เมื่อถึงเวลาอาหาร คุณธันวาลงมาจากห้องชั้นบนพวกเราห้าคนกินข้าวกันในห้องอาหาร คุณธันวาคุยกับแม่ของตาน ผมคุยกับคุณอาผู้ชาย มีเพียงตานเท่านั้นที่กินข้าวเงียบๆไม่ได้สนใจคุยกับใคร ผมตักกุ้งใส่จานไปให้ หวังว่าตานจะพูดด้วยแต่เขาก็เงียบ “พรุ่งนี้ก็ไปเยี่ยมป้าของพี่มิทออกไปตอนสายหน่อยก็ได้” คุณอาผู้ชายพูดขึ้นมาตานหันมามองหน้าพ่อของตัวเองแล้วก็ส่ายหน้า “ตานมีธุระต้องไปหาหลวงตาที่วัด” “ไปทำอะไรที่วัด?” “ไปฝึกสมาธิครับ” “ไปกับปีศาจนั่นน่ะเหรอพ่อไม่ให้ไป” ตานรวบช้อนช้าๆ ข้าวสวยที่เหลืออยู่กองเล็กๆไม่ได้ถูกสนใจอีก “เอาไว้ถ้าผมว่างจะไปเองครับ” ตานรวบช้อนแล้วก็เดินออกไปข้างนอก คุณธันวามองดูตานแล้วก็ยิ้มออกมา “เหมือนลุงไม่มีผิดตอนเด็กก็รั้นเงียบแบบนี้” ผมรีบกินข้าวในจานให้หมดจากนั้นก็เดินออกไปหาตานที่สนามหญ้า ตานกำลังฉีดน้ำจากสายยางรดต้นไม้สูงที่โผล่พ้นเลยหลังคาบ้าน “พี่จะถามหลายครั้งก็ลืมทุกทีต้นไม้ต้นนี้พี่ไม่เคยเห็นมาก่อน”ผมพยายามชวนเขาคุย ตานฉีดน้ำฝอยๆ รดต้นอื่นจากนั้นก็เดินไปปิดน้ำ “คุณเวณวัฒน์ให้เมล็ดมาผมเอามาหย่อนไว้ใต้ดิน มันก็งอกขึ้นมา” การสนทนาของเราสะดุดลงตอนมีชื่อบุคคลที่สามขึ้นมาเป็นบุคคลที่ผมไม่อยากได้ยินเป็นที่สุด แต่เพื่อรักษาบรรยากาศไม่ให้เสียไปผมก็พยายามเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “ปิดเทอมนี้ไปเที่ยวยุโรปกับพี่มั้ยอากาศกำลังดีเลย” ผมถือโอกาสชวนตานไปเที่ยว “จะพาผมไปเจออะไรอีกอุกกาบาตถล่ม ดาวหางชน ยักษ์ขึ้นมาเหยียบ หรืออะไรดี?” ตานหันหลังมาแล้วทำหน้าเฉยชา “ตาน” ผมพูดแล้วถอนหายใจ“เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องไม่...” “อย่าโกหกเลยผมจะรู้สึกดีมากกว่า ถ้าคุณไม่พูด” “พี่ยอมรับว่าต้องการพิสูจน์ให้ตานเห็นว่านายนั่นไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเรา” “คุณกับป้าคุณก็เลยหาเรื่องทำร้ายเขางั้นสิแล้วคุณเวณวัฒน์เคยทำอะไรคุณบ้างมั้ย เขาช่วยทำลายต้นไม้ปีศาจนั่นด้วยซ้ำเขาช่วยคุณเอาไว้ คุณยังคิดทำลายเขาอีก” “ช่วยก็ส่วนช่วยแต่เรื่องที่เขาทำไม่ดีเอาไว้ก็เป็นอีกเรื่องตานไม่ได้ฟังเรื่องที่คุณธันวาพูดหรือไง เขาขัง....” “ผมไม่เชื่อเรื่องเหลวไหลพวกนี้หรอก” “พี่ทำอะไรก็ดูผิดไปหมด” ผมส่ายหน้าพยายามมองดูต้นไม้ใบหญ้าเพื่อระงับอารมณ์ “คุณทำผิดแต่คิดว่าทำถูกคุณกำลังทำลายความรู้สึกดีๆที่ผมมีให้ รู้มั้ย” “ถ้าตานคิดว่าสิ่งที่พี่ทำมันทำร้ายตานอยู่พี่ก็ไม่รู้จะพูดว่ายังไงอีก แต่พี่อยากให้รู้ไว้ พี่หวังดีกับตานเสมอไม่ได้คิดร้ายเลย” “ถ้าอย่างนั้นผมอยากขอร้องให้คุณหยุดหวังดีกับผมแล้วก็เลิกยุ่งกับผมซะที จะให้ผมกราบก็ได้” ตานนั่งลงกับพื้นแล้วพยายามก้มลงกราบที่เท้าผม “ตาน!” ผมขยับเท้าออกมาแล้วดึงเขาลุกขึ้นยืน“อย่าทำให้พี่รู้สึกแย่กว่านี้เลยแค่ตานเห็นพี่เป็นอากาศ พี่ก็เจ็บจนจะทนไม่ไหวแล้ว” เรารู้สึกดีใจที่ธันวายังไม่ตายการสิ้นชีวิตของธันวา หมายถึงการสิ้นสุดของการกลับไปสู่ชีวิตมนุษย์ของเราเราอยากตายแล้วเกิดมาเป็นมนุษย์อีก ไม่อยากเป็นอสูรงูน่าเกลียดน่ากลัวดังที่แล้วมา เหตุการณ์หลังธันวาหมดสติไปท่านครุฑได้คลุมร่างธันวาไว้ด้วยมนต์ แล้วท่านก็ทำลายต้นไม้ปีศาจท่านช่วยให้ผู้ชายคนนั้นกลับออกไปสู่ป่าภายนอกถ้ำได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่านครุฑกับธันวาจะมาเจอเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้ได้ แม้ท่านภุชงค์จะเคยพูดไว้แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิตอย่างนี้ นี่อาจจะเป็นเคราะห์กรรมของทั้งสองคนก็เป็นได้อย่างไรก็ตาม การมีชีวิตอยู่ของธันวา ถือว่ามีความสำคัญต่อเราเป็นอย่างมากท่านภุชงค์เองก็ทราบดี จึงส่งเรามาช่วยธันวาด้วยแล้วหลังจากเราถูกผีดิบฟันร่างงูจนพินาศ ท่านก็กักวิญญาณเราไว้ไม่ให้ล่องลอยท่านใส่เราไว้ในฟองใสที่มีความเหนียว เรามีดวงตากลิ้งไปมาในฟองใสแลดูเป็นตัวประหลาดมากกว่าอสูรงูเสียอีก ท่านภุชงค์พาจิตของธันวามาที่วังบาดาลเราได้พูดคุยกับธันวาเพียงครู่เดียว ท่านภุชงค์ก็ผลักเราไหลไปตามกระแสน้ำทะเลเราล่องลอยไปเจอสัตว์ทะเลต่างๆในทะเลอยู่นานครึ่งวันก็ลอยกลับเข้ามา ธันวาหายไปแล้วเหลือเพียงท่านภุชงค์ที่นั่งมองดูแอ่งน้ำใสอยู่ เราแอบมองดูด้วยในนั้นมีภาพหญิงชราหน้าตาน่ากลัวอยู่ด้วย “ข้ามีงานให้เจ้าทำอสูรงู” เสียงท่านภุชงค์ดังขึ้นมาเราพยายามขยับฟองใสนั้นให้เข้าไปใกล้กับท่านภุชงค์ให้มากที่สุด “มีอะไรให้ข้ารับใช้?” “ข้าจะให้เจ้าไปทำงานบนโลกมนุษย์” “จะไปได้อย่างไรมีแค่ลูกตาดิ้นไปมา?” “ข้าจะเนรมิตร่างให้เจ้าใช้” ท่านภุชงค์ดีดนิ้ว ฟองใสแตกออกน้ำล้นทะลักเข้ามาจนเราสำลัก ไม่นานร่างเราก็กลายเป็นงูสีดำน่าเกลียด “ไม่เอาข้าไม่เอาร่างงูดิน มันน่ารังเกียจ”เราพยายามส่งเสียง แต่ไม่มีอะไรเล็ดลอดออกไปได้ “สันดานอย่างเจ้าให้เป็นงูดินก็ดีเท่าไหร่แล้ว” “ไปในร่างนี้ก็ถูกคนเหยียบถูกนกจิก จะไปทำอะไรได้ล่ะท่าน” ท่านภุชงค์หยุดคิดตอนเราพูดว่านกจิกท่านเนรมิตร่างใหม่ คราวนี้เป็นคางคกหนังปุ่ม “ร่างอัปลักษณ์แบบนี้ข้าไม่ยอม รูปร่างก็น่าเกลียด ไปไหนก็ช้า” ท่านภุชงค์ดีดนิ้วครั้งที่สามเรากลายร่างเป็นแมงป่อง “ขอเป็นร่างมนุษย์ไม่ได้หรือท่านข้าคิดถึงร่างมนุษย์เหลือเกิน”เราอ้อนวอน หวังว่าท่านนาคจะเห็นใจ “สันดานร่านโลกีย์เช่นเจ้าถ้าข้าให้ร่างมนุษย์ เจ้าคงไปเสพสมอยู่กับผู้ชายจนลืมงาน” “ข้าจะช่วยท่านทำงานให้สำเร็จโปรดให้ร่างมนุษย์กับข้าเถอะนะท่าน ข้ารับรองว่าจะตั้งใจทำงาน” ท่านภุชงค์หยุดคิด แล้วก็ดีดนิ้วอีกครั้งเรากลายร่างเป็นงูเขียว ท่านเนรมิตลูกแก้วสีขาวมุกขึ้นมา จากนั้นก็โยนมาให้เรา “ลูกแก้วนี้ให้เจ้าอมไว้ในปากตลอดเวลา เมื่อจะนอนค่อยคายออก เวลาเจ้าอมมันไว้ร่างจะเป็นมนุษย์ เวลาคายจะกลายเป็นงูเขียว” เรารีบตะครุบลูกแก้วนั้นทันทีมันใหญ่กว่าปากเรา กว่าจะอ้าปากครอบลงไปก็ต้องใช้เวลานาน ร่างมนุษย์ผู้ชายกลับคืนมาอีกครั้งแม้จะเป็นเพียงเวลาที่มีลูกแก้ว ก็ทำให้เรากลับมาเหมือนเดิมเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ “ร่างมนุษย์อยู่ได้เพียงสามวันเท่านั้นอย่าหลงเพลินอยู่บนโลกนานเกินกว่านั้น ข้าไม่มีเวลาไปตามหาวิญญานเร่ร่อนของเจ้า” “รับทราบ” เราโค้งคำนับท่านภุชงค์แล้วรอคำสั่ง “ไปสังเกตการณ์ดูบ้านของหญิงผู้นี้แล้วก็คอยดูธันวาเอาไว้” ท่านภุชงค์สั่ง “ข้าต้องช่วยท่านครุฑคลี่คลายปัญหาด้วยถูกต้องหรือไม่?” “หยุดสิ่งที่เจ้าคิด!” ท่านภุชงค์ลุกขึ้นมาชี้หน้าเรา “ถ้าทำให้ท่านครุฑกับธันวาผ่านอุปสรรคไปได้ธันวาก็จะระลึกชาติได้เร็วขึ้น ข้าก็จะหลุดพ้นสภาพนี้ไม่ใช่หรือ?” “ข้าให้เจ้าไปทำงานให้ข้าไม่ใช่ให้เจ้าไปทำเพื่อตัวเอง” “แล้วข้าจะได้อะไรตอบแทนช่วยท่านแต่ตัวข้ายังต้องเป็นงูตลอด ข้าจะทำไปเพื่ออะไร” “เมื่อเจ้าเป็นอสูรงูเจ้าก็คือบริวารของข้า เอาไว้เจ้าเป็นอสูรปักษาเมื่อไหร่ เจ้าค่อยไปช่วยครุฑ” ท่านภุชงค์ทำหน้าเอือมระอาเรา “ที่แท้ก็จะหาโอกาสสอดแทรกระหว่างท่านครุฑกับธันวา” เราบ่นออกมาท่านภุชงค์ดีดนิ้วอีกครั้ง คราวนี้เรารู้สึกว่าที่หน้ามีบางอย่างผุดขึ้นมา เรารีบชะโงกมองดูตัวเองในน้ำเกล็ดสีเขียวของงูเกิดขึ้นหลายจุด ดูมันช่างน่ารังเกียจสิ้นดี “ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าหาทางช่วยครุฑข้าจะเรียกร่างคืน แล้วก็ปล่อยวิญญานเจ้าให้ล่องลอยไป” เราเรียกน้ำตาออกมาแก้ไขสถานการณ์ เราสะอื้นไห้แกล้งบีบน้ำตาออกมาเรียกความสงสาร “ท่านนาคผู้มีฤทธิ์ข้าเป็นอสูรต่ำต้อย ไม่กล้าโอหังกับท่านอีกแล้ว” พบกันใหม่ตอนหน้าครับ อย่าทำให้พี่รู้สึกแย่กว่านี้เลย แค่ตานเห็นพี่เป็นอากาศพี่ก็เจ็บจนจะทนไม่ไหวแล้ว” เสียงพี่มิทดูอ่อนลง บรรยากาศดูเงียบงันเสียงหยดน้ำจากปลายใบไม้หยดลงเบาๆ ที่พื้นหญ้า แต่กลับได้ยินเสียงอย่างชัดเจน “ผมจะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายผมอยู่ข้างคุณเวณวัฒน์ ใครทำอันตรายเขาหรือทำให้เราสองคนแยกกัน ผมจะถือว่าคนๆนั้นยืนอยู่ตรงข้าม” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นเมื่อเดินผ่านวงสนทนากลางบ้านก็เลยไปโดยไม่ได้หยุดสนใจส่วนพี่มิทก็เดินตามมาแล้วเข้าไปนั่งใกล้ๆกับพ่อ ผมเดินขึ้นไปอาบน้ำในห้องพยายามจับดูลูกบิดว่ามันร้อนขึ้นมาหรือเปล่า แต่ไม่เลย ทุกอย่างสงบนิ่ง ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วโทรไปหาเขาเสียงคุ้นเคยดังตอบกลับมาแทบจะในทันที “คุณทำอะไรอยู่?” ผมถาม “กำลังคิด” “คิดอะไร?” “คิดว่าธันวามาจากไหน?” “เขาเป็นตัวปลอม” ผมยืนยันเพื่อให้เขารู้ว่าผมไม่เชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น “ผมรู้ว่าไม่ใช่ธันวาธันวาตายไปแล้ว ผมเป็นคนอุ้มเขาขึ้นไปเผาเองกับมือร่างมนุษย์ของธันวาไม่เหลืออยู่อีกแล้ว ทั้งเลือดเนื้อและกระดูก จิตวิญญาณเท่านั้น ที่ธันวายังอยู่กับคุณ” “นั่นสินะแล้วธันวาคนนี้มาจากไหน คุณมองออกมั้ยว่าเขาคือใคร?” ผมถาม “เขาคือคนจริงๆเป็นคนที่มีเลือดเนื้อและชีวิต มีความรู้สึกนึกคิดและความทรงจำเขารู้เรื่องทั้งหมดของธันวา”คุณเวณวัฒน์พูดเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่ “เขาอาจจะท่องมาก็ได้” ผมให้ความเห็น “ไม่ใช่เขารู้มากกว่าคนปกติจะรู้ได้ เรื่องบางอย่างมีแค่ผมกับธันวาที่รู้” “คุณจะบอกว่าเขาคือธันวาตัวจริงงั้นเหรอ?” ผมชักไม่แน่ใจเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ทันที่คุณเวณวัฒน์จะตอบเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมบอกเขาให้วางสายแล้วก็เดินไปเปิดประตู พี่มิทยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า ส่วนสูงของเขาไม่ห่างจากขอบบนของประตูห้องมากนัก พี่มิทเดินเข้ามาพร้อมๆกับเจ้าเงินที่ถือโอกาสเดินเข้ามาในห้องด้วย “แมวของตานแสนรู้จริงดูมันรักตานมากนะ” เจ้าเงินหามุมหย่อนตัวมันถูกสอนไม่ให้ขึ้นมานอนบนเตียง ส่วนใหญ่มันจะมุดเข้าไปพักผ่อนใต้โต๊ะเขียนหนังสือของผมพี่มิทมองดูเจ้าเงินแล้วก็หันมาชวนผมคุย “เห็นว่าตานไปฝึกทำสมาธิที่วัดไว้พรุ่งนี้พี่จะไปส่งดีมั้ย?” ผมนั่งรอจนผมแห้งสนิทจากนั้นก็หาผ้าห่มมาให้พี่มิทอีกผืน “ผมนัดกับคุณเวณวัฒน์ไว้” “ก็ไม่เป็นไรนี่ครับให้พี่ไปอีกคน ต่างคนต่างฝึก ไม่ได้รบกวนกัน” พี่มิทตอบ ผมมาคิดแล้วก็เห็นดีด้วยการที่มีพี่มิทไป เท่ากับว่า ผมสามารถไปที่วัดเพื่อทำสมาธิได้ตามปกติโดยที่พ่อไม่ห้าม “ก็ตามใจถ้าคุณมีความสุขกับการทำตามคำสั่งของพ่อ” “เปล่าครับพี่อาสาไปเอง พ่อของตานไม่ได้สั่ง” ผมพยักหน้าแล้วก็เดินไปหยุดอยู่ตรงสวิตช์ไฟผมมองดูพี่มิทก่อนจะถามขึ้นมาว่า “ถ้ายังไม่ง่วงจะหาอะไรทำก่อนก็ได้นะ ข้างล่างมีเกม ข้างบนนี้มีหนังสือ คุณก็เลือกเอาเองละกัน” “พี่ง่วงแล้วครับ” พี่มิทยิ้มแล้วก็รับคำง่ายๆ ผมปิดไฟแล้วเดินอ้อมเตียงเข้ามานอนหน้าหันออกไปมองต้นไม้สูงที่คุณเวณวัฒน์ให้มาปลูกฝั่งที่นอนด้านพี่มิทเงียบไปซักพัก ก่อนจะดังขึ้นมา “เวลาตานโกรธพี่ตานจะเรียกพี่ว่าคุณทุกทีเลย” ผมนอนตะแคงข้าง ไม่อยากพูดอะไรต่ออีกแล้วเรื่องข้างหน้ายังมีอะไรให้ต้องคิดอีกมาก . . ผมเห็นห้องกว้างๆ บนเตียงมีคนสองคนคนข้างล่างถูกแหวกขาออก คนข้างบนกำลังโยกตัวขึ้นลงอย่างรุนแรงเสียงครางต่ำผสมกับเสียงครางถี่ๆ ผมรีบหาทางออกมาจากห้องก่อนที่เขาสองคนจะรู้ตัวช่วงที่ผมเดินผ่านเตียงของทั้งคู่ชายที่ผมคุ้นเคยเสียงได้หันมาเหมือนรู้ว่าผมเดินอยู่ แต่ไม่เลยเขามองไม่เห็นผมแล้วก็หันไปบรรเลงเกมรักต่ออย่างดุเดือด “คุณเวณวัฒน์?” ผมร้องเรียกอยู่ในใจ จังหวะสุดท้ายของการร่วมเพศจบลง ผมแทบจะแทรกตัวออกไปจากห้องให้เร็วที่สุดแต่ผมหาทางออกไม่เจอ เสียงคุยกันของสองคนดังเข้ามาเหมือนผมไปนั่งอยู่ด้วยใกล้ๆ “คุณหายไปไหนมาผมอยู่คนเดียว เหงาจะตาย”เสียงมาจากคนที่นอนข้างๆตอนที่คุณเวณวัฒน์หันหลังลงมานอน ผมเห็นคุณธันวาอยู่ข้างๆ คุณเวณวัฒน์ไม่ได้ตอบ เขาหลับตานิ่งอยู่บนเตียงมีเพียงคนข้างๆเท่านั้นที่ยังคงพูดต่อเนื่อง “ผมกลัวว่าวันหนึ่งคุณจะเบื่อผมขึ้นมา ผมพยายามทำตัวไม่ให้คุณเบื่อ พยายามเอาใจคุณทุกอย่าง” เสียงเศร้าๆออกมาจากปากคุณธันวา “คุณไม่ได้ทำผิดอะไร” คุณเวณวัฒน์พูดตอบกลับมาตอนนี้เขายังหลับตานิ่ง ผมเป็นเหมือนบุคคลที่สามในเหตุการณ์ “คุณออกไปหาคนใหม่ใช่มั้ย?” คุณธันวาถามผมรู้ว่าคุณเวณวัฒน์ไม่พูดโกหก เว้นแต่ว่า เขาจะพูดหรือไม่เท่านั้นเอง คุณเวณวัฒน์พยักหน้าช้าๆเป็นการตอบคำถามผมเห็นคุณธันวาร้องไห้ออกมา “ผมไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ทำไม... ทำไมคุณถึงต้องไปหาคนอื่นด้วย” “สภาพคุณไม่เหมือนก่อนแล้วผมไม่อาจหลอกตัวเองว่ากำลังร่วมรักอยู่กับธันวาคนเดิมได้” เสียงร้องไห้ดังขึ้นอีกคุณธันวาน้ำตาไหลลงมาถึงคาง “คุณไปหาใคร?” “หลานชายของคุณ” “น้องสาวผมมีลูกชายเหรอ?” คุณเวณวัฒน์พยักหน้าอีกครั้ง คุณธันวาเอามือเช็ดน้ำตาออกแล้วพยายามตั้งสติเขากอดแขนของคุณเวณวัฒน์แล้วแนบหัวลงไป “คุณมีเขาก็ได้แต่อย่าทิ้งผมไปไหน ผมรักคุณ รักคนเดียว” “ผมไม่ชอบโกหกตัวเองผมคิดว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะมาหาคุณอีก” คำพูดของคุณเวณวัฒน์ดูเรียบเฉยแต่ดูจะเป็นอาวุธทิ่มแทงใจคนข้างๆมากคุณธันวาดูเจ็บปวดจนร้องไห้ไม่ออก ดูเขาทรมานตอนฟังคำที่ออกมาจากปากของอีกคน “ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณผมเหลือตัวคนเดียว ญาติพี่น้องก็ไม่มีแล้ว ไม่มีใครจำผมได้ คุณก็รู้” “ผมจะให้เงินคุณเก็บไว้มันมีมากมายจนคุณใช้ไม่หมด” ผมรู้สึกผิดหวัง คุณเวณวัฒน์ที่ผมคุ้นเคยนั้นแท้จริงแล้ว ไม้ได้แสนดีอย่างที่ผมรู้จัก คุณธันวาพยายามรั้งเขาเอาไว้แต่คุณเวณวัฒน์สะบัดตัวออก เขาหาผ้าขนหนูพันท่อนล่างแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป การสนทนายังคงต่อเนื่องคุณธันวาพยายามเต็มที่ที่จะประคองความสัมพันธ์เอาไว้ “เมื่อก่อนเราตัวติดกันผมมีคุณ คุณมีผม แต่ตอนนี้ผมอายุเลยสี่สิบ คุณก็เปลี่ยนไป จากที่นอนกับผมทุกคืนคุณหายไปบ่อยขึ้น จากสองคืนเป็นสี่เป็นห้าคืน เป็นสัปดาห์เป็นเดือน สามเดือน ผมพยายามคิดว่าคุณไปธุระ แม้ใจจะรู้ว่าคุณไปนอนกับคนอื่น ตอนนี้คุณจะทำกับหลานชายของผมเหมือนทำกับผมผมไม่มีทางยอม” ไร้เสียงตอบกลับจากคุณเวณวัฒน์มีเพียงเสียงน้ำจากฝักบัวเท่านั้น ผมมองคุณธันวาแล้วพลอยรู้สึกเห็นใจเขาไปด้วย ถ้าผมอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขาผมคงทำไม่ได้แบบนี้ผมรู้ว่าเขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะรั้งคุณเวณวัฒน์เอาไว้ แต่เมื่ออีกฝ่ายหมดใจแล้ว จะใช้อะไรรั้งไว้มันก็ไม่มีทางสำเร็จ คุณเวณวัฒน์พันผ้าขนหนูออกมาเขายังคงมองไม่เห็นผม สายตาเมินเฉยของเขามองผ่านคุณธันวาไปเขาเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้ออกมา จากนั้นก็เดินผ่านไปอีกห้อง เสียงแกรกๆยาวมาจากประตู ผมหันหลังกลับแสงจ้าสว่างตาเกิดขึ้น ผมหรี่ตาไปมอง ในห้องมืดมิด มีเพียงช่องประตูเท่านั้นที่มีแสงสว่างลอดเข้ามาผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งกำลังเปิดประตู ใกล้เท้าของเขามีสัตว์สี่ขากำลังเดินออกไป “ขอโทษทีแมวของตานมันร้องแล้วก็เกาประตูพี่ว่ามันคงอยากออกไปข้างนอกเลยลุกขึ้นมาเปิดประตูให้มัน” ผมลืมไปสนิทว่า เจ้าเงินนอนอยู่ด้วยในห้องปกติมันจะออกไปล่าเหยื่อตอนกลางคืน “กี่โมงแล้วครับ?” ผมถามพี่มิท “ตีสี่ครับ” พี่มิทตอบเขาปิดประตูห้องแล้วเข้ามานั่งที่มุมเตียง “พี่มิทนอนต่อนะครับเดี๋ยวผมไปทำกับข้าวใส่บาตรข้างล่าง” “เดี๋ยวพี่ไปช่วยครับขอล้างหน้าแปรงฟันก่อน” “ไม่ต้องหรอกครับพี่มิทเป็นแขก นอนจนถึงเจ็ดโมงแล้วผมจะเข้ามาปลุก” “พี่นอนพอแล้วนอนต่อก็ไม่หลับ ลงไปช่วยตานดีกว่า ขอพี่ทำบุญบ้างนะครับ ทำบาปมามาก พี่กลัวตกนรก” ผมไม่มีข้อโต้แย้ง เมื่อไฟในห้องสว่างขึ้นมาผมก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน ดูเหมือนเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ตานกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้ผมเชื่อว่านายเวณวัฒน์ใช้มนต์หรืออะไรบางอย่างมาครอบงำตานเอาไว้ ผมยังจำได้ไม่ลืมในช่วงพลบค่ำของการออกค่ายในต่างจังหวัด นายเวณวัฒน์นัดแนะตานออกไปที่ป่าช้าผมคิดว่าเขาใช้พลังงานบางอย่างที่เหนือธรรมชาติมาบังคับจิตใต้สำนึกของตาน ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาดูตานข้างล่างจะว่าไปแล้ว ท่าทางเขาดูปกติดี ยกเว้นความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดีเท่านั้นตอนนี้ตานเชื่อนายเวณวัฒน์จนไม่เป็นตัวของตัวเอง ผมต้องหาทางแก้อำนาจนั้นให้ได้ ป้าของผมบอกว่านายเวณวัฒน์เป็นครุฑ ไม่มีทางไหนที่จะฆ่าเขาได้ และโอกาสสุดท้ายที่เราพลาดไปก็คือ การที่ปล่อยให้เขารอดจากต้นไม้ปีศาจตอนนี้เหลือทางเดียวเท่านั้นที่จะแยกเขาออกจากตาน ทางนั้นคือทำลายความเชื่อมั่นของตานลง “ฝันร้ายเหรอครับ?” ผมลากเก้าอี้ในห้องครัวออกมาเมื่อลงนั่งก็มองดูตานกำลังจัดการของบนโต๊ะ ตานค้างมีดบนเขียงตามองออกไปที่หน้าต่าง ดูเขามีเรื่องในใจจากความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้นตานส่ายหัวแล้วกลับไปสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า “ไปฝึกสมาธิที่วัดก็ดีเหมือนกันนะครับเราจะได้มีเวลาคิดอะไรมากขึ้น”ผมชวนคุย ตานไม่ได้ตอบ ดูเขากำลังเรียบเรียงความคิดอยู่ เวลาล่วงมาจนถึงช่วงสายผมกับตานมาที่บ้านของป้า บ้านทั้งหลังดูเงียบสนิทไม่มีเสียงคนผมผลักประตูไม้เข้าไปในบ้าน ตานเดินตามมาข้างหลัง ผมเรียกแม่บ้านอยู่หลายครั้งไม่มีเสียงคนตอบรับ ก่อนที่เราจะก้าวเท้าเข้าไปด้านในเสียงคุณป้าดังมาจากหลังม่านปักสีทอง เสียงฝีเท้าด้านหลังม่านปักนั้นดูแปลกไป เสียงแหบพร่าดังออกมาเบาๆ “มิท” “ครับ?” “ป้าไม่ค่อยสบายวันนี้มิทพาน้องกลับไปก่อน เอาไว้ป้าหายแล้ว ค่อยมากันใหม่” “ป้าเป็นอะไรไปครับมิทพาไปหาหมอดีกว่า” เราสองคนคุยกันอยู่คนละด้านของม่านปักรูปสัตว์หิมพานต์ผมรู้สึกถึงความวิตกกังวลผ่านเสียงของป้าได้อย่างชัดเจน “ไม่ต้องป้ารักษาตัวเองได้ มิทกลับไปก่อน” “แต่ว่า...” ผมรู้สึกเป็นห่วงป้าวันนี้ป้าดูแปลกไปจริงๆ “ไปเถอะป้าว่าจะเข้าไปนอนพัก” “ครับแล้วตอนเย็นมิทจะมาหาใหม่นะครับ ถ้าป้าไม่สบายมากก็โทรหามิทนะครับ มิทจะรีบมา” ป้าผมรับคำ เสียงฝีเท้าเหมือนคนย่องเดินเข้าไปด้านในของห้องพัก ตอนขับรถออกมา ตานถามถึงป้าผมก็ไม่รู้จะตอบว่าป้าของผมเป็นอะไรกันแน่ “อาจจะเหนื่อยแต่พี่ก็ไม่แน่ใจ วันก่อนป้าก็ยังดีๆอยู่” เราสองคนเข้าไปถึงวัดช่วงเที่ยงเป็นช่วงเวลาที่พระฉันเพลพอดี ตานถวายอาหารแล้วก็ออกมาหาที่นั่งตอนนั้นสายตาผมเหลือบไปเจอนายเวณวัฒน์กับคุณธันวาเข้าพอดี “อ้าวตานทำไมไม่บอกลุงว่าจะมา ลุงจะได้ติดรถมาด้วย” คุณธันวาทักตานตอนเจอกันตานมองดูลุงตัวเองยืนอยู่ใกล้ๆกับนายเวณวัฒน์ “แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่?” ตานถามกลับ “ก็มีคนนัดลุงมานะสิ” คุณธันวายิ้มแล้วหันไปมองดูคนข้างๆตานหันมองด้วยเช่นกัน คนต้นเรื่องยังยืนนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมนึกเกลียดขี้หน้าคนเหยียบเรือสองแคมจริงๆตกลงเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ คนเก่าก็เก็บไว้แล้วยังมาคิดเอาคนใหม่อีก “คุณนัดเขามาเหรอครับ?” ตานถามนายเวณวัฒน์ซึ่งพยักหน้ากลับมาแทนคำตอบ เครื่องหมายคำถามเกิดขึ้นตานถอนหายใจก่อนจะหาที่นั่งทำสมาธิ ผมเลือกที่นั่งได้ใกล้ๆตานส่วนคุณธันวาเข้าไปนั่งใกล้ๆนายเวณวัฒน์ หลวงตาแก่ๆ เดินถือไม้ยาวเข้ามาด้วยตานหลับตาทำสมาธิไปแล้ว ผมก็นั่งหลับตาอยู่ข้างๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำสมาธิอะไรวันนี้เพียงแค่มาทำหน้าที่ดูแลตานเท่านั้น ผมลืมตาขึ้นมาเหลือบมองตาน ทันใดนั้นไม้แข็งๆก็ฟาดเข้าที่กลางหัวผมเบาๆ ผมหันไปมองดูหลวงตาทันทีผมไม่ชอบใจที่อยู่ๆหลวงตาก็ฟาดไม้ลงมา ตานมีเหงื่อเต็มหน้า ตาค่อยๆลืมขึ้นเช่นกัน หลวงตาไม่ได้ฟาดตาน แต่พูดขึ้นมาเบาๆว่า “ใจเป็นทุกข์ใจเป็นกังวล จิตก็วนเวียนคิดแต่เรื่องที่มันทำให้เกิดทุกข์แบบนี้นั่งสมาธิไปก็ไม่เกิดประโยชน์” ตานพยักหน้ายอมรับผมเห็นเขาลุกขึ้นยืนก็ลุกขึ้นตาม แต่ถูกหลวงตายกไม้มาห้าม “โยมนั่งทำสมาธิต่อไปอย่าหลับตาอย่างเดียว ส่วนโยมไปล้างหน้าแล้วเดินจงกลมใต้ต้นไม้นู้น” หลวงตาสั่งพูดกับผมแล้วก็เลยไปสั่งตานผมจำเป็นต้องทำตามที่พระบอก ไม่อยากแสดงอาการอะไรออกมาตอนที่ตานอยู่ด้วย ตานเดินช้าๆไปทางห้องน้ำกลับมาอีกทีก็เดินวนเป็นวงอยู่ใต้ต้นไม้ ผมถูกฟาดด้วยไม้อีกรอบจำเป็นต้องหลับตาลงอีกครั้ง เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายแก่ๆตานกลับมานั่งทำสมาธิได้นานพอสมควรแล้วฝั่งนายเวณวัฒน์กับคุณธันวาก็นั่งกันอย่างสงบนิ่ง หลวงตาเคาะไม้ที่กลางหลังทุกคนให้ออกจากสมาธิ “คนหนึ่งฟุ้งซ่านจิตเป็นกังวล ทำสมาธิไปก็ไม่ได้ผล คนสองแค่มานั่งหลับตา ไม่ได้เข้าหาความสงบทำสมาธิไปก็ไม่ได้ผล” หลวงตาหันมาทางผมกับตานเหมือนต้องการเน้นย้ำคำที่พูด
|