บันทึกของนนท์4
บันทึกของนนท์4ไม่มีเสียงตอบจากนนท์ แต่ตัวนนท์ก็ลอยไปยืนอยู่ใต้ฝักบัวที่มีสายน้ำไหลลงมาจนทำให้นนท์ที่กำลังสวมเสื้อคลุมอยู่เปียกไปหมดทั้งตัว นัทพลิกตัวนนท์ให้หันหน้ามาหาเขา ดึงเชือกที่รัดเสื้อคลุมแล้วค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมของนนท์ออก นนท์มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อปากของนัทมาประกบจูบนนท์
“ไม่เอานะนัท...พี่ยังไม่ได้แปรงฟันเลย นัทก็เห็น...นัทแปรงฟันแล้วนะ สกปรกแย่เลย”
นนท์พูดออกไปเพราะเขาไม่เคยจูบปากกับใครหากไม่ทำความสะอาดซะก่อน มันทำให้ดูแปลก ๆ แต่นัทก็แทรกขึ้นมา
“พี่นนท์คับ ถ้าผมรังเกียจพี่ เมื่อคืนผมคงไม่มานอนกับพี่ที่บ้าน แล้วแค่ฟันยังไม่ได้แปรง เมื่อคืนเราก็แทบจะไม่ได้นอนกัน นอนแค่สองสามชั่วโมงเอง มันยังไม่สกปรกหรอกคับ ปากพี่หอมดีออกคับ”
นนท์ก็ยังคงลังเลกับการที่จะต้องจูบปากโดยไม่ทำความสะอาด อย่างน้อยบ้วนน้ำยาบ้วนปากก็ยังดี
“งั้นพี่ขอบ้วนปากก่อนดีกว่ามั้ย”
นนท์แกะวงแขนของนัทเพื่อเดินไปยังอ่างล้างหน้าหยิบเอาน้ำยาบ้วนปากมาบ้วนปาก อย่างน้อยก็ยังดีกว่าที่จะให้นัทจูบปากโดยที่มีกลิ่นปากแบบนั้น นนท์บ้วนปากเสร็จก็เดินกลับมาใต้ฝักบัวที่นัทกำลังยืนอาบอยู่ใต้ฝักบัวพร้อมด้วยเครื่องเครา 8 นิ้วของเขาที่ชูชัน ผงกหัวหงึก ๆ เพลงรักในห้องน้ำใต้ฝักบัวเริ่มขึ้นอีกครั้ง จนทั้งคู่หลั่งความสุขออกมา
เป็นจังหวะพอดีที่แม่บ้านมาเคาะประตูเรียกเพื่อเอาอาหารมาให้ นนท์รีบคว้าเสื้อคลุมตัวใหม่มาคลุมเพื่อไปเปิดประตูให้แม่บ้านเอาอาหารมาวางให้ที่โต๊ะกระจกกลมเล็ก ๆ ไว้ยามนั่งเล่นที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างที่เป็นกระจกบานใหญ่ แสงอ่อน ๆ สาดเข้ามาในยามสายของตอนเช้าทำให้มุมของบ้านนนท์ตรงนั้นดูอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา มองออกไปเป็นต้นโมกที่นนท์หามาปลูกไว้ และก็มีต้นไม้อื่นๆ ที่โตขนาดไล่เลี่ยกัน แม้จะไม่ใช่สนามหญ้าใหญ่โต แต่ก็ทำให้บรรยากาศตรงนั้นเป็นที่นั่งพักผ่อน จิบกาแฟยามเช้าของนนท์ เป็นที่นั่งอ่านหนังสือยามที่อยากจะพักผ่อน
สองหนุ่มต่างวัยนั่งทานอาหารเช้าร่วมกันนนท์ไม่รีบร้อนที่จะต้องไปไหน คงเพราะวันนี้เป็นเช้าของวันหยุด เขาอยากหยุดเวลาไว้แค่ตรงนี้ ที่นี่ ตอนนี้เท่านั้น เวลาที่เขามีนัทอยู่ใกล้ๆ อย่างนี้ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าจะมีวันนี้อีกหรือป่าว หรือนัทจะตอบตกลงว่าจะมาอยู่กับเขาหรือไม่ แต่ที่รู้ เวลานี้คือเวลาที่เขามีความสุขที่สุด เขาต้องเก็บเกี่ยวความสุขเช่นนี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ช่วงสายของวันนั้นหลังจากทานอาหารเสร็จนนท์พานัทไปซื้อเสื้อผ้าชุดสองชุด แล้วก็พานัทกลับไปส่งใกล้ ๆ ร้าน เพื่อไม่ให้ใครเห็นว่านัทมากับนนท์ จะได้ปลอดภัยทั้งตัวเองและนัท เพราะนนท์คิดว่ามันคงเป็นเรื่องไม่ดีที่ดึงเด็กของที่บริการนั้นออกมา
ที่สุดการพบก็ต้องมีการจาก ซึ่งการจากกันในครั้งนี้นนท์ไม่มีโอกาสล่วงรู้เลยว่า นัทจะตัดสินใจยังไงเกี่ยวกับเรื่องระหว่างนัท กะ นนท์ หรือว่า หากนนท์ต้องการจะเจอนัท ก็จะต้องกลับเข้าไปหานัทที่ซาวน่าแห่งนั้นเพื่อซื้อบริการ แต่ใจลึก ๆ ของนนท์ ไม่ได้หวังที่อยากจะต้องเป็นผู้ซื้อบริการนัทอีกแล้ว เขาอยากให้นัทมาอยู่กับเขา เพื่อให้เขาได้ดูแลชีวิต ๆ หนึ่ง ในทางกลับกัน วันหนึ่งข้างหน้า นัทก็จะได้เป็นฝ่ายที่ดูแลนนท์กลับมาเหมือนกัน
ความรักนี่ก็ช่างกระไร มันทำให้คน ๆ หนึ่งที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งและมีความสามารถ กลับกลายเป็นคนโง่เขลาที่ไม่รู้อะไรเลย ความรักทำให้โลกนี้ดูแสนสดใสก็จริง แต่สำหรับนนท์ในเวลานี้ที่เขาต้องขับรถกลับบ้านคนเดียวเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ยิ่งกลับทำให้เขารู้สึกเหงา ว้าเหว่ขึ้นมาจับใจ ความรักในใจนนท์ตอนนี้กลับมีหมอกควันเข้ามาบดบังความสดใส ความรักที่เขาอยากแบ่งปันให้กับใครคนหนึ่งที่เขาคิดว่าเขาเฝ้ารอคน ๆนี้มานานแสนนาน และเมื่อได้เจอแล้วโลกที่สดใสก็ไม่รู้ว่าจะสดใสกลับมาอีกเมื่อใด เขานึกถึงเพลง ๆ หนึ่งขึ้นมาในหัวสมองของเขา แล้วก็ร้องเพลงนี้ขึ้นมาคนเดียวในรถ รถที่จอดอยู่ข้าง ๆ รถของเขาที่เห็นชายคนหนึ่งร้องเพลงอยู่คนเดียวคงต้องนึกว่า เออคนนี้มันบ้าว่ะ นั่งร้องเพลงคนเดียว
ก่อนนั้นทุกวันโลกเป็นสีเทา
เปลี่ยวเหงาเฝ้าแต่รอคอยเสมอ
เธออยู่แห่งไหนเมื่อใจฉันพร่ำหาเธอ
ใครจะเสนอมอบใจรักและต้องการ
ก่อนนั้นฉันมีชีวิตเพื่อใคร
ขื่นขมเท่าใดจะกลายเป็นหวาน
ทนอยู่ต่อไปแม้ใจทนทรมาน
คืนวันผันผ่านจนเราได้มาพบกัน……………….
แปลกใจหนักหนา เธอมา...ปลุกชีวิตฉัน
เธอมา..มอบรักนิรันดร์
เธอมาอดีตพลันมลาย
บัดนี้ทุกนาทีเป็นแสงทอง
ที่เคยหม่นหมองกลับมีความหมาย
ฉันเพิ่งได้รู้ รักทำให้ความทุกข์คลาย
ยาอื่นไม่หายไม่เลือนเหมือนเธอเป็นยา
บัดนี้ฉันมีชีวิตเพื่อเธอ
ได้เจอคือเธอที่ฉันฝันหา
เธอที่คราวนั้น.....ฉันคอยกับรอยน้ำตา
เธอจึงมีค่า ....ตราตรึง หนึ่ง...ดังหัวใจ
นนท์นั่งร้องเพลงนี้พร้อม ๆ กับน้ำตาที่ซึมคลอเบ้าตาของเขา มันแทบจะเอ่อล้นออกไหลเป็นทาง นนท์รีบเช็ดน้ำตา สลัดความรู้สึกผิดหวังนั้นออก คิดอย่างเดียวว่า เราต้องได้ในสิ่งที่เราตั้งใจและหวังไว้ให้ได้ เราต้องมีความหวังซิ คิดแต่สิ่งที่ดีดีที่จะเกิดขึ้นเข้าไว้ ไอ้นนท์เอ๋ย...อย่าให้ความคิดต่อความผิดหวังมันผุดขึ้นมา...เย็นวันนั้น นนท์ขับรถไปวัดแห่งหนึ่ง เพื่อไปนั่งสมาธิและสวดมนต์ ...นนท์อยากสงบความคิดของเขาที่กำลังฟุ้งซ่าน มันเป็นความคิดที่บอกอิ่มเอมแต่ก็เต็มไปด้วยความผิดหวังเมื่ใดก็ไม่รู้ได้ ความคิดที่พลุ่งพล่านแทบอยากจะทำให้เขาเป็นบ้า ความคิดที่เขาอยากมีชีวิตคู่ แม้จะเป็นชีวิตคู่ชายคู่กับชายก็ตาม ไม่เหมือนกับสิ่งที่ธรรมชาติให้มาที่จะต้องเป็นชีวิตคู่ของชายกับหญิง นนท์มีความเชื่อเรื่องพรหมลิขิต เชื่อว่าคนเราเกิดมาคู่กัน ไม่ว่าจะเกิดมาจากฐานะที่แตกต่างกันแค่ไหน เกิดกันมาคนละซีกโลก ถ้าเป็นคู่กันจริง ๆ วันหนึ่งก็ต้องมาเจอกัน และแล้วตอนนี้สิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดชีวิตก็กำลังเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง
นนท์ยังเชื่ออีกว่า ความรักไม่ว่าจะชายจริงหญิงแท้ คู่ชายกับชายที่รักกัน หรือแม้กระทั่งคู่ของทอมกับดี้ ถ้ามีความรักความจริงใจต่อกัน ยังไงก็อยู่ด้วยกันได้ตลอด และอีกข้างหนึ่งนนท์ก็ยังเชื่อว่า ถ้าคน 2 คนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคู่กันแต่มาเจอกันอยู่ด้วยกันหรือแต่งงานกัน ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วแค่ไหน ก็ต้องเลิกกัน ซึ่งมีให้เห็นอยู่ดาษดื่นที่ชายจริงหญิงแท้อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบ ยี่สิบปี มีลูกด้วยกัน ก็ยังเลิกกันได้เลย นับประสาอะไรกับชีวิตคู่ของเกย์ หรือชีวิตคู่ของชายกับเกย์ที่แม้ว่าจะดูฝืนธรรมชาติ แต่ถ้าอยู่ด้วยกันด้วยความรักความเข้าใจกัน แคร์และอาทรต่อกันทำไมจะอยู่ด้วยกันไม่ได้เล่า เอาว่ะ...นนท์คิดในใจว่า กรูนี่แหละจะทำให้โลกดูว่ากรูจะอยู่ชีวิตคู่แบบนี้ แบบที่ธรรมชาติไม่ได้กำหนดมาให้ แต่กรูเชื่อในพรหมลิขิตที่ทำให้คนที่เกิดมาคู่กันที่สุดก็ต้องมาอยู่ด้วยกัน
หลายวันแล้วที่ ....นนท์พยายามหักห้ามใจตัวเองเพื่อไม่ให้ไปที่ร้านที่นัททำงานอยู่...เขารู้สึกกระวนกระวายมาก ...หลายวันมานี้ ... นนท์เลิกไปเที่ยวตามสถานเริงรมย์ต่าง ๆ ที่นนท์เคยไป จนเป็นที่ผิดสังเกตของเพื่อน ๆ จนเพื่อน ๆ หลายคนอดรนทนไม่ไหวต้องโทรศัพท์เข้ามาถามและชวนให้ออกไปเที่ยวด้วย แต่นนท์ก็ตอบปฏิเสธไปทุกราย...จนเพื่อน ๆ แซวว่า มีใครหรือป่าว... ทำไมเกิดอะไรขึ้น...เมิงกกเด็กอยู่เหรอ...ได้ข่าวว่าเมิงไปเที่ยวบาร์แถวสุขุมวิทไปติดเด็กเหรอ ระวังเถอะเมิงมันจะหลอกแดกเมิง..เดี๋ยวจะหาว่ากรูไม่เตือน... เมิงไม่ใช่คนแบบนี้นี่หว่า ... ไหนเล่าให้ฟังซิว่าเรื่องอะไร....นนท์ยังไม่กล้าที่จะบอกเพื่อนกลุ่มสนิทอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มเพื่อนเกย์ที่เอาไว้เที่ยวด้วยกันในยามค่ำคืน...นนท์ต้องการความแน่นอนจากนัทก่อนเพราะตอนนี้ก็มีแค่ 2 ทาง ทางแรกคือ นัทตอบตกลงว่าจะมาอยู่ด้วย...ทางที่ 2 ก็คือนัทปฏิเสธที่จะไม่มาอยู่ด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้น นนท์จะได้ทำใจและตัดใจจากนัท แล้วหันกลับไปใช้ชีวิตที่อยู่อย่างว้าเหว่ เหงาลำพังเพียงคนเดียว ใช้เวลาออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ หลังเลิกงาน
หลังอาหารเที่ยงของวันหนึ่งที่นนท์ไปประชุมในช่วงเช้าในโรงแรมแห่งหนึ่งที่จัดการประชุม โดยที่นนท์ขึ้นเป็นGuest Speaker ในการประชุมในครั้งนั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
“ ฮัลโหล...ผมนนทวัฒน์ กำลังพูดสายคับ...ไม่ทราบว่าจากไหนคับ”
นนท์รับสายนั้นและพูดไปกับสายที่โทรเข้ามา
โทรศัพท์เคลื่อนที่หรือโทรศัพท์มือถือเมื่อ10 ปีที่แล้วนี่ช่างต่างจากโทรศัพท์มือถือในทุกวันนี้เสียกระไร เพราะไม่แสดงหมายเลขของโทรศัพท์สายที่เรียกเข้ามา จึงทำให้ไม่รู้ว่าใครโทรเข้ามา แต่ทว่า เสียงฮัลโหล จากสายที่เรียกเข้ามา เป็นเสียงที่นนท์จำได้ไม่เคยลืมเลย นี่คือเสียงที่เขารอคอยมาหลายวัน นี่คือเสียงที่เขาถวิลหาที่จะได้ยินได้ฟังมากที่สุด เปรียบประหนึ่งเสียงสวรรค์ที่เขารอคอยมานานแสนนาน เพียงไม่กี่วันก็เถอะแต่เขารู้สึกเหมือนเวลายิ่งเดินช้าลงทุกที ๆ เวลาที่รอคอยเหมือนการรอคอยมานับเดือน นับปีตอนนี้ใจของนนท์ดีใจเป็นที่สุด เลือดในกายพลุ่งพล่านกับการได้ยินเสียงนั้นที่มากับสายโทรศัพท์นั้น ซึ่งจะเป็นเสียงใครไปไม่ได้ นอกจากนัท...เสียงของนัท...จากปลายสายอีกด้านหนึ่ง.....
“พี่นนท์ ....เหรอคับ...ผมนัทคับ”
นัทพูดกลับมาหลังจากที่นนท์พูดรับสายนั้น
“พี่จำได้....พี่จำเสียงนัทได้”
นนท์พูดด้วยเสียงตื่นเต้น หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของนนท์กำลังพยายามบังคับเสียงที่สั่นอย่างดีใจให้อยู่ในอาการสงบให้ได้ แต่มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน
“วันนี้พี่ทำอะไรคับ...สบายดีหรือป่าว...ทานข้าวหรือยังคับ”
นัทยิงคำถามมา เหมือนคนที่อยากรู้ความเป็นไปของชีวิตของอีกฝ่ายหนึ่ง
“เอ่อ...วันนี้พี่ออกมาประชุมที่โรงแรมแถวสุขุมวิทคับ นี่พี่ก็เพิ่งจะทานข้าวเสร็จ...นัทมีอะไรหรือป่าว...พี่ไม่อยากให้นัทเปลืองค่าโทรศัพท์ เพราะนัดโทรจากตู้สาธารระไม่ใช่เหรอ”
นนท์ตอบพร้อมกับเดินเลี่ยงกลุ่มคนที่มาประชุมในวันนั้น เพราะกลุ่มคณะผู้จัดงานที่เชิญนนท์มาในวันนั้น กำลังเดินตรงเข้ามาหานนท์ ... นนท์จึงต้องยกมือเพื่อเป็นสัญญาณว่า ขอคุยโทรศัพท์สักแปป โทรศัพท์สายสำคัญในชีวิตของนนท์
“ไม่เปลืองหรอกคับ...ผมเอาเงินที่พี่ให้ไว้โทรมาคับ...ผมมีเรื่องอยากจะบอกพี่คับ”
ไม่รีรอที่จะต้องให้นัทพูดออกมา นนท์ถามนัทแบบมัดมือชกที่ต้องการได้คำตอบในทันทีว่า เขาจะตัดสินใจมาอยู่กับนนท์หรือไม่
“ตกลงนัทตัดสินใจจะมาอยู่กับพี่แล้วใช่หรือป่าว”
“คับ ....”
เพียงแค่ ครับ คำเดียว ที่นนท์ได้ยินก็ทำให้นนท์ตื้นตันใจ ดีใจแทบจะกระโดดเต้นด้วยความดีใจ อยากจะตะโกนร้องออกมาดังๆ แต่ก็ต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้แสดงอาการเช่นนั้น เพราะตอนนี้เขาอยู่อีกสถานะหนึ่ง สวมหน้ากาก สวมหมวกอีกใบหนึ่งที่เขาจะแสดงอาการที่อารามดีใจขนาดนั้นไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ อาการดีใจของนนท์ยิ่งทวีเพิ่มขึ้นไปอีก นนท์ต้องพยายามกลืนก้อนนั้นที่จุกอยู่ที่ลำคอลงไป แล้วเอ่ยถามนัท
“นัท ...แล้วนัทจะพร้อมมาวันไหน พี่จะไปรับ...”
นัทถามนนท์กลับมา.....
“วันนี้ได้มั้ยคับ...พี่เลิกประชุมกี่โมงคับ”
นนท์ ตอนนี้ในสมองต้องรื้อค้นตารางประชุมในวันนี้ออกมาฉายในสมองว่าช่วงบ่ายนี้เขามีอะไรที่ต้องพูดอีก เขามีเพียงพูดสรุปประเด็นทั้งหมดในตอนท้ายเท่านั้น เพราะบ่ายนี้ วิทยากรอีกคนเป็นคนบรรยาย ซึ่งเป็นลูกน้องของนนท์...ในหัวของนนท์กำลังพยายามคิดหาทางออกเพื่อให้เป็นทางออกที่ดีที่สุด ไม่เสียงาน ไม่เสียคนที่กำลังจะเข้ามาในชีวิต
“พี่เลิกประชุมประมาณ 4 โมงเย็น แต่ช่วงบ่ายนี้ไม่มีอะไรที่สำคัญเท่าไหร่ พี่จะพยายามปลีกตัวออกไปเจอนัทให้เร็วที่สุด…นัทจะให้พี่ไปรับนัทที่ไหน”
“ที่ร้านเดิมที่เราเจอกันวันนั้นมั้ยคับ...”
นัทคงไม่กล้าไปที่อื่น เพราะไม่รู้จักเส้นทาง นอกจากห้างและร้านที่พบกันในวันนั้น
“อ้าว...นัทก็มีกระเป๋าเสื้อผ้าด้วยไม่ใช่เหรอ”
ต่อ
นนท์เอ่ยถามนัทด้วยความเป็นห่วงว่า นนท์จะต้องแบกข้าวของพะรุงพะรังเข้าไปในห้างแห่งนั้น เพราะถ้าหากเขาจะรอนนท์ตรงไหนก็ได้ที่ไม่ห่างจากร้านที่เขาทำ นนท์ก็สามารถที่จะแวะรับเขาได้
“ครับ..ก็มีเป้สะพายหลังใบเดียวคับ เพราะผมไม่มีเสื้อผ้าอะไรมาก ที่พี่ซื้อให้ผม 2 ชุดวันนั้น ผมเพิ่งใส่ไปแค่ชุดเดียวเองคับ”
คำตอบของเด็กหนุ่มที่ไม่ได้สนใจอะไรกับการแต่งตัว
“งั้น...นัทก็ไปรอพี่ที่ร้านเดิมนะ พี่จะพยายามไปให้ถึงเร็วที่สุด แต่จากสุขุมวิทไปห้างนั้น ก็ไกลอยู่นะ รถอาจจะติด เอางี้นะ พี่ว่าประมาณ 5 โมงครึ่งถึง 6 โมงนัทค่อยเข้าไปรอพี่ในร้านนั้น ถ้าพี่ไปถึงก่อนพี่ก็จะไปรอก่อน โอเคมั้ย...”
“คับ..พี่...เดี๋ยวเจอกันนะคับ ผมจะไปลาออกจากร้านก่อน”
“นัทจะบอกเขายังไงละ”
“ผมคงโกหกเขาละคับ ว่ากลับบ้าน…ผมไม่อยากให้พี่โดนใครว่าคับ”
“ อืมม..งั้นเย็นนี้เราเจอกันนะ”
นัทวางสายไป นนท์เดินเข้าห้องน้ำในโรงแรมแห่งนั้น ยืนดูตัวเองหน้ากระจกบานใหญ่....น้ำตาแห่งความปีติไหลพรากออกมา นนท์ดีใจสุด ๆ เป็นอีกครั้งที่เขาดีใจสุด ๆ ในชีวิตที่เคยเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้ง นนท์รีบล้างหน้าเช็ดคราบน้ำตาก่อนที่ผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นจะเดินเข้ามาใช้ห้องน้ำ แล้วมาเห็นภาพของนนท์ที่เป็น Guest Speaker บนเวทีเมื่อเช้ามายืนร้องไห้ทำไมอยู่หน้ากระจก นนท์เช็ดน้ำบนใบหน้า แล้วก็เดินออกจากห้องน้ำด้วยอาการที่ยิ้มแย้ม ...
วันนั้นคนที่มาประชุมหากสังเกตดีดีจะเห็นนนท์เดินอมยิ้มอยู่คนเดียว....คนที่มาร่วมฟังนนท์พูดในตอนเช้าต่างเข้ามาทักทาย แสดงความยินดีและให้คำชมเชย คุณนนทวัฒน์ คุณพูดได้ดีมาก เรื่องที่คุณพูดเป็นเรื่องที่น่าสนใจจริง ๆ ถ้านำไปใช้จริง ๆ พวกเราว่าทุก ๆแห่งต้องเกิดการพัฒนาไปพร้อม ๆ กันแน่ นี่คือเสียงชมเชยจากคนที่ได้ฟังนนท์พูดไปในช่วงเช้า แต่ทว่าช่วงบ่ายนี้ไม่มีช่วงเวลาของนนท์ที่ต้องขึ้นพูดบนเวที นนท์จึงเข้าไปพูดคุยกับคณะผู้จัดงานว่า ถ้าเขาจะปลีกตัวออกไปตอนประมาณบ่าย 3 โมง เพื่อไปธุระสำคัญ จะมีอะไรที่เขาจะต้องทำอีกหรือป่าว เพราะตามกำหนดการในช่วงบ่ายนี้ เป็นของคนอื่นที่ต้องขึ้นพูด เขามีเพียงแค่สรุปประเด็นและตอบปัญหาเท่านั้น นนท์จึงเสนอทางออกว่า ให้ประกาศออกไมค์ว่าหากใครมีปัญหาอะไรที่จะถามเขาบ่ายนี้ ให้เขียนใส่กระดาษมาก่อนเวลาช่วงบ่ายจะเริ่มขึ้น เขาจะเขียนตอบให้เป็นรายบุคคลไป คณะผู้จัดตอบมาว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ ยินดี แค่นี้คุณนนท์ก็ช่วยให้งานของเราสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว...”
นนท์คิดในใจว่ามันจะไม่ดีได้ยังไง...เขาเตรียมเรื่องที่จะต้องพูดนี้มานานระยะหนึ่งแล้ว เป็นเรื่องที่เขาถนัดและสนใจอยู่แล้วจึงไม่ยากเกินไปที่เขาจะพูดให้คนฟังสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน แต่ถึงนาทีนี้เขาไม่แคร์แล้วกับคนกลุ่มนี้ ใจเขาวิ่งไปอยู่ที่ร้านแห่งนั้นแล้ว…แต่ทว่ามีคนที่อยากจะถามมาประมาณ 4 - 5 คนเท่านั้น นนท์จึงใช้เวลาระหว่างที่วิทยากรอีกคนกำลังพูด นั่งเขียนตอบคำถามนั้น
บ่ายสามโมงเขารีบคว้ากระเป๋าเอกสารเพื่อเดินออกจากห้องประชุมแห่งนั้น ร่วมสองชั่วโมงที่ผ่านมาเขานั่งทนต่อความอึดอัด นั่งอย่างกระสับกระส่าย ทันทีที่นั่งอยู่หน้าพวงมาลัยรถ เขาสตาร์ทรถเพื่อขับออกจากโรงแรมหรูแห่งนั้นเพื่อตรงไปยังที่นัด ในใจก็ภาวนาว่า ขออย่าให้รถติดเลย ช่วงเวลาอย่างนี้ด้วย ในหัวเขาสมองเริ่มทำงานอย่างหนักว่าเขาจะคิดเดินทางไปทางเส้นทางถนนสายไหนดีเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงรถราที่ติดอย่างแสนสาหัสของกรุงเทพมหานครเมืองฟ้าอมร แต่เส้นทางจากโรงแรมที่เขาขับรถมานั้นยากที่จะหลีกเลี่ยงไปเส้นไหนได้
เขาคิดว่าจะอ้อมรถเลี้ยวผ่านสวนลุมพินีตรงเข้าถนนสาทรข้ามสะพานไปเพื่ออ้อมไปทางฝั่งธนฯ แล้วไปยังห้างแห่งนั้นจะดีมั้ยนะนี่ แต่จากประสบการณ์ที่เขาประสบมาตลอดว่า ถนนสาทรไม่ว่าเวลาไหน ๆ ก็ติดทั้งนั้น
หรือว่าจะวิ่งตรงไปผ่านสยามสแควร์ตรงไปเส้นพระราม1 ออกไปทางโรงพยาบาลกลาง แล้ววิ่งออกไปทางถนนราชดำเนิน ข้ามสะพานพระปิ่นเกล้า ก็น่าจะเป็นเส้นทางที่ตรงกว่า
หรือจากตรงนั้นจะเลี้ยวข้ามสะพานพุทธวิ่งทางฝั่งธนฯ เข้าทางสี่แยกบ้านแขกก็น่าจะดีกว่าเพราะเวลาที่ใช้ขับไปจนถึงแถวนั้น โรงเรียนก็คงจะยังไม่เลิก รถราก็คงจะยังไม่ติดมาก นนท์จึงตัดสินใจวิ่งไปตามเส้นทางที่คิดล่าสุด และก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ถนนโล่งอย่างไม่น่าเชื่อ วันนี้ช่างเป็นวันที่วิเศษอะไรเช่นนี้ อะไรต่อมิอะไรก็เอื้ออำนวยต่อเขาให้เขาเดินทางอย่างสบาย เขาใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ถึงห้างแห่งนั้น เขาหาที่จอดรถ รีบล๊อครถให้เรียบร้อยแล้วก็จ้ำเดินไปยังร้านที่เดิมที่นัทนัดกับเขาไว้ เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เห็นว่าเวลายังเหลืออีกตั้งครึ่งชั่วโมง ครั้นถ้าจะไปนั่งรอก็คงจะต้องกระสับกระส่ายอย่างแน่นอน ความคิดหนึ่งแวปขึ้นมาว่า นัทจะย้ายมาอยู่กับเราวันนี้...เรายังไม่ได้เตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้นัทเลย...เขาจึงเดินไปยังซุปเปอร์มาเก๊ตในห้างแห่งนั้น เพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวใหม่เตรียมไว้ให้นัท...เขาอยากเร่งเวลาครึ่งชั่วโมงนี้ที่เหลือให้เร็วขึ้นจัง...แต่เวลาก็ต้องเดินไปตามเวลาของมัน...แต่ใจของเรามันเร็วกว่า...จึงคิดว่าเวลามันเดินช้ากว่าใจ....
เขาซื้อของเสร็จเอาข้าวของที่ซื้อไปเก็บในรถแล้วก็ย้อนกลับมาที่ร้านนั้น อีก5 นาที 5 โมงครึ่งเขาจึงตัดสินใจเข้าไปในร้านตรงไปยังโต๊ะตัวเดิมที่ยังว่างอยู่ เพราะเวลาอย่างนี้ผู้คนที่จะเข้ามาทานข้าวยังมาไม่ถึง อาจจะกำลังติดอยู่ในรถบนถนน เขานั่งลงแล้วสั่งเครื่องดื่มประจำของเขาเพื่อนั่งรอให้นัทมาถึง ประมาณ 5นาทีขณะที่นนท์กำลังก้มหน้าอ่านนิตยสารอยู่ ก็มีเสียงขัดจังหวะความเงียบที่นนท์กำลังอ่านนิตยสารดังขึ้น
“ขอโทษคับ...เครื่องดื่มที่สั่งได้แล้วคับ”
แต่เสียงนี้นนท์กลับคุ้นเคย
จบตอนที่ 4
ขอบคุณครับผม{:5_130:} {:5_120:}
ขอบคุณครับผม...{:5_120:} ชอบมากเลยครับ หวานชื่นเลย ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณคับ ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ชอบมากคร้า ขอบคุณครับ สนุกมาก ขอบคุณนะครับ ขอบคุนครับ
หน้า:
[1]
2