หัวใจมฤตยู (ลองมาอ่านกันดูนะคับ อิอิ)
"นายฑีรพันธ์ อย่ามาทำหน้าตายแบบนั้นนะ พ่อแม่เธอไม่เคยส่งสอนรึไงว่าเวลาผู้ใหญ่เขาสั่งสอนต้องทำกิริยายังไง?"สิ้นเสียงกร้าวแข็งนั่น สายตาที่เมื่อครู่เหม่อลอยและเมินเฉยกลับถูกตวัดมายังใบหน้าเจ้าของเสียงราวกับว่ามันเป็นสัญญาณแห่งสงครามที่กำลังจะปะทุขึ้นอีกไม่กี่วินาที เด็กหนุ่มวัย 17 เดินเข้ามาใกล้เจ้าของเสียงโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับกล่าวถ้อยคำที่ไม่น่าจะหลุดออกมาจากปากของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็น "ลูกศิษย์"
"ผมว่าถ้าคุณว่างพอที่จะเรียกผมขึ้นมาทุกเที่ยงเพื่อมาตักเตือนเรื่องไร้สาระแบบนี้ คุณช่วยเอาเวลาไปดูแลลูกชายแสนดีของคุณที่กำลังเหลวไหลใกล้ใจแตกเข้าไปทุกวันดีกว่ามั้ยครับ?"
เด็กหนุ่มเมินหน้าหนีทำท่าจะก้าวเดินออกจาห้องไปโดยไม่แยแส แต่ก็ถูกเรียกกลับด้วยเสียงแข็งจนต้องหยุดยืนห้ามใจตัวเองเอาไว้ทั้งๆที่อยากจะออกไปจากนรกติดแอร์ห้องนี้ซักที
"นี่...แกมันเด็กไร้สกุลจริงๆนะ นายฑีรพนธ์ ฉันไม่รู้จะสั่งสอนแกด้วยวิธีไหนแล้ว!!" ครูวัยใกล้หมดประจำเดือนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันโกรธแค้น
เด็กหนุ่มหันมายิ้มด้วยหน้าระลื่นและพูดขึ้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น "ก็ไม่ได้ต้องการให้คุณมาสอนอะไรผมนิ...หึ"
พูดจบธุระทุกอย่างก็คงจบกันพอกันทีกับสิบนาทีที่ต้องเสียไปกับเรื่องไร้สาระแบบนี้เป็นประจำทุกวัน ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องอย่างไม่สนใจว่าตัวเองทิ้งอะไรไว้ให้กับหญิงผู้หวังดี(รีป่าว?)ในห้อง เหอะ...หวังดีหรอ? งี่เง่าชะมัด! เด็กหนุ่มสบถกับตัวเอง...ทันทีที่หลุดพ้นมาจากห้องนรกติดแอร์นั่นเมื่อสองเท้าเริ่มเคลื่อนย้ายสายตาทุกคู่ก็ต่างจับจ้องมองมาที่เด็กหนุ่มผู้ซึ่งมีรัศมีอมหิตแผ่ซ่านไปทั่วตีวงกว้างออกไปกว่าสิบหลา แต่ถึงแม้สายตาพวกนั้นจะมีนับหมื่นนับแสนคู่ ถึงลูกตาพวกนั้นจะมองเขาจนแทบจะถลนออกมา หรือแม้แต่จะมองในทางไหนก็ตามนั่นก็ไม่ได้ส่งผลให้เขาสะทกสะท้านเลยแม้แต่นิด กลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ยิ่งมีคนพุ่งความสนใจมาที่เขามากเท่าไหร่นั่นกลับเป็นการเรียกความมั่นใจให้กับเจ้าตัวมากขึ้นเท่านั้น จึงไม่แปลกเลยที่ใครๆก็ต่างมั่นไส้และไม่เข้าใจในความเป็นเขากันซักเท่าไหร่
"เบื่อ!!!...จะอะไรกันหนักหนา" เด็กหนุ่มพูดก่อนถอนหายใจฟอดใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ไม้ตัวเก่าๆ
"ก็จะสร้างปัญหาไปถึงไหนกันละ ปีนี้ก็ปีสุดท้ายแล้ว" หญิงสาววัยเดียวกันซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาพูดสวนกลับมา
"ตาม...ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครเขาเอาถ่านมายัดปากหรอก..." เด็กหนุ่มเมินหน้าหนีพลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ
"ฑีนายก็เป็นแบบนี้ตลอดแหละ...เข้าใจนะว่าปากของนายน่ะมันรักษาไม่หายแต่ขอทีเถอะ กับฉันน่ะ ช่วยพูดอะไรที่มันฟังแล้วลื่นหูหน่อยได้มั้ย?" ฝ่ายหญิงขมวดคิ้ว
"เอ่อๆ...จะพยายาม" ฑีพยักหน้ารับไปมาอย่างค่อยไม่สนใจ
"อ้อ...แล้วนี่ตกลงได้โควตาแล้วใช่มั้ย?"
"ของแบบนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว"
"ถึงว่า ไม่สนใจหัวผู้ใหญ่"
"อะไร?...เราก็สนเฉพาะคนที่ควรจะสนแค่นั้นแหละ พวกแก่ๆพูดอะไรไร้สาระจะไปฟังทำไมกัน"
"แต่เขาก็หวังดีกับนายไม่ใช่หรอ?..."
"เหอะ หวังดีกับผีอะไรละ? เรียกไปด่าไปต่อว่าทุกวันจนในหัวเราเนี่ยจะจัดคำด่าพวกนั้นเป็นสูตรตรีโกณได้อยู่แล้ว" เด็กหนุ่มพูดพลางหันออกไปมองทางอื่น
"หรอ?...เหอะ สงสารนายจัง ถ้าเข้ามหาลัยใครกันจะมาทนเป็นเพื่อนนายแบบฉัน"
"หุบปาก!! ถ้าใครหน้าไหนมันไม่อยากเป็นก็ไม่ต้องเป็น!!"
เขาตะคอกแล้วลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งก่อนจะเดินหนีไปอย่างหัวเสีย ฑีเป็นคนค่อนข้างเอาแต่ใจไม่สิเรียกได้ว่าค๊อดเอาแต่ใจเลยดีกว่า คิดว่าตัวเองเก่งและถูกเสมอและนั่นก็คือเรื่องจริง เขาเป็นคนเรียนเก่งและเป็นพวกมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก เวลาดีก็ดีใจหายแต่พอร้ายนรกก็ฉุดไม่อยู่ทั้งๆที่ก็ไม่ได้รูปหล่อพ่อรวยมาจากไหนแท้ๆ ลำพังความสูงที่ต่ำกว่ามาตรฐานมันก็น่าจะพอที่จะทำให้ความมั่นใจเสียไปบ้างแต่นั่นกลับผิดคาด รูปร่างสมส่วนกับผิวสีน้ำผึ้งนั่น ไหนจะคิ้วดกดำ ดวงตากลมโตสีดำหวานเยิ้ม ริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆเผยถึงสุขภาพภายในที่เพียบพร้อม ผิวหน้าเนียบเรียบหากแต่ก็มีสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ค่อยต้องการขึ้นมาเผยตัวเป็นบางจุด คนแบบนี้ทั้งๆที่ควรจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวแต่กลับไม่เลย เขาทำเหมือนกับรูปร่างหน้าตาพวกนั้นไม่ได้เป็นของเขาเลย ทำเหมือนกับเป็นร่างที่เขาเช่ามันมาตั้งแต่เกิดยังไงยังงั้น แต่ก็นั่นแหละเขาก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ใครๆต่างก็ต้องยอมพ่ายแพ้ในความเป็นเขา แม่กระทั่งครอบครัวของเขาเอง...
...18.30 น...
"กลับมาแล้วคับ"
เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับโยนกระเป๋าไปบนชั้นวางของอย่างไร้เหยื่อใย เขาเดินตรงเข้าไปยังห้องครัวซึ่งอยู่ตรงท้ายสุดของบ้าน นี่มันอะไรกันทำไมวันนี้มันเงียบแบบนี้นะ ผิดปกติแฮะ เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติแต่ความสงสัยและความกังวลนั้นก็ถูกคลี่คลายออกหลังจากเขากำลังจะเปิดตู้เย็นและพบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆติดอยู่
--พ่อกับแม่ต้องไปหาปู่ที่กระบี่ด่วน ยังไงมีอะไรก็โทรหาแม่นะลูก--
เด็กหนุ่มขยำกระดาษนั่นก่อนจะโยนลงถังขยะใกล้ๆ อีกมือก็ลวงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ทั้งๆที่ภายในใจลังเลและวุ่นวายแต่การกระทำที่แสดงออกมากลับตรงกันข้าม เขากดเบอร์หมุนเร็วที่ใช้อยู่เป็นประจำก่อนจะเอามันแนบกับหูตัวเอง
"ฮัลโหล..."
"ฮัลโหล...ว่าไงฑี"
"ทำไมพ่อกับแม่ไปไม่บอกผมล่วงหน้าละ?"
"คือมันด่วนมาก แม่ก็พึ่งทราบข่าวจากลุงพลเมื่อกี้นี้เอง"
"แล้วคุณปู่เป็นอะไรหรอครับ?..."
"ท่านประสบอุบัติเหตุน่ะลูก...คุณพ่อตกใจมากแม่เลยต้องมาเป็นเพื่อน"
"อืม..."
"ยังไงแม่โทรบอกให้แม่บ้านคนใหม่มาจัดการดูแลบ้านแล้ว ลูกดูแลตัวเองนะ ขาดเหลืออะไรก็โทรมาบอกแม่ ฑี...แม่ต้องขึ้นเครื่องแล้วนะลูก"
"ครับ...งั้นก็ เดินทางดีๆนะครับ"
"จ๊ะ...อ้อ คราวนี้อย่าอาละวาดอีกละ แม่ยังไม่อยากหาแม่บ้านใหม่ตอนนี้นะลูก"
"จะพยายาม"
เด็กหนุ่มวางสายไปใส่โทรศัพท์เอาไว้ที่เดิมก่อนจะเปิดตู้เย็นควานหาน้ำดื่มเพื่อเพิ่มความชุ่มช่ำให้กับร่างกาย สายตาเขาดูอิโรยกว่าทุกครั้งจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสายตาของเด็กชายผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความเหย่อหยิ่ง...
"เวลา 18.50 น. ทางเราได้รับรายงานว่ามีอุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อเครื่องบินที่จะมุ่งหน้าไปจังหวัดกระบี่เกิดเหตุฉุกเฉินและบินออกนอกเส้นทางโดยกัปตันเองไม่สามารถควบคุมทิศทางการบินได้เลย ทั้งนี้..."
ยังไม่ทันที่เสียงแจ้วๆนั้นจะจบลงรีโมตก็ถูกกดเพื่อปิดเสียงนั่นไป ดวงตาแดงกล่ำเอ่อนองไปด้วยน้ำใสๆ ร่างนั้นค่อยๆทิ้งตัวลงกับโซฟาอย่างช้าๆหัวใจสั่นหวิวเต้นระรัวไปอย่างไม่คาดคิดราวกับนักกีฬาพึ่งออกจาสนามแข่ง เด็กหนุ่มค่อยๆส่ายหน้าอย่างเบาๆ ทันทีที่เรียกสติกลับคืนมาได้เขาจึงรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรไปยังสายที่พึ่งวางไปเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว ไม่จริง...มันต้องมีอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ เด็กหนุ่มพยายามพูดปลอบใจตัวเอง ทั้งๆที่ลางสังหรณ์ในใจมันกลับตรงกันข้าม
หัวใจเด็กหนุ่มสั่นไหวเต้นถี่อย่างไม่เป็นจังหวะ นี่มันเรื่องอะไรกัน?...ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นเหมือนเม็ดทรายนับหมื่นนับแสนเม็ดทับถมกันนับพันครั้งจนกลายเป็นภูเขาลูกโตที่ขวางอยู่ในใจของเขา คำถามมากมายเกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล จนที่สุดก็หมดหวังเมื่อปลายสายนั้นกลับติดต่อไม่ได้เด็กหนุ่มขมวดคิ้วหัวใจยิ่งเต้นแรงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ความหมดหวังในตอนนี้มันรุนแรงจนทำให้ราชสีห์ที่เคยผง่าและทะนงในศักดิ์ศรีกลับกลายเป็นเพียงหิ่งห้อยที่ส่องแสงเพียงหริบรี่ ฑีพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นจากโซฟาอย่างช้าๆสายตาที่เหม่อลอยมองสอดส่องไปทั่วห้อง ริมฝีปากสั่นเหมือนคนไม่สบายพลางสายตาเหลือบไปมองเข้าที่กระจกสะท้อนเป็นภาพของตัวเอง จิตวิญญาณจึงได้กลับมาอีกครั้ง ถึงแม้อยากจะปลดปล่อยความเสียใจที่มีอยู่มากมายให้มันล้นออกมาจนหมดไปแต่ก็ทำไม่ได้ เขาเดินเข้าไปใกล้กระจก ยิ่งใกล้สายตาก็ค่อยๆเบิกกว้างออกทีระนิด จนในที่สุดภาพที่อยู่ตรงหน้าก็เหมือนเป็นโคลนนิ่งของเด็กหนุ่ม เขากวาดสายตามองไปทั่วใบหน้าของภาพสะท้อนในกระจก...
"ผมยังเชื่อว่าพ่อกับแม่ไม่มีวันทิ้งผมไป...แต่ตอนนี้ถ้าหากมันเกิดเรื่องอย่างที่คิดไว้จริงๆก็ไม่ต้องห่วงผมหรอก"
สิ้นคำพูดที่ตอกย้ำกับตัวเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นและนั่นก็ทำให้ฑีละความสนใจจากกระจกตรงหน้าทันที
"ฮัลโหล...แม..." ด้วยความกังวลเขาจึงไม่ทันแม้แต่จะดูว่าใครโทรมา
"ฮัลโหล...ฑีหรอ?" ปลายสายตัดบท
"นั่นใคร?.."
"ลุงเอง...ลุงพลไง? หลานคงได้ดูข่าวแล้วซินะ"
"ครับ"
"ยังไง...อย่าพึ่งคิดมากไปละ มีอะไรก็โทรมาหาลุงนะ"
"ครับ"
"อืม...ถ้าวันไหนว่างเดี๋ยวลุงจะไปรับมากระบี่นะ"
"คงไม่ได้หรอกครับ ผมมีเรียน"
"งั้นก็ ตามใจแล้วกัน อย่าคิดมากนะตามข่าวไปเรื่อยๆก่อน"
"ครับ"
ฑีวางสายไปอย่างผิดหวัง เขาถอดหายใจฟอดใหญ่ก่อนจะละความสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วหันไปจัดการกับภาระกิจส่วนตัวของตัวเอง น้ำอุ่นๆถูกแทรกด้วยร่างสมส่วนของฑี เขาทิ้งตัวลงนอนในอ่างอย่างช้าๆพร้อมกับสลัดความกังวลและปัญหาที่มีอยู่ในหัวทั้งหมดออก เรื่องเลวร้ายทำไมต้องมาเกิดกับเขาตอนนี้นะ ที่ผ่านมาถึงแม้ว่าการกระทำบางอย่างของเขามันจะดูเกินกว่าที่หลายๆคนจะยอมรับได้แต่เขาก็ไม่เคยสร้างศัตรูก่อนหรือแม้แต่ทำเรื่องร้ายๆโดยไร้เหตุผล แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าสวรรค์ตัดสินใจผิดไปหรือป่าว? กับการลงโทษครั้งนี้ หวังว่ามันคงจะไม่เป็นอย่างนั้น ถึงจะแอบคิดไปว่าพ่อกับแม่อาจจะไปแล้วไม่กลับแต่ลึกๆในใจแล้วด้วยสายใยแห่งความเป็นลูกก็ยังนึกคิดว่าพ่อกับแม่ยังคงใช้ลมหายใจต่อชีวิตอยู่ที่ไหนซักที่...
...06.43 น...
เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปปิดประตูบ้านก่อนจะหันกลับมาก้มหน้าก้มตาใส่รองเท้าด้วยท่าทางกึ่งหลับกึ่งตื่น ง่วงชะมัด! เมื่อคืนนอนไม่ค่อยจะหลับเลย เขาบ่นพึมพำตัวตัวเอง ทันทีที่เหงยหน้าขึ้นมารถเบนซ์สีดำเงาก็จอดอยู่หน้ารั้วบ้าน ฑีขมวดคิ้วด้วยความคุ้นเคยกับลักษณะของรถคันนี้ เขาค่อยๆก้าวออกไปดูจังหวะเดียวกับประตูรถถูกเปิดออกพอดี เจ้าของรถก้าวเท้าลงมาจากรถ คำถามของฑีจึงคลี่คลายลง
"ว่าไงฑี ไปเรียนแต่เช้าเลยนะ"
"สวัสดีครับลุงพล ผมบอกแล้วไม่ใช่หรอว่ามีเรียน?"
"คือ ลุงน่ะเข้าใจ แต่คนที่นอนอยู่โรงบาลเขาไม่เข้าใจ"
"คนที่นอนอยู่โรงบาล? ใคร?กัน"
"เหอะ...ก็ปู่ของแกไง?" แล้วเสียงเล็กแหลมที่เขาเกลียดนักเกลียดหนาก็แทรกขึ้นมา "หึ!...ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างแกจะไปโรงเรียนกับเขาด้วย"
"คุณ..." ชายวัยกลางคนผู้ซึ่งเป็นสามีหันไปดุเธอ
"ไม่เป็นไรหรอกครับคุณลุง ป้าเขาอยากพูดอะไรก็ให้พูดเถอะ..."
"หึ มันก็แน่นอนอยู่แล้ว แกเป็นหลานน่ะไม่มีสิทธิ์จะมาเถียงฉันฉอดๆเหมือนที่เคย"
"ครับ ผมก็ว่าอย่างนั้น ปล่อยให้ป้าพูดไปคนเดียวดีกว่าเพราะอีกไม่กี่ปีหนังย่นๆนั่นก็คงต้องถูกไฟเผาจนกลายเป็นแค่เศษฝุ่น"
"ฑี! แกนี่มันต่ำจริงๆ"
"หรอ? ต่ำแล้วยกสังขารมาเทียบกับผมทำไม?"
"แก..."
"เอาละ!! พอด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ!! ถ้าวันไหนป้าหลานคู่นี้พูดกันดีๆน้ำคงจะท่วมโลก"
"เหอะ...คนยังแกมันพูดดีๆกับใครเขาไม่เป็นหรอกฑี"
"..."
ฑีเมินหน้าหนีไม่สนใจและแยแสต่อผู้หญิงที่เขาเรียกว่า ป้าหนังเหี่ยวข้ างหน้าเลยแม้แต่นิด ตั้งแต่จำความได้เขากับป้าก็ไม่เคยแม้แต่สักครั้งที่จะพูดคุยกันอย่างสงบสุข ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมอะไรหนักหนาแต่ถึงยังไงการกระทำของฑีก็คงจะไม่ก้าวร้าวไปกว่านี้อีกแล้ว...
"อ้อ ต้องลามั้ยที่โรงเรียนน่ะ"
"หือ?..." ฑีหันหน้ากลับมาก่อนจะขมวดคิ้วในคำพูดของผู้เป็นลุง
"ก็ถ้าหยุดเรียนเราต้องลาก่อนไม่ใช่หรอ?"
"แล้วใครที่ไหนจะหยุดเรียน ผมยังไม่ได้ปริปากแม้แต่คำเดียวว่าจะไปไหน"
"แต่ปู่อยากเจอหลานนะ"
"เหอะ...ฉันว่าแล้วว่าเสียเวลาป่าว หลานอกตัญญูแบบเนี่ยมีหรอมันจะยอม"
"เอาหน่าฑี...ปู่เขาเป็นห่วงหลานเรื่องพ่อกับแม่น่ะ ไม่เจอเขาหน่อยสักวันสองวันก็ยังดีนะ"
"..."
"ฑี..ไปเถอะหลาน ถือว่าลุงขอร้อง"
"อืม...ก็ได้ครับ เรื่องลาผมจัดการเองได้"
แล้วฑีก็ต้องยอมแบกสังขารขึ้นเบนซ์สีดำเงาเพื่อมุ่งไปสู่กระบี่จนได้ โอ๊ย...ถ้าไม่ติดว่ามีป้าหนังเหี่ยวมาด้วยนะคงอยากไปมากกว่านี้แหละ ฑีหงุดหงิดกับตัวเอง อันที่จริงฑีกับปู่ก็เป็นปู่หลานที่ค่อยข้างจะสนิทกันพอสมควรเพราะฑีอยู่กับปู่ตั้งแต่อนุบาลจนถึงประถมก่อนจะย้ายมาอยู่กับพ่อแม่ในกรุงเทพฯ แต่มันก็แปลกมากทั้งๆที่ครอบครัวทางฝั่งพ่อนั้นไม่มีใครเลยที่มีนิสัยพูดจาเสียดสีกระแถกแดกดัน ขวานผ่าซาก ตรงไปตรงมาแบบฑีเลยซักคน แล้วเขา...เอานิสัยบ้าๆแบบนั้นมาจากใครกันนะ
นั่งรถจนก้นเป็นฝีหลับแล้วหลับอีก จอดกินข้าว นั่งรถ หลับ...จอดกินข้าว นั่งรถ หลับ...จอดกินข้าว นั่งรถ หลับ มันวนไปวนมาอยู่แบบนี้หลายต่อหลายครั้งจนความเซ็งเริ่มบรรเกิดขึ้นแก่ฑี เวลาผ่านไปอีกซักพักฑีก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงรถตัว รถถูกดับลงนั่นเป็นเหมือนสัญญาณว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เขาค่อยๆลืมตาขึ้นจานิทรามารธอนและวินาทีที่เห็นสิ่งก่อสร้างภายนอกตรงหน้า รอยยิ้มก็เกิดแก่เด็กหนุ่ม...
"ถึงแล้วฑี"
"จะหลับจนตายไปเลยก็ไม่ว่าหรอกนะ" คุณป้านังเหี่ยวเริ่มบรรเลงศึก
"เหอะ ตายไปคนเดียวเถอะ..."
ฑีโต้กลับพร้อมกับเปิดประตูรถด้วยความอยากลงไปสูดอากาศข้างนอกรถเต็มที โอ๊ย! เมื่อยชะมัดเลย เขาบิดขี้เกียจไปมาสองสามรอบก่อนจะมองขึ้นไปบนบ้านทรงไทยหลังใหญ่ตรงหน้า คิดถึงจังบ้านหลังนี้ เขายิ้มพลางนึกถึงความทรงจำในอดีต
"อ่าว...ไหนบอกว่าคุณปู่อยู่ที่ดรงพยาบาลไงครับ"
"อ๋อ...พอดีลงรู้สึกเวียนหัวน่ะก็เลยกะจะมานอนพักหน่อย"
"อืม...ครับ งั้น ผมขอล่วงหน้าไปหาคุณปู่ก่อนเลยนะครับ"
"เหอะ...รีบไปเอาหน้าละซิ"
"ช่าย แล้วผมก็คิดว่าได้ด้วย"
ฑียิ้มเรอะป้าของเขาก่อนจะตรงไปยังใต้ถุนบ้าน ที่นั่นมีสิ่งๆหนึ่งที่เขารักแสนรักและบอกให้คุณเก็บรักษามันไว้ให้อย่างดี ของรูปร่างแปลกตาถูกคุมด้วยผ้าคุมสีน้ำเงิน ฑีค่อยๆเปิดมันออกด้วยหัวใจที่แสนปรามปลื้มและเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง จักรยานคับโปรดของเขายังอยู่ในสภาพดีพอที่จะใช้งานได้ ฑีไม่คิดอะไรอีกแล้วเขากระโดดขี่มันเหมือนเป็นม้าตัวโปรดแล้วมุ่งหน้าออกไปอย่าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เหมือนโลกนี้มีแต่เขากับจักรคันเก่าๆคันนี้เท่านั้น...
วิวที่ผ่ามาตลอดทางเต็มไปด้วยความทรงจำมากมายในอดีตมีทั้งความสุขและความเศร้า แต่เขาก็เชื่อว่าความสุขของเขากับที่นี่มันมากเกินกว่าจะทำให้เขาจดจำเรื่องร้ายๆ ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีฑีก็มายืนอยู่ในลิฟต์ในโรงพยาบาล หันใจเขาเต้นรัวอย่างบอกไม่ถูกเป็นเพราะห่วงคุณปู่หรือตื่นเต้นที่ไม่ได้เจอคู่ซี้มานานแล้วกันแน่นะ ประตูลิหฟถูกเปิดออกพร้อมๆกับความตื่นเต้นที่มากขึ้น เขาเดินตรงไปตามทางเดินห้องพักผู้ป่วยทั้งสองข้างดูคึกครื้นเป็นพิเศษไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีงานอะไรหรือเพราะอะไรกันแน่ถึงได้คนเยอะดีจัง ฑีเดินตรงไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่ห้องหมายเลข 694...ประตูห้องถูกเปิดออก
"สวัสดีครับคุณปู่!!!" เสียงระเริงนั่นดังออกมาด้วยความปิติอย่างยิ่ง
"อ่าว...ว่าไงหลานปู่!!" ชายผิวขาวรูปร่างสันทันซึ่งอยู่ในชุดผู้ป่วยทักตอบเด็กหนุ่ม รอยยิ้มถูกวาดขึ้นบนใบหน้าอย่างช้าๆ
"คิดถึงคุณปู่จังครับ" ฑีอ้อนผู้เป็นปู่ก่อนจะตรงเข้าไปสวมกอด
"โตแล้วยังทำเป็นเหมือนเด็กอีกนะ..."
"อ่าว ก็เราซี้กันไม่ใช่หรอครับ"
"ฮ่าฮ่า ไม่ได้เจอกันตั้งนาน"
ปู่หัวเราะดูท่านมีความสุขเป็นพิเศษก็แน่ละหลานรักมาหาทั้งทีเป็นใครก็ต้องดีใจด้วยกันทั้งนั้น ฑีค่อยๆถอนตัวออกมาจากอ้อมกอดที่คุ้นเคยนั่นอย่างช้าๆแววตาจ้องมองชายชราที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความรำลึกถึง ก่อนจะเอ่ยปากถามสารทุข์สุขดิบ...
"แล้ว คุณปู่เป็นยังไงบ้างครับเนี่ย?"
"ก็ดีขึ้นมาแล้วละ" ปู่พูดพลางลูบหัวฑีเบาๆ
"แล้วไปทำอีกท่าไหนนักเลงใจเกร่งถึงต้องมานอนแอ่งแม้งอยู่บนเตียงหมดฤทธิ์แบบนี้ละ..."
"ฮ่าฮ่า ปากดีไม่เปลี่ยนเลยน่ะ..."
"ผมก็เป็นหลานของปู่คนเดิมแหละครับ"
"อ้อ...เรื่องของพ่อกับแ..." ยังไม่ทันพูดจบฑีก็สวนขึ้นมา
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงผมก็ยังเชื่อว่าพ่อกับแม่ยังปลอดภัย"
"รู้ได้ยังไง" คุณปู่พลางยิ้มออกมาอย่างมีเล่ห์นัย
"หือ?...ดูแปลกๆนะครับ"
ฑีขมวดคิ้วเขารู้จักปู่คนนี้ดี ท่านมักจะมีเรื่องให้แปลกใจอยู่เสมอบางทีก็พูดไปเรื่อยแต่สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเรื่องจริง บางครั้งก็เหมือนปู่มีตาวิเศษที่มองเห็นอนาคตและความเป็นไปของปัจจุบันได้ จึงไม่แปลกที่ฑีจะเริ่มรู้สึกแปลกๆทันทีที่เห็นรอยยิ้มลึกลับนั่น...
"เปล่า...แล้วนี่หลานจะทำยังไง?"
"ก็ไม่ทำไงหรอกครับ ก็ต้องใชชีวิตต่อไป เดี๋ยวแม่กับพ่อก็กลับมา" ฑีพูดพลางสายตาก็เศร้าลงทันที
"เอาหน่า ไอ่หมาน้อย! ยังไงก็มีปู่คนนี้อยู่ด้วยทั้งคน"
ฑีไม่พูดอะไรได้แต่มองหน้าแล้วยิ้มให้กับปู่ รอยยิ้มนั่นตั้งแต่เด็กจนโตมันก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ยังคงเป็นรอยยิ้มของหลานผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความใสบริสุทธิ์เหมือนเคยๆที่ผ่านมา ใช้เวลาพูดคุยและอยู่กับปู่ได้สองสามชั่วโมง ก่อนฑีจะขอกลับบ้านไปพักผ่อนซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ลุงพลก็มาเฝ้าปู่พอดีเด็กหนุ่มเลยโล่งอกไปหน่อย ด้วยจักรยานคู่ใจไม่นานนักฑีก็กลับมาถึงบ้านอย่างปลดภัย...
***1 เดือนผ่านไป***
...21.57 น....
ฑีทิ้งตัวลงกับโซฟาก่อนจะคว้ารีโมตขึ้นมากดเปิดโทรทัศน์ เขาถอนหายใจฟอดใหญ่และนั่นก็มีสาเหตุมาจากความเงียบเหงาภายในบ้าน ทั้งๆที่อุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตารอมาตลอดกลับไม่ได้ข่าวคราว ไม่มีการติดต่อกลับ ไม่มีการกลับมาพบเจอใดๆ พ่อกับแม่ไปอยู่ที่ไหนมัวแต่ทำอะไรกันอยู่!!! เขาคิด...1 เดือนที่ผ่านมาเขาเฝ้ารอข่าวคราวของพ่อกับแม่มาตลอด เครื่องบินลำนั้นไม่มีแม้แต่ศพของพ่อกับแม่ แล้วเขาสองคนหายไปไหนกัน? ทำไมไม่ติดต่อกับมาเลย หายใจหรือไม่หายใจอย่างไรทำไมถึงได้ทิ้งลูกคนนี้ไปได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ได้คุณปู่คนเดียวที่เคยโทรมาหาเสมอๆแต่คำพูดคลุมเครือของคุณปู่ก็ยิ่งทำให้ฑีหงุดหงิดขึ้นมา ปู่พูดเหมือนรู้ว่าพ่อกับแม่อยู่ที่ไหน พูดเหมือนกับว่าเขาสองคนยังไม่ตายหายจากไปแต่ทำไมกัน ทำไมแม้แต่เสียงก็ไม่ติดต่อกลับมาหาลูกคนนี้บ้างเลย...ผมทำผิดอะไร?
...08.42 น...
"เฮ้ยๆ น้องคนนั้นน่ะจะเต้นไม่เต้น!" เสียงว๊ากของรุ่นพี่คนหนึ่งดังขึ้นมาแต่ไกลทำให้จุดสนใจกลายมาเป็นเด็กหนุ่มแทนที่จะเป็นพวกรุ่นพี่ที่เต้นเป็นตัวตลกอยู่ข้างหน้านั่น
"เหอะ..." ฑีแบ้ปากก่อนจะเดินหนีออกจาแถว เด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเขาขมวดคิ้วแล้วซุบซิบกันใหญ่
"เดี๋ยว! จะไปไหน?" รุ่นพี่ตะคอกก่อนจะเดินตามฑีมา
"..." เขาไม่พูดอะไรได้แต่เดินต่อไปอย่างไม่สนใจอะไร?
"น้อง! น้อง!...หูตึงรึไงวะ!!" รุ่นพี่พูดขึ้นในระยะประชิดฑีหันหลังกลับมาอย่างกระทันหันทำเอารุ่นพี่เกือบตั้งตัวไม่ทัน
"ไม่ได้หูตึง แต่ไม่มีอารมณ์มาทำอะไรงี่เง่า"
"เหอะ...งี่เง่าหรอ? น้องมากกว่ามั่งที่กำลังงี่เง่าอยู่"
"หรอ?..." ฑีเมินหน้าไปทางอื่น
"ถ้ายังไม่อยากถุกรุ่นพี่ทำโทษรีบกลับเข้าไปในแถวซะ"
"...หึ" ฑียิ้มแหยๆก่อนจะเดินเข้าไปในแถวด้วยท่าทางพิลึก
"เหอะ...แค่นนี้ก็จบ หึ คิดว่าจะแน่"
รุ่นพี่พูดขึ้นแผ่วแต่ถือเป็นโชคร้ายที่คำพูดนั่นดันดังพอที่จะเข้าไปกระทบประสาทหูของฑีเข้า แทนที่เขาจะเดินตรงกลับเข้าไปยืนที่เดิมแต่สมองกลับสั่งการให้เดินไปตรงหน้าแถว สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่เขา ฑีคว้าโทรโข่งมาจากมือของรุ่นพี่คนหนึ่งก่อนจะหันหน้าออกไปมองทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่...
"เพื่อนๆบอกทีเราควรทำไง? พี่คนนั้นเขาบอกให้เรากลับมายืนในแถวแลกกับ..."ฑีคิดอยู่ซักพักสายตาของเขาก็ไปสะดุดอยู่กับเด็กใหม่รุ่นเดียวกัน แหม...หล่อนเด่นมากทั้งเรื่องหน้าตาการแต่งตัวและเรื่องเพศ รอยยิ้มและความคิดแล่นไปแล่นมาทำเอาฑีเองก็แถบอดขำไม่อยู่ "พี่เขาบอกว่า ถ้าเราจะไม่ร่วมรับน้องก็ต้องไปเอาเบอร์น้องซู่ซี่คนนั้นมาให้เขา" พูดไม่พูดเปล่าฑีชี้ไปทางน้องซู่ซี่ที่ตอนนี้ยืนเขินจนตัวแทบจะบิดเป็นเกลี้ยวอยู่แล้ว เธอสวยสง่าในชุดรัดรูปและเครื่องแต่งหน้าแนวงิ้ว นั่นหมายถึงการแต่งหน้าที่หนาเป็นถนนคอนกรีตนั่นเอง สายตาทุกคู่ละความสนใจจากฑีก่อนจะมุ่งเป้าไปทางซู่ซี่แล้วเสียงหัวเราะก็ดังกระหน่ำซัมเมอร์ขึ้น รุ่นพี่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อนซึ่งถูกฑีกล่าวหา
"เฮ้ย! ไอ่พดเดี๋ยวนี้เมิงเปลี่ยนรสนิยมไปชอบกระเทยงิ้วแล้วหรอวะ!"
"ห๊า!! อะไรของเมิงเนี่ย?"
"ก็ไอ่เด็กคนนั้นมันบอกว่า เมิงอ่ะให้มันไปขอเบอร์น้องงิ้วนั่นแลกกับที่มันไม่ต้องรับน้อง"
"เฮ้ย!!สาดเอ้ย แมร่ง!...แสบจัดนะเมิง เดี๋ยวเจอกรู"
เป็นกำลังใจให้ครับ อยากอ่าน ต่อ มาต่อเร็วๆๆนะ ติดตามครับ ขอบคุงมากมาย ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ ขอบคุณคับ ขอบคุณครับ ครับขอบคุณครับ ขอบคุณนะ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]