัก” “คุณจะรู้จักผมมากกว่านี้ถ้าเรามีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น” ผมนั่งอยู่ในรถไฟเงียบๆไม่น่าเชื่อเลยว่าตานจะหายไปได้ ผู้ชายคนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เขาต้องมีอะไรบางอย่างที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ผมได้แต่เจ็บใจที่ปล่อยให้ตานถูกเขาหลอกโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมกลับมาที่บ้านของป้าอาหารเย็นยังไม่ได้ตั้งโต๊ะ ผมเดินเข้าไปด้านในเห็นป้ากำลังให้คนเข้ามาทำความสะอาดตู้หนังสือใหม่ “หนังสือเก่าจนกระดาษเหลืองหมดแล้วมิทจะให้คนมาสแกนเป็นไฟล์ไว้ให้ดีมั้ยครับ” ผมเดินเข้าไปนั่งบนชุดเก้าอี้ในห้องป้าให้คนออกไป แล้วก็ดึงหนังสือเล่มสีน้ำตาลเข้มออกมาให้ผมถือเอาไว้ “นี่มันหนังแท้นี่ครับป้า?” ผมลูบนิ้วไปบนปกหนังสือสัมผัสจากหนังแท้ ให้ความรู้สึกที่ต่างกับวัสดุอื่น “นี่คือหนังแท้ๆมิทเห็นรอยสักยันต์บนปกหลังมั้ย?”ป้าถามผม ผมพลิกปกหลังขึ้นมาดูรอยสักรูปอักขระขอมปรากฏไม่ชัดนักในแผ่นหนังสีเข้มจัด “เอ๊ะสมัยก่อนเขาสักลงบนหนังวัวด้วยเหรอครับป้า?” ผมใช้นิ้วถูไปบนรอยสักนั้นเบาๆ ป้าผมยิ้ม จากนั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่างห้อง “นี่คือหนังคนเป็นหนังเชลยมีชีวิต กลางหลังมันมีรอยสัก” ป้าผมพูดชัดถ้อยชัดคำ ผมไม่แทบไม่เชื่อหูตัวเอง มือผมรู้สึกร้อนอยากจะทิ้งหนังสือของป้าลงไปบนพื้น ผมไม่อยากจับสิ่งของที่มีที่มาน่ากลัวแบบนี้ “ทำไมไปเอาหนังคนมาทำล่ะครับเขาทำอะไรผิด?” “มันทำคุณไสยเล่นมนต์ดำในราชสำนัก” “ใครครับ?” “เป็นคนปลอมตัวเข้ามาแต่ถูกจับได้” “เลยต้องฆ่าเขาเพื่อเอาหนังมาทำปกหนังสือเหรอครับ?” “นี่ไม่ใช่หนังสือธรรมดาแต่เป็นตำราไสยเวท ผู้ครอบครองและเรียนรู้วิธีใช้จะสามารถเรียกเอาอาคมออกมาใช้ได้” ป้าตอบช้าๆดูเหมือนว่าวันนี้ป้าจะอยากคุยเรื่องนี้กับผมเต็มที “มิทไม่อยากยุ่งกับเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้เลยครับ” ผมตอบ “บางเรื่องเราก็ต้องเรียนรู้เอาไว้ หากวันนี้ไม่ได้ใช้ประโยชน์ วันหน้าก็ต้องมี” “เช่นอะไรบ้างครับ?” “เป่ามนต์ทำให้คนเชื่อฟัง ไปจนถึงเรื่องใหญ่อย่าง.... ฆ่าคน” ป้าผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เจือไปด้วยความหนักแน่น “เป่ามนต์ทำให้คนรักเราได้มั้ยครับ” “ได้แต่เป็นชั่วครั้งชั่วคราว พอมนต์หมดก็ต้องทำใหม่” “แบบนั้นจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับได้แต่ตัว ไม่ได้หัวใจ” ผมถอนหายใจ “ถ้ามิทรักใครก็ต้องเทใจให้ไปหมด แบบนี้คนๆนั้นจะไม่รักกลับเลยหรือการทำมนต์มันช่วยสร้างโอกาสและสถานการณ์ให้เอื้อต่อการสร้างความรักต่างหาก” “ถ้าทำแล้วอีกฝ่ายจะมีอันตรายมั้ยครับ?” “ไม่มีแต่อาจจะเคลิ้มฝันชั่วขณะ ลืมทุกอย่างรอบตัว เขาจะสนใจเราคนเดียว ไม่สนใจคนอื่น” “งั้นมิทจะเรียน” “ถ้าคิดจะทำกับตานก็ให้ล้มเลิกความคิด” ป้าผมพูดเจาะตรงประเด็นทำเอาผมต้องเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือทันที “ทำไมครับมิทแค่อยากทำให้ตานมีมิทคนเดียว อยากให้คิดถึงแต่มิท หลังจากนั้นตานจะรักมิทคนเดียว” “ดวงแข็งเกินไปบุญบารมีสะสมติดตัวมาก็มาก ทั้งยังมีคนคุ้มครองอีก” “ใครกันครับหรือว่า ป้าหมายถึงคนที่กำลังหลอกตานอยู่?” “คนที่ให้สร้อยคอรูปปีกนกไม่ใช่คนธรรมดาเราทำอะไรเขาไม่ได้” ป้าผมตอบ “ถ้ามิทไม่มีตานมิทคงอยู่ไม่ได้ ป้าช่วยมิทนะครับ ป้าช่วยให้ตานมาอยู่กับมิทคนเดียว” ผมเห็นแววตาหนักใจของป้าปกติป้าของผมไม่เคยมีแววตาแบบนี้มาก่อน “ป้ารู้” . ผมเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ สิ่งลึกลับที่ป้าสอนทำเอาผมรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีเรื่องที่อยู่เหนือธรรมชาติและวิทยาศาสตร์อีกมาก ผมนอนหลับไปด้วยความรู้สึกง่วงตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนสายของอีกวัน ผมอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปข้างนอก ผมเจอตานกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หลังบ้านบนต้นไม้มีนกเกาะอยู่หลายสิบตัว ตานเดินไปปิดน้ำแล้วก็เดินเข้ามาหาผม สายตาของเขาเหมือนกำลังตั้งคำถามว่าผมมีธุระอะไร “พี่ไม่เคยเห็นต้นไม้นี้เลย” ผมหยุดยืนอยู่หน้าต้นไม้ที่ตานเพิ่งรดน้ำไป “เพิ่งปลูกครับ” เขาตอบ “ให้รถยกมาให้เหรอครับคราวหน้าบอกพี่ก็ได้ พี่รู้จักร้านขายต้นไม้ใหญ่ๆแบบนี้ เคยสั่งมาทำสวนหน้าบ้านตานอยากได้ต้นอะไร พี่จะไปหาไว้ให้” “มีคนให้มาครับไม่มีขายที่ไหน” “ใคร?” “คุณเวณวัฒน์” “เมื่อไหร่จะเลิกยุ่งกับเขาซะทีเขากำลังหลอกตานอยู่รู้มั้ย?” “เขาไม่ได้หลอกผม” “เขาหลอกตานเขาไม่ใช่คนธรรมดา เขากำลังหลอกตานไปจากพ่อกับแม่” “ไม่ใช่ครับ” “ตานไม่ปกติเขาทำอะไรกับตาน?” “ไม่มีใครทำอะไรผม” ตานถอนหายใจแล้วก็เดินเข้าไปในบ้านบ้านเงียบเชียบ พ่อกับแม่ของตานคงออกไปข้างนอก ผมตามเข้ามาในบ้านเราสองคนยืนจ้องหน้ากันอยู่ในห้องรับแขก “ต่อจากนี้ไปตานไม่ควรไปหาเขาอีก พี่จะคุยเรื่องนี้กับพ่อของตานอีกที” “เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของผมผมคิดว่า ผมตัดสินใจเองได้” “เรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าที่ตานจะคาดถึงปล่อยให้พี่กับพ่อจัดการดีกว่า” “ผมไม่เข้าใจว่าแค่ผมจะคบกับใครซักคน ทำไมพี่มิทกับกับพ่อจะต้องรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ด้วย” “ตานไม่เข้าใจ” “ตรงไหนล่ะครับที่ผมไม่เข้าใจ?” ตานมองหน้าผม “พี่บอกแล้วว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาไม่ใช่คน เขาจะเอาตานไปจากครอบครัว” “ไม่จริงคุณเวณวัฒน์จะอยู่กับผม เราสองคนจะไปไหนพร้อมๆกัน” “ตาน!!!” “เลิกยุ่งเรื่องนี้ซะทีปล่อยให้ผมตัดสินใจเอง” ตานพูดแล้วหันหลังเขากำลังจะเดินเข้าไปในห้องครัวผมดึงแล้วกระชากไหล่สองข้างของเขาเข้ามาเขย่าเรียกสติ “เขาหลอกตานเขากำลังจะพาตานไปจากพี่ ตานกำลังทำอะไรอยู่ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า!!!” “ผมรู้ตัวดี” ตานตอบเสียงแข็งผมบีบไหล่เขาแน่นเพราะลืมตัวอารมณ์โกรธและไม่ชอบใจที่เขาปกป้องผู้ชายคนอื่นทำให้ผมขาดสติ “คนรู้ตัวที่ไหนที่จะยอมให้คนอื่นหลอกพี่ไม่ยอมให้ตานไปหาเขาอีกแล้วนะ!!!” “คุณไม่มีสิทธิ์มาห้ามผม” “ตานเป็นของพี่พี่ไม่มีทางปล่อยตานไป!!!” “ผมไม่ใช่ของของคุณผมไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ ผมจะไปคบกับใครก็ได้ ไม่เกี่ยวกับคุณ” ตานกระชากตัวออกไป ผมตามไปคว้าเอวของเขาตานกำลังจะเดินขึ้นไปบนบ้าน แต่ผมดึงเขากลับลงมา ในสถานการณ์นั้น ผมหึงจนขาดสติ เสียงเสื้อยืดขาดเกิดขึ้นไม่นานก็มีเสียงแมวขู่ฟ่อ ตานลงนั่งกับบันไดไม้ ข้างๆกันมีแมวสีเงินกำลังพองขนเพื่อขู่ผม ตานอุ้มแมวขึ้นไปปลอบเสื้อของเขาขาดเป็นทางยาวจากแรงทึ้งของผม ตานใช้มือลูบขนแมวเบาๆโดยไม่ได้สนใจสภาพตัวเองเลย ผมของเขายุ่งและมีรอยแดงที่แขนเสื้อยืดที่สวมอยู่ก็ขาด ผมรู้สึกเสียใจจนบรรยายไม่ถูกตานไม่ได้มีท่าทีโกรธผมเลย มันทำให้ผมรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก ผมจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าตานด่าผมออกมาซักคำ “ตาน....” ผมพูดออกมาเบาๆ “กลับไปก่อนเถอะครับวันนี้เราคงคุยกันไม่รู้เรื่อง”ตานปล่อยแมวลงกับพื้นแล้วก็ยืนขึ้นตอนนั้นเขาไม่ได้มองหน้าผมเลย “พี่ขอโทษนะครับตานเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”ผมขยับตัวจะเข้าไปจับดูต้นแขนของเขาแต่ตานยกฝ่ามือขึ้นปฏิเสธ “ไม่เจ็บครับคุณกลับบ้านไปก่อนนะครับ” ตานแทนผมว่าคุณตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มต้นทะเลาะกันมาถึงตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าจะกลับเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ตรงไหน ผมอยากจะคุยให้รู้เรื่อง อยากจะให้เขารับปากผมว่า เขาจะไม่เข้าไปยุ่งกับนายเวณวัฒน์อีก แต่ในเมื่อผมทนเห็นท่าทีเย็นชาของตานแบบนี้ต่อไปไม่ได้ผมไม่อยากทำให้เขาโกรธ ทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือ ผมควรจะกลับไปก่อนรอให้อารมณ์ดีขึ้นแล้วค่อยคุยกัน “พี่ขอโทษที่ทำให้ตานเจ็บไว้เราค่อยมาคุยกันใหม่นะครับ”ผมปิดท้ายแล้วตั้งท่าจะหันหลังกลับ “ผมจะไม่คุยเรื่องนี้อีกผมตัดสินใจไปแล้ว ผมรักคุณเวณวัฒน์ เราสองคนกำลังคบกันผมคิดกับคุณแค่พี่ชายกับน้องชาย...เท่านั้น ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด” เสียงตานดังขึ้นก่อนที่เขาจะเดินขึ้นบันไดไปผมอยากจะเรียกให้เขาเดินลงมาพูดช้าๆชัดๆอีกรอบ ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยว่าตานจะพูดแบบนี้ออกมา “ตาน...” สองวันหลังจากที่พี่มิทเข้ามาที่บ้านผมก็ไม่เจอเขาอีกเลย ไม่ได้ข่าวคราว ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยก็ไม่เจอ พอช่วงบ่ายที่ผมเข้ามาเรียนที่คณะพี่เป้เดินเข้ามาหาผมกับนกน้อยที่หน้าอาคารหอสมุด “น้องหมอฟัน” พี่เป้พูดด้วยท่าทีที่ต่างออกไปจากบุคลิกปกติ “ครับ?” ผมรับคำแล้วก็เดินลงบันไดมาหา “ถ้าว่าง...” “ถ้าว่าง?” ผมทวนคำพี่เป้ “ถ้าว่างช่วยไปเยี่ยมไอ้มิทเย็นนี้หน่อยได้มั้ย มันนอนป่วยมาสองวันแล้ว ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน” พี่เป้พูดแล้วก็ทำหน้าตาหนักใจ “พี่มิทป่วยเป็นอะไรครับ?” ผมถาม “เป็นไข้พอดีมันเครียด บอกว่าทำให้ตานเสียใจ ข้าวไม่กิน เจอฝนเมื่อวานเลยนอนซม” “ทำไมไม่หายากินล่ะครับ?” “มันเป็นไข้ใจล่ะมั้งไปดูมันหน่อยนะ ปกติมันแข็งแรงจะตาย ร้อยวันพันปีไม่เคยป่วย พอป่วยขึ้นมาเลยนอนซม” “ก็จะไปเยี่ยมแหละครับแต่ถามดูว่าทำไมไม่กินยา” “ไม่รู้เหมือนกันเมื่อวานมันไม่มาเรียน พี่เลยโทรไปถามที่บ้าน เห็นว่านอนซมอยู่บนเตียงข้าวก็ไม่กิน” พี่เป้โบกมือแล้วก็เดินกลับออกไปนกน้อยหันมามองผมแล้วก็พูดขึ้นมา “ใจป่วยเลยไม่หิวข้าวพอไม่หิวข้าวก็เลยกินยาไม่ได้” นกน้อยไม่ได้ถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเองก็รู้สึกผิดที่ทำให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้พี่มิทเป็นคนดี ผมคงรู้สึกแย่หากเขามาป่วยเพราะมีผมเป็นต้นเหตุ “งั้นกลับก่อนนะจะไปเยี่ยมพี่มิทที่บ้าน”ผมฝากงานไว้กับนกน้อยแล้วก็นั่งรถมาที่บ้านของพี่มิท บ้านหลังใหญ่เงียบเชียบผมกำลังจะเดินไปที่บ้านของป้าพี่มิท พอดีกับที่รถคันใหญ่ขับผ่านผมไปพอดีรถคันนั้นหยุดลงตรงถนนที่ปูด้วยอิฐตัวหนอน ผู้หญิงในชุดสวยงามก้าวลงมาจากรถยนต์เธอมองดูหน้าผมซักพักแล้วก็เดินเข้ามาใกล้ๆ “น้องตานใช่มั้ยคะ?” “ครับ” “มาเยี่ยมพี่มิทใช่มั้ยพี่มิทอยู่บ้านนี้ค่ะ” “ขอบคุณครับคุณ” “เรียกแม่ก็ได้ค่ะแม่เป็นแม่ของพี่มิท” แม่ของพี่มิทเดินนำผมเข้าไปในบ้านบ้านหลังใหญ่นั้นดูกว้างขวางจนต้องหันคอมองดูเป็นมุมสามร้อยหกสิบองศาพื้นบ้านทำด้วยหินอ่อนสีขาว ตรงกลางมีบันไดขึ้นชั้นบนแม่พี่มิทยืนรอผู้ชายอีกคนที่ถือกระเป๋าตามมา ผู้ชายคนนั้นใส่แว่นตาดูเหมือนเป็นคนมาดูอาการของพี่มิท “เชิญข้างบนเลยค่ะคุณหมอน้องตานด้วยนะคะ” แม่ของพี่มิทพยักหน้าแล้วดึงแขนผมขึ้นไปชั้นสองของบ้าน เราสามคนเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าห้องนอนห้องหนึ่งเมื่อแม่ของพี่มิทผลักประตูเข้าไป ผมเห็นพี่มิทนอนอยู่บนเตียงกว้างๆ คุณหมอเดินเข้าไปแล้วก็ใช้เครื่องมือฟังเสียงหัวใจเต้นคุณหมอบอกว่า ให้หาข้าวมาให้คนไข้กิน ไม่งั้นอาจต้องเจาะสายน้ำเกลือ แม่ของพี่มิทหันมามองดูผมก่อนจะกดโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของพี่มิทลงไปชั้นล่างเพื่อสั่งข้าวขึ้นมา “แม่ฝากหน่อยนะคนไข้ไม่ฟังใครเลย ถ้ากินข้าวแล้วจะได้ให้คุณหมอฉีดยา อีกสามวันมีสอบแล้วเดี๋ยวจะแย่เอา” แม่กับคุณหมอเดินออกไปจากห้อง ผมยืนอยู่กับที่ไฟสีนวลตาสว่างขึ้น ผมมองดูรูปทีมสโมสรฟุตบอลบนผนัง ใกล้กันมีรูปทีมเบสบอล เมื่อหันมามองผนังบนหัวเตียงผมเห็นภาพที่ดูคุ้นตา มันเป็นรูปของผมเอง เป็นรูปตอนผมกินมะม่วงเปรี้ยวๆของพี่มิทมีรูปตอนไปค่ายในต่างจังหวัด และมีรูปพี่มิทกับผมตอนทำมงกุฎหิ่งห้อยรูปรอยยิ้มของพี่มิทขณะสวมมงกุฎ ทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ “พี่มิทครับลุกขึ้นมากินข้าวหน่อยนะครับ”ผมเรียกพี่มิทเบาๆ คนบนเตียงยังหายใจสม่ำเสมอไม่มีทีท่าที่จะตื่นขึ้นมา ผมเข้ามานั่งอยู่ข้างเตียงมือขวาเอื้อมไปสะกิดพี่มิทที่นอนหันหลังให้ “พี่มิทครับตื่นขึ้นมากินข้าวนะครับ”ผมจับไหล่พี่มิทแล้วเขย่าเบาๆพี่มิทตื่นขึ้นมาแล้วพยายามหรี่ตามอง “ตาน” แม่ของพี่มิทเป็นคนยกถาดข้าวขึ้นมาเองในถาดมีข้าวต้มเครื่อง มีนมแล้วก็ขนมปัง แม่ของมิทวางถาดไว้บนตักของผมแล้วก็เดินกลับออกไปในห้องเหลือผมกับพี่มิทสองคน “กินข้าวนะครับ” “ตานพี่ขอโทษ ตานโกรธพี่มากใช่มั้ย พี่ทำให้ตานเจ็บตัว ทำให้ตานโกรธ” “ไม่เจ็บแล้วครับแล้วก็ไม่ได้โกรธด้วย” “พี่อยากย้อนเวลากลับไปพี่จะไม่ทำกับตานแบบนั้น” “ไม่มีใครย้อนเวลากลับไปได้สิ่งที่อยู่ข้างหน้าต่างหากที่จะต้องสนใจ ไม่ใช่ห่วงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว” “ขอบคุณนะครับที่ไม่โกรธพี่” “ตอนนี้กินข้าวก่อนนะครับเดี๋ยวหมอจะได้ให้ยา” ผมคนข้าวต้มในชามแล้วตักขึ้นเป่า “พี่ไม่หิวเลยแค่ตานมาหาก็ดีใจแล้ว” “กินซะหน่อยนะครับ” ผมยื่นช้อนเข้าไปใกล้ๆพี่มิทส่ายหัวกลับมา “ถ้าไม่กินผมจะกลับแล้วนะครับ” ผมค้างช้อนไว้ในอากาศพี่มิทดึงช้อนเข้าไปใกล้ๆ ดูเหมือนเขากำลังพยายามกินข้าว พี่มิทกลืนข้าวลงไปในคอด้วยท่าทางยากลำบาก “พยายามกินหน่อยนะครับ” ผมพูดตอนเห็นเขากำลังฝืนใจกินข้าว “อย่าเพิ่งกลับนะอยู่คุยกับพี่ก่อน” “เดี๋ยวหมอมาให้ยาแล้วผมจะคุยด้วยตอนนี้กินข้าวเยอะๆนะครับ แล้วก็ดื่มนมด้วย” “กินเยอะๆแล้วอยากจะอ้วกออกมา” พี่มิทพูดแล้วก็อมข้าวไว้ในปาก “งั้นกินครึ่งเดียวก็ได้” ผมป้อนข้าวคำต่อไปให้จากนั้นก็ดึงกระดาษนุ่มๆเข้ามาเช็ดปาก พี่มิทจับมือผมไว้แล้วก็เอาไปแตะที่ซอกคอ ตัวพี่มิทร้อนจัดผมดึงมือออกมาแล้วก็ยกแก้วนมให้พี่มิทดื่ม เวลาผ่านไปซักพักหมอกับแม่พี่มิทก็เข้ามาในห้องแม่ของพี่มิทเหมือนจะร้องไห้ตอนเห็นพี่มิทกินข้าวไปครึ่งถาดแล้วก็ดื่มนมจนหมดแก้ว ผมขอตัวออกมาจากห้องตอนที่หมอให้ยาคนป่วยและเมื่อเดินออกมาก็เจอป้าที่หน้าห้องของพี่มิท “ยาของหมอก็คงไม่ดีเท่ายาของตาน” ป้าพูดขึ้นมาตอนผมเดินออกจากห้องผมยกมือไหว้ป้าของพี่มิทแล้วก็เดินมายืนอยู่ข้างๆ “ขอโทษนะครับที่ทำให้พี่มิทเป็นแบบนี้” ผมพูดโดยที่ไม่ได้มองดูหน้าของป้าพี่มิท “ไม่ใช่ความผิดของตานมิทต่างหากที่ทำผิด ตอนกลับมาก็กินเหล้า ดีที่ป้าเข้ามาเห็น พอตอนเย็นก็ไม่กินข้าวมาเจอฝนอีกก็เลยไข้ขึ้น ใครจะบังคับให้กินข้าวก็ไม่ยอมจะไปหาตานก็กลัวตานโกรธ ได้แต่มานอนซมอยู่บนเตียง” ป้าพี่มิทลูบหลังผมแล้วก็ถามอาการหลานชายตอนหมอเดินออกมา แม่ของพี่มิทให้คนเอาชามใส่น้ำกับผ้าขนหนูเข้ามาเช็ดตัว “แม่ฝากด้วยนะน้องตานคนไข้ดื้อ ไม่ยอมให้ใครโดนตัวเลย” “ให้ผมเช็ดตัวเหรอครับ?” ผมมองดูอุปกรณ์ในมือของแม่บ้าน “เช็ดตัวแล้วก็ช่วยเปลี่ยนชุดให้พี่เขาด้วยนะเดี๋ยวแม่จะไปส่งคุณหมอกลับบ้าน” แม่ของพี่มิทเดินลงไปกับหมอ ส่วนคุณป้าก็พึมพำกับแม่บ้านเรื่องทำอาหารเอาไว้ตอนพี่มิทหิวตอนดึก ไม่มีใครอยู่ข้างบนอีกเลยผมถือชามแก้วกับผ้าขนหนูเข้าไปในห้อง พี่มิทนอนหันหลังอีกเช่นเคย “บอกว่าไม่ต้อง” พี่มิทพูดสั้นๆ “ผมเองครับ” ผมวางชามลงแล้วก็จุ่มผ้าทั้งผืนลงไปน้ำอุ่นซึมเข้าไปในผ้าจนชุ่ม ผมบิดผ้าพอหมาดแล้วก็ยกขึ้นมาแตะหน้าผากคนป่วย “เช็ดตัวหน่อยนะครับไข้จะได้ลด” “เหนียวตัวไปหมด” พี่มิทหน้ากลับมาหาผมตาของพี่มิทจ้องผม แววตาเขาเหมือนเด็กผมเพิ่งเห็นชุดนอนของเขาตอนนี้นี่เองว่ามันเป็นรูปตัวการ์ตูนหุ่นยนต์ “เช็ดหน้าเช็ดคอกับหน้าอกนะครับ” ผมเช็ดผ้าไปที่หน้าแล้วก็ซอกคอพี่มิทแกะกระดุมเสื้อออก ความน่ารักแบบเด็กหายไป เหลือผู้ชายตัวโตที่มีมัดกล้ามเนื้อนอนยันตัวอยู่บนเตียง “เช็ดตัวก็ดีจะได้ไม่เหนอะตัว พี่ไม่ได้อาบน้ำมาสองวันแล้ว” ผมเอาผ้ามาเช็ดตัวให้พี่มิทความชื้นของผ้าทำให้พี่มิทหนาวแต่ก็ยอมให้เช็ดตัวโดยดี เมื่อผ้าลงมาถึงช่วงกลางลำตัวผมก็ข้ามไปเช็ดขาลงไปถึงเท้า จากนั้นก็ส่งผ้าอีกผืนให้พี่มิทเช็ดเอง “เช็ดตรงนี้เองนะครับเดี๋ยวไปเอาชุดใหม่มาให้เปลี่ยน”ผมพูดแล้วก็ส่งผ้าให้จากนั้นก็เดินไปค้นเสื้อกับกางเกงชุดใหม่จากในตู้ที่อยู่อีกฝั่งของห้อง ตู้เสื้อผ้าของพี่มิทมีอยู่สามด้านของผนังผมไล่เปิดทีละด้านก็เจอเสื้อผ้ามากมายแขวนอยู่ มีตั้งแต่ชุดลำลอง ชุดออกงานชุดนักศึกษา ชุดใส่อยู่บ้านและชุดนอน และชุดนอนของพี่มิททุกชุดมีลายการ์ตูนหุ่นยนต์อยู่ด้วย ผมค้นได้เสื้อและกางเกงขายาวที่เข้าชุดกันจากนั้นก็เปิดหากางเกงในใต้ลิ้นชัก เมื่อเดินกลับมาที่เตียงก็เจอพี่มิทกำลังเช็ดช่วงใต้สะดือลงไปจนถึงช่วงหว่างขาอย่างลำบาก “ชุดใหม่ครับ” ผมมองไปอีกทางไม่อยากมองดูคนเปลือยตรงหน้า “ยังไม่แห้งเลย” เสียงพี่มิทตอบกลับมา “เดี๋ยวผมไปรอข้างนอกนะครับ” “อยู่คุยกันก่อน” พี่มิทตอบผมได้ยินเสียงเขาสวมชุดนอนใหม่ เมื่อเสียงเงียบไป ผมก็เหลือบตาไปมอง “ส่งชุดเก่ามาครับ” ผมยื่นมือไปรับชุดที่พี่มิทมืออุ่นๆ สัมผัสถูกมือของผมอยู่ชั่วอึดใจ “ตานเรื่องวันก่อน พี่ขอโทษนะ” ผมไม่ได้ตอบแต่พยักหน้าแล้วก็เอาผ้าชุดเก่าไปใส่ตะกร้า “พี่คิดว่าตานจะโกรธจนไม่พูดกับพี่แล้วซะอีก” “ไม่ได้โกรธครับแค่ตกใจ ปกติพี่มิทไม่เคยเป็นแบบนั้น” ผมตอบ พี่มิทนิ่งไปเหมือนคนรู้สึกผิดจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาใหม่ “เวลาคนเรารักและหวงอะไรมากๆก็จะรู้สึกไม่อยากเสียมันไป พี่ยอมรับว่าควบคุมตัวเองไม่อยู่ ถ้าย้อนเวลา...” “ลืมมันซะเถอะครับอย่าพูดถึงอีกเลย” ผมตัดบท “ไม่พูดก็ได้แล้วต่อไปนี้ พี่จะปรับปรุงตัวเองซะใหม่” ผมมองพี่มิทแล้วก็คิดจะพูดถึงประเด็นนั้นอีกครั้ง “ผมคิดกับพี่มิทแบบ...” “รู้แล้วครับ” พี่มิทพูดแล้วถอนหายใจผมเห็นท่าทางเหงาหงอยของเขาอย่างชัดเจน “ขอบคุณครับ” ผมยิ้มแล้วก็เดินเข้าไปใกล้เมื่อทาบฝ่ามือลงไปที่หน้าผาก ตอนนี้พี่มิทไม่ได้ตัวร้อนจัดเหมือนชั่วโมงก่อน “ต่อไปนี้พี่จะเคารพการตัดสินใจของตานตานไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้ว พี่ไม่ควรไปยุ่มย่ามชีวิตส่วนตัว” “ขอบคุณครับผมรักพี่มิทและไม่อยากให้เราหมางใจกัน เรื่องเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว” “ให้พี่ทำอะไรก็ได้ขอแค่ให้ตานไม่โกรธก็พอ” เป็นเรื่องที่น่าดีใจที่สุดพี่มิทเข้าใจและก้าวผ่านปัญหายุ่งๆไปได้ผมคิดว่าคุณเวณวัฒน์กังวลเกินไปเรื่องพี่มิท “ง่วงมั้ยครับ?” ผมนั่งลงข้างๆเตียง “ไม่ครับนอนมากก็ปวดหัว” “งั้นทำอะไรกันดีครับดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือเล่นเกม?” “พี่ซื้อหนังมายังไม่ได้ดูเลยตานดูหนังกับพี่นะครับ” “ได้ครับ” ผมตอบรับและรู้สึกนึกรักพี่มิทในแบบนี้เหลือเกินเขาดูเป็นพี่ชายแสนดีซึ่งผมไม่เคยมีมาก่อน เราออกมาดูหนังในห้องฉายหนังใต้ดินแม่บ้านยกอาหารว่างและเครื่องดื่มมาให้ จากนั้นก็ไม่มีใครเข้ามาในห้องอีกเลย บรรยากาศราวกับว่าบ้านหลังนี้มีผมกับพี่มิทอยู่แค่สองคน “พ่อกับแม่พี่มิทไม่อยู่เหรอครับ?” ผมถามขึ้นมาหลังหนังจบ “ไปกินข้าวที่บ้านคุณป้าครับแล้วก็จะออกไปเจอ...” “...” ผมเงียบไประหว่างรอฟังพี่มิท “ไปเจอเพื่อนข้างนอกครับดึกๆก็กลับ” “ครับ” ผมพยักหน้า“หิวมั้ยครับ?” “ไม่หิวครับแต่ถ้าตานกินด้วย พี่ก็จะกินอีก”พี่มิทลุกขึ้นยืนแล้วบิดตัวไปมาแก้เมื่อยหลังนั่งกับที่มาร่วมชั่วโมง พี่มิทดึงมือผมออกไปข้างนอกเราสองคนเดินมาถึงห้องอาหาร บนโต๊ะมีจานข้าวและอาหารค่ำที่แม่บ้านทยอยลำเลียงมาจากห้องครัว “กินข้าวนะครับ” พี่มิทขยับโต๊ะให้ผมและไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า กับข้าวบนโต๊ะมันมีแต่ของโปรดผมทั้งนั้น “กินเยอะๆนะครับพี่อยากให้ตานคิดว่าที่นี่คือบ้าน พ่อกับแม่พี่ชอบตาน ป้าของพี่ก็รักตานมากอยากให้ตานมาที่นี่ทุกวันด้วยซ้ำไป” พี่มิทกลับมาพูดเก่งเหมือนเดิมเหมือนตอนที่เรารู้จักกันใหม่ๆ ผมรู้สึกว่า การมาที่นี่วันนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ผมกับพี่มิทเหมือนเดินย้อนกลับมาถึงบันไดขั้นที่เรารู้จักกันช่วงแรก
|