"เมื่อผมเจอพญาครุฑ!!!" copy งานของคุณ MAKI จากบอร์ดPalm-Plaza ครับ ตอนที่ 30
ผมนัดกับคุณเวณวัฒน์เอาไว้ที่หน้าพระราชวังหลวงหลังจากคุยกันช่วงหลังอาหารเช้าตอนนี้ทุกคนเตรียมตัวกันพร้อมหมดแล้วผมกับนกน้อยเตรียมกล้องถ่ายรูปไปด้วยคนอื่นๆก็เตรียมกระเป๋าใส่น้ำดื่มกับของเล็กๆน้อยๆไปด้วยพ่อของพี่มิทให้รถคันใหญ่มารออยู่ที่หน้าบ้านท้ายรถมีคนไปอำนวยความสะดวกด้วยสองคนรถยนต์เคลื่อนออกจากบ้านพักเวลาแปดโมงเช้าพอดีและไปถึงพระราชวังในอีกสิบนาทีโดยประมาณ พระราชวังหลวงแห่งนี้มีสถานะคล้ายกับพิพิธภัณฑ์แต่เป็นพิพิธภัณฑ์ปิดเนื่องจากรัฐบาลยังจัดการเรื่องทรัพย์สินภายในไม่สำเร็จ หากเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้คุณป้าโสรยารับดอกไม้ในพานที่มีคนมาส่งให้ผมพอรู้คร่าวๆว่า ป้าของพี่มิทเกิดและเติบโตมาจากในพระราชวังนี้ท่านมีเชื้อสายเป็นพระญาติในพระราชวงศ์เมื่อเวลาผ่านไปป้าของพี่มิทได้ย้ายถิ่นที่อยู่เข้ามาที่เมืองไทยอย่างถาวรเหลือเพียงแต่ความทรงจำและบ้านพัก ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณใกล้กันกับพระราชวังแทน พวกเราพากันเดินเข้าไปสู่ประตูใหญ่ประตูนี้ต้องใช้แรงคนในการผลักให้กางออกเป็นสองด้านมันดูคล้ายกับประตูเมืองโบราณในภาพยนต์เลยทีเดียวคุณเวณวัฒน์เดินเข้ามาสมทบผมหันไปมองจุดที่เขาเดินเข้ามา ไม่มีรถยนต์ ไม่มีร่องรอยพาหนะใดๆเลยผมแนะนำคุณเวณวัฒน์ให้ทุกคนรู้จักป้าโสรยายืนนิ่งและมองคุณเวณวัฒน์อย่างรักษามารยาท “นี่คุณเวณวัฒน์ครับพี่มิท” ผมแนะนำเขาให้พี่มิทรู้จักพี่มิทหันมามองคุณเวณวัฒน์รอยขมวดคิ้วปรากฏอยู่ช่วงพริบตาเดียวก่อนที่พี่มิทจะโค้งหัวเล็กเพื่อทักทาย“เดินทางมายังไงครับแล้วคืนนี้ได้ที่พักหรือยัง แถบนี้ไม่ค่อยมีโรงแรมเลย ต้องเดินทางออกไปไกลมากกว่าร้อยกิโลเมตร” พี่มิทพูด“ผมเดินทางมาเองครับไม่ลำบากอะไรเลย เรื่องที่พักไม่ต้องเป็นห่วง”“ไปพักกับเรามั้ยครับอยู่ห่างจากที่นี่แค่สิบนาที”พี่มิทเอ่ยปากชวน ผมคิดว่าคุณเวณวัฒน์จะปฏิเสธแต่ตรงกันข้าม“รบกวนด้วยครับ” “เข้าไปข้างในกันดีกว่านะสายมากแล้ว” ป้าโสรยาเอ่ยปากทุกคนเดินช้าๆ ตามหลังคนนำทางเข้าไป ในกลุ่มพวกเรานั้น มีป้าของพี่มิทเพียงคนเดียวที่เคยเข้าไปด้านในแม่ของพี่มิทเองนั้น ถึงแม้จะมีสายเลือดทางนี้แต่ก็เจือจางเต็มที แม่พี่มิทเกิดและโตที่กรุงเทพ ไม่เคยเข้าไปด้านในของพระราชวังหลวงเลยแม้แต่ครั้งเดียวครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีในรอบหลายสิบปีที่พระราชวังหลวงเปิดประตูต้อนรับคนภายนอกอีกครั้งเจ้าหน้าที่หญิงชายเข้ามาต้อนรับและหมอบกราบแทบเท้าของป้าโสรยานี่คงเป็นการยืนยันว่า ฐานันดรศักดิ์ของป้าพี่มิทยังมีติดตัวแม้จะออกไปอาศัยอยู่ต่างประเทศแล้วก็ตามพ่อกับแม่ของพี่มิทคุยกันเรื่องการบูรณะประตูส่วนนอกที่สีซีดจางเต็มทีพี่มิทเดินอยู่ใกล้ๆป้า นัทเดินตามพี่มิทไปติดๆพี่เอกคอยสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆพี่เป้แยกออกไปถ่ายรูปงานจิตรกรรมฝาผนังด้านในผมกับนกน้อยเดินตามกลุ่มผู้นำทางเข้าไปช้าๆและคุณเวณวัฒน์กำลังยืนนิ่งเพื่อมองดูสิ่งปลูกสร้างข้างในนกน้อยสะกิดแขนผมแล้วเข้ามากระซิบข้างหูเบาๆ“ตานคุณเวณวัฒน์ยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะ เหมือนตอนที่เราเห็นในงานคอนเสิร์ตเลย” “เอ๊ะ?” ผมเอะใจเพราะจำได้ว่า นกน้อยเคยเห็นคุณเวณวัฒน์ตอนตาบอด“พูดอะไรผิดหรือเปล่า?” ผมทัก“อะไรผิด?” นกน้อยถามด้วยสีหน้าและท่าทางที่สงสัย“ไม่มีอะไร” ผมส่ายหัวแล้วก็ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปคุณเวณวัฒน์หันมายิ้มและเดินเข้ามายื่นของให้นกน้อย นกน้อยย่อตัวลงไปไหว้เหมือนเด็กไหว้ผู้ใหญ่ผมเห็นพี่มิทกับป้าหันมามองด้วยความสนใจในมือของนกน้อยเป็นเมล็ดธัญพืชสีทองมันเป็นสีเหลืองอมส้มคล้ายกับทองคำจริงๆ และถ้าผมตาไม่ฝาดผมมองเห็นประกายวูบวาบออกมาด้วย “กินได้เหรอคะ?” นกน้อยถาม“กินได้” คุณเวณวัฒน์พยักหน้าเบาๆผมมองเห็นแววตาปราณีแสดงออกมาด้วย“ขอบคุณค่ะท่าน” นกน้อยตอบแล้วก็ลองกัดเมล็ดพืช“ท่านไหน?” ผมถามเพื่อน“ท่านอะไร?” นกน้อยหันซ้ายขวา“ก็นกน้อยบอกว่าท่าน”“เปล่าบอกว่า ขอบคุณค่ะเฉยๆ ตานหูฝาดแล้ว” ผมไม่อาจตั้งคำถามกับเรื่องพวกนี้ได้บางเรื่องมันไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดจริงๆ “อร่อยมากเลยค่ะท่านเหมือนไม่ใช่ของกินบนโลกมนุษย์ มันอร่อยวิเศษจริงๆ อร่อยจนไม่กล้ากินหมดกลัวจะไม่ได้กินอีก”ผมเห็นนกน้อยค่อยๆเอาลิ้นแตะเพื่อรับรสชาติของเมล็ดด้านในที่กะเทาะเปลือกออกแล้วเหมือนเธอกลัวว่า เมล็ดพืชนั้นจะละลายหายไปจากมือของเธอ “อร่อยเหมือนเหมือนมาจาก เออ...” นกน้อยพูดค้างไว้เหมือนคิดไม่ออก“เหมือนมาจากสวรรค์” ผมต่อให้“ใช่แล้วๆอร่อยเหมือนมาจากสวรรค์ ก็ไม่รู้หรอกว่ารสชาติของสวรรค์เป็นยังไงแต่มั่นใจว่ามันไม่ใช่รสชาติที่มีในโลกมนุษย์” นกน้อยตอบ ป้าโสรยา พาเดินเข้าไปในเขตอุทยานบนพื้นหญ้าสีเขียว มีร่องรอยของสิ่งก่อสร้าง คุณป้าบอกว่า ที่ตรงนี้เคยเป็นโรงละครกลางแจ้งมาก่อนในช่วงค่ำของทุกวัน จะมีมหรสพมีละครในเรื่องต่างๆ ไกลออกไปอีกก็มีอุทยานสัตว์ตอนนี้ผมเห็นนกยูงเดินตามคุณเวณวัฒน์มีทั้งตัวโตและตัวเล็กที่เดินตามแม่ของมันมา เมื่อเดินเข้าไปในตัวอาคารที่ก่อด้วยอิฐทาสีขาวทั้งหลังอากาศเริ่มเย็นสบาย ลมพัดเข้ามาเบาๆป้าของพี่มิทเดินพาเข้ามาถึงในเขตพระราชฐานฝ่ายในพี่มิทบอกว่า อยากเห็นห้องนอนของเจ้าหญิงโสรยาป้าของพี่มิทก็ใจดีพาเดินเข้าไปดู ในตำหนักด้านใน มีอาคารหลังสวนกุหลาบสีแดงอาคารนั้นมีหลังคาทรงสูง มีห้องหลายห้องห้องหนึ่งที่เดินเข้าไปชม เป็นห้องนอนขององค์หญิงฝ่ายใน เมื่อมองจากด้านนอกผมเห็นความกว้างใหญ่และความสวยงามกลางห้องมีเตียงนอนสีน้ำตาลเข้มขนาดใหญ่และที่สำคัญกว่านั้นผมมองเห็นภาพพญาครุฑร่างกายกำยำสูงใหญ่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องมันเป็นมุมมืดที่คนอื่นไม่ทันสังเกตภาพนี้มีรอยชำรุดอยู่หลายจุด บางรอยก็ยาวคล้ายรอยมีดกรีดบางรอยด็เป็นด่างดวงคล้ายรอยเลือดระหว่างที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับกระโถนทองคำแจกันประดับพลอย ผมกลับยืนมองดูครุฑในภาพอย่างพินิจพิเคราะห์ “รอยทุกรอยไม่เคยจางหายมีแต่จะแห้งแข็งตกสะเก็ดเป็นแผลเป็นน่าเกลียด” เสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆผมคุณป้าโสรยาเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ “คุณป้าบูชาครุฑเหรอครับ?” ผมหันไปถามป้าของพี่มิทถอนหายใจแล้วก็ยิ้มออกมา“บูชาเทิดทูน หวงแหน เรียกว่า แสดงความสึกด้านดีออกมาจนหมด แต่เมื่อรักมาก เวลาเกลียดก็จะเกลียดมากเช่นกัน”“ผมไม่เข้าใจ”“ครุฑนั้นเป็นอมตะเมื่อนยามรักก็รัก แต่เมื่ออีกฝ่ายแก่ตัวลง ครุฑก็บินจากไปบินไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก คนกับครุฑไม่อาจอยู่ด้วยกันตลอดไปได้คนมีวันตายแต่ครุฑเป็นอมตะ” จังหวะการสนทนาของเราถูกคั่นด้วยการเข้ามาของบุคคลที่สามคุณเวณวัฒน์เดินเข้ามาชมภาพด้วย เขาถอดและคล้องแว่นตากันแดดสีเข้มไว้กับอกเสื้อชุดสีเข้ม ทำให้เขาดูเคร่งขรึมต่างกับวันสบายที่สวมชุดสีอ่อน “คุณเวณวัฒน์มีความคิดเห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ประหลาดนี่ยังไงคะ?” ป้าโสรยาถามคุณเวณวัฒน์ยืนนิ่ง ตามองดูรูปภาพนั้นอย่างละเอียดความส่งเสียงตอบกลับมาว่า“คนครุฑ หรือนาค ล้วนเป็นสัตว์ที่ยังมีความรักทั้งสามเวียนว่ายอยู่ในมหาสมุทรเดียวกัน ความรักระหว่างคนกับครุฑไม่อาจเรียกว่าความสัมพันธ์ประหลาดมันคือความสัมพันธ์ที่ไม่ต่างกับมนุษย์รักกันผมไม่มีความเห็นที่ต่างออกไป เพราะผมคิดว่านี่คือเรื่องปกติ”“ปกติงั้นหรือทั้งๆที่ครุฑนั้นเห็นแก่ตัว ครุฑใช้ประโยชน์จากความรักของมนุษย์ ครุฑเสพสมกามารมณ์พอมนุษย์เข้าสู่วัยชราแล้วก็บินจากไป แบบนี้คุณถือว่าเป็นเรื่องปกติงั้นหรือหรือว่าพวกครุฑมองเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องปกติต่างกับคนที่มองว่ามันเป็นเรื่องเลวร้าย” ป้าของพี่มิทตอบกลับ“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นผมมองว่า ความรักระหว่างคนกับครุฑ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ถึงแม้มันจะเกิดขึ้นยากแต่หากเกิดขึ้นแล้ว ถ้าทั้งสองฝ่ายหาทางออกร่วมกันได้เรื่องก็จะไม่จบลงด้วยรอยน้ำตา”“มันไม่มีทางจบลงได้ด้วยความสุขครุฑเป็นอมตะ แต่คนเกิดแก่เจ็บตายตามธรรมชาติ”“คุณผิดแล้วและคุณมองครุฑผิดไป คุณคิดว่า มนุษย์เสียเปรียบและต้องเสียใจที่ถูกครุฑทิ้งไปแต่คุณไม่คิดบ้างหรือว่า ครุฑเองก็เสียใจที่ยืนมองดูคนรักตายไปต่อหน้า”“ไม่มีครุฑที่ไหนรักจริงไม่มีเลย”“ผลไม้ลูกแรกรสชาติบาดปาก ลูกต่อไปที่อยู่บนต้นอื่นก็ไม่อาจจะเป็นเช่นเดิมเสมอไป”“ครุฑไม่ใช่ผลไม้ครุฑนั้นไม่มีวันตาย คุณจะเปลี่ยนคู่รักไปเรื่อย”“ในมุมหนึ่งของโลกที่บิดเบี้ยวมีครุฑที่อยากตายไปเหมือนมนุษย์ เขาหาทางอยู่ให้ได้เหมือนคนปกติอยากแก่เจ็บตายไปพร้อมกับคนรัก” คุณเวณวัฒน์ตอบช้าๆบทสนทนาระหว่างป้าโสรยากับเขาดำเนินไปด้วยความน่าสนใจ “ซึ่งสิ่งที่คุณพูดมันไม่มีทางเป็นจริงได้” ป้าโสรยาย้ำ“เป็นจริงได้แน่นอนคุณก็รู้ดีถึงหลักแห่งไตรลักษณ์”“เรื่องอะไรที่ครุฑต้องสละสิ่งวิเศษออกจากตัวครุฑที่ไหนจะยอมให้ความตายเข้ามามีอำนาจเหนือตัวเอง ไม่มีทาง”“คุณผิดหวังมาแล้วแต่คุณไม่ควรนำความผิดหวังมาเป็นบรรทัดฐานให้กับคนอื่นในคนที่อยู่ในสภาพเดียวกันกับคุณ เขาอาจจะไม่ได้ทนทุกข์เหมือนคุณก็ได้มันอยู่ที่ตัวคุณกับเขาว่าจะหาทางออกร่วมกันได้หรือเปล่า และคนรักของคุณจะยอมเสียสละตัวเองเพื่อคุณได้หรือไม่ถ้าไม่ได้ เขาก็จะทิ้งคุณไป”“หมายความว่าคุณจะยอมเสียสละตัวเองเพื่อคนที่คุณรักงั้นหรือทำไมคุณไม่ปล่อยให้มนุษย์ด้วยกันรักกัน คุณมาเป็นตัวขัดขวางคนทำไม” ป้าโสรยาอาจจะลืมว่ามีผมยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเมื่อแววตานั้นหันมาเจอผม ป้าของพี่มิทก็รู้สึกตัว“ยังไงก็ตามความรักระหว่างคนกับครุฑก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ความรักจอมปลอมที่มโนภาพขึ้นมาตอนคบกันจะหายไปเมื่อคนแก่ตัวหลังจากนั้น ทุกอย่างจะจบลง”“มีหลายเรื่องที่คุณไม่อาจล่วงรู้ความลับของสิ่งเหนือธรรมชาติผมบอกคุณได้แค่ว่า คุณไม่เอาเอาตัวอย่างจากตัวเองมาตัดสินคนอื่นและที่สำคัญ คุณควรเคารพการตัดสินใจของคนอื่น”คุณเวณวัฒน์พูดทิ้งม้ายแล้วก็จับมือผมเดินออกไปอีกทางเราสองคนปล่อยให้ป้าโสรยายืนนิ่งอยู่หน้ารูปครุฑนั้นอย่างเดียวดายการเที่ยวชมพระราชวังกับดูของโบราณๆ เป็นเรื่องน่าเบื่อมากนี่ถ้าไม่มีพี่มิทมาด้วย ผมคงได้ไปเดินอยู่แถวถนนในฝรั่งเศสไปซื้อเสื้อผ้ากับรองเท้านี่ต้องมาเดินตามหลังคนแก่มาดูของเก่าๆไร้รสนิยม ผมเข้ามานั่งพักอยู่ตรงมุมที่นั่งริมระเบียงผมขอน้ำเปล่าจากกระเป๋าพี่เอกมาดื่มแก้ร้อน ตรงมุมมืดๆไกลออกไป ผมเห็นยัยแม่มดโสรยายืนคุยอยู่กับตานแล้วก็มีผู้ชายหล่อๆ เดินเข้ามาร่วมวงอีกคนอันที่จริง ผมแทบไม่ต้องออกแรงเลยด้วยซ้ำ ตานกับผู้ชายคนนั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่ากำลังคบกันอยู่ พี่มิทต่างหากที่เป็นมือที่สามพี่มิทเป็นส่วนเกินทำไมพี่มิทไม่ยอมรับความจริง จะดื้อดึงไปแย่งคนรักของคนอื่นทำไม คนที่ดีกว่าก็มีทำไมไม่ลองมองดูบ้างเขาถึงบอกว่า คนบางคนฉลาดแต่ไม่เฉลียวมองเห็นแต่ไม่สังเกต ก็เหมือนพี่มิทกับผมนั่นแหละ ยังไงก็ตามนี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่ผมจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้พี่มิท พี่มิทบอกว่า ตอนเย็นจะพาไปทานอาหารเย็นในเมืองแล้วพรุ่งนี้ตอนเช้าจะพาไปปีนเขาผมหยุดเดิน หยุดทุกสิ่งทุกอย่างใครจะเดินชมความสวยงามก็ตามใจ ผมเบื่อเต็มทนแล้ว “พี่มิทครับสองคนนั้นเขาเป็นแฟนกันเหรอ?”ผมถามขึ้นมาพี่มิทมองไปทางตานกับคุณวัฒน์อะไรซักอย่างแล้วก็ไม่ตอบผมต้องกระตุ้นเตือนให้พี่มิทรู้สึกตัวซะทีว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้ว “ไม่ชอบเลยพวกมือที่สาม ชอบแย่งแฟนคนอื่น พวกหน้าไม่อาย” ผมบ่น“ทีแรกก็ไม่เห็นสนเห็นมิทมีแฟนแล้วก็ยังอยากได้”พี่เอกพูดขึ้นมาจากข้างหลังผมหันไปมองแล้วทำหน้าตาแปลกใจ“หมายถึงอะไร?” ผมถาม“เปล่าพูดเฉยๆ” พี่เอกพูดแล้วก็เดินออกไปหาพี่เป้“ประสาท” ผมด่าตามหลัง คณะทัวร์ที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายเคลื่อนขบวนเสด็จออกมาดูท้องพระโรงยัยแม่มดป้าของพี่มิทพาเดินดูแล้วก็อธิบายประวัติ อธิบายบุคคลในภาพผมมองดูสมบัติที่มีทั้งชุดเครื่องทองบนพานแล้วก็ม่านปักดิ้นทองแท้ สมบัติอีกมากมายพี่มิทบอกว่าถูกเก็บเอาไว้ในธนาคาร แต่อีกส่วนหนึ่งก็ยังเก็บไว้ที่นี่โดยมีการใส่รหัสไว้ทุกชิ้นตรงกลางห้องท้องพระโรงที่มีการออกว่าราชการมีบัลลังก์ทอง รอบด้านก็เป็นพื้นพรมแล้วก็เครื่องประดับเกียรติยศผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาซะเฉยๆตอนคุณป้าแม่มดพูดถึงการตัดสินโทษนอกท้องพระโรง มีการตัดคอคนจริงๆ เมื่อร้อยปีก่อนเลือดที่ไหลออกมามีการเอาไปรดกุหลาบ กุหลาบที่รดด้วยเลือดนั้นเรียกว่ากุหลาบโลหิตหรือกุหลาบเลือด มันจะมีสีแดงเข้มเหมือนได้ดูดดื่มเลือดคนผมหากุหลาบนั้นไม่เจอ เจอแต่กุหลาบสีเหลืองสีชมพู มันขึ้นอยู่เป็นพุ่มหลังอุทยานผมเดินตามหลังยัยนกน้อยยัยคนนี้เป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญผมนึกถึงนกตัวเล็กๆที่มันชอบคุ้ยเขี่ยขยะข้างหน้าต่างมันชอบทำเสียงจุ๊กจิ๊กน่ารำคาญหูเป็นที่สุดเหมือนยัยคนนี้ไม่มีผิดท่าทางเหมือนนกข้างหน้าต่างไม่มีผิดอีกคนที่เดินอยู่ตรงหน้าผมคือนายเวนุวัตรอะไรซักอย่างเขาเดินอยู่กับตาน ผมได้ยินเขาคุยกันเรื่องความเป็นความตายคุยเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายเหมือนคนแก่คุยกัน ผมเดินไปช้าๆ ตาก็มองออกไปข้างนอกบ้างมองดูหลังคาหน้าต่างไปเรื่อยๆ บ้าง ตรงมุมอาคารหลังใหญ่มีรูปปั้นหินรูปลิงกังยกอาคารเหมือนคนสร้าง ต้องการให้เหมือนกับว่าลิงกำลังยกอาคารนี้อยู่ ผมมองมัน มันก็มองผม และที่ทำให้ผมตกใจคือมันกรอกตาได้แล้วก็แยกเขี้ยว ผมร้องตกใจจนทุกคนหันมามอง “ลิงกังลิงกังมันแยกเขี้ยว!!!” ผมร้องลั่น“อะไรนะ?” ยัยนกน้อยถาม“ลิงกังมันแยกเขี้ยวเหมือนมันอยากจะเดินเข้ามากัด”ผมพูดเสียงสั่น“มันเป็นลิงหิน” นกน้อยทำเสียงสูง“รู้แล้วแต่เห็นมันแยกเขี้ยวจริงๆนะ”ผมเถียง“สมุนหนุมาน” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาพอหันไป ผมเห็นป้าของพี่มิทยืนมองผมอยู่ “สมุนหนุมานกำลังขนหินไปถามสร้างถนนเข้าลงกา”“นิทานหลอกเด็ก” ผมตอบเบาๆ“ลิงก็คงหลอกเด็ก” ยัยแม่มดยิ้มเยาะผมแล้วก็เดินไปผมรีบเดินหนีจากที่ตรงนั้นอย่างไวที่สุดหลังจากนั้น ผมไม่มีความสุขเลขเหมือนประสาทผมมันเสียไปหมด ลิง ช้าง เสือ รูปปั้นคนต่างๆ มันดูมีชีวิตทุกตัวเหมือนมันรอคอยเล่นงานผมอยู่ “พี่มิทครับนัทกลัว” ผมเข้ามาจับแขนพี่มิท“รูปปั้นหินทั้งนั้นมันไม่มีชีวิต”“แต่นัทไม่ได้โกหกนัทเห็นจริงๆ”“อากาศร้อนทำให้คนตาฝาดได้นะน้องถั่วนัท”พี่เป้พูดเสริมอีกคน“เดี๋ยวโดนมันหลอกบ้างก็จะพูดไม่ออก” ผมสะบัดหน้าแล้วก็เดินออกไปจากตรงนั้น การเที่ยวชมพระราชวังจบลงด้วยความไม่ประทับใจผมอยากจะเปลี่ยนชื่อการทัวร์วันนี้ว่า ทัวร์วังผีสิงด้วยซ้ำ อาหารค่ำวันนั้นผมหิวจัดจริงๆผมเห็นทุกคนเตรียมตัวกินอาหารพื้นเมือง ผมรีบสั่งอาหารจากในเมนูทันที จะให้ผมไปกินผักปลา ผมกินไม่ลง คนรับออเดอร์มื้อค่ำ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ผมชี้ไปที่เมนูข้าวหน้าปลาไหลราดซอส พี่เอกกินปลาย่างกับข้าวราดยำกุ้งและที่แปลกที่สุดคือสามคนใกล้ๆผม กำลังกินอาหารนกกันอยู่ผมเห็นเมล็ดข้าวเมล็ดพืชเต็มไปหมด นอกนั้นก็มีผักหลายๆสี มีเต้าหู้มีสลัดมีน้ำปั่น “กินเหมือนนก” ผมพูดเบาๆ ยัยนกน้อยหยิบถั่วหยิบเมล็ดพืชเข้าปากเหมือนอร่อยเต็มทีผมทำหน้าแหยะแหยงแล้วก็หันมองดูข้าวหน้าตัวเองยังดีที่ร้านนี้มีอาหารญี่ปุ่นให้เลือกคนเสิร์ฟยิ้มให้ผม เขาคงรู้ว่า ในกลุ่มคณะทัวร์อย่างน้อยก็มีคนรู้จักอาหารที่ได้ระดับ ผมตักน้ำซอสราดลงไปบนปลาไหลย่างลอกหนังน้ำซอสออกหวานๆเหมือนน้ำจิ้มไก่แล้วปลาไหลก็เนื้อเหมือนไก่ “นั่นอะไร?” พี่เอกหันมาถามผม“คาบายากิ” ผมตอบเสียงดังและด้วยความหิว ผมก็กินปลาไหลกับข้าวไปจนหมด แม้จะรู้สึกแปลกไปบ้างแต่กินแล้วก็อร่อยดีเหมือนกันเรื่องราวทั้งหมดจะจบลงด้วยการปิดคอร์สด้วยของหวานและเครื่องดื่มเย็นๆและกลับบ้านไปนอน แต่ด้วยความสอดรู้ของยัยนกน้อยทำให้ผมต้องอารมณ์เสีย “นัทกินอะไร?” สีหน้าสอดรู้ของยัยนกสาระแนยื่นเข้ามาดูถ้วยข้าวของผมข้างๆ มีส่วนที่กินไม่หมดอยู่ด้วย“คาบายากิไม่รู้จักเหรอ?” ผมตอบ“รู้จักข้าวหน้าปลาไหลแต่ที่นัทกิน มันเหมือนไม่ใช่ ดูสิ ตรงกลางมีกระดูกด้วย ปลาไหลที่ไหนมีกระดูก มันมีแต่ก้าง”ผมเขี่ยดูท่อนกลมที่คาดว่าเป็นส่วนของลำตัวปลาไหลจริงอย่างที่ยัยนกสอดรู้บอก ตรงกลางมันมีกระดูก คล้ายๆกับคอของไก่ผมหยิบเมนูไปถามพี่มิทในเมนูมันมีภาพข้าวหน้าปลาไหลแสดงอยู่จริงๆ “ป้าบอกว่าข้าวหน้างูย่าง” พี่มิทตอบผมรู้สึกหูอื้อและตาลาย จากนั้นก็วิ่งไปอาเจียนตรงริมทะเลสาบของในท้องออกมาจนหมดไส้หมดพุงยัยนกน้อยยังมีหน้าไปถามต่อว่า เขาจับงูจากไหนควักไส้ล้างท้องยังไง เสียงคุยกันเรื่องงูดังเข้าหูของผม พี่เอกเข้ามาดูผมเกาะขอบไม้ของร้านอาหารริมทะเลสาบเอาไว้วันนี้ทั้งวัน ผมรู้สึกว่า ไม่มีความสนุกเลย คุณเวณวัฒน์ได้ห้องนอนใหญ่ด้านหลังที่ติดกับป่าผมเข้ามาดูว่าเขาขาดเหลืออะไรบ้าง คุณเวณวัฒน์อยู่ในชุดนอนลายขวาง ผมชื้นๆบนหัวแสดงว่าเขาเพิ่งอาบน้ำออกมา “ขาดอะไรมั้ยครับเดี๋ยวผมหามาให้?” ผมยื่นหน้าเข้าไปถามเขาตรงหน้าประตู“ขาดคนคุยด้วย” เขาตอบ“คุณเอากระเป๋ามาด้วยเหรอครับ?” ผมเดินเข้าไปแล้วมองดูกระเป๋าใบใหญ่ของเขาที่อยู่ริมเตียง“มาเที่ยวก็ต้องมีกระเป๋าเสื้อผ้า” ผมพยักหน้า จากนั้นก็เข้ามานั่งบนเตียงคุณเวณวัฒน์นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามกัน “พรุ่งนี้มีปีนเขาไปด้วยกันนะครับ”“ผมอยากให้คุณระวังตัว”“คุณไม่ไปเหรอครับ?”“ผมไปกับคุณแต่อยากเตือนคุณไว้”“พญานาคก็เตือนแบบคุณเลย” ผมขยับตัวไปมาเตียงนี้นุ่มแล้วก็เด้งไปมาเหมือนมีสปริง“นาคที่ไหน?”“เขาไม่ยอมบอกแต่เขาบอกว่า ผมกำลังมีภัย ให้ระวังตัว”
ชอบมากต่อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่อยากให้ป้า กะคุณเวนวัฒน์ เป็นศัตรูกันเลย ชอบป้าอยู่ ขอบคุณมากๆครับ ชอบที่สุดครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ชอบมากคับ ขอบคุน
ขอบคุณครับ ชอบมาก ขอบคุณครับ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากๆครับ
หน้า:
[1]
2