แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kabuki เมื่อ 2016-2-24 16:40
พวกเราลุยฝนออกมาข้างนอกทันทีโชคดีที่ฝนเริ่มซาแล้ว แต่ป่ารอบตัวก็ทึบและเปียกชื้น พวกเราเดินออกมาได้ไม่ไกลนักห่างจากถ้ำเพียงไม่ถึงห้าร้อยเมตร ท่ามกลางป่าหินที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝนหลังดงไม้เขียวชอุ่ม สัตว์ตัวใหญ่ที่มีขนปกคลุมร่างกาย ค่อยๆโผล่ออกมาทีละตัวจากหนึ่งเป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่ และอีกมากมายจนนับไม่ถ้วน ผมคะเนด้วยสายตาแล้วน่าจะอยู่ที่ราวๆร้อยกว่าตัว
ลิงสีดำล้อมเราไว้ทุกทิศ กลางป่าหินโล่ง เราไม่มีที่กำบังตัวเองเลยนัทส่งเสียงออกมาอย่างน่าสงสาร นกน้อยเองก็เช่นกัน ลิงพวกนี้มีขนาดเล็กกว่ากอริลล่าในแอฟริกาแต่หากเทียบกับลิงในป่าทั่วไปแล้ว ลิงพวกนี้มีขนาดร่างกายใหญ่โตมีรูปร่างกำยำแข็งแรงกว่ามาก มันไม่เหมือนลิงอุรังอุรังแต่มันมีขนาดใหญ่มากกว่าผู้ชายตัวโตๆซะอีก ตัวจ่าฝูงที่มีขนสีอ่อนเหมือนสีฟางข้าวเดินสองเท้าออกมาจ้องมองพวกเรา มันมีร่างกายใหญ่โตกว่าตัวอื่นหน้าอกมีมัดกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ แขนสองข้างขนาดพอๆกับต้นขาคนพวกมันเข้ามาล้อมกรอบพวกเราเอาไว้ สงครามประสาทเริ่มต้นขึ้น ต่างฝ่ายต่างนิ่งพรานรู้ดีว่าปืนเพียงกระบอกเดียวนั้น ไม่อาจต้านการจู่โจมของสัตว์ใหญ่ขนาดนี้ได้ ลิงที่ตัวโตขนาดนี้ ต่อให้หมูป่าตัวโตทั้งตัวหรือกวางขนาดใหญ่ พวกมันก็จับฉีกเป็นชิ้นๆได้
“ออกไปนะ!!!” นัทส่งเสียงดังตอนถูกลิงจ่าฝูงเข้ามาใกล้ๆเสียงพี่เอกจุ๊ปากให้นัทเงียบเสียงลง แต่ดูเหมือนนัทนั้นสติหลุดไปแล้ว “ออกไป!!!” เสียงนัทตะโกนลั่นลิงทุกสารทิศกรูกันลงมา พี่มิทขยับตัวจะต่อสู้ แต่ถูกพรานยกมือห้าม ลิงใหญ่ตัวที่เป็นเหมือนจ่าฝูงก็ทำแบบเดียวกันกับพรานนำทางมันยกมือห้ามลูกน้องในฝูงไม่ให้ทำร้ายพวกเรา น่าแปลกมากมันทำกริยาอาการราวกับมันเป็นคนที่มีอารยธรรม มันให้ลูกน้องตัวสีดำบ้างสีน้ำตาลเข้มบ้างเข้ามาล้อมพวกเรา ส่วนตัวมันเองไปเอาเถาวัลย์มามัดพราน พี่มิทพี่เอก พี่เป้ ส่วนผม คุณเวณวัฒน์และนกน้อย พวกมันไม่เดินเข้ามาใกล้เลย
เหมือนลิงตัวใหญ่เดินเข้ามาใกล้ในระยะวงกลมล้อมรอบพวกเราสามคนแล้วรู้สึกเหมือนถูกความร้อนขวางไว้ อาจจะเป็นเพราะผมกอดนกน้อยเอาไว้หรือเป็นเพราะคุณเวณวัฒน์ทำอะไรซักอย่างก็ได้ ผมเข้าใจว่าเขาอยากช่วยทุกคนแต่เขาก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยตัว ตอนนี้เขาทำได้แค่เพียงกันผมกับนกน้อยเอาไว้ไม่ให้ลิงเดินเข้ามาใกล้ได้
ลิงตัวสีเทาที่ผมเคยยื่นกล้วยให้เดินเข้ามาดมผม น่าแปลกเหมือนกันที่มันเดินเข้ามาในรัศมีใกล้พวกเราได้อาจจะเป็นเพราะมันยังเล็ก หรือเป็นเพราะมันไม่มีความคิดในทางร้ายกับเราก็เป็นไปได้
พรานนำทาง พี่มิท พี่เอก พี่เป้ถูกมัดรวมกันแล้วผูกไว้กับหลักไม้ พวกลิงจับทั้งสี่คนหันหลังชนกันเป็นวงกลมตรงกลางวงเป็นหลักไม้ ทั้งสี่คนนั่งเหยียดขาออกไปจากศูนย์กลางวงกลม ที่ปากของทุกคนมีเชือกเถาวัลย์มัดอยู่โดยเชือกนั้นรวบไปถึงท้ายทอย และนัทเป็นคนเดียวที่ถูกจับแยกตัวจ่าฝูงเดินเจ้ามาสูดดมตัวของนัท บางครั้งก็เข้ามาเลียใต้ร่มผ้า ลิงตัวจ่าฝูงมันพยายามเปิดเสื้อยืดของนัทออกแล้วก็เลียลิ้นเข้าไปใต้ร่มผ้านัทส่งเสียงร้องด้วยความกลัวจนลั่นป่า ลิงกังตัวใหญ่ยักษ์เหมือนในหนังคิงคองกำลังจะกินผมมันเข้ามาเลียแล้วก็จับนู้นจับนี่เหมือนต้องการสำรวจว่าตรงไหนที่มันควรกินก่อน ผมไม่เข้าใจว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นทำไมมันจับคนนำทาง พี่มิท พี่เอก พี่เป้ แต่สามคนที่เหลือ มันไม่ทำอะไรซักอย่าง ผมภาวนาให้นี่เป็นการถ่ายภาพยนตร์ที่มีกล้องซ่อนเอาไว้ลิงทั้งหมดคือคนแสดงโดยสวมชุดไว้ข้างนอก ลิงกังตัวใหญ่ที่สุดมันเข้ามาทำเสียงฟืดฟาดอยู่ตรงหน้าผม อันที่จริงมันก็มีโครงหน้าคล้ายคนอยู่บ้างแต่ยังไงก็ยังเป็นสัตว์หน้าขนอยู่ดี ตอนนี้ผมไม่รู้ว่ามันจะงับหัวผมเมื่อไหร่ “ยิงมันสิจะปล่อยให้มันฆ่าคนหรือไง”ผมหันไปทางคนนำทาง ไม่ทันที่จะมีใครตอบกลับมาลิงกังตัวใหญ่ก็อุ้มผมขึ้นพาดไหล่ มันแบกผมเดินอ้อมโขดหินเข้ามาที่ลับตาคนบนพื้นที่ปูไว้ด้วยใบไม้ใหญ่สีเขียวอย่างดีเหมือนกับที่นอน ผมถูกวางลงช้าๆ มันเอาจมูกเข้ามาดมตัวผมจากนั้นก็เอาลิ้นสากเหมือนกระดาษทรายมาเลียที่หัวนม ผมร้องลั่นด้วยความกลัว ลิงใหญ่พยายามดึงเสื้อของผมออกแต่ความพยายามของมันไม่สำเร็จ สุดท้ายมันก็กระชากเสื้อยืดของผมจนขาด
ผมเห็นหน้ามันแดงก่ำมันเขย่าตัวผมแล้วทำเสียงน่ากลัว ตรงหว่างขาของมันมีบางอย่างผงกไปมา ท่อนใหญ่ๆ ขนาดแขนของผม ผงกขึ้นลงเป็นภาพที่น่ากลัวที่สุดผมยกมือไหว้ขอร้องตอนมันเอาอวัยวะสืบพันธุ์ของมันมาถูหน้าผม น้ำลื่นๆ ไหลออกมาจากท่อนเนื้อสีแดงเส้นเอ็นปูดโปนหล่อเลี้ยงจนมันแข็งตัวเต็มที่ หรือมันคิดจะแทงเข้าไปในตัวผมผมไม่มีทางยอมรับได้ นี่มันบ้าไปแล้ว ทำไมมันไม่ไปเอายัยนกน้อยมาทำเมียผมคิดไม่ออกจนกระทั่ง...
ผมคิดไปถึงโลชั่นผสมน้ำหอมเมื่อเช้าโลชั่นขวดนี้ผมเคยหยดยาของแม่หมอเอาไว้ พวกน้ำไคลถูกทำแตกหมดแล้ว แต่โลชั่นยังถูกเก็บเอาไว้อย่างดี ผมเพิ่งเอาออกมาใช้ตอนมาเที่ยวนี่เองวันนี้ทั้งวัน ผมพยายามเดินใกล้พี่มิท หวังให้เขาดมกลิ่นผมจะได้เกิดอารมณ์ แต่ผลกลับตาลปัตร ผมกำลังจะโดนลิงข่มขืนมันพยายามกระชากกางเกงผมออกแล้วดันท่อนเนื้อแข็งๆมีน้ำไหลเยิ้มของมันเข้ามา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของลิงดังมาจากทางด้านหลังผมหันไปมองก็เห็นลิงใหญ่สีดำชูมือของมันขึ้นไปเหนือหัวฝ่ามือข้างที่ชูขึ้นไปเป็นสีแดงจัดเหมือนถูกความร้อนเผา เสียงเจี๊ยกจ๊ากดังระงมไปทั่วเสียงขู่คำรามดังข้ามมาจากโขดหินลับตา เหมือนต้องการเตือนให้ลูกฝูงเงียบเสียงผมมองดูคุณเวณวัฒน์ที่ยืนสงบนิ่งกับที่ไม่มีวี่แววว่าเขาจะรู้สึกสนใจต่อเหตุการณ์รอบตัวเลย
ลิงตัวนี้พยายามแอบเข้ามาคว้าคอผมกับนกน้อยแต่พลาดถูกเผาซะก่อน
พี่เอกกับพี่มิทพยายามขยับตัวให้หลุดจากการพันธนาการของลิงลิงตัวย่อมลงมาจากตัวหัวหน้าฝูงแยกเขี้ยวขาววาววับ ผมมองดูขากรรไกรขนาดใหญ่ของมันแล้วคิดว่า หากลิงกัดลงมาที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของพวกเรามันคงเกิดแผลฉกรรจ์ หนังอาจจะหลุด หรือกระดูกอาจจะแตกได้เลยทีเดียว เสียงนัทตะโกนด่าทอสลับกับเสียงคำรามของลิงดังมาจากอีกด้าน
ตรงบริเวณลานโล่ง ลิงสองตัวกำลังช่วยกันจุดไฟ
นี่คือเรื่องมหัศจรรย์พันลึกอย่างที่สุดเท่าที่เรียนมา ความรู้เรื่องการใช้ไฟนั้น มีเฉพาะในมวลหมู่มนุษย์เท่านั้นญาติที่เป็นลิงใกล้เคียงกับเรานั้น ผมไม่เคยพบว่ามันทำได้แบบนี้มาก่อน มันสุมไฟใกล้ๆกับกลุ่มพี่มิทผมได้ยินเสียงพี่เป้ร้องลั่น ลิงตัวหนึ่งยื่นฟืนลุกติดไฟเข้ามาจ่อใกล้พี่เป้พี่เป้รีบก้มหัวหนีฟืนติดไฟ ผมสังเกตพฤติกรรมของลิงพวกนี้แล้วรู้สึกเหมือนมันมีความชาญฉลาดพอๆกับคน และบางทีก็เหมือนต้องการแสดงอำนาจให้พวกเราเห็น ผมกลัวใจมันเหลือเกินว่าถ้ามันเอาฟืนจ่อไปที่พี่มิทหรือคนอื่นๆในกลุ่มนั้น ผมจะทำยังไง มันเป็นพฤติกรรมป่าเถื่อนชัดๆที่เอาไฟเข้ามาขู่คนแบบนี้
นกน้อยร้องออกมา ข้างหูของผมมีเสียงกระซิบเบาๆบอกว่า พวกลิงจะเอาไฟเผาพวกพี่มิทแล้วก็กิน น่าประหลาดเหลือเกินลิงในป่านี้รู้จักประกอบอาหารด้วยความร้อนเหมือนคน
เสียงนัทเงียบไปแล้ว ผมใจหายวาบกลัวว่าลิงใหญ่จะทำอะไรนัทเข้า กองไฟใหญ่ที่ลิงเอากิ่งไม้แห้งมาสุมลุกโชนขึ้นเหนือหัวพวกพี่มิท เสียงแตกของไฟเกิดขึ้นพร้อมๆกับสะเก็ดเล็กๆสีส้มที่ถูกลมพัดกระจายไปในอากาศ พี่เป้เหงื่อไหลเต็มหน้าพี่มิทกับพี่เอกเอียงคอคุยกัน ส่วนพรานนำทางหลับตานิ่ง
ลิงเอาใบไม้มาสุมรอบๆตัวนักโทษที่เป็นมนุษย์สี่คนผมเริ่มขยับตัว คุณเวณวัฒน์หันมามองผมแล้วยกมือห้าม นกน้อยเกาะผมแน่นสัมผัสร้อนจากมือ รวมถึงเหงื่อที่ไหลออกมาจากมือทำให้ผมรู้ว่านกน้อยรู้สึกกลัวมาก ลิงเอากิ่งไม้แห้งสอดไว้ใกล้ๆพวกพี่มิทด้านนอกสุมไว้ด้วยใบไม้แห้ง ตัวรองจ่าฝูงที่มีขนสีน้ำตาลยกฟืนขึ้นมันโบกฟืนไปมาในอากาศแล้วร้องคำราม ช่วงที่มันกำลังจะจ่อไฟลงไปสู่ใบไม้แห้งนั้นผมร้องห้ามเสียงดัง มันหันมามองแต่ไม่ได้ให้ความสนใจ มันจ่อฟืนติดไฟลงไปในกองใบไม้มันต้องการจะเผาคนทั้งสี่คนนั้น ใบไม้แห้งติดไฟอย่างรวดเร็ว พี่เป้ที่อยู่ใกล้ไฟมากที่สุดพยายามเป่าลมเพื่อดับไฟ แต่ความพยามนั้นกลับตรงกันข้าม ยิ่งเป่าไฟยิ่งติดเร็วขึ้นกว่าเดิม
ตอนนี้มีกองไฟย่อมๆ เพิ่มขึ้นมาอีกกองรวมกับกองไฟสีส้มขนาดใหญ่ที่สุมไว้บนลาน ทำให้ขณะนี้มีความร้อนและมีกลิ่นควันไฟลอยคลุ้งไปหมด ผมรู้สึกแสบจมูกและตาจนลืมขึ้นมาดูเหตุการณ์แทบไม่ได้และก่อนที่ผมจะตัดสินใจทำอะไรลงไป พวกลิงก็โห่ร้องยินดี มันเต้นไปรอบๆกองไฟเหมือนพวกลิงกำลังเฉลิมฉลองมื้ออาหารมื้อใหญ่
ไฟลุกโหมใกล้เข้าไปติดกิ่งไม้แห้งที่อยู่ด้านในแล้วพี่มิทขยับตัวไปมาพร้อมๆกับเสียงร้องกึกก้องป่าของลิงใหญ่ ผมแทบจะทนดูเหตุการณ์ป่าเถื่อนแบบนี้ต่อไปไม่ได้และก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายลงไปกว่านี้ ผมรู้สึกถึงแรงไหวพวกลิงเองก็รู้สึกเช่นกัน
พี่มิทเป็นอิสระจากเถาวัลย์ซึ่งหลุดออกไปเพราะแรงขยับขาของตัวเองกับพี่เอกพี่มิทถีบกิ่งไม้ไหม้ไฟออกไปจากตัว ระหว่างนั้น โลกเหมือนกำลังหมุนกลับด้านพวกลิงหลายตัวล้มตะแคง บางตัวก็ล้มทั้งยืน พวกพี่มิทเองก็ล้มกลิ้งเถาวัลย์ที่มัดอยู่พลอยหลุดไปด้วย นกน้อยร้องตกใจตอนเห็นแผ่นดินใต้กองไฟยกตัวสูงขึ้นมันยกตัวสูงขึ้นเหมือนมีแม่แรงใหญ่มาดัน ลิงตัวรองหัวหน้าฝูงร้องลั่น มันยืนอยู่ใกล้กับปากโพรงที่เหมือนเป็นช่องอะไรซักอย่าง และก่อนที่ทุกคนจะยันตัวลุกขึ้นมายืนได้ลิงตัวรองจ่าฝูงนั้นก็ถูกปากโพรงนั้นกลืนลงไป นกน้อยกับผมอ้าปากค้าง ปากโพรงที่ว่าที่แท้มันคือปากของสัตว์ ลานย่อมๆที่พวกลิงก่อไฟคือส่วนกระดองสัตว์โบราณลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มออกเดิน ลิงกับคนที่อยู่ด้านบนนั้นพากันวิ่งหนี “ตานดูสิ เต่ายักษ์ มันกินลิงลงไปทั้งตัวเลย!!!” นกน้อยร้องออกมาแล้วทำท่าเหมือนจะวิ่งเตลิดออกไปผมดึงแขนเพื่อนเอาไว้ได้ทัน “อย่าวิ่งเขาไม่มาทางนี้หรอก” ผมยืนนิ่งเหมือนคุณเวณวัฒน์ตอนนี้เหมือนเราสามคนกำลังยืนมองดูละครเวทีกันอยู่ เต่ายักษ์ที่มันนอนนิ่งมาไม่รู้กี่ร้อยปีได้ตื่นขึ้นมาแล้วอาจจะเพราะเสียงอึกทึกของลิงหรือไม่ก็เพราะความร้อนจากไฟที่สุมไว้บนกระดองแข็งของมันเริ่มร้อนจัดจนมันนอนนิ่งต่อไปไม่ได้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามตอนนี้สิ่งที่น่าตกใจมากกว่าเต่ายักษ์ก็คือ แมลงสีดำใต้ที่นอนของเต่ามันมีทั้งแมงป่องและสัตว์มีพิษ ผมเห็นลิงหลายตัวถูกสัตว์มีพิษเข้าทำร้ายลิงตัวใหญ่ไม่อาจต่อกรกับพิษของแมลงได้ มันร้องลั่น บางตัวล้มลงนอนด้วยความเจ็บปวดบางตัวก็วิ่งหนีและหายตัวเข้าไปในป่ารก
พี่มิท พี่เอก พี่เป้ รวมทั้งพรานนำทางพากันวิ่งหนีลงไปในลำธาร ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดพวกแมลงไม่ได้ตามลงไปในน้ำ แมลงมีพิษพากันเดินขบวนที่ดูคล้ายกับกองทัพสีดำเข้ามาหาพวกเราแทนบางตัวก็เดินเลี่ยงไป เหมือนสายน้ำสีดำที่แหวกช่องไว้เป็นวงกลมตรงกลาง วงกลมนั้น มีผม นกน้อยและคุณเวณวัฒน์ยืนอยู่แมลงบางตัวพยายามฝ่าวงกลมสมมตินั้นเข้ามา ผมเห็นแมลงที่พยายามทำแบบนั้นลุกติดไฟ มันไหม้แล้วเปลี่ยนจากสีดำกลายเป็นสีส้มอมแดงทันที
ไม่ทันที่เราจะได้สนใจกับซากแมลงไหม้ไฟผมเห็นนัทวิ่งกระเซอะกระเซิงออกมาจากหลังโขดหิน เสื้อผ้าของนัทขาดกระรุ่งกระริ่งแต่นัทก็พยายามเอาเสื้อผ้านั้นปิดส่วนลับของตัวเองเอาไว้กันอุจาด “หนีลงน้ำไปอย่ามาทางนี้” นกน้อยตะโกนสุดเสียงนัทหันหลังกลับไปทันทีมือขวาของนัทคว้าเสื้อขาดๆปิดช่วงกลางลำตัวก่อนจะวิ่งหนีลงไปในลำธารสมทบกับอีกสี่คนที่เหลือ ผมเห็นนัทวิ่งลงมาสมทบ ปากก็ร้องบ่นไม่หยุดเรื่องที่พวกตานไม่โดนเล่นงาน “ทำไมพวกนั้นไม่โดนเหมือนพวกเรา!!!” นัทร้องสภาพกระรุ่งกระริ่งของชุดรวมทั้งสภาพของหน้าตาที่แสดงถึงการผ่านสถานการณ์สมบุกสมบันมา ทำให้ผมคิดว่านัทน่าจะเป็นคนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด “อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องนั้นเลยน่ารีบใส่เสื้อผ้าเร็วเข้า” ผมร้องเตือนไม่รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เราจะโดนอะไรอีกบ้าง นัทน้ำตาร่วง หยดน้ำตาเม็ดโตๆ ร่วงลงไปในน้ำนัทสวมเสื้อกับกางเกงขาดๆนั้นกลับเข้าไป สภาพตอนนี้ นัทดูน่าสงสารมากกว่าคนอื่น “นัทอยากกลับบ้านนัทไม่อยากอยู่แล้ว มีแต่ผี มีแต่ลิงป่า มีตัวอะไรไม่รู้เต็มไปหมด” นัทร้องไห้พร้อมกับสะอึกสะอื้น “ไม่มีใครอยากไปต่อหรอกแต่ตอนนี้ต้องรอให้เหตุการณ์มันสงบลงก่อน ใจเย็นแล้วฟังพี่ อย่าตีโพยตีพาย” ผมพยายามปลอบพร้อมกับกำชับนัทตอนนี้ ถึงจะร้องไห้ มันก็ไม่ช่วยอะไร “เดี๋ยวแมลงมันเดินไปหมดก็พาตัดเข้าทางกลับบ้านเลยนะ” ผมสั่งพรานเขามองหน้าผมแล้วก็หันไปทางนายเวณวัฒน์ที่ยืนอยู่บนเนินหินใกล้กับตาน “ท่านสั่งให้ผมพาคุณขึ้นไปให้ถึงยอดเขานะครับ” พรานตอบเบาๆพอให้ผมได้ยินคนเดียว “ผมจะพูดกับป้าเองสถานการณ์แบบนี้ ฝืนเดินต่อไปก็คงตายเปล่าทางข้างหน้าจะมีตัวอะไรโผล่มาอีกก็ไม่รู้” แมลงเดินผ่านพวกที่ยืนอยู่ข้างบนหมดแล้วมันไม่ได้มีทีท่าที่จะเข้าไปทำอันตรายนายเวณวัฒน์กับตานเลย ผมแน่ใจอย่างที่สุดว่า นายเวณวัฒน์ไม่ใช่คนธรรมดาเดินดินเขาต้องเป็นสัตว์ร้ายที่จะเข้ามาล่อลวงตานเข้าไปเป็นทาสรับใช้ ผมไม่มีทางยอมให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นแน่ผมมีหน้าที่ปกป้องตานจากอันตราย เพราะผมรับปากพ่อของตานไว้แล้ว พวกเราห้าคนเดินลุยน้ำขึ้นมาบนฝั่งไอ้เป้รีบเช็ดกล้องถ่ายภาพของมันทันทีนัทรีบไปค้นเอาเสื้อผ้าสำรองในเป้สะพายซึ่งตกอยู่ริมก้อนหินใหญ่ขึ้นมาเปลี่ยน พวกเราไม่ได้พูดอะไรกันอีก ไม่มีคำถามใดๆเกิดขึ้น ในสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตรายแบบนี้ ทุกคนรู้ดีว่าควรทำตัวยังไง
“ขอโทษด้วยนะครับที่พามาเจอเรื่องอันตรายแบบนี้ถึงไม่มีใครเป็นอะไรถึงชีวิต แต่ผมก็รู้สึกเสียใจที่นำทุกคนเข้ามาในป่านี้” ผมน้อมรับความผิดทุกประการ เราแปดคนกำลังจะหันหลังกลับเคราะห์ร้ายยังไม่สิ้นสุดลง แผ่นดินใต้ฝ่าเท้ามันไหวตัวผมพยายามมองว่ามีตัวประหลาดอะไรอีกที่อยู่ข้างใต้ แต่คราวนี้เป็นแผ่นดินไหวจริงๆและถ้ามีตึกอยู่ใกล้ๆ ผมว่าตึกคงถล่มลงมาหมดแน่ แรงสั่นรุนแรงมากผมล้มลงไปกับพื้นแข็งๆ ทุกคนล้มระเนระนาดลงไปยกเว้นนายเวณวัฒน์ที่ยังทรงตัวอยู่ได้ในแรงไหวขนาดนี้ เสียงต้นไม้หักโค่นตามมาทันทีแผ่นดินแยกราวกับโลกจะจบสิ้นลง ผมรู้สึกว่า ฟ้าลงมาอยู่ใต้เท้าพื้นดินพลิกกลับขึ้นไปอยู่แทนท้องฟ้า ต้นไม้เอารากชี้ขึ้น น้ำพุพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินก้อนหินไหลลงไปในรอยแยกขนาดใหญ่ พวกเราเกาะกลุ่มกัน ผมพยายามยึดก้อนหินใหญ่เอาไว้ปากก็พยายามตะโกนให้สติทุกคน ตานล้มกลิ้งไปใกล้รอยแยกผมเห็นนายเวณวัฒน์คว้าเอวตานแล้วกอดเอาไว้ ผมไม่อาจบรรยายสถานการณ์ได้ถูกมันสับสนอลหม่านอย่างที่สุด เสียงช้างป่าร้องแตกตื่น ต้นไม้หักโค่นก้อนหินแตกแล้วก็กลิ้งลงมาจากยอดเขา ผมตะโกนให้ทุกคนอยู่บนที่โล่งพยายามหลบหินที่กลิ้งลงมา เสียงสัตว์แตกตื่นและนกร้องเซ็งแซ่เกิดขึ้นยาวนานแล้วก็เงียบไป
ผมรู้สึกคล้ายกับเพิ่งลงมาจากเครื่องเล่นในสวนสนุกมันรู้สึกเหมือนโลกยังหมุนไม่หยุด พวกเราพยายามทรงตัวขึ้นมา ภูมิประเทศทุกอย่างรอบตัวเปลี่ยนไปเป็นคนละหน้าลำธารน้ำไหลหายไปและกลายเป็นโตรกผากว้าง มันกว้างเกินกว่าที่เราจะข้ามไปได้ เมื่อคะแนจากสายตามันน่าจะกว้างมากกว่าร้อยเมตร รอยแยกแตกเป็นแนวยาวไปจนสุดสายตาธารน้ำเล็กที่เกิดจากน้ำพุไหลกลับลงไปใต้ดิน น้ำพุจากชั้นหินพุ่งขึ้นมาเหมือนท่อน้ำแตกแต่ละคนงงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“อยากกลับบ้านแล้ว” นัทร้องไห้ออกมาคนแรกเอกพยายามเข้ามาลูบหลังน้องให้สงบลง “ขอสำรวจดูทางกลับก่อนว่ามันสะดวกหรือเปล่าถ้าไม่ได้ เราคงต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น” ผมตัดบท ทุกคนไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมกับพรานนำทางของป้าเดินเลี่ยงออกมาจากกลุ่มเราเดินเข้ามาสำรวจรอยแยกที่กินแนวเขตป่าลึกหายเข้าไปในดงไม้รกๆ มันกว้างเกินไปที่เราจะก้าวผ่านไปด้วยเท้าทางสายนี้คงต้องเป็นนกมีปีกเท่านั้น ถึงจะบินข้ามผ่านไปได้
“คงต้องอ้อมป่านี้ไปแล้วตัดออกทางหมู่บ้านชายป่าฝั่งตะวันตก” พรานออกความเห็น “ไกลมั้ย?” ผมถาม “ไปตอนนี้ก็คงเย็นๆกว่าจะถึง แต่ถ้าเราจะตัดทางนี้ให้ได้ ก็ต้องหาทางที่แคบที่สุดอาจจะต้องหากันเป็นวันเพราะรอยแยกมันกว้างเท่าๆกัน แล้วพอหมดรอยแยก ก็เข้าเขตเหวมันเดินเท้าไปไม่ได้” “งั้นก็ตัดไปอีกทางตามที่ว่า” ผมตัดสินใจ “แต่ท่านสั่งไว้...” “ผมสั่งให้ตัดออกไปอีกทางถ้าป้าบอกก่อนว่า ป่านี้มันอันตรายแบบนี้ ผมจะไม่มีทางพาทุกคนเข้ามาเด็ดขาด”
พรานยอมทำตามที่ผมสั่ง เขาออกเดินนำไปอีกทางมันเป็นทางเข้าไปสู่ป่าลึกที่มืดสลัว ต้นไม้ใหญ่ยังคงยืนต้นได้แม้เพิ่งผ่านเหตุการ์แผ่นดินไหวมาก็ตาม ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ขนาดห้าคนโอบสามารถเห็นได้ทั่วไปในเขตป่าที่เราเดินผ่าน นกสีสันแปลกๆบินกันว่อนเหมือนหารังที่หายไปจากแรงแผ่นดินไหว สัตว์มีพิษหลายชนิด ปรากฏตัวให้เห็นตามพื้นมีทั้งงู แมงป่อง ตะขาบ ในกลุ่มพวกเรานั้น นัทดูจะขวัญเสียมากที่สุด ผมไม่โทษเขาเพราะเห็นใจที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากที่สุด นอกจากนั้น ทุกคนก็ดูมีสติดีตานเดินนิ่งแล้วพยายามปลอบนกน้อย ไอ้เป้เดินเงียบไม่ได้มีทีท่าสนุกสนานเหมือนปกติวิสัยของมัน เอกพยายามปลอบนัท พรานเดินนำอยู่ข้างหน้าพร้อมกับปืนที่กลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง ตานเดินรวมกลุ่มอยู่กับนกน้อยและนายเวณวัฒน์นายคนนี้เป็นคนเดียวที่ดูเป็นปกติมากที่สุด คนอื่นอาจจะเปียกปอนตอนหนีสัตว์ลงน้ำหรืออาจจะหกล้มไปบ้างเหมือนตานกับนกน้อย แต่เขาไม่เป็นอะไรเลยไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ผมรู้สึกเหมือนเขาลอยตัวอยู่เหนือทุกสิ่ง พวกเราเดินมุ่งหน้าไปทางแนวเขาสูงผมเห็นยอดแหลมรูปกรวยตั้งตะหง่านอยู่เหนือหมู่เมฆ สภาพพวกเราแต่ละคนนั้นสมบุกสมบันมาพอสมควร ผมรู้สึกว่า แขนกับขามีรอยถลอกเล็กน้อยนกน้อยเองก็ถูกหินคมๆบาดเข้าเนื้อ เราสองคนไม่ได้ใส่ใจกับแผลมากนักตอนนี้ไม่มีเวลามาจัดการทำความสะอาดอะไรทั้งนั้น หลังเลยเวลาอาหารกลางวันมาเล็กน้อยพรานนำทางพามาหยุดอยู่ตรงตรงโคนไม้ใหญ่ ป่ารอบด้านมืดมิดเหมือนตอนกลางคืนพี่มิทเขี่ยลานโล่งนั้นให้สะอาด พี่เอกเก็บกวาดเศษใบไม้มารวมกันพี่เป้หอบกิ่งไม้แห้งมาก่อกองไฟ นัทเอาเท้าเขี่ยดูพื้นแข็งๆ ราวกับกลัวว่าข้างล่างจะเป็นสัตว์ประหลาดอีกตัว ผมเข้าไปช่วยต้มน้ำร้อนทุกคนแกะเอาห่อข้าวตัวเองออกมากินกันเงียบๆ
ผมตักน้ำร้อนใส่แก้ว จากนั้นก็ฉีกซองธัญพืชลงไปกลิ่นหอมๆ ของธัญพืชอบผสมนมถั่วเหลืองหอมกรุ่นขึ้นมาทันที ผมยื่นแก้วร้อนๆ นั้นให้คุณเวณวัฒน์เขารับไปดื่มแล้วก็บอกให้ผมแกะห่อข้าวออกมากินบ้าง นกน้อยนั่งกินข้าวอยู่เงียบๆไฟวับแวมที่ส่องตรงหน้า ทำให้ผมเห็นร่องรอยการผจญภัยของเพื่อนรอยเลือดจากมือและรอยเปื้อนดิน ปรากฏให้เห็นเด่นชัดบนหน้าของนกน้อย อีกคนที่นั่งกินข้าวเงียบๆก็คือนัทแม้พี่เอกจะพยายามถามอาการบาดเจ็บ แต่นัทก็เงียบ พี่มิทกับเป้เองก็กำลังนั่งคุยกันกับพรานขณะกินข้าว มันช่างเป็นวันที่ผมแทบอธิบายกับตัวเองไม่ถูกเลยทีเดียวตอนอยู่ที่บ้านพักนั้น บรรยากาศของการท่องเที่ยวยังอบอวล แต่พอเดินเข้าป่ามาได้ สัตว์ร้ายและเรื่องราวเหนือธรรมชาติก็เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่นับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอีก ผมแทบไม่เชื่อตัวเองเลยว่านี่คือเรื่องจริง
มะม่วงสุกลูกเล็กถูกปอกง่ายๆด้วยมีดเดินป่าผมปาดครึ่งแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กให้คุณเวณวัฒน์ อีกครึ่งก็หั่นไปให้พวกพี่มิท พวกเราพยายามกินให้เร็วที่สุดแล้วก็ตั้งใจจะออกเดินทางต่อในทันที
|