แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kabuki เมื่อ 2016-2-24 16:41
ผมหยั่งเชิง คิดว่าเขาจะพูดเรื่องนาคให้ฟัง
“ก็ดีแล้วแต่เขาไม่ได้เข้ามาใกล้คุณใช่มั้ย?” “เปล่าครับเขาผุดขึ้นมาจากน้ำ ยืนอยู่ห่างๆ เราสองคนคุยกันในความฝัน” “ต่อไปนี้อย่าไปคุยกับคนแปลกหน้า บางที ผู้ไม่หวังดี อาจจะหาทางมาหลอกคุณ ผมรู้สึกว่าเรากำลังจะมีเรื่องอันตรายเกิดขึ้น” “คงไม่มีอะไรหรอกครับกังวลไปก็ไม่สบายใจเปล่าๆ ถ้าเราระวังตัวแล้วข้างหลังจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ให้เป็นไปตามเวรกรรมที่ติดตัวเถอะครับ” “พูดเหมือนคนแก่” เขายิ้ม “ก็แก่แล้วผมอายุหลายพันหลายหมื่นปีแล้วไม่ใช่เหรอ อาจจะเกิดก่อนคุณด้วยซ้ำ” ผมหัวเราะเบาๆ “คุณก็แก่ผมก็แก่” เขาตอบผมเห็นแววตาอ่อนโยนของเขาแสดงออกมา “คราวก่อนก็บอกว่าผมเด็กคราวนี้มาบอกว่าแก่ จะเอายังไงแน่” “เป็นสมการผกผันเป็นไปตามอารมณ์” เขาลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินมาจับหูของผมเบาๆ “ช่วงที่ผมยังเด็กคุณทำอะไรอยู่ครับ?” ผมถาม
“ก่อนคุณเกิดผมก็ไปเรียนหนังสือ เรียนหมอ เรียนเศรษศาสตร์ เรียนสถาปัตยกรรม เรียนสังคมวิทยาเรียนมานุษยวิทยา เรียนประวัติศาสตร์” “เรียนเยอะจังไม่เหนื่อยเหรอ?” ผมสงสัย “ไม่เหนื่อยก็เวลาว่างผมมีเยอะ เรียนเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ตอนผมเป็นคนจริงๆแล้วผมจะได้หาเงินเลี้ยงคุณได้ บ้านหลังนั้นผมก็ออกแบบเอง เขียนแบบเองทุกอย่าง” “ได้ปริญญามาหลายใบเลยไปเรียนทุกวันเหรอครับ มีคนมาจีบบ้างหรือเปล่า?” “คุณอยากรู้คำตอบของข้อสุดท้ายอย่างเดียวใช่มั้ย?” เขาหัวเราะ “อย่าแอบอ่านใจผมสิ” ผมเอามือมากุมหัวใจเผื่อจะป้องกันเขาแอบอ่านความรู้สึกได้ “ผมไม่ได้เข้าไปอ่านใจคุณผมแค่ใช้ความรู้สึก” เขายิ้ม “ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก็ตอบมาเลยสิ”
“ผมไม่มีเพื่อนบางทีคนรอบตัวก็ไม่รู้สึกตัวว่ามีผมอยู่ด้วย แต่จะมีที่นั่งว่างๆโดยที่ไม่มีคนตั้งคำถาม” “ทำไมคุณไม่เหงาเหรอ?” “ผมไม่อยากเอาตัวไปผูกพันกับใครถ้าผมมีเพื่อน วันหนึ่ง เขาจะรู้ว่าผมไม่ใช่คนปกติ เขาจะแก่ตัวลงผมไม่ควรเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตปกติของพวกเขาเหล่านั้น ตอนนี้คนที่เรียนพร้อมกับผมก็แก่มากแล้วบางคนก็แก่ตายไป ตอนธันวายังไม่เกิด ผมก็ไปเรียนสาขาหนึ่ง ตอนธันวาเด็กผมก็เรียนสาขาหนึ่ง เรียนไปเรื่อยๆ จนธันวาทำงาน ผมถึงหยุด” “ก็เรียนจนไม่มีอะไรจะเรียนแล้ว” ผมรู้สึกว่าเรื่องราวของเขาน่าฟังชีวิตเขามีความแปลกกว่าคนอื่น ไม่มีในหนังสือ ไม่มีในสารคดี ผมฟังแล้วก็อดที่จะคิดต่อไม่ได้มันเป็นเรื่องราวที่ไม่เกิดขึ้นกับชีวิตคนปกติ
“คุณเรียนหมอแล้วไปต่อเฉพาะทางสาขาอะไร?” “ศัลยกรรมกระดูก” เขานั่งลงข้างๆผมแล้วตอบกลับมา ผมยิ้มแล้วก็นอนลงไปกับที่นอนนุ่มๆ “ผมลองนั่งสมาธิที่บ้านแต่มองไม่เห็นอะไรเลย สงสัยจะยังไม่นิ่งพอ” “บางทีถ้าคุณโตกว่านี้ผมอาจจะช่วยคุณได้” เขาพูดแปลกๆดูเขาจะขัดเขินและมีรอยยิ้มแปลก “ช่วยยังไง?” “ช่วยกระตุ้น” “กระตุ้น?” “เวลาคน..ไปถึงจุดสุดยอด หัวสมองจะโล่ง ตอนนั้นจะสามารถกระตุ้นความทรงจำทับซ้อนได้” “ลองตอนนี้ได้มั้ย?” ผมถลกกางเกงออก “ไม่ได้” เขาพูดเสียงต่ำๆ “ผมก็ล้อคุณเล่นเท่านั้นเอง” ผมกำลังจะพูดต่อพอดีมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน “ตานอยู่นี่หรือเปล่าครับ?” เสียงพี่มิทดังอยู่ข้างนอกประตู “อยู่ครับเชิญเลยครับ” ผมลุกขึ้นมานั่งข้างๆคุณเวณวัฒน์ พี่มิทเปิดประตูเข้ามาแล้วมองสำรวจผมกับคนข้างๆเหมือนสงสัยว่าเราสองคนกำลังทำอะไร
“คุยกันอยู่ครับ” ผมตอบออกมาก่อนที่เขาจะสงสัย “หิวมั้ยครับออกไปข้างนอกกันมั้ย มีเกี๊ยวน้ำกับขนมข้างนอก ผลไม้ก็มี” พี่มิทชวน “ไปครับอยากกินอะไรเย็นๆ รู้สึกว่าร้อนเหลือเกิน อยากจะแก้ผ้านอนให้รู้แล้วรู้รอด” “สงสัยฝนใกล้จะตก” พี่มิทพูดแล้วเดินนำผมออกไปผมหันมาดึงแขนคุณเวณวัฒน์ให้เดินตามออกมาอีกคน ในห้องอาหารผมเห็นนัทกำลังกินซุปร้อนๆอยู่ที่โต๊ะ ซุปนั้นน่าจะเป็นเกี๊ยวน้ำที่พี่มิทบอก นัทดูหิวมากเหมือนไม่มีอะไรอยู่ในท้อง
พ่อกับแม่ของพี่มิทสวมชุดนอน กำลังนั่งคุยกันตรงหน้ามีชาร้อนกับคุกกี้จานเล็กๆทั้งสองท่านเรียกผมกับคุณเวณวัฒน์เข้าไปร่วมวงที่โต๊ะ อีกด้าน นกน้อยเพิ่งอาบน้ำออกมาพี่เอกกับพี่เป้ก็กลับเข้ามาหลังออกไปวิ่งข้างนอก ผมตักผลไม้แช่เย็นให้คุณเวณวัฒน์แล้วก็ตักส่วนของตัวเองกับนกน้อยมาด้วย แม่พี่มิทเห็นผมกินแต่ผลไม้เลยทักขึ้นมา
“กินเพิ่มอีกหน่อยนะพรุ่งนี้ไปปีนเขาแต่เช้า เดี๋ยวไม่มีแรง” เกี๊ยวน้ำในถ้วยกระเบื้องเลื่อนมาอยู่ตรงหน้าผมกับนกน้อยเราสองคนจำต้องกินเกี๊ยวกุ้งในชามให้หมด
“คุณเวณวัฒน์ทำธุรกิจอะไรบ้างนะครับ?” พ่อพี่มิทถามขึ้นมา “ก็ไม่ได้ทำอะไรเยอะครับมีหุ้นเล็กๆน้อยๆพอเลี้ยงตัวเองได้” ผมเห็นพี่มิทขยับตัวไปมาเหมือนขัดใจเหมือนพี่มิทอยากจะพูดอะไรซักอย่างขึ้นมา “ไม่ได้ทำงานประจำเหรอครับ?” พี่มิทถาม“ผมรู้สึกว่าคุณเวณวัฒน์มีหุ้นในธนาคาร โรงแรม สายการบิน กับมีเงินเก็บพอสมควรนะครับ” “กำลังคิดอยู่ครับว่าจะทำอะไรดี” “แปลกนะครับไม่ได้ทำงานประจำ แต่มีเงินเก็บจนเป็นเศรษฐี” พี่มิทพูดต่อ “ก็สะสมมาเรื่อยๆจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสาม สามเป็นสี่ เป็นห้า ไปเรื่อยๆ” “ผมให้คนไป...” พี่มิทกำลังจะพูดเข้าประเด็นพอดีป้าโสรยาเดินเข้ามาขัดจังหวะซะก่อน
“จัดของเสร็จหรือยังลูกน้ำเปล่า อาหารกลางวัน อาหารเย็น เตรียมไปให้พร้อม ไฟฉายกับของจำเป็นก็อย่าลืมพรุ่งนี้คนนำทางจะเข้ามาที่นี่ตอนเจ็ดโมงเช้า” ป้าโสรยาเหมือนมาถูกจังหวะ พี่มิทได้สติแล้วก็เดินกลับไปที่ห้อง
“คุณเวณวัฒน์คงเชี่ยวชาญการพยากรณ์ความเสี่ยงนะคะซื้อหุ้นได้ถูกจังหวะ รู้ว่าตัวไหนจะทำกำไร” ป้าโสรยาเข้ามานั่งแทนหลานชาย พ่อกับแม่ของพี่มิท ตอนนี้ได้แต่ทำหน้าสงสัย “ผมมีเวลาว่างพอที่จะไปศึกษาวิธีการเล่นของทุกอย่างตรงหน้า ถ้าเราเรียนรู้ที่จะทำและใช้ มันก็ไม่มีอะไรยากนอกเหนือจากที่บอกก็แล้วแต่ดวงชะตา” “เชื่อเรื่องดวงชะตาด้วยเหรอคะ?” ป้าพี่มิทเลิกคิ้ว “เชื่อครับ” “น่าแปลกนะคะยังหนุ่มแน่น แต่เชื่อเรื่องพวกนี้ด้วย” คราวนี้แม่พี่มิทพูดเสริมขึ้นมา “ผมอยู่มานานแล้วครับนานพอที่จะเห็นอะไรหลายๆอย่าง” “ถ้าไม่รบกวนจนเกินไปช่วยดูดวงชะตาให้ดิฉันหน่อยได้มั้ยคะ” ป้าโสรยายิ้มอย่างมีเลศนัย “ผมทราบมาว่าคุณมีความสามารถทางการพยากรณ์ชะตาชีวิต” คุณเวณวัฒน์ตอบ “ดูให้คนอื่นได้แต่ไม่ดูให้ตัวเองค่ะ”
ผม นกน้อย นัท พี่เป้ พี่เอก ตอนนี้ได้แต่นั่งกินกันเงียบๆบทสนทนาบนโต๊ะ มีตัวละครแค่สองคน คุณเวณวัฒน์จ้องหน้าป้าโสรยาแล้วหลับตานิ่งก่อนจะพูดออกมา
“บัวตูมหลังบ้านผลิบานสวยงามไร้คนชม พอถูกเด็ดดมจากคนบินผ่าน ไม่นานก็ถูกทิ้ง” คุณเวณวัฒน์พูดคำทำนายออกมาเป็นสี่ท่อน ไม่มีใครรู้ความหมาย นอกจากป้าของพี่มิทที่อยู่ๆก็ลุกขึ้นยืนแล้วมีอาการสั่น ทุกคนดูจะตกใจเมื่อเห็นประมุขของบ้านลุกขึ้นมายืนตัวสั่นเทิ้ม คุณป้าของพี่มิทไม่มีเสียงพูดแต่ใบหน้าและท่าทางที่แสดงออก ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เดาออกว่าคำทำนายที่คุณเวณวัฒน์พูดออกมานั้น คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน “อะไรกันคะคุณอา?” แม่พี่มิทวางแก้วชาลงตรงหน้าแล้วรีบถามด้วยความตกใจคุณป้าโสรยาเหมือนพยายามสูดหายใจเข้าไปในอกแล้วก็ฝืนยิ้มออกมา ผมพูดได้เลยว่าท่านฝืนยิ้มมันเป็นรอยยิ้มที่ไม่เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาฝั่งคุณเวณวัฒน์ดูจะนิ่งเฉยเช่นเดิม ไม่มีสีหน้าแปลกไปกว่าตอนก่อนหน้านั้นเลย คุณป้าโสรยายันตัวกับโต๊ะไม้สักขัดมันก่อนจะตอบแม่ของพี่มิทว่า
“ไม่มีอะไรเพียงแต่... คุณเวณวัฒน์ช่างทายได้แม่นยำดีจริง แม่นราวกับตาเห็น” ป้าของพี่มิทหลับตาเหมือนพยายามระงับความรู้สึกก่อนจะยิ้มหวานคล้ายริมฝีปากอาบด้วยน้ำผึ้งออกมา “ถ้าหันมาเอาดีทางด้านนี้เชื่อว่า คงไม่มีหมอดูคนไหนที่เก่งได้เท่ากับคุณ” ป้าโสรยาชม คุณเวณวัฒน์พยักหน้ารับช้าๆทั้งสองคนไม่ได้พูดกันอีกเพราะป้าของพี่มิทเป็นคนปิดฉากบทละครที่แสนพิศวงนี้ด้วยตัวเอง
“ไปนอนได้แล้วเด็กๆพรุ่งนี้ต้องใช้แรงเดินทาง เวลาเดินป่าก็พยายามสังเกตทาง อย่าเดินห่างจากเพื่อนป้าเป็นห่วง” นกน้อยเลื่อนชามอาหารออกไปก่อนจะรินน้ำใส่แก้วให้ผม นกน้อยหันไปถามป้าของพี่มิทว่า “คุณป้าไม่ไปด้วยกันกับเราเหรอคะ?” “แก่ปูนนี้แล้วจะเดินขึ้นเขาสูงๆได้ยังไงกัน”ป้าของพี่มิทตอบแล้วก็ขอตัวกลับเข้าไปพักด้านในพ่อกับแม่ของพี่มิทก็พากันกลับไปที่บ้านพักอีกหลัง คนที่เหลือไม่มีใครเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นซักคน พวกเราแยกย้ายกันเข้าห้องนอน
ผมนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์เอาไว้ในห้องนอนของคุณเวณวัฒน์
“นกน้อยเข้าไปก่อนละกันนะ เดี๋ยวจะเข้าไปเอาของในห้องคุณเวณวัฒน์ซะหน่อย แล้วจะตามไป” “อย่าไปนานนะกลัว” “อืม”
ผมเดินตามหลังคุณเวณวัฒน์เข้าห้องไปด้วยเขาหันกลับมาทำหน้าประหลาดใจ ก่อนจะใช้แววตาตั้งคำถาม
“ลืมของครับขอเข้าไปเอาหน่อยนะ” “ผมคิดว่าคุณคงสงสัยว่าสิ่งที่ผมพูดกับโสรยาคืออะไร” เขาพูดหลังจากเราอยู่ในห้องกันสองคน “ผมไม่อยากรู้เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับผมหรอก” ผมตอบ “อันที่จริงมันใกล้เคียงกับเรื่องราวของเรา และผมคิดว่ามันอาจจะมีส่วนที่ทำให้เราได้รับความเดือดร้อนในอนาคต” “งั้นที่คุณพูดว่าดอกบัวที่ตูมแล้วก็บานออก มีคนบินผ่านมาเจอ เด็ดมาดมแล้วก็ทิ้ง หมายความว่าไงครับ” “โสรยาเคยมีสามีเป็นครุฑตอนเป็นสาวแรกรุ่นแต่พอโรยราลง ครุฑนั้นก็ทิ้งเธอไป ไม่เคยกลับมาอีก” “โถ่แบบนี้นี่เองที่คุณป้าถึงได้บอกว่า ครุฑกับคนไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้คนมีแต่จะแก่ลงทุกวัน” ผมถอนหายใจ “ยกเว้นผมกับคุณเราจะสร้างเส้นทางขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง” “คุณเป็นครุฑที่แปลกมากนะ” ผมทัก “ตรงไหน?” เขาเอียงหน้าเข้ามาถามใกล้ๆลมหายใจอบอุ่นและกลิ่นหอมสะอาดลอยเข้ามาจนผมรู้สึกได้ “ไม่บอก” ผมพูดแล้วยักคิ้ว “บางทีการที่มีคุณอยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นเด็กลงเหมือนกัน” เขาพูดแล้วจับหัวผมไปโยกไปมา “อ๋อหมายความว่า บางที ผมก็มีอารมณ์แบบเด็กๆเหมือนกันสินะ” ผมอาศัยจังหวะที่เราอยู่ใกล้กันเข้าไปจับเอวเขาและกอดเอาไว้ผมกดจมูกลงกับหน้าอก จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นไปจุมพิตที่ปากของเขา
“ราตรีสวัสดิ์ครับครุฑ”
ความรู้สึกส่วนล่างมันร่ำร้อง ผมอยากจะ...
“กลับไปได้แล้วให้เวลาหนึ่งถึงสิบ” เขาพูดเบาๆ “น้ำหอมกลิ่นนี้หอมดีจริงๆถ้าหมดแล้วบอกผมนะ ผมจะซื้อมาอีก ผมได้กลิ่นแล้วก็อยากจะซุกหน้ากับอกคุณตลอดเลย” “หรือไม่ก็เพราะคุณอยากนอนกอดผม” เขาพูดแล้วก็จูบแก้มก่อนนอนให้ผมเบาๆ “นับได้แปดแล้วผมไปดีกว่า” ผมเก็บความรู้สึกอบอุ่นนั้นเอาไว้แล้วรีบเดินออกจากห้องก่อนที่จะทำอะไรที่มันดูโลดโผนเกินวัย .
.
คนนำทางเป็นพรานท้องถิ่นของที่นี่เขาโพกผ้าที่หัวแล้วก็มีปืนยาวล่าสัตว์ ท่าทางของพรานดูช่ำชองคงเป็นเพราะทำงานอยู่ในพื้นที่นี้มานาน หรือไม่ก็คงเกิดและโตในพื้นที่แถบนี้ พรานพูดภาษาไทยได้นิดหน่อยก่อนเวลาออกเดินที่พรานบอกว่าต้องรอฤกษ์และรอให้ป่าเปิดทุกคนก็เตรียมตัวและตรวจดูว่ามีของที่ยังไม่ได้ใส่เอาไว้ในกระเป๋าอีกหรือไม่ พรานไล่ให้นัทไปเช็ดตัวเอากลิ่นน้ำหอมออกเขาบอกว่าจะทำให้สัตว์แตกตื่นกับกลิ่น นกน้อยถูกไล่ให้ไปเปลี่ยนเสื้อจากสีเหลืองนกขมิ้นให้เป็นสีที่เข้มขึ้นมา เพื่อให้กลมกลืนเข้ากับป่า นอกนั้นจากนั้น ก็ไม่มีใครมีปัญหาเล็กๆน้อยๆอีกผมเองก็คุ้นเคยกับป่าแถวบ้านของยายเป็นอย่างดี ยายชอบพาผมไปเก็บเห็ดในป่า ส่วนพี่มิท พี่เป้และพี่เอกเองก็คงเดินป่าอยู่บ่อยๆพี่มิทสวมชุดเดินป่าสีเขียวลายพราง มีหมวกสีน้ำตาลและกล้องส่องทางไกล พี่เอกสวมกางเกงผ้าเนื้อแข็งรองเท้าผ้าใบอย่างหนาแล้วก็สวมหมวกแก๊บ พี่เป้สวมกางเกงยีนส์สีเข้ม สวมเสื้อแขนยาวแล้วก็มีกล้องถ่ายภาพความละเอียดสูงเป็นอาวุธ และอีกคนที่แทบไม่ต้องเป็นห่วงเลยคือคุณเวณวัฒน์เขามีบ้านอยู่เหนือป่าที่อัศจรรย์มากที่สุด นั่นก็คือป่าหิมพานต์ ดังนั้นหากนับป่าทุกป่าที่มีอยู่ในดินแดนมนุษย์ เขาคงไม่มีปัญหาอาจจะเหมือนเขาเดินอยู่ในสวนหย่อมหน้าบ้านด้วยซ้ำ
เวลาเจ็ดนาฬิกาตรงพรานนำทางใช้พื้นรองเท้าเดินป่าอย่างหนาบดขยี้ขี้เถ้าจากธูปที่ปักไว้ตรงชายป่าหลังบ้านพัก พรานบอกว่าเลยจากบ้านนี้ออกไปเพียงครึ่งก้าว ก็คือเขตป่า ด้านล่างเป็นป่าไม้รกแล้วก็จะไต่ระดับขึ้นไปตามความสูง เป็นป่าโปร่งบ้าง ป่าสน ป่าดิบจนไปถึงด้านบนสุดที่เป็นป่าหินภูเขาไฟ ด้านบนสุดเป็นปากปล่องภูเขาไฟที่มีแต่พื้นที่โล่งๆ
ผมขยับหมวกคู่ใจไปมาให้กระชับเสื้อแขนยาวที่ไม่หนาจนเกินไป ทำให้ผมไม่ร้อนแต่กลับช่วยกันแดดและลมได้เป็นอย่างดี นกน้อยขยับรองเท้าที่เพิ่งผูกเชือกไปให้เข้าที่พวกเราทั้งหมดแปดคน ออกเดินเท้าไปตามทางที่เหมือนกับมีรอยชาวบ้านเดินเข้าออกเพื่อหาของป่า
ต้องใช้เวลาซักพักกว่าป่าจะรกครึ้มจนไม่มีทางเดินของคน ทางเดินตอนเข้าป่ารก มีแต่รอยของสัตว์ป่าเป็นรอยหมูบ้าง กระทิงบ้าง ตามที่พรานนำทางพูดให้ฟัง พรานกำชับให้พวกเราเดินเกาะกลุ่มกันหากใครหลงทางหรือเดินพลัดจากเพื่อนไป ให้จุดประทัดที่พรานให้ติดตัวเอาไว้ ประทัดที่พรานให้ มีอยู่หนึ่งพวงมันเป็นประทัดเหมือนตอนที่ใช้กับงานตรุษจีน
พรานนำทาง เดินอยู่หน้าสุดตามด้วยพี่มิทกับพี่เอก นัทเดินตามพี่มิทกับพี่เอกไปติดๆถัดมาข้างหลังมีผมอยู่ตรงกลาง ทางซ้ายมือมีคุณเวณวัฒน์ ทางขวามีนกน้อย หลังสุดมีพี่เป้ที่กำลังจับภาพนกและแมลงแปลกตาซึ่งไม่เคยพบเห็นในเมืองไทย เวลาผ่านไปราวสามชั่วโมง อากาศเริ่มเข้มข้นกลิ่นความชื้นลอยมาแต่ไกล เมฆฝนสีเข้มลอยตัวลงมาต่ำ ยอดไม้สูงเหนือหัวเอนไหวไปมา พรานนำทางกังวลว่าทุกคนอาจจะเปียกจึงพยายามเร่งฝีเท้าเพื่อให้ไปถึงยังที่หลบฝนซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นถ้ำอยู่ด้านหน้า ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตร พายุฝนตกลงมาจริงๆผมดันหลังนกน้อยให้รีบวิ่งเข้าหาถ้ำที่พรานบอก เรามาถึงทันเวลาพอดิบพอดี ในถ้ำมีอากาศถ่ายเท และมีแสงเข้าได้หลายทางเพียงแต่ว่าตอนนี้ พายุฝนทำให้ฟ้าปิด พวกเราต้องก่อไฟขึ้นมาให้ความอบอุ่นและให้แสงสว่างแทนแสงธรรมชาติจากดวงอาทิตย์ พี่มิทถอดหม้อสนามออกมาต้มกาแฟแจกทุกคนผมไม่ดื่มกาแฟจึงขอน้ำร้อนออกมาชงโกโก้ ในกระเป๋าผมมีขนมปังอยู่สองสามก้อน แต่เมื่อคิดแล้วผมกินกล้วยหอมที่เอาติดมาแทนดีกว่า กระเป๋าจะได้เบาและกล้วยจะได้ไม่ช้ำจากการเดินทาง ระหว่างนั้น นกน้อยเกิดปวดเบาขึ้นมาผมเดินไปส่งเพื่อนยังที่ลับตาคน เราสองคนเดินแยกออกมาอีกด้านของถ้ำพอที่ทุกคนจะเรียกได้ ระหว่างที่นกน้อยไปหลบอยู่หลังซอกหินผมนั่งฉีกเปลือกกล้วย พอกินเข้าไปได้ครึ่งลูก เสียงจิ๊กแจ๊กก็ดังขึ้นมาลิงตัวสีเทาเดินดุ่มเข้ามาตรงหน้าผม มันมีขนาดพอๆกับตะกร้าใส่ผ้ามันเข้ามาแล้วก็พยายามแย่งกล้วยในมือผม ผมยื่นกล้วยให้มันมองดูมันฉีกเปลือกกล้วยที่เหลือออก ท่าทางของมันเหมือนกับคนไม่มีผิด เสียงเหยียบกรวดดังขึ้นมาใกล้ๆนกน้อยทำเสียงแปลกใจเมื่อเห็นผมอยู่กับลิง “ลิง?” นกน้อยพูดเบาๆด้วยความสงสัย “มาขอไม่ใช่สิ มาเอากล้วยไปซะดื้อๆ” “กลับเถอะเดี๋ยวมันกัดเอา ต้องไปฉีดยาแล้วก็ยุ่งเลยนะตาน” นกน้อยเดินอ้อมๆ โขดหินไปอีกทางผมก็แยกตัวออกมาจากลิงตัวนั้น เราสองคนกลับมานั่งรวมกลุ่มอยู่ใกล้ๆกับคนอื่นข้างกองไฟคุณเวณวัฒน์หามุมสงบได้ เขานั่งอยู่บนแท่นหินเรียบๆ เหมือนกำลังทำสมาธิ คนอื่นๆกำลังคุยกันเรื่องฝนที่ตกผมได้ยินนัทบ่นเรื่องอากาศข้างนอก นัทคลึงแก้วกาแฟร้อนอยู่ในมือก่อนจะเดินแยกออกไปปัสสาวะบ้าง ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อยดีจนกระทั่งเกิดเสียงขู่คำรามดังขึ้นมา นัทวิ่งมาตัวเปล่าไม่มีแก้วพลาสติกอยู่ในมือเหมือนเที่ยวไป
“ลิงตัวใหญ่มันจะกัดนัท!!!” นัทร้องเสียงดังด้วยความตกใจ “ตัวสีเทาๆเหรอ?” ผมร้องถาม “ไม่ใช่ตัวสีดำ ตัวใหญ่กว่าคนอีก เหมือนคิงคองเลย มันเข้ามาแย่งแก้วกาแฟนัทตกใจเลยปาน้ำร้อนใส่มัน มันเลยโกรธ”
เสียงนัทขาดหายไปพร้อมกับมีเสียงคำรามดังขึ้นลิงตัวใหญ่ปราดเข้ามาหาพวกเรา พี่เป้ที่อยู่ใกล้สุดหลบได้อย่างหวุดหวิด ผมเห็นเขี้ยวขาวโง้งเหมือนเขี้ยวหมามันแยกออกตอนลิงตัวใหญ่คำราม ลิงกำลังพุ่งเข้าใส่พรานนำทางพรานเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาน เขาพลิกตัวกลับแล้วก็ยกปืนขึ้นทางข้างลำตัวคุณเวณวัฒน์ลุกขึ้นยืนแล้วพยายามห้ามพราน แต่ไม่ทันเสียแล้ว เสียงปืนยาวดังกึกก้องไปทั่วอาณาเขตของถ้ำด้วยความที่เป็นสถานที่ปิด ทำให้เสียงก้องและสะท้อนไปมา ลิงตัวใหญ่ทรุดลงทันทีมันแยกเขี้ยวแล้วก็ร้องเสียงดังเป็นครั้งสุดท้าย
“รีบไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้” คุณเวณวัฒน์พูด “ทำไม?” พี่มิทถาม “มันเรียกตัวอื่นในฝูงตามเข้ามาที่นี่” . .
|