ความรู้เรื่องเกย์
http://www.panyathai.or.th/wiki/images/GayGay_2.jpgเกย์ หมายถึงผู้ชายที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน คนที่เป็นเกย์จะมีการแสดงออกได้หลายระดับ ออกทางหน้าตา แต่บางคนดูยังไงก็ดูไม่ออก ดูมาดแมนดี แต่ที่ไหนได้เป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันไป แล้ว บรรดาเกย์ทั้งหลายจะ หล่อๆ หุ่นแมนๆ กันทั้งนั้น คนพวกนี้เขาดูแลตัวเองดีมาก แต่งตัวก็มักจะดูดีมากๆ ด้วย หายากที่จะเห็นเกย์โทรมๆ อ้วนตุ๊ต๊ะ เสียชื่อชาวเกย์หมด เกย์ มีชื่อเล่นเยอะ เช่น ไม้ป่าเดียวกัน ชาวดอกไม้ ชาวสีม่วง แต่โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า เกย์ (Gay) เกย์แบ่งเป็น เกย์คิง กับเกย์ควีน เกย์คิง (Gay-king) คือผู้ที่ชอบ "แทงข้างหลัง" หรือเรียกว่า "ผู้เป็นแขก" เกย์ควีน (Gay-queen) คือผู้ที่ชอบ "หันหลังให้เขาแทง" หรือเรียกว่าเป็น "แผนกต้อนรับ" เกย์ควิง (ผสมระหว่าง king กับ queen) เป็นได้ทั้งแขกและแผนกต้อนรับ ทำหน้าที่ทั้งสองบทบาทในเวลาเดียวกัน อย่างนี้เรียกเป็น เกย์อาจไม่ได้เหมือนกันทุกคน เพราะความรักของเกย์นั้นมีหลายระดับค่ะ เช่น 1. คิดรักชาย ไม่เคยมีสัมพันธ์กับชาย แต่มีเพศสัมพันธ์กับหญิงเท่านั้น 2. ปกติเพศสัมพันธ์กับหญิง แต่มีเพศสัมพันธ์กับชายเป็นบางครั้งเท่านั้น 3. ปกติเพศสัมพันธ์กับชาย แต่มีเพศสัมพันธ์กับหญิงเป็นบางครั้งเท่านั้น 4. รักชาย มีเพศสัมพันธ์กับชายเท่านั้น แต่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายหญิง *** ส่วนใหญ่หากเป็นเกย์ก็มักจะเป็นชนิดที่ 1-3[แก้ไข] ตำนานเกย์http://www.panyathai.or.th/wiki/images/GayGay_7.jpg
ความประพฤติอย่างที่เราเรียกว่า เกย์หรือรักร่วมเพศ คงจะเป็นพฤติกรรมที่มีผู้ประพฤติปฏิบัติกันมานานแสนนานทีเดียว จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และผลการค้นคว้าทางวิชาการในสมัยปัจจุบัน เราพบว่ามีการกล่าวถึง และมีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้พอที่จะพูดได้ว่าความประพฤติเยี่ยงนี้คงจะเป็นสิ่งเก่าแก่ไม่น้อยไปกว่าการเป็นโสเภณี หรือบางทีพฤติกรรมรักร่วมเพศอาจเกิดขึ้นก่อนโสเภณีเสียด้วยซ้ำ ตามรายงานของนักวิชาการที่ทำการศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ เคยมีผู้รายงานว่า ลิงก็นิยมทำตนเป็นเกย์ คือมีพฤติกรรมสมสู่กับเพศเดียวกันเสมอ ๆ และในรายงานของนักมานุษยวิทยา เราก็พบว่าพฤติกรรมทำนองนี้มีอยู่ในหมู่ชนเผ่าที่ล้าหลังหลายเผ่าเช่นกัน[แก้ไข] ตำนานเกย์ในคริสต์ศาสนาhttp://www.panyathai.or.th/wiki/images/GayGay_8.jpg
ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ มีการกล่าวถึงการสมสู่กับคนเพศเดียวกันในทำนองเป็นความผิดบาปที่ร้ายแรงอยู่หลายตอน และนี่เองที่ฝังแน่นอยู่ในความคิดของฝรั่งตะวันตกที่นับถือศาสนาคริสต์ เป็นสำนึกทางศีลธรรมและกฎหมายเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน ในตำนานการสร้างโลก หรือเยเนซิส การประพฤติตนเป็นเกย์เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พระเจ้าลงโทษมนุษย์อย่างรุนแรงถึงขนาดล้างบ้านล้างเมือง ดังจะเห็นได้จากพระคัมภีร์ซึ่งได้กล่าวถึงการที่พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้ไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญแผ่นดิน ชาวเมือง และบรรดาสิ่งที่งอกขึ้นมาจากแผ่นดินให้พินาศย่อยยับเสียทั้งหมด ว่าเป็นเพราะชาวเมืองนั้นนิยมประพฤติตนเป็นเกย์ คือสมสู่กันในระหว่างคนเพศเดียวกันทั้งเมือง เมืองที่ว่านี้คือเมืองซะโดม และอะโมรา ซึ่งตามตำนานเล่าว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์สององค์ไปตรวจดูความประพฤติของคนเมืองนี้ เมื่อทูตสวรรค์ไปถึงและได้พำนักอยู่ในบ้านของโลต (หลานของอับราฮามซึ่งเป็นสาวกคนสำคัญของพระยะโฮวา) ปรากฏว่าคืนนั้นเองชาวเมืองซะโดมผู้นิยมร่วมเพศกับคนเพศเดียวกันทั้งคนหนุ่มคนแก่พากันยกขบวนมาล้อมบ้านของโลต และเรียกให้โลตมอบทูตสวรรค์ทั้งสององค์ให้แก่พวกตน เพื่อพวกตนจะได้สมสู่กับทูตทั้งสองนั้นตามประเพณีที่ยึดถือกันมานานแล้วว่า ชาวเมืองซะโดมมีสิทธิ์สมสู่กับคนเดินทางที่พำนักในเมืองตน แม้ว่าโลตผู้เป็นเจ้าของบ้านจะออกไปเจรจาทัดทาน ขอให้ปล่อยและละเว้นทูตสวรรค์ทั้งสองโดยจะยอมส่งตัวลูกสาวสองคนของตนให้คนเหล่านั้นแทน ชาวเมืองซะโดมก็ไม่ยอมและพยายามจะจับตัวโลตไปทำปู้ยี้ปู้ยำเสียด้วย ทำเอาทูตสวรรค์ต้องยื่นมือเข้าช่วย บันดาลให้โลตหนีรอดมาได้แล้วสั่งให้โลตพาลูกเมียหนีออกไปจากเมืองนั้นเสียก่อนที่พระผู้เป็นเจ้าจะทำลายเมืองเสีย ก่อนหน้าที่พระผู้เป็นเจ้าจะทำลายเมือง ซะโดมและอะโมราเพราะเหตุที่ชาวเมืองนิยมสมสู่กับคนเพศเดียวกันนั้น อับราฮามเคยทูลทัดทานและขอชีวิตชาวเมืองไว้โดยขอให้พระผู้เป็นเจ้าเห็นแก่คนที่บริสุทธิ์ไม่ได้ประพฤติเช่นนั้นเหมือนคนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งพระยะโฮวาก็ทางให้สัญญาว่า ถ้าหากมีคนชอบธรรมที่ไม่ประพฤติตนเป็นคนลามกในสายตาของพระองค์เพียงสิบคน พระองค์ก็จะทรงเห็นแก่คนบริสุทธิ์สิบคนนั้น และจะไม่ทำลายเมืองนั้น แต่ในที่สุด ปรากฏว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้ไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญเมืองนั้นจนไม่เหลือซาก ก็เป็นเครื่องแสดงว่าคนเมืองนั้นเป็นคนลามากในสายตาของพระองค์ ชาวเมืองที่เป็นคนลามกนั้นมีมากเสียจนเรียกได้ว่าหมดทั้งเมือง เรียกได้ว่าเป็นเมืองเกย์ คือมีที่ไม่เป็นเกย์นับได้ถึงสิบนั่นเอง โดยที่การสมสู่กับคนเพศเดียวกันเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าถือว่าเป็นสิ่งลามกอย่างยิ่ง พระองค์ได้ระวางโทษผู้ที่ประพฤติเช่นนั้น ไว้อย่างรุนแรง คือมีโทษถึงตาย พระองค์ได้ทรงตรัสสั่งให้โมเสสประกาศแก่คนทั้งหลายว่า การประพฤติเช่นนั้นทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน และจะเป็นเหตุให้แผ่นดินนั้นต้องโทษ และทำให้เกิดธรณีสูบ แผ่นดินไหวได้ ตามความเชื่อของชาวคริสต์ ชาวคริสต์จะมีชัยชนะในการสงครามได้เพราะพระผู้เป็นเจ้าเสด็จไปกับพวกเขาและช่วยให้ได้รับชัยชนะ ดังนั้นไพร่พลในกองทัพจะกระทำการใด ๆ ให้เป็นที่ขัดเคืองแก่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ หากผู้ใดกระทำก็อาจเป็นเหตุทำให้พระผู้เป็นเจ้าเสด็จไปเสียจากพวกเขา และทำให้ต้องพ่ายแพ้แก่ศัตรู ดังนั้นใครก็ตามที่สมสู่กับคนเพศเดียวกันต้องมีโทษถึงตาย และถ้าเกิดมีใครถูกกระทำเช่นนั้นโดยมิได้ยินยอมพร้อมใจแม้ไม่ต้องถูกลงโทษถึงตาย แต่ก็ถูกถือว่าเป็นคนมีราคี หรือเป็นตัวซวยของกองทัพต้องออกจากค่ายนั้นไปทำพิธีล้างราคีนั้นออกเสียก่อน จึงจะกลับเข้ามาอยู่ร่วมกับผู้อื่นในกองทัพได้ต่อไป จะเห็นได้ว่าจารึกในพระคริสตธรรมคัมภีร์ อันเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือจิตใจและความเชื่อของชาวคริสต์มาเป็นเวลานับพันปีนั้น ถือว่าการสมสู่กับคนเพศเดียวกันนั้น ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวที่ใครทำใครรับผิด ครั้นจักรวรรติโรมันได้รับเอาคริสตศาสนามาเป็นศาสนาประจำจักวรรดิแล้ว การสมสู่กับคนเพศเดียวกันจึงืถอเป้นความผิดอาญาที่ร้ายแรงถึงขนาดผู้กระทำต้องถูกลงโทษด้วยการถูกเผาไฟทั้งเป็น จักรพรรดิจัสติเนียนผู้มีพระบรมราชโองการให้จัดทำประมวลกฎหมายของจักรวรรดิโรมันขึ้นในราวคริสตศตวรรษที่ 6 ได้ทรงอธิบายถึงโทษแห่งความผิดฐานนี้ไว้อย่างละเอียดว่า “โดยที่ชนบางเหล่า ผู้ถูกยุยงด้วยบาปกิเลส ได้ทอดตนลงสู่รามวิสัย ทั้งได้บังอาจกระทำอาชญากรรมต่อธรรมชาติ เราจึงจะบังคับชนเหล่านั้นให้มีความเกรงกลัวในองค์พระผู้เป็นเจ้าและคำพิพากษาของพระองค์ในอนาคต ให้ละเสียจากทรามวิสัยอันชั่วจัญไรและอัปมงคลเหล่านั้นเสีย มิให้กรรมอันชนเหล่านั้นได้ล่วงสู่บาปชักนำพระอาญาแห่งพระผู้เป็นเจ้าอันทรงเดชา หรือเป็นทางสู่เหตุวิบัติฉิบหายแก่พระนครและชาวอาณาประชาราษฎร์ …อาชญากรรมต่อธรรมชาติเช่นนั้นจักต้องรับผิดต่อ อัคคีภัย แผ่นดินไหว ธรณีสูบ โรคห่า ไข้พิษ… เพื่อขจัดรังควาญแห่งบาป เช่นนั้น และเพื่อรักษามนุษย์ไว้มิให้สูญเสียวิญญาณแห่งตน ดังนั้นเราต้องการให้ชนเหล่านี้ละเสียจากการทอดตนลงสู่การอันไร้ศรัทธาแห่งพระธรรมเช่นนั้นเสีย…” และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ภายใต้อิทธิพลของคริสตศาสนา และกฎหมายโรมันอันเป็นสิ่งที่ทรงอิทธิพลเหนือความสำนึกทางศีลธรรม กฎหมาย และระบอบการเมืองการปกครองของยุโรปติดต่อกันมาเกือบสองพันปี ชาวยุโรปและชาติที่นับถือศาสนาคริสต์ต่างมีบทบัญญัติลงโทษการสมสู่กับคนเพศเดียวกันอย่างรุนแรงถึงชีวิต เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และแม้อังกฤษ และบางมลรัฐในสหรัฐอเมริกาจะไม่ถือว่าการสมสู่กับคน[แก้ไข] ตำนานเกย์ไทยhttp://www.panyathai.or.th/wiki/images/GayGay_9.jpg
การเป็นเกย์ หรือเป็นคนรักร่วมเพศในวัฒนธรรมตะวันออกที่มิได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของคริสตศาสนานั้น ผู้เขียนสันนิษฐานว่าคงจะไม่ถือเป้นข้อห้ามที่มีโทษรุนแรงฐานกาลีบ้านกาลีเมืองเหมือนของคริสต์ น่าเสียดายที่ผู้เขียนไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบเรื่องนี้ในคัมภีร์กามสูตรของอินเดีย แต่เท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมาดูเหมือนเขาจะถือว่าการร่วมเพศทางเวจมรรค หรือกับคนเพศเดียวกันนี้เป็นกามสุขอย่างหนึ่ง ทางฝ่ายพุทธศาสนานั้นในพระวินัยปิฎก พระพุทธองค์ทรงมีพระบัญญัติว่า การเสพเมถุนทางทวารนั้นเป็นเหตุแห่งอาบัติปาราชิก แก่ภิกษุผู้กระทำ และในกฎหมายตราสามดวง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงมีพระราชโองการให้กำหนดกฎหมายว่าด้วยการให้ราษฎรรักษาศีลคือศีลห้าในฐานะเป็นนิจศีล กับศีลแปดในฐานะเป็นอุโบสถศีล และตามกฎหมายฉบับนี้ถือว่าการเสพเมถุนธรรมโดยทางมุกขมรรค และเวจมรรคในกิริยาตนเอง เป็นการละเมิดศีลห้าข้อที่ว่าด้วยกาเมสุมิจฉาฯ ส่วนการเสพเมถุนธรรมทางเวจมรรคกับผู้หนึ่งผู้ใดที่ไม่ต้องห้ามตามศีลข้อกาเม ฯ ก็เป็นการละเมิดศีลข้อ อพรหมจริยา ฯ อันเป็นอุโบสถศีล ทำให้น่าคิดว่าการกระทำดังกล่าวหากมิได้กระทำในวันอุโบสถ ผู้กระทำจะต้องรับผิดหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการกำหนดโทษสำหรับการละเมิดศีลตามพระราชกำหนดฉบับนี้ไว้เป็นการเฉพาะ มีแต่เพียงระบุไว้เป็นการทั่วไปว่า “ถ้าแลผู้ใดมิได้กระทำตามพระราชกำหนดนี้ จะเอาผู้นั้นเป็นโทษตามโทษานุโทษ” สำหรับผู้ผู้หญิงถ้าหากประพฤติเป็นคนรักร่วมเพศ ไทยเรามีศัพท์เฉพาะสำหรับเรียกกิริยาเช่นนั้นว่า “เล่นเพื่อน” การเล่นเพื่อนของหญิงนั้นผู้เขียนเข้าใจว่าคงจะต้องถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้ออพรหมจริยาฯ เช่นเดียวกับชาย และสำหรับหญิงชาววังการกระทำดังกล่าวยังเป็นความผิดตามกฎมณเฑียรบาลอีกด้วย กฎมณเฑียรบาลดังกล่าวตราขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีข้อความว่า “หนึ่งสนมกำนัล คบผู้หญิงหนึ่งกันทำดุจชายเป็นชู้เมียกัน ให้ลงโทษด้วยลวดหนัง 50 ที ศักคอประจานรอบพระราชวัง ทีหนึ่งให้เอาเปนชาวสดึง ทีหนึ่งให้แก่พระเจ้าลูกเธอหลานเธอ” เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่มีบทบัญญัติห้ามมิให้ชายมีความสัมพันธ์ทางเพศกันแต่อย่างใด การเล่นเพื่อนในหมู่สาวสนมกำนัลใน ใน]]สมัยรัตนโกสินทร์]]อาจเป็นความประพฤติที่จัดว่าแพร่หลายจนถึงขนาดเอามาเล่าลือกันไปต่าง ๆ นานาในสมัยนั้นว่าเป็นของแปลกหรือวิตถาร แต่ก็คงไม่ใช่เป็นเรื่องร้ายแรงอะไรมากนัก ดังที่จะเห็นได้จากกลอนตอนหนึ่งของสุนทรภู่ ที่บรรยายถึงความประพฤติของนางสนมกำนัลเมืองรมจักร ในหนังสือพระอภัยมณี ฝ่ายห้ามแหนแสนสนมเมืองรมจักร แต่ล้วนนักเลงเพื่อนเหมือนกันหมด ด้วยเมื่ออยู่บูรีภิรมย์รส เพราะท้าวทศวงศาไม่ว่าไร จนเคยเล่นเป็นธรรมเนียมนางรมจักร ทั้งร่วมรักร่วมชีวิตพิสมัย กลางคืนเที่ยวเกี้ยวเพื่อนออกเกลื่อนไป เป็นหัวไม้ผู้หญิงลอบทิ้งกัน เห็นสาวสาวชาวเมืองการเวก ที่เอี่ยมเอกต้องใจจนใฝ่ฝัน แกล้งพูดพลอดทอดสนิทเข้าติดพัน ทำเชิงชั้นชักชวนให้ยวนใจฯ
พวกพาราการเวกไม่รู้เล่น คิดว่าเช่นซื่อตรงไม่สงไสย ต่อถูกจูบลูบต้องทำนองใน จึงติดใจไม่หมายให้ชายเชย หนุ่มหนุ่มเกี้ยวเบี้ยวบิดไม่คิดคบ เหตุเพราะสบเชิงเพื่อนจึงเชือนเฉย แต่เมืองเราชาวบุรีนี้ไม่เคย อย่าหลงเลยเล่นเพื่อนไม่เหมือนจริง อันรมจักรนัครากับการเวก อภิเษกเสนหาประสาหญิง ออกอื้ออึงหึงส์หวงเพราะช่วงชิง ถึงลอบทึ้งทุบตีเพราะที่รักฯ
การประพฤติตนเป็นคนรักเล่นเพื่อนของบรรดาสาวสนมกำนัลในรั้วในวังนี้คงจะเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่ทั่วไปในราชสำนัก และแม้จะผิดกฎมณเฑียรบาลแต่ก็คงไม่มีการฟ้องร้อง หรือเอาโทษกันอย่างจริงจังมากนัก ถึงกับมีผู้ผูกเป็นเพลงยาวร้องเล่นกันดังเช่นเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ ของนายหรีด เรืองฤทธิ์ เป็นต้น นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ก็เคยทรงพระราชนิพนธ์เพลงยาวอบรมความประพฤติของบรรดาหม่อมทั้งหลายไว้ห้ามไม่ให้เล่นเพื่อน โดยทรงมีพระบรมราชาธิบายว่า “…อันตัวเรานี้ก็รองพระจอมเกล้า เป็นปิ่นเกล้าในสยามภาษา มียศศักดิ์ประจักษ์ทั่วทุกภารา พระทรงธรรม์กรุณาชุบเลี้ยงเรา ถึงใครใครที่จะตกมาเป็นห้าม ไม่มีความขายหน้าดอกหนาเจ้า เสียแตไม่ฉายเฉิดเพริศพริ้งเพรา เพราะแก่เถ้าหงุบหงับไม่ฉับไว ถ้าจะว่าไปจริงทุกสิ่งสิ้น ก็พอกินตามแก่แก้ขัดได้ ฤาน้ำจิดคิดเห็นเป็นอย่างไร จึงมิได้ปลงรักสักเวลา การสิ่งใดที่ไม่ดีเรามิชอบ อ้อนวอนปลอบจงจำอย่าทำหนา ก้ไม่ฟังขืนขัดอัธยา ยิ่งกับว่าตอไม้ไม่ไหวติง ที่ข้อใหญ่ชี้ให้เห็นเรื่องเล่นเพื่อน ทำให้เพื่อนราชกิจผิดทุกสิ้ง ถ้าจะเปรียบเนื้อความไปตามจริง เสมอหญิงเล่นชู้จากสามี นี่ถ้าหากวังมีกำแพงแข็งแรงรอบ เป็นคันขอบดุจเขื่อนคีรีศรี ถ้าหาไม่เจ้าจอมหม่อมเหล่านี้ จะไปเล่นจ้ำจี้กับชาย เอยฯ”
http://www.panyathai.or.th/wiki/images/GayGay_10.jpg
การเล่นเพื่อนที่แพร่หลายอยู่ในรั้วในวังตอนต้นรัตนโกสินทร์นี้อาจเป็นเรื่องน่าวิตกอย่างหนึ่งสำหรับบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ที่ต้องคอยอบรมดูแลพระเจ้าลูกเธอหลานเธอฯ ทั้งหลาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ก็เคยมีพระราชหัตถเลขากำชับสั่งพระเจ้าลูกเธอ ฯ ทั้งหลายห้ามไม่ให้เล่นเพื่อน ด้วย การที่ทรงให้ความสำคัญถึงขนาดมีการกำชับกำชากันเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นนี้ทำให้น่าคิดว่า ความประพฤติทำนองนี้ คงจะเป็นสิ่งแพร่หลายที่ปราบกันได้ยากเช่นเดียวกับการปราบยาเสพติดในสมัยปัจจุบันเป็นแน่ ในประวัติศาสตร์ไทยผู้เขียนยังไม่พบบันทึกที่กล่าวถึงการประพฤติเป็นคนรักร่วมเพศระหว่างชายกับชายอย่างโจ่งแจ้ง จะมีก็แต่การกล่าวถึงความประพฤติของเข้านายบางพระองค์ที่ทรงไม่ยอมอยู่ร่วมกับหม่อมห้าม กลับนิยมบรรทมอยู่กับพวกละครที่ทรงเลี้ยงไว้ดังเช่นกรมหลวงรักษรณเรศรในพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 3 ซึ่งต่อมาถูกสำเร็จโทษเพราะเหตุคิดกบฏ ซึ่งมีการกล่าวท้าวความว่าการคบกับพวกละครเช่นนั้นเป็นการชักพาให้เสียคน วินิจฉัยคดีไม่เป็นธรรม และเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ไม่ไว้วางพระราชหฤทัย เมื่อสืบทราบต่อมาว่าคิดกบฏจึงทรงลงพระราชอาชญาสำเร็จโทษเสีย ครั้งถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระบรมราชโองการให้ประกาศใช้พระราชกำหนดลักษณะข่มขืนล่วงประเวณี ร.ศ. 118 (พ.ศ. 2441) กำหนดโทษผู้ข่มขืนกระทำชำเราหญิงอันมิใช่ภริยาตน และผู้กระทำชำเราผิดธรรมดาโลกย์ นับได้ว่าพระราชกำหนดฉบับนี้ได้นำเอาหลักความรับผิดฐาน Sodomy ของฝรั่งมาบัญญัติเป็นกฎหมายว่าด้วยการทำชำเราผิดธรรมดาเป็นครั้งแรก ในครั้งนั้นผู้กระทำชำเราผิดธรรมดาโลกย์ต้องถูกลงโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีลงมา ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญา ร.ศ. 127 ความผิดฐานนี้ได้รับการลดหย่อนให้มีโทษต่ำลงคือ เหลือโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงสามปีเท่านั้น ตามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 นี้ ความผิดฐานการทำชำเราผิดธรรมดาถูกเรียกเสียใหม่ว่าความผิดฐานทำชำเราผิดธรรมดามนุษย์ ดังจะเห็นได้จากข้อความในมาตรา 242 แห่งกฎหมายลักษณะอาญาซึ่งบัญญัติว่า “มาตรา 242 ผู้ใดทำชำเราผิดธรรมดามนุษย์ ด้วยชายก็ดี หญิงก็ดี หรือทำชำเราด้วยสัตว์เดรัจฉานก็ดี ท่านว่ามันมีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนขึ้นไปจนถึงสามปี และให้ปรับตั้งแต่ห้าสิบบาทขึ้นไปจนถึงห้าร้อยบาทด้วยอีกโสดหนึ่ง” โดยที่ความผิดฐานนี้เป็นของใหม่สำหรับวัฒนธรรมไทย นักกฎหมายในสมัยนั้นบางท่านจึงพยายามอธิบายถึงมูลแห่งความผิดฐานนี้ว่า เหตุที่ผู้กระทำต้องรับผิดก็เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการถ่วงความเจริญของบ้านเมือง หรือทำให้เสียเชื้อพืชพันธุ์ไปโดยไร้ประโยชน์ ซึ่งก็คงจะไม่เป็นที่เข้าใจหรือยอมรับกันได้อย่างเต็มใจมากนัก ดังนั้นต่อมาภายหลังเมื่อมีการตรวจชำระประมวลกฎหมายลักษณะอาญา และจัดทำประมวลกฎหมายอาญาฉบับใหม่ซึ่งได้ประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2499 คณะกรรมการร่างประมวลกฎหมายจึงมีมติให้ยกเลิกความผิดฐานนี้เสีย เพราะเห็นว่ามักไม่เกิดเป็นคดีขึ้นประการหนึ่ง กับเห็นว่าจะเป็นการเสี่ยมเสียเกียรติยศของประเทศชาติอีกประการหนึ่ง ดังนั้นหลังจากปี พ.ศ. 2499 เป็นต้นมา การประพฤติตนเป็นคนรักร่วมเพศในประเทศไทยจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานกระทำชำเราผิดธรรมดามนุษย์อีกต่อไป ข้อพิจารณาที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับการพิจารณาในทางนิตินโยบายว่าการกระทำเป็นเกย์หรือเป็นคนรักร่วมเพศ ว่าควรจะเป็นความผิดทางอาญาหรือไม่นั้น อยู่ที่ปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานของศีลธรรมอันดีของประชาชนในสังคมนั้นว่าเป็นอย่างไรและยอมรับการกระทำเช่นนั้นได้หรือไม่ โดยเหตุที่ค่านิยมในเรื่องนี้มีแตกต่างกัน ดังนั้นในขณะที่บางชาติถือว่าการทำ Sodomy ต้องมีโทษถึงตาย ไทยเราลงโทษไม่เกินสิบปี และเมื่อประเทศไทยยกเลิกความผิดฐานนี้เสียเมื่อปี พ.ศ. 2499 หรือ ค.ศ. 1956 นั้น ฝรั่งอังกฤษเพิ่งจะยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวขานกันอย่างเอาจริงเอาจังในปีต่อมาเท่านั้น ในที่สุดผู้เขียนมีข้อสังเกตที่น่าจะได้ทำการศึกษาค้นคว้ากันต่อไปว่า ในประเทศตะวันตกที่ถือว่าการทำชำเราผิดธรรมดามนุษย์เป็นความผิดร้ายแรงนี้ น่าแปลกว่าไม่ถือว่าการมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างหญิงกับหญิงเป็นความผิด แต่ในประเทศไทยกลับให้ความสนใจกับการกระทำที่เรียกว่า “เล่นเพื่อน” ระหว่างหญิงกับหญิงเป็นพิเศษกว่าชาย ปัญหาน่าคิดก็คืออะไรเป็นเหตุที่ทำให้ทัศนะในเรื่องนี้แตกต่างกัน ผู้เขียนใคร่ขอตั้งข้อสังเกตว่า เหตุที่ฝรั่งชาติที่ถือคริสต์เอาจริงเอาจังกับการเอาผิดแก่คนรักร่วมเพศชายกับชาย แต่ไทยเรากลับให้ความสำคัญแก่ความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างหญิงกับหญิงมากกว่านั้น น่าจะเป็นเพราะเหตุของทัศนะเหล่านี้เป็นเรื่องของความแตกต่างทางวัฒนธรรมของตะวันตกกับตะวันออก เหตุที่พระเจ้าทรงพิโรธต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายว่าเป็นกาลีบ้านกาลีเมืองนั้นน่าจะเป็นเพราะความจำเป็นในการอยู่ร่วมกันแบบทหารของชาวยิวโบราณที่มีความจำเป็นต้องรบทัพจับศึกกันอยู่ตลอดเวลาจนแทบไม่มีเวลาอยู่กับลูกเมียตามปกติ จำเป็นต้องหักห้ามมิให้ชายมามีความสัมพันธ์กันเองอันจะทำให้เสียการปกครองในการรบ ส่วนในโลกตะวันออกไม่จำเป็นต้องต่อสู้รบราฆ่าฟันกันอยู่ตลอดเวลาเหมือนพวกยิวโบราณ ข้อห้ามเรื่องนี้จึงไม่ปรากฏให้เห็นชัดเจนเหมือนพวกยิว ขณะเดียวกันการที่ชาวตะวันออกมีภริยามาก จึงต้องห้ามไม่ให้ภริยาของตนเล่นเพื่อนอันเป็นเสมือนการนอกใจสามีเป็นทำนองตามพระราชาธิบายของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ นั่นเอง[แก้ไข] ประเภทของเกย์http://www.panyathai.or.th/wiki/images/GayGay_11.jpg
หากจะแบ่งกลุ่มชายหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลายที่พิสมัยไม้ป่าเพศเดียวกันตามบุคลิกลักษณะการแสดงออกแล้ว สามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท ดังนี้ค่ะ[แก้ไข] สว่างจิต ชายหนุ่มในกลุ่ม “สว่างจิต” นี้ นับว่าสร้างปัญหาให้กับสาวๆ น้อยมาก เพราะต่อให้คุณท่านหล่อล่ำอย่างไร ลักษณะการเดินบิดก้นที่เห็นมาแต่ไกลบ่งบอกได้ดีว่า คุณพี่เป็นผู้ชายนะยะ[แก้ไข] สลัวจิต สาวคนไหนกำลังจะตกหลุมรักหนุ่มหล่อ แต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ากรุณาพิจารณาให้ดี ว่า เวลาไปรับประทานอาหารด้วยกัน คุณพี่ท่านเผลอมีอาการกรีดนิ้วตอนไหนบ้างหรือเปล่า ชายหนุ่มกลุ่มนี้ไม่ได้ตั้งใจหลอกใคร ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในระหว่างกำลังตัดสินใจ ไม่แน่ใจ สับสนตัวเองอย่างมากว่า ...เราใช่เกย์หรือเปล่า อะไรประมาณนี้[แก้ไข] แอบจิต เกย์ประเภทนี้มักสร้างปัญหาให้กับคุณภรรยาทั้งหลาย มีผู้หญิงคนไหนไม่ตกใจบ้างที่อยู่ๆ คุณสามีที่แต่งงานกันมาสับปี มีลูกด้วยกันสองคนเดินเข้ามาบอกว่า “ขอโทษนะครับที่รักผมเป็นเกย์ ???” เกย์ประเภทแอบจิตนั้นถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกออกมาว่าเขา “ใช่” ก็อย่าหวังเลยว่าใครจะดูออก ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไป ผู้ชายด้วยกันหรือเกย์ด้วยกัน เพราะแม้กระทั่งภรรยาที่อยู่กินกันมายังไม่ระแคะระคายแล้วคนอื่นจะทราบได้อย่างไร[แก้ไข] สาเหตุของการเป็นเกย์http://www.panyathai.or.th/wiki/images/GayGay_12.jpg
ผู้ชายหลายคนกว่าจะรู้ว่าตัวเองเป็น “เกย์” เป็นผู้ชายที่มีความต้องการและมีความสุขในการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันก็หลังจากแต่งงานมีภรรยา มีลูกแล้ว ที่สหรัฐอเมริกา Homosexual ไม่ถือว่าเป็นโรคทางจิตเวช ดังนั้นจึงไม่มีการรักษามีผลการวิจัยจากฝาแฝดแท้เพศชายหลายคู่ที่แยกกันอยู่ตั้งแต่ยังเด็กพบว่า ถ้าคนใดคนหนึ่งเป็นเกย์อีกคนก็จะเป็นเกย์ด้วย ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับการวิจัยที่ระบุว่าเกย์เป็นการติดต่อทางพันธุกรรมเกิดจากเกย์ยีนที่ชื่อว่า Xq 28 ซึ่งอยู่ในโครโมโซม X คำถามที่ว่า " อะไรคือสาเหตุของการเป็นคนรัก เพศเดียวกัน ? " ดูจะเป็นคำถามยอดฮิต ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่ในฐานะที่ผู้เขียนเองเป็นเกย์ และคร่ำหวอดอยู่กับสิ่งแวดล้อมของคนรักเพศเดียวกันมานานนักหนา จึงคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์บ้างหากจะประมวลความคิดเห็นของตัวเอง มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นการปูพื้นไปสู่ความเข้าใจกลุ่มคนรักเพศเดียวกันให้มากยิ่งขึ้น สาเหตุของการเป็นคนรักเพศเดียวกันในความคิดเห็นของผมน่าจะมีสาเหตุหลัก ๆ 5 ประการคือ[แก้ไข] เป็นเรื่องของ genetic ซึ่งจะเกี่ยวโยงกับ gene ที่ทำให้ hormone ต่างๆ ผิดไปจากคนส่วนใหญ่ ซึ่งขณะนี้นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งกำลังศึกษาค้นคว้าอยู่ อาทิ เช่น ดร.เลอเวย์ ชาวฝรั่งเศสได้ทำการศึกษาไว้ว่ารอยหยักของกระโหลกศีรษะของผู้ชายชอบผู้หญิงกับผู้ชายชอบผู้ชายนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ ถ้าเรื่องของ gene ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการแล้วละก็ กระบวนการทุกเรื่องอันเกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกันก็จะถูกมองเปลี่ยนแปลงไป คือพูดง่ายๆ ว่า ความเชื่อว่าโลกมนุษย์มีแค่ 2 เพศก็จะถือว่าไม่ถูกต้องอีกต่อไปแล้วนั่นเอง กลุ่มนี้น่าที่จะถูกเรียกว่า " Born to be " คือ " เกิดมาเป็น " คงไม่ต้องมาคิดแก้ไขอะไรอีกเลย หรือถ้ายังคิดรังเกียจพวกเราอยู่อีกละก็คงต้องจัดการตัดต่อ gene กันในระดับนั้นเลยทีเดียว เอาเป็นว่าฝากไว้เป็นแง่คิดก็แล้วกันว่าโลกของความเชื่อที่ว่าเกิดมาเป็นเพศนี้ดีกว่าเพศนั้นสร้างปัญหาจนกลายเป็นความเสื่อมของโลกตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน แก้ไขกันไม่หวาดไม่ไหว[แก้ไข] เป็นเรื่องของการเลี้ยงดู ประเด็นนี้พูดกันมากที่สุด และเชื่อกันว่าคนรักเพศเดียวกันมีสาเหตุมาจากความใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามของตนมากเสียจนรู้สึกชินชาในที่สุดก็ไม่เกิดความรู้สึกทางเพศด้วย เช่น เด็กผู้ขายถูกแม่เลี้ยงดูใกล้ชิดมากเกินไปโดยพ่อไม่มีบทบาทหรือมีบทบาทน้อยเกินไปทำให้ลูกชายเกิดพฤติกรรมเกย์ เป็นกะเทยหรือเด็กผู้หญิงถูกเลี้ยงดูแบบเห็นพ่อทำร้ายแม่อยู่เป็นประจำเลยเกิดความเกลียดชังเพศพ่อเห็นอกเห็นใจแม่ กลายเป็นผู้หญิงรักผู้หญิง ที่เรียกกันว่า " ทอม" เป็นต้น กรณีเหล่านี้ก็ยังมีข้อโต้แย้งที่ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน เรื่องที่ว่า บทบาทพ่อกับแม่แค่ไหนถึงจะเรียกว่าได้ว่าพอดีนั้นก็ยังมิได้มีการศึกษาอย่างละเอียดละออ สังคมก็เลยยังไม่มีคำตอบในเรื่องเหล่านี้ ส่วนตัวผมเองจากประสบการณ์ที่ผ่านมามีความเชื่อว่าเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงสมควรที่จะได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลของทั้งเพศแม่และเพศพ่ออย่างละเอียด พ่อและแม่มีหน้าที่ชี้แจงให้ลูกๆ ได้รู้ว่าพวกเขาถือกำเนิดมาด้วยลักษณะของการเป็นคนเพศใดหากลูกได้รับข้อมูลครบถ้วนแล้ว เขาและเธอยังเป็นคนรักเพศเดียวกันอีกละก็ ผมก็ถือว่าพ่อและแม่ต้องเคารพการตัดสินใจของพวกเขาและไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะพยายามผันพวกเขาให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่อยากเป็น หรือที่เรียกว่า ทำให้เขาผิดปกติไปจากที่เขาเป็นหรือชอบอย่างเด็ดขาด เพราะนั่นจะเป็นการนำความทุกข์มาสู่ลูกของตนเองอีกทั้งผูกโยงความทุกข์นี้เข้ากับบุคคลอื่นที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตของพวกเขาและเธออีกเป็นจำนวนเป็นมาก[แก้ไข] เป็นเรื่องของการกลายมาเป็น เรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องใหม่ ซึ่งจากการสอบถามเด็กหนุ่มขายบริการทางเพศมากมาย ได้รับรู้เรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ผ่านชีวิตของการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงมาพอสมควร และด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ พวกเขาต้องเข้ามาทำงานเป็นบริกรชายในบาร์เกย์ ซึ่งงานบริการทางเพศที่หลายคนต้องฝืนทำในระยะแรกนั้นกลับกลายเป็นความเคยชินและในท้ายที่สุดหลายคนในจำนวนนี้ กลายเป็นคนรักเพศเดียวกันไปเลยก็มี หรือที่กลายเป็นคนรักสองเพศ (bisexual) ก็มาก กรณีนี้น่าที่จะรวมถึงเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงในโรงเรียนประจำที่เราได้ยินว่ามีพฤติกรรมรักเพศเดียวกันสูงมาก อันเนื่องมากจากพวกเขาอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ มีความรู้สึกและต้องการทางเพศมาก การหาทางระบายออกทางเพศจึงเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้น และเพื่อความสะดวก การใช้เพื่อนหรือรุ่นพี่รุ่นน้องในกิจกรรมนี้จึงนำไปสู่พฤติกรรมรักเพศเดียวกันในที่สุด เรื่องนี้น่าที่จะจัดรวมผู้ต้องขังเข้าไปด้วย เพราะจะมีพฤติกรรมทางเพศกับเพศเดียวกันสูง ส่วนที่ว่าจะติดตรึงใจถึงขั้นปลูกฝังเป็นนิสัยเลยหรือเป็นพฤติกรรมชั่วระยะเวลาหนึ่งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและระยะเวลาตลอดจน Factors อื่นๆ อีกซึ่งคงจะเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันต่อไ[แก้ไข] เป็นเรื่องของความเบื่อหน่ายทางหนึ่งนำไปสู่ความตื่นเต้นเร้าใจกับอีกทางหนึ่ง ตัวอย่างในเรื่องนี้เห็นจะได้แก่ผู้หญิงที่อยู่กินฉันท์สามีภรรยากับผู้ชายโดยมิได้รับความรักความอบอุ่น บ้างก็ถูกลงไม้ลงมือหรือเมามาทีไรก็มาใช้ภรรยาเป็นที่ระบายอารมณ์ใคร่ กรณีเหล่านี้ผู้หญิงจำนวนหนึ่งอาจจะหันหน้าเข้าหาความรักความอบอุ่นจากเพศหญิงด้วยกันได้อย่างที่จะได้ยินเสมอๆ ว่า ผู้หญิงย่อมเข้าใจผู้หญิงด้วยกันเองมากกว่า หรือในกรณีผู้ชายบางคนที่ไม่ได้รับความสุขทางเพศจากแม่บ้านเป็นระยะเวลานานๆ พวกเขาอาจจะหันมามีความสัมพันธ์กับเกย์หรือกะเทยได้ง่ายขึ้น เพราะการหันไปหาผู้หญิงอื่นในบางรายก็ไม่สะดวกในทางปฏิบัติ เพราะการมีภรรยาเก็บหรือภรรยาน้อยนั้นเป็นเรื่องที่ต้องลงทุน อาจจะถูกเรียกร้องจากผู้หญิงทั้งในเรื่องเงินทองและสิทธิต่างๆ ถือว่าเป็นเรื่องเสี่ยงต่อการสูญเสียมากมาย การหันมาหาเกย์หรือกะเทยจึงเป็นเรื่องสะดวกกายสบายใจมากกว่า ทุกอย่างจึงเปรียบเสมือนการผ่าทางตันของผู้ชายจำนวนไม่น้อยและเมื่อปฏิบัติอยู่เป็นประจำ พวกเขาจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมคนรักเพศเดียวกันไปในที่สุด[แก้ไข] เป็นเรื่องของการทดลอง เราต้องยอมรับว่าหากจะเปรียบผู้ชายชอบผู้หญิง (heterosexual men) เป็นสีดำสนิท ผู้ชายชอบผู้ชาย (homosexual men) เป็นสีขาวสนิทแล้วละก็ เรายังคงมีผู้ชายอีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ดำสนิทหรือขาวสนิท หากแต่พวกเขาจะเป็นสีเทา จะเทาแก่หรืออ่อนอย่างไรก็สุดแท้แต่การพัฒนาชีวิตของพวกเขาตั้งแต่เยาว์วัยจนถึงปัจจุบัน ผู้ชายสีเทาจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รังเกียจการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน ประกอบกับวัฒนธรรมของคนไทก็ไม่ได้เข้มงวดนักกับเรื่องของพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน จึงเปิดช่องให้เกิดการทดลองเรียนรู้สิ่งแปลกๆ ในชีวิต ด้วยธรรมชาติที่ไม่รังเกียจประกอบกับผมกระทบที่จะเกิดขึ้นมีน้อย จึงทำให้การทดลองนี้เกิดขึ้นได้ง่ายและในวงกว้างด้วย ผมขอยืนยันสาเหตุข้อที่ 5 นี้ด้วยคำกล่าวของใครก็มิทราบได้ หากแต่ได้ยินมานานมากแล้วว่า " ชายฟันชายคือยอดชาย"[แก้ไข] แบบไหนเรียกว่าเกย์ คนที่มีลูกออกอาการกระตุ้งกระติ้งมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย อาจทำใจยอมรับได้มากกว่าคนที่ลูกมาบอกว่าเป็นเกย์ เอาเมื่อโตเป็นหนุ่ม โดยไม่มีวี่แววมาก่อนว่าลูกจะเบี่ยงเบน . . .อันที่จริง คนเป็นเกย์นั้นไม่ได้แสดงออกเหมือนผู้หญิงเสมอไป เกย์คือคนที่เกิดความรู้สึกทางเพศกับเพศเดียวกัน แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ชอบเพศเดียวกันเป็นเกย์ทุกคน ความรู้สึกนี้อาจจะเกิดขึ้นกับคนบางช่วงขณะที่กำลังมีพัฒนาการทางเพศ เมื่อเวลาผ่านไปเขาจะหันไปชอบเพศตรงข้าม แต่ถ้าความรู้สึกนี้ยังไม่หายไป เป็นไปได้ว่ามีความเบี่ยงเบนทางเพศ แต่ก่อนจะสรุปได้ว่า เป็นเกย์หรือไม่เป็น หลายคนใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองนานหน่อยเพื่อให้แน่ใจ บางคนผ่านการทดลองคบเพศตรงข้ามเป็นแฟนมาก่อนด้วยซ้ำไป และบางคนก็รอเวลาเหมาะสมที่จะเปิดเผยตัวตน หรือบอกพ่อแม่ ยังมีบางคนคนที่รู้สึกชอบทั้งเพศหญิงและเพศชายเรียกว่า ไบเซ็กช่วล
[แก้ไข] วิธีสังเกตว่าเป็นเกย์http://www.panyathai.or.th/wiki/images/GayGay_13.jpg
วิธีการสังเกตดังนี้[แก้ไข] อากัปกิริยา วิธีการนี้ดูง่ายที่สุด เพราะบุคลิกลักษณะเป็นสิ่งที่แสดงออกมาตรงธรรมชาติมากที่สุด นอกจากว่าคู่กายของคุณสามารถแสดงบทบาทหลอกคุณได้อย่างแนบเนียนมาก ให้คุณดูมือไม้ การออกท่าออกทาง ฟังน้ำเสียงเจรจา เช่น เป็นชายก็จะทำกิริยากระตุ้งกระติ้งคล้ายดังหญิง เป็นหญิงก็ห้าวหาญแกร่งกว่าชาย แต่ก็พึงระวังอย่าใช้การสังเกตในข้อนี้มาเหมาสรุปง่ายเกินไป เพราะกิริยาท่าทางบางคนก็เป็นเพราะติดจากบรรพบุรุษหรือเกิดจากอารมณ์จิตใจที่สุนทรีย์มากกว่าปกติ ทั้งที่จิตใจทั่วไปเหมือนปกติชนทั่วไป ผู้ชายบางคนอาจจะชอบพูดจ๊ะ จ๋า จนเป็นนิสัยหรือผู้หญิงบางคนก็พูดฮะ พูดครับจนเคยชิน เป็นต้น[แก้ไข] ดูจากแววตา เทคนิคการสังเกตวิธีนี้เหมาะกับการดูผู้ชายจะเห็นได้ชัดหรือพูดง่ายกว่าดูผู้หญิง เพราะผู้หญิงส่วนมากจะมีตาหวานหรือแววตาอ่อนที่เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แม้บางคนจะมีแววตาแข็งกร้าวมากเพียงใดก็ยังไม่สามารถวัดใจว่าเธอเป็นทอมหรือดี้ได้ นอกจากว่าเธอได้แสดงออกหรือต้องการสื่อตรงๆ เช่น ซอยผมให้สั้นเหมือนดังชาย แต่งตัวใส่กางเกงให้คล้ายผู้ชายให้มากที่สุด ส่วนผู้ชายนั้นถ้าเห็นแววตาเชื่อมหรือการชม้อยตาเป็นนัยกับผู้เพศเดียวกันละก็ให้สันนิษฐานก่อนว่าใช่เลย ข้อพึงระวังก็คือ ผู้ชายบางคนก็มีนัยน์ตาสวยกว่าผู้หญิงก็มี ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คงต้องดูผลจากข้ออื่นประกอบร่วมด้วยละครับ[แก้ไข] การคบเพื่อน สมมติว่าคุณได้แต่งงานกับคู่ของคุณ ลองดูซิว่าเขายังติดเพื่อนสนิทเพศเดียวกันในช่วงระยะก่อนแต่งและหลังแต่ง ยังคงซี้ปึ๊กเหมือนเดิมอีกไหม นอกจากนี้ยังจะเห็นการสนิทที่มากเกินไป ดูประหนึ่งอนาทรร้อนใจซึ่งกันและกันจนดูแล้วชักจะมากกว่าเป็นเพียงแค่เพื่อนสนิทคนหนึ่ง หรืออาจจะเห็นการหึงหวงในตัวคุณเข้าอีกละก็ใช่เลยเช่นเดียวกัน บางคนก็รักที่จะคบหากันกับกลุ่มเพศเดียวกันมากกว่าปกติจนเห็นได้ชัด ก็มีส่วนเป็นไปได้เหมือนกัน แต่ข้อนี้ก็มาทึกทักง่ายๆ ไม่ได้เหมือนกัน เพราะผู้ชายบางคนช่างติดเพื่อน ขี้เหงาจนเป็นนิสัย เคยสังสรรค์เฮฮาเข้าสังคมเป็นประจำ จะมาห้ามเขาก็ไม่ได้ หรือผู้หญิงบางคนเคยอยู่แต่โรงเรียนมีสตรีล้วน ไม่เคยมีเพื่อนชายมาก่อน ดังนั้นเพื่อนสนิทจึงเป็นเพศเดียวกันแน่นอน ดังนั้นวิธีการสังเกตข้อนี้ ตัวคุณต้องมีสายตาที่ชำนาญในการแอบดูพฤติกรรมอยู่บ้าง[แก้ไข] เซ็กซ์ ข้อนี้มีส่วนสำคัญมากพอดู วิธีการนี้เหมาะกับคู่ที่แต่งงานแล้วนะ คู่ที่เป็นเพียงแต่แฟนขอให้ผ่านไปก่อน ข้าพเจ้าคงไม่ต้องบรรยายหรอกนะว่าให้ดูอย่างไร สังเกตว่าเขาหรือเธอมีข้ออ้างบ่อย มากน้อยประการใด ดังที่เคยบอกไว้แล้วว่า คนที่ไม่ชอบทำอย่างไรก็ฝืนความรู้สึกตนเองไม่ได้ คนที่ชอบเพศเดียวกันจริงๆ ในกรณีที่มิได้เป็นพวกไบเซ็กซ์ช่วลนั้น จะไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับเพศตรงข้ามจนเห็นได้ชัด แต่ก็ต้องดูรูปร่างนิสัยตัวคุณเองประกอบด้วยละว่าพอไปวัดไปวาได้ไหม หรือคู่คุณมีอารมณ์ลึกล้ำประการใด มิใช่แต่โทษคู่ของคุณฝ่ายเดียว นะจะบอกให้[แก้ไข] สืบประวัติบรรพบุรุษ พูดง่ายๆ ก็คือดูโครตเหง้าคู่หรือแฟนคุณด้วยว่าเคยมีญาติพี่น้อง พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย มีพฤติกรรมเช่นนี้บ้างไหม เพราะสามารถสืบต่อทางกรรมพันธุ์ได้ หรืออย่างน้อยก็มีการเลียนแบบตามกันได้ ดังสุภาษิตที่ว่า ดูช้าให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ นั่นแล[แก้ไข] สถานการณ์เกย์ ประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ที่มีจำนวน "ประชาเกย์" มากติดอันดับโลก (หากจำไม่ผิด เห็นจะได้เป็นอันดับสองรองจากอัมสเตอดัม). โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่า น่าจะมีเหตุมาจาก ทัศนคติแนวรักสงบ ไม่ใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา อะลุ่มอล่วย ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ของคนไทย อันเนื่องมาแต่อิทธิพลของศาสนาพุทธ 1 การเลี้ยงดูลูกแบบใกล้ชิดแม่มากกว่าพ่อ 1 ลักษณะทางสถาบันครอบครัวที่เปลี่ยนไปตามการพัฒนาของสังคมยุคใหม่ กล่าวคือ มีอัตราการหย่าร้างสูงขึ้น ลูกจึงได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อหรือแม่เพียงคนใดคนหนึ่ง (หรือแม้แต่พี่เลี้ยง เพราะพ่อหรือแม่ไม่มีเวลา) 1 ตลอดจนลักษณนิสัยโดยทั่ว ๆ ไปของคนไทยส่วนใหญ่ ที่ขี้เล่น ชอบสนุก ไม่ใคร่จะจริงจัง อันเนื่องมาแต่อิทธิพลของอากาศแบบเมืองร้อนอีก ไม่ว่าจะเป็นกะเทย, เกย์, ทอม, ตุ๊ด, ดี้, ชายแต่งหญิง, หรือหญิงแต่งชาย รักร่วมเพศมีประวัติย้อนกลับไปถึงสมัยสยามโบราณ ดังจะเห็นได้จากหลักฐานว่าด้วยการ "เล่นสวาท" (เลี้ยงเด็กชายเป็นลูกสวาท--นิยามโดย พจนานุกรมสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕) ในสมัยรัชกาลที่ 3 และการบัญญัติสำนวน "เล่นเพื่อน" (คบเพื่อนหญิงด้วยกันต่างชู้รัก--ราชบัณฑิตยสถาน) ขึ้นใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อปรามและดัดพฤติกรรมของสตรีชาววังทั้งนั้น มองย้อนกลับไปก็รู้สึกเศร้าและเสียดายแทนเกย์ในสมัยก่อน ที่ไม่ได้รับการยอมรับเท่าไรนัก ทว่า เมื่อมอง ณ จุดปัจจุบัน หลังจากที่ American Philological Association (APA) ได้ตัดสินใจเลิกตราหน้าว่า รักร่วมเพศเป็นโรคจิตเภทแบบหนึ่งแล้ว โลกก็ดูจะเข้าใจเกย์มากขึ้น สังคมไทยเองก็มีการเปิดกว้างและยอมรับรับรู้ความเป็นจริงมากขึ้นในปัจจุบัน เมื่อมองดูให้ลึก ๆ แล้ว แม้สังคมไทยจัดเป็นสังคมแบบไม่เกลียดกลัวเกย์ (กล่าวโดยรวมทั้งเกย์ชายและหญิง--ผู้เรียบเรียง) จนขึ้นสมองอย่างอีกหลายประเทศทั่วโลก ทว่าคนไทยหลายคนก็มีทัศนคติต่อต้านเกย์ในระดับที่แตกต่างกันไป เมื่อคนเหล่านั้นเผอิญได้เป็นเจ้าใหญ่นายโตขึ้นมา ทัศนคติต่อต้านเกย์ของพวกเขาก็จะไม่เป็นเพียงทัศนคติอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นการลงมือปฏิบัติและต่อต้านอย่างจริงจังถึงขั้นนโยบาย (ดังที่ FloatingLotus.com ได้ติดตามนำเสนอไว้ที่หน้ารวมข่าวนี้) งานการสำรวจสอบถามความคิดเห็นหลายชิ้นได้เผยให้เห็นว่า ประชาชนคนไทยทั่ว ๆ ไปนั้นหาได้สนับสนุนอคติอันเนื่องด้วยการต่อต้านเกย์ไม่ นักท่องเที่ยวชาวเกย์ต่างชาติ (ที่เข้ามาชื่นชมและสัมผัสเสน่ห์ความงามของหนุ่มไทยนั้น) ก็สามารถคาดหวังที่จะได้รับประสบการณ์เชิงบวกจากประเทศไทยได้ ตราบใดก็ตามที่พวกเขารับวัฒนธรรมไทยได้ไว มีความสุภาพ เคารพกฎหมายไทย และประพฤติตัวอย่างมีเกียรติและวิจารณญาณ (ที่มาดั้งเดิม) อย่างไรก็ตามในสังคมไทยมีมากถึงร้อยละ 10 ของประชากรชายที่เป็นเกย์ โดยเป็นเกย์ที่แอบแฝงสูงถึงกว่าร้อยละ 60 ที่กล้าเปิดเผยไม่ถึงร้อยละ 40 ซึ่งข้อมูลนี้ใกล้เคียงกับองค์การอนามัยโลก เกย์ในสังคมไทยถูกกีดกันและทำให้เป็นอื่น ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ในสังคม การทำงาน ซึ่งพบว่า ผู้ที่เป็นเกย์ส่วนใหญ่จะไม่ได้รับความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เพราะถูกจำกัดที่ความเป็นเกย์ ส่วนใหญ่เกย์ไทยจะกล้าเปิดเผยก็ต่อเมื่อมีความพร้อม มีหน้าที่การงานที่ประสบความสำเร็จแล้ว มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในฝีมือการทำงาน เช่น ศิลปินดัง นักวิชาการที่ประสบความสำเร็จ
[แก้ไข] ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเกย์http://www.panyathai.or.th/wiki/images/GayGay_14.jpg
1.เกย์ไม่ใช่คนผิดปกติ เกย์ไม่ใช่คนผิดปกติ วิปริตทางเพศ หรือมีความเป็นมนุษย์ต่ำต้อยกว่าคนอื่น แต่ที่เกย์หลายๆ คนรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยจนต้อง “แอบจิต” ก็เพราะกลัวว่าคนรอบข้างไม่ยอมรับนั่นเอง กลายเป็นปมด้อยที่เก็บงำไว้สุดฤทธิ์ … แต่การยอมรับของใครก็คงไม่สำคัญเท่าคนเป็นพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ยังอับอาย เห็นว่าการเป็นเกย์ของลูกเป็นจุดด่างพร้อยในครอบครัว ลูกก็คงไม่อาจยืดอกสู้หน้าใครได้ ลองอ่านงานวิจัยนี้. . .
[*]ผู้ชายร้อยละ 37 มีเซ็กซ์กับเพศเดียวกันอย่างน้อย 1 ครั้ง
[*]ร้อยละ 18 มีประสบการณ์ทางเพศทั้งกับคนเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม
[*]ผู้ชายร้อยละ 4 มีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกันตั้งแต่วัยรุ่น
[*]ถ้าลูกชายของเราเผอิญเป็นหนึ่งในนั้น ก็น่าจะถือว่าเป็นเรื่องปกตินะคะ
งานวิจัยเขายังกล่าวอ้างสมมุติฐานเรื่องเกย์อีกว่า สัตว์เกือบทุกชนิดมีพฤติกรรมทางเพศระหว่างเพศเดียวกันและยืนยันว่าไม่ใช่วัฒนธรรมสมัยใหม่ เพราะในดีตยุคโรมันก็มีพฤติกรรมรักร่วมเพศอย่างเปิดเผยและเป็นที่ยอมรับในสังคม สังคมไทยในปัจจุบันก็ค่อนข้างเปิดใจยอมรับเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะบ้านเราเป็นเมืองพุทธที่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเข้าถึงธรรมชาติของชีวิตที่เต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งไม่ได้ลดทอนความเป็นมนุษย์ในตัวตนของคนๆ นั้นให้ด้อยลงไปแม้แต่น้อย เกย์ที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ทำคุณประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติมีอยู่ให้เห็นมากมาย และอาจจะพูดได้ว่า เกย์มีพรสวรรค์บางด้านที่พิเศษกว่าชายจริงหญิงแท้ด้วยซ้ำ 2. เกย์ไม่ใช่โรค พ่อแม่หลายคนเมื่อรู้ว่าลูกเป็นเกย์ พยายามพาลูกไปหาหมอรักษา แต่การเป็นเกย์ไม่ใช่[โรค]] จึงรักษาไม่ได้ นอกเสียจากว่าเขาจะมีปัญหาที่เกิดจากความกดดัน ความขัดแย้งภายในจิตใจที่เป็นเกย์ บางคนซึมเศร้าจนอาจถึงกับอยากฆ่าตัวตาย เพราะรู้สึกว่ากำลังทำสิ่งผิดธรรมชาติ คนรอบข้างไม่ยอมรับ ฯลฯ 3. เกย์ต้องการการยอมรับ เกย์หลายคนสารภาพว่า ความทุกข์ของเกย์คือการปิดบังตัวเอง ไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเองและคนอื่น ดังนั้นหากว่าวันใดวันหนึ่งลูกเกิดพบว่าตัวเองไม่ใช่ชายแท้ขึ้นมา เขาหวังว่าจะสารภาพกับพ่อแม่ได้ มาถึงตรงนี้ ใช่ว่าจะให้คุณพ่อคุณแม่เข้าไปคาดคั้นหรือจับผิดว่าลูกเราเป็นเกย์หรือเปล่า แต่เป็นการเตรียมทัศนคติที่ดี ขอให้รู้เถิดว่า การยอมรับของพ่อแม่และคนที่เขารักจะทำให้เขาเป็นคนที่สมบูรณ์ สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ประสบความสำเร็จได้...แม้จะเป็นเกย์ ความเข้าใจผิดดังกล่าวนั้น นายแพทย์ยุงยุทธกล่าวว่าแบ่งเป็นหกข้อด้วยกันคือ 1. เข้าใจผิดว่ารักร่วมเพศเป็นวิปริตทางเพศ ความจริงคือ ไม่ใช่ คำว่า วิปริตทางเพศในปัจจุบันมีความหมายเพียงประการเดียวครับ คือ คนที่ได้มาซึ่งความสุขและความพึงพอใจทางเพศด้วยวิธีการที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น ถ้ำมอง ชอบโชว์อวัยวะเพศ ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก หรือมีเพศสัมพันธ์โดยทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาของชายรักร่วมเพศ อย่างไรก็ตาม คนวิปริตทางเพศในความหมายนี้ก็เกิดขึ้นได้ทั้งคนที่รักเพศเดียวกันและรักเพศตรงข้าม 2. เข้าใจผิดว่า คนที่รักร่วมเพศต้องมีอารมณ์ฉุนเฉียว ก้าวร้าว ปากจัด ความเข้าใจผิดนี้ อาจจะมาจากคาแรกเตอร์ของตัวละครบางตัวในละครโทรทัศน์ แต่จากการศึกษาเกี่ยวกับบุคลิกภาพแล้ว เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง ในเชิงวิชาการความเข้าใจผิดข้อนี้มักมาจากการศึกษาวิจัยที่มีอคติทั้งสิ้น เช่น ศึกษาวิจัยจากผู้ที่มาขอรับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ แน่นอนนะครับคนที่มาหาจิตแพทย์นี่จะต้องมีความคับข้อ ทุกข์ยากในชีวิตอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจกล่าวว่า เป็นตัวแทนของกลุ่มประชากรได้ เราไม่อาจพบความแตกต่างระหว่างคนรักเพศตรงข้ามและคนรักเพศเดียวกันในเรื่องดังนี้ คือ - ข้อแรก เชาวน์ปัญญา ไม่มีใครฉลาดกว่าใคร โง่กว่าใคร - ข้อสอง บุคลิกภาพไม่มีใครมีบุคลิกภาพแปรปรวนมากกว่าใคร เพราะคนก้าวร้าวมีทั้งที่รักเพศตรงข้ามและรักเพศเดียวกัน คมกามวิตถารก็มีทั้งคนรักเพศเดียวกันและรักเพศตรงข้ามเช่นกัน" 3. เข้าใจผิดว่า คนที่รักเพศเดียวกันจะต้องแสดงออกให้เห็นได้ เช่น ห้าว หรือกระตุ้งกระติ้ง รักร่วมเพศเป็นเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวของคนเรา ซึ่งจะแสดงพฤติกรรมภายนอกออกมาหรือไม่ ไม่เกี่ยวกันครับ มีคนที่รักร่วมเพศเป็นจำนวนมากที่มีพฤติกรรมภายนอกตามแบบแผนปรกติของสังคม 4. เข้าใจผิด (ในทางบวก) ว่า คนที่รักร่วมเพศจะต้องมีลักษณะพิเศษ เช่น มีอารมณ์ละเมียดละไม เป็นคนเก่ง ฉลาดผิดปรกติ นี่ก็ไม่เป็นความจริงอีกเช่นกันนะครับ คนที่รักร่วมเพศเป็นคนธรรมดา มีความสามารถต่างๆ นานาเช่นเดียวกับคนรักต่างเพศ 5. เข้าใจผิดอย่างยิ่งว่า พฤติกรรมของคนรักร่วมเพศ ไม่ว่าจะเป็นท่าทางกระตุ้งกระติ้ง หรือห้าว เข้มแข็ง จะทำให้คนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเกิดการเลียนแบบและเป็นตาม ในทางจิตวิทยาพัฒนาการแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะโน้มเอียงไปทางความเป็นชายหรือหญิงตามพฤติกรรมคนอื่นที่เห็นเพราะความเป็นชายและหญิง ในทางจิตวิทยามันลงหลักตั้งแต่วัยสามถึงห้าขวบ ดังนั้นที่กลัวกันว่าเด็กดูละครทีวีที่มีกะเทยแล้วจะทำให้เด็กกลายเป็นกะเทยนั้นไม่จริงเลย เช่นเดียวกับที่ครูเป็นกะเทยแล้วเด็กจะเลียนแบบก็ไม่จริง 6. เข้าใจผิดอย่างยิ่งว่า การยอมรับคนที่รักร่วมเพศเดียวกันหมายถึงการสนับสนุนให้มีการรักร่วมเพศอยู่ทั่วไป หากเข้าใจอย่างนี้ก็แสดงว่า ถ้าเรายอมรับคนพิการต่อไปเราจะพิการกันไปหมด ถ้ายอมรับผู้ติดเชื้อเอดส์ ต่อไปเราจะติดเชื้อเอดส์กันหมด มันเป็นไปไม่ได้นะครับ การยอมรับคือการเคารพในตัวเขา มีชีวิตอยู่อย่างเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งนั่นไม่ได้แปลว่าเป็นการสนับสนุนให้คนอื่นเป็นตามเขานะครับ ตรงกันข้าม การอยมรับทำให้ปัญหาไม่ซ่อนเร้นเมื่อได้รับการยอมรับ คนเหล่านี้ก็จะมีความรับผิดชอบต่อสังคมไม่สร้างปัญหาให้สังคม ส่วนการที่จะป้องกันไม่ให้คนเป็นรักร่วมเพศ ต้องเกิดจากการทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้ซึ่งตลอดมา เนื่องจากการถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ทำให้ความเข้าใจเรื่องนี้อยู่ในวงจำกัด เราทราบแต่เพียงว่า ปัจจัยที่สำคัญนั้นจะต้องป้องกันที่การเลี้ยงดูในวัยเด็ก โดยการส่งเสริมบทบาทที่เกื้อกูลกันและสัมพันธภาพที่ดีของคนเป็นพ่อแม่ ทั้งสองข้อหลังเป็นประเด็นที่สำคัญมาก เพราะมีคนพยายามเสนอว่า สิทธิของบุคคลกับสิทธิของชุมชนจะขัดแย้งกันได้ไหมคือ หากยอมรับพฤติกรรมรักร่วมเพศ ซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคลนั้นเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิของชุมชน โดยอ้างเหตุผลสองประการหลังที่ผมได้กล่าวไปแล้ว อย่างไรก็ตามแม้จะมีความเข้าใจผิดข้างต้นอยู่ก็จริง แต่จากการศึกษาวิจัยของทั่วโลกก็พบว่า บุคคลที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศก็มีความเสี่ยงต่อปัญหาต่าง ๆ ได้แก่
[*]การพยายามทำลายชีวิตตนเอง
[*]การมีชีวิตคู่ที่ไม่ยั่งยืน
[*]การติดสารเสพย์ติด
ทั้งสามประการนี้เป็นปัญหาสังคมนะครับ ไม่ได้เป็นความแปรปรวนหรือความผิดปรกติ หรือความวิตถารทางจิตเลย ทั้งสามประการนี้ เป็นผลมาจากการที่สังคมรังเกียจเดียดฉันท์ทำให้คนรักร่วมเพศต้องปิดขังตัวเอง อยู่อย่างด้อยศักดิ์ศรีและไร้คุณค่าในหลายกรณี ดังนั้นโดยตัวมันเองแล้ว เรียกว่า เป็นโรคแห่งความรังเกียจเดียดฉันท์ และในการศึกษาทางด้านจิตวิทยาสังคม เราก็พบว่า เมื่อเกิดการรังเกียจเดียดฉันท์ขึ้นที่ใด เช่น ผู้ติดเชื้อเอดส์ คนต่างผิว ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา สามปัญหานี้ก็จะตามมาเช่นเดียวกันไม่ได้เกิดเฉพาะคนรักร่วมเพศเท่านั้น ถ้าไม่มีการรังเกียจเดียดฉันท์คนเราก็จะมีความสามารถในการปรับตัวมากขึ้น ไม่ต้องไปอยู่ในสถานการณ์พิเศษที่ต้องปรับตัวเป็นพิเศษ ซึ่งการปรับตัวนั้นอาจทำให้เข้มแข็งขึ้นก็ได้ หรือในทางตรงข้าม ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็อาจนำไปสู่สภาพที่อาจต้องทำลายชีวิตตัวเอง ทำลายชีวิตคู่และใช้สารเสพย์ติด ถามว่า การรังเกียจนี้มีผลอย่างไรต่อสังคม มีผลมากนะครับ เพราะทำให้เกิดอวิชชา เช่น เข้าใจผิดเกี่ยวกับเอดส์ ทำให้เรารังเกียจเอดส์ และนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เอดส์ขยายตัวแพร่หลายอย่างยิ่งทีเดียว ขอบคุณคร๊าบบบ ไปก๊อปจากไหนครับเนี่ย ดูก็รู้ว่าไม่ได้เขียนเอง
แล้วก็ไม่ได้ให้เครดิตใดๆทั้งสิ้นว่าไปเอามาจากที่แหล่งไหน ใครเขียน
ทำแบบนี้ครูทุกระดับปรับตกหมดครับผม อย่าทำ :curse: ตอบกระทู้ potek ตั้งกระทู้
ขอบคุนมากมายคับ กับสาระที่เป็นประโยชน์ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]