ผมนั่งจัดการงานทั้งหมดตรงหน้า งานกองย่อมๆทยอยบางลงไปเมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ไอ้เป้นั่งเท้าคางมองผมจากฝั่งตรงข้ามมันทำตาปริบๆเหมือนสงสัยอะไรบางอย่างผมวางงานชิ้นสุดท้ายลงบนโต๊ะจากนั้นก็รวบไว้ด้วยกัน “มองหน้ากูทำไม?” ผมถามแล้วก็ปั้นก้อนกระดาษขว้างใส่หัวเพื่อนมันขยี้หัวเหมือนมีอะไรคาใจ “มึงกลายเป็นพ่อพระไปได้ยังไงวะปล่อยน้องหมอฟันไปง่ายๆแบบนั้นได้ไง?” “กูไม่มีทางปล่อยของรักไปให้ใครง่ายๆ” ผมมองไปที่นกสีน้ำตาลซึ่งเกาะอยู่กับกิ่งไม้ไกลออกไป “กูไม่เข้าใจ” “ใครอยากได้ของรักของกูก็ต้องออกแรงมาแย่งไป” ผมพูด “ตั้งแต่หายไข้นี่มึงเพี้ยนไปเยอะนะเพื่อน” ไอ้เป้หรี่ตามองผมอย่างสงสัย “กูไม่ได้เพี้ยนกูแค่เปลี่ยนวิธี ตานชอบคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่ กูพลาดที่ไปทำตัวงี่เง่าพลาดที่ไปทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขา ต่อจากนี้ไป กูจะเดินเกมใหม่” “โอ๊ยยิ่งพูดยิ่งงง ตกลงเป็นไงวะมิท” “มึงคอยดูไปละกัน” “แต่ทำแบบนี้น้องเขาก็เห็นมึงเป็นพี่น้องไปน่ะสิวะเพื่อน?” “ถ้าไม่มีไอ้หมอนั่นตานก็จะกลับมา” ผมตอบไอ้เป้ยิ่งทำหน้าสงสัยเข้าไปอีก “มึงจะเด็ดหัวเขาเหรอวะมิท?” “ถ้ากูทำได้กูก็คงทำ” “เออมีอะไรให้กูช่วยก็บอกละกัน ยังไงกูก็อยู่ข้างมึง” ผมมัวแต่นั่งคิดแผนการอยู่ในใจ จากนี้ไปผมต้องเดินเกมอย่างเฉียบขาดที่สุด จุดแตกหักของเรื่องใกล้จะมาถึงผมจะเดินเข้าไปช้าๆ ทุกอย่างจะสิ้นสุดลงโดยมีผมยืนรออยู่ที่เส้นชัย ผมตอบรับพี่มิทกับป้าที่ชวนผมไปเที่ยวพระนครผมเห็นบ้านคุณป้าของพี่มิทแล้วก็นึกสนใจสถาปัตยกรรมโบราณของพระราชวังหลวง อยากจะเห็นกับตาตัวเองว่าความยิ่งใหญ่ของฝีมือช่างโบราณที่หนังสือบรรยายเอาไว้ว่ายิ่งใหญ่จะเป็นจริงอย่างที่ว่าหรือเปล่า ป้าของพี่มิทบอกกับผมว่าพระราชวังยังอยู่ในสภาพเดิม เพียงแต่ถูกปิดเอาไว้ ไม่ให้คนนอกเข้าไปได้เท่านั้น ผมกำลังจะเข้าไปหาแม่ในบ้านหลังรดน้ำต้นไม้หลังบ้านพอดีได้ยินพ่อคุยกับแม่เรื่องเปิดโรงพยาบาลอินเตอร์ริมทะเลซะก่อน ผมได้ยินชื่อของพ่อพี่มิทพ่อของผมกำลังจะมีโครงการทำโรงพยาบาลและต้องการให้แม่ไปช่วยบริหารด้วย แม่ของผมไม่อยากไปทำงานบริหาร แม่ชอบงานที่ทำอยู่แล้วแม่ก็ยังขอให้พ่อคิดทบทวนดูก่อน เพราะคลินิกที่ทำอยู่ก็มีคนไข้มาก ครอบครัวเราไม่จำเป็นต้องไปเริ่มสร้างอนาคตกันใหม่ “อ้าวตานมานั่งกับพ่อซิ พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย” พ่อผมเรียกผมเดินผ่านเจ้าเงินที่นอนแผ่อยู่กลางบ้านเข้าไปหาพ่อทันที “ครับ?” “พี่เขาชวนไปเที่ยวเตรียมตัวหรือยัง?” “พี่มิทเหรอครับ?” ผมถาม “ก็ใช่น่ะสิจะมีพี่ที่ไหนอีก” พ่อผมยิ้ม “พี่มิทคุยกับพ่อแล้วเหรอครับ?” “เปล่าพอดีพ่อของมิทเขามากินข้าวที่นี่” ที่พ่อผมพูดถึงเรื่องบริหารงานโรงพยาบาลก็คงมาจากพ่อของพี่มิทนี่เอง “ยังไม่ได้เก็บของครับเหลืออีกหลายวันกว่าจะหยุด” “บ้านพี่มิทนี่เขาเป็นคนดีนะพ่อกับพ่อของเขาก็รู้จักกันดี มีอะไรก็คุยกันง่าย” พ่อผมพูดแล้วก็ยื่นฝ่ามือเข้ามาลูบหัวผม “ตานยังเด็กบางทียังมองอะไรได้ไม่ทั่ว พ่ออยากให้ตานใช้สติ อย่าใช้อารมณ์ของบางอย่างมันไม่ได้ผ่านเข้ามาบ่อยๆ” พ่อผมพูดยังไม่ทันจบ อยู่ดีๆก็มีนกสีสดบินผ่านหน้าต่างเข้ามา ผมเห็นข้อเท้าเล็กๆของมันมีกระดาษผูกมาด้วย เจ้าเงินทำตาวิบวับมันพยายามเดินเข้าไปจับนกที่เดินอยู่บนพื้นบ้าน “อย่านะ” ผมร้องเตือนเจ้าเงินมันครางเสียงต่ำๆแล้วก็เดินเลี่ยงออกไป พ่อกับแม่พยายามมองหานกที่เดินต้วมเตี้ยมบนพื้นแต่ถูกผมบังเอาไว้ ผมเข้าไปแกะจดหมายน้อยๆจากนกจากนั้นก็ปล่อยมันบินกลับบ้าน ผมค่อนข้างแน่ใจว่ามันบินมาจากไหน “ขึ้นไปนอนก่อนนะครับ” ผมแอบซุกจดหมายลงกระเป๋ากางเกง “ดื่มนมก่อนแล้วไปแปรงฟันแล้วค่อยอาบน้ำ” เสียงแม่เตือนขึ้นมาผมยิ้มแล้วก็เดินเข้าไปในครัว เมื่อรินนมใส่แก้วแล้วดื่มจนหมด ผมก็เดินขึ้นไปบนห้องในใจคิดอยากจะเปิดจดหมายอ่านซะกลางบ้าน แต่คิดแล้วก็ไม่เข้าท่าคุณเวณวัฒน์คงอยากพูดกับผมเป็นการส่วนตัวมากกว่า ผมนั่งลงบนเตียงจากนั้นก็จัดการคลี่กระดาษจากนกส่งสารทันที “เปิดโทรศัพท์ด้วยผมติดต่อคุณไม่ได้” ลายมือเป็นระเบียบของคุณเวณวัฒน์ปรากฏอยู่บนกระดาษ ผมเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้เปิดโทรศัพท์หลังจากปิดไปช่วงสอบว่ายน้ำช่วงเย็น “ขอโทษครับพอดีผมลืมไปว่าปิดมันไว้”ผมรีบโทรไปหาเจ้าของข้อความทันที “ผมมีเรื่องอยากจะเตือนคุณ” เสียงคุ้นหูผมดังขึ้นมา “อะไรครับ?” “ถ้ามีคนชวนไปไหนช่วงนี้ให้ปฏิเสธไปก่อน” “ทำไมครับ?” ผมรีบถามทันที “ผมแค่...รู้สึกว่า ดวงของเราสองคนไม่ค่อยดี”คุณเวณวัฒน์ตอบกลับมาจากในโทรศัพท์ “คุณเชื่อเรื่องโหราศาสตร์และดวงชะตาด้วยเหรอครับ?” “มีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นผมตอบไม่ได้ว่าอะไร แต่ผมเชื่อว่า มันจะเป็นอันตรายกับเราสองคน” “พอดีมีคนชวนผมไปดูพระราชวังโบราณแต่ถ้าคุณบอกว่าไม่ควรไป ผมก็จะไม่ไป” “ผมไม่ได้ทำให้คุณหมดสนุกใช่มั้ย?” คุณเวณวัฒน์ถาม “เปล่าครับ” “คุณไม่ได้มาหาผมสองวันแล้ว” เขาพูดต่อ “ผมมีสอบแล้วก็เห็นว่า บางทีผมก็ไปบ่อย กลัวว่าคุณจะรำคาญ” “คุณประชดผม” “เปล่าครับ” ผมรีบตอบ “...... ผมอยากให้คุณมาที่นี่ทุกวัน” “พอดีวันก่อนผมไปเยี่ยมพี่มิทที่บ้านวันต่อมาก็มีสอบ เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะไปหาคุณที่บ้าน” “ผมจะรอ” มื้อเช้าก่อนไปเรียนผมนั่งอยู่ในห้องอาหารกับพ่อ แม่กำลังตักข้าวต้มใส่ชามมาให้ผมนึกถึงคำที่คุณเวณวัฒน์เตือนเอาไว้เมื่อคืน เมื่อเห็นว่าพ่อวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วผมก็ถือโอกาสพูดขึ้นมา “ถ้าวันมะรืนตานยกเลิกการเดินทาง...” ผมเว้นช่องว่างเอาไว้ตอนรอดูหน้าพ่อ “เดินทางไปไหน?” พ่อผมถาม “ไปเที่ยวกับพี่มิทครับ” ผมตอบ “ทำไมถึงไปไม่ได้?” “คือ...คือตานรู้สึกว่าเดินทางช่วงนี้ไม่ค่อยดี” “ไม่สบายตรงไหนมาให้พ่อดูหน่อย” พ่อผมพยักหน้าเรียก “เปล่าครับแค่รู้สึกว่าช่วงนี้มันรู้สึกไม่สบายใจ” “เหตุผลแค่นี้จะไปยกเลิกได้ยังไง ทางนู้นเขามีผู้ใหญ่ไปด้วย ที่พักกับโปรแกรมทัวร์เขาก็เตรียมไว้หมดแล้วยกเลิกตอนนี้พ่อจะตอบเขาว่ายังไง?” “นั่นสิมันกะทันหันไป” แม่ผมพูดขึ้นมาตอนยกข้าวขึ้นโต๊ะ “แต่... แต่คุณ” ผมหยุดไปตอนเลื่อนชามข้าวมาหน้าตัวเอง “คุณ?” พ่อถาม “คือ... ไม่มีอะไรครับ” ผมถอนหายใจ “โตแล้วนะลูกจะเอาเหตุผลไม่มีน้ำหนักมาตอบผู้ใหญ่ไม่ได้ ป้าของพี่มิทก็ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเราเขาออกตัวเป็นธุระขนาดนี้ พ่อก็เกรงใจเขาจะแย่นี่จะมายกเลิกการเดินทางยิ่งไม่ดีใหญ่ ถ้าป่วยหรือมีเหตุผลอื่นก็ค่อยฟังขึ้นหน่อยไม่ใช่บอกเขาไปว่าไม่สบายใจ” “ครับ” ผมจนด้วยคำพูดจะอ้างว่าคุณเวณวัฒน์เตือนไม่ให้ไปเพราะเขามีลางสังหรณ์ก็ไม่ได้ ขืนพูดออกไปพ่อผมต้องโกรธแน่ ผมนั่งรถไฟฟ้ามาเรียนตอนสายช่วงพักระหว่างคาบเรียน พี่มิทหิ้วขนมกับน้ำมาให้ถุงใหญ่ขนมข้างในมีหลายกล่องจนพอแจกเพื่อนๆในชั้นได้ ผมเห็นหลายคนนินทาเรื่องที่พี่มิทเข้ามาที่คณะบางคนก็มองผมกับพี่มิทสลับกันแล้วแอบพูดกัน “ปากหอยปากปู” นกน้อยพูดขึ้นมาลอยๆระหว่างนั้นก็คุ้ยขนมในถุงไปด้วย “น้องนกน้อยก็ไปด้วยกันสิตานจะได้ไม่เหงา” พี่มิทยืนยิ้มหลังจากพูดกับนกน้อย “ไปได้เหรอคะ?” นกน้อยหันขวับขึ้นทันทีเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง “ไปได้สิครับ” พี่มิทตอบ “แล้วมีใครไปบ้างล่ะคะ?” นกน้อยถามต่อพี่มิทเลิกคิ้วแล้วก็ยิ้ม “ก็มีพี่มีป้า มีตาน มีนกน้อย แล้วก็มีไอ้เป้” พี่มิทตอบแล้วก็มองมาทางผม “ตานจะชวนเขาไปด้วยก็ได้นะ” “คุณเวณวัฒน์เหรอครับ?” ผมถามกลับ “ครับไปหลายคนสนุกดี” “งั้นผมจะโทรไปชวนเขานะครับ” ผมแยกออกมาจากวงสนทนาระหว่างวนโทรศัพท์อยู่ในมือ ผมก็คิดว่า น่าจะไปบอกเขาด้วยตัวเองดีกว่า วันนี้ผมสัญญากับเขาว่าจะไปหาที่บ้าน “พี่มิทนี่แมนมากนะถึงขนาดยอมให้ตานพาคุณเวณวัฒน์ไปด้วย” นกน้อยกัดขนมแล้วพยายามพูดกับผมในชั้นเรียนกำลังรออาจารย์เข้ามาสอน “เป็นแบบนี้ดีแล้วอยากมีพี่ชายพอดี” ผมยิ้ม . . ช่วงเย็น ผมแวะมาหาคุณเวณวัฒน์ที่บ้านในมือมีผลไม้มาหลายอย่าง มีแตงโม มะม่วงสุก องุ่นแดงแล้วก็มีกล้วยหอมทองหวีเล็ก ประตูบ้านเลขที่ 111เปิดต้อนรับเหมือนมันกำลังรอผมอยู่ อากาศเย็นๆพัดเข้าหาตัวตอนเดินพ้นเขตประตูเข้าไป มันช่างเหมือนกับเป็นดินแดนต่างมิติกันซะเหลือเกินอากาศร้อนอบอ้าวข้างนอกกับอากาศเย็นสบายตัวในนี้ เหมือนอยู่คนละโลก นกหลายตัวบินกรูลงมาตรงใกล้ๆเท้าของผมเหมือนมันรู้ว่าผมเอาของมาฝากพวกมัน ผมโปรยเมล็ดข้าวฟ่างลงบนพื้น จากนั้นก็เทซองกระดาษที่ใส่เมล็ดฟักทองกับเมล็ดถั่วไว้ให้เจ้าอีกาสามขาที่เกาะคอนสูงอยู่ ผมหิ้วถุงผลไม้เดินเข้าไปในบ้านคุณเวณวัฒน์กำลังดูโทรทัศน์ช่องข่าวช่วงเย็น ผมวางกระเป๋าไว้บนโซฟาแล้วก็เดินเลยไปที่ครัวผมปอกเปลือกแล้วก็หั่นผลไม้เป็นชิ้นใส่จาน ที่เหลือก็ใส่ตู้เย็นเอาไว้ ผมวางจานลงตรงหน้าเขาแล้วก็นั่งลงนิ่งๆมองดูข่าวในโทรทัศน์ คุณเวณวัฒน์โอบแขนเข้าหาผมแล้วก็หันหน้ามาจูบผมสอดมือเข้าไปในเสื้อของเขา ฝ่ามือลูบไปบนเนินอก เราสองคนแทบไม่ได้ทักทายกันด้วยภาษาพูดของมนุษย์แต่เราสองคนสัมผัสกันด้วยลิ้นและฝ่ามือแทน ผมกอดเขาเอาไว้แล้วก็เกยคางลงบนไหล่ของเขา “ถ้าคุณไม่มาวันนี้ผมว่าจะไปดูคุณที่บ้าน” เขาพูดขึ้นมาคำแรก “ก็บอกแล้วว่าจะมาผมก็ต้องมาสิครับ” ผมพูดแล้วก็จูบแก้มเขาจากนั้นก็โอบหลังกว้างๆของเขาด้วยสองแขน ผมจิ้มนิ้วลงบนหลังของเขาไปมา “คุณจะไปเที่ยวเมื่อไหร่?” เขาถาม “วันมะรืนครับ” “ผมควรจะไปกับคุณด้วยผมคิดว่าคุณอาจจะมีอันตรายหากไม่มีผมอยู่ด้วย” “ผมคุยกับพ่อเรื่องยกเลิกการเดินทางแต่พ่อไม่เห็นด้วย พ่อบอกว่าเกรงใจป้าของพี่มิท” “ผมก็คิดว่าอาจจะเป็นอย่างนั้น” “พี่มิทฝากผมมาชวนคุณไปด้วย” “เขาอยากให้ผมไป” เขาตอบเสียงของเขาดูผิดปกติไปจากทุกวัน “คุณไม่ต้องไปก็ได้ผมคิดว่าคุณคงไม่สนุก” “ผมอยากไปดูคุณ” เราสองคนคุยกันในลักษณะกอดกันกลมอย่างนั้นนานพอสมควรก่อนที่ผมจะเลื่อนจานผลไม้ให้เขา “ป่าหิมพานต์อันตรายกว่าตั้งเยอะ” ผมยิ้ม “ที่นั่นไม่มีใครเจตนาทำร้ายเราแต่ที่คุณจะไป ผมรู้สึกว่ามันมีอันตรายรออยู่” “อะไรบ้างครับ?” ผมถาม “ผมยังตอบไม่ได้” ในหนังสือเรื่องครุฑที่ป้าเอาออกมาอ่านบรรยายเอาไว้ว่าครุฑเป็นสัตว์กึ่งเทพ มีความเป็นอมตะ มีฤทธิ์มากและมีความฉลาด ถ้านายเวณวัฒน์เป็นครุฑจริงผมก็แทบไม่มีทางกำจัดเขาออกไปจากทางได้เลย ผมนอนคิดเรื่องนี้อยู่นานจนป้าส่งหนังสือมาให้ผมอ่าน ในหน้าที่ป้าจงใจคั่นไว้ให้ผมอ่านมันมีย่อหน้าที่อธิบายเรื่องเชือกพันธนาการ เป็นเชือกหนังลงคาถาเกิดจากพราหมณ์อ่านคาถาบูชามหาเทพ เชือกเส้นนี้มีอายุพันกว่าปีมันถูกเก็บเอาไว้ในท้องพระโรงในพระราชวังหลวง เชือกนี้สามารถพันธนาการเทพยดาสัตว์ร้าย กึ่งเทพ กึ่งภูติ เมื่อผู้มีคาถาบูชาอ่านโองการมหาเทพเชือกก็จะพุ่งเข้ารัดเป้าหมาย ผู้ที่ถูกรัดจะถูกจองจำไว้ชั่วกัปชั่วกัลป์แม้ไม่ตายเหมือนมนุษย์ แต่ก็จะออกมาจากห้องที่ถูกคุมขังไม่ได้ ผมนั่งคิดเรื่องนี้ซ้ำๆ จนอาจารย์ที่สอนชี้มาทางผมอาจารย์ตำหนิผมว่านั่งเหม่อลอยไม่สนใจวิชาเรียน ผมพยักหน้าแล้วก็กลับมาตั้งใจเรียน แต่เมื่อนึกถึงตำราต่างๆที่ป้าหามาให้อ่านผมก็นึกอยากวิชาขึ้นมาบ้าง ผมฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กได้ประมาณสิบชิ้นมันมีขนาดเล็กประมาณเมล็ดถั่วเขียว ผมเป่ามันออกไปในอากาศ จังหวะที่ทุกคนสนใจจอภาพหน้ากระดานกระดาษชิ้นเล็กเล็กๆของผมก็กลายสภาพเป็นตัวต่อสิบตัวมันพุ่งเข้าไปหาอาจารย์กับเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ความวุ่นวายปรากฏขึ้นทันทีผมแกล้งปัดมือไปมาเพื่อไล่ต่อ อาจารย์วิ่งหนีออกไปนอกห้องพร้อมกับเพื่อนอีกหลายคนชั้นเรียนถูกยกเลิก ผมเดินฮัมเพลงออกมานอกคณะกะว่าจะออกไปหาตานที่คณะ แต่นึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ตานคงกลับบ้านไปแล้ว “พี่มิทครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาผมหันไปมองคนที่เดินเข้ามาหา เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีในมือมีอาหารบำรุงร่างกายมาด้วยหลายขวด “ได้ยินว่าพี่มิทป่วยเหรอครับผมให้เชฟที่โรงแรมเคี่ยวน้ำตุ๋นไก่ยาจีนมาให้” “แล้วน้องเค้กรู้ได้ยังไงว่าพี่ป่วยครับ?” ผมยิ้ม “รู้สิครับเวลาเราสนใจ เอ่อ เวลาเราห่วงใคร เราก็ต้องสืบจนได้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง” น้องนัทตอบแล้วก็วางขวดน้ำแกงข้นๆลงบนโต๊ะ “มีหมาสาระแนแถวนี้วิ่งไปบอกหรือเปล่า?” ผมหันซ้ายขวาเพื่อหาร่องรอยไอ้เป้น้องนัทหัวเราะเสียงใสแล้วโบกมือ “อย่าไปว่าพี่เป้เลยครับพอดีผมเป็นคนซักพี่เขาเอง” “ไม่ว่าหรอกครับแค่จะเตะมันซักป๊าบ” “เอ่อ...พี่มิทครับ” น้องนัทเหมือนมีเรื่องอยากพูดกับผม “ครับ?” ผมวางมือไว้บนโต๊ะสายตาหันไปมองดูน้องนัทอย่างสนใจ “คือผมได้ยินมาว่า พี่มิทจะไปเที่ยวต่างประเทศ” น้องนัทพูดแล้วก็ยิ้ม “ใช่ครับ” “คือพอดีผมก็ว่าง ถ้ายังพอมีที่นั่งเหลือ ขอผมไปด้วยคนได้มั้ยครับ?” “เอาสิแล้วจะชวนไอ้โมท ไอ้โอมไอ้เอกไปด้วยก็ได้ ถ้าใครไปบ้างก็โทรบอกพี่ด้วย จะได้หาที่พักให้พอกับคน” “พี่มิทใจดีจังเลยนะครับ” “ก็คิดว่าพี่เป็นพี่ชายเหมือนไอ้โมทก็ได้ดีมั้ย?” ผมยิ้มแต่รู้สึกว่าน้องนัทจะดีใจมากตอนผมบอกว่าผมมีสถานะเหมือนไอ้โมท “แน่ใจนะครับว่าพี่มิทเป็นแบบพี่โมทได้?”น้องนัทถามอย่างคนมีความหวัง “ได้สิครับก็เป็นพี่ชายน้องชายกันไม่ใช่เหรอ หรือมีอะไรพิเศษมากกว่านั้น?” “มีพิเศษกว่านั้นครับ...คือพี่โมทต้องดูแลผมอย่างใกล้ชิด ต้องเทคแคร์ผม” น้องนัทยิ้มมุมปาก จากนั้นก็ขอตัวกลับ “กลับก่อนนะครับจะไปจัดเสื้อผ้า อยากจะคุยกับพี่มิทต่อ แต่ก็ทำไม่ได้” “ครับช่วงเที่ยวก็คุยกันก็ได้”\ ผมโยนงานที่ทำเสร็จแล้วลงบนกองงานบนโต๊ะอีกส่วนที่เหลือไอ้เอกกำลังจัดการอยู่มันยึดโต๊ะคอมพิวเตอร์ไปแล้วก็นั่งทำงานเงียบๆ ส่วนไอ้โอมที่เรียนคนละคณะ ตอนนี้มันว่างจัดไอ้ห่านี่กำลังตลุยอวกาศไปกับยานแม่เพื่อฆ่ามนุษย์ต่างดาวอยู่
|